“อะ เอ่อ...”
“คุณสวยจนผมอดใจไม่อยู่ ขอโทษที อย่าเพิ่งขัดใจผมเลย สัญญาว่าจะรอคุณอาบน้ำเสร็จก่อนแน่ แต่ว่าตอนนี้...ขอชื่นใจสักนิดเถอะนะ"
ทั้งที่ร่างบางเกิดอาการหวั่นเกรงอย่างเห็นได้ชัดแต่เปรมินทร์ก็ยังเดินหน้า เมื่อเอ่ยปากขออย่างหมดเหลี่ยมแล้ว เขาก็สอดประสานมือข้างซ้ายของหญิงสาวกับตนเอง เหมือนเชื่อมความรู้สึกให้ส่งผ่านถึงกันและกัน แล้วเลื่อนลงให้เธอโอบกอดเอวบางพร้อมกับเขา ส่วนมืออีกข้างเลื่อนมาเชยคางมนให้แหงนเงยมารับจุมพิตร้อนรุ่มจากเขา
ปากได้รูปประทับแนบสนิทกับปากอิ่มสวยก่อนจะขยับไล้กลีบปากนุ่มแผ่วผิว อึดใจต่อมาก็เปลี่ยนเป็นเบียดไล้มากขึ้นจนปลายลิ้นอุ่นซ่านถูกส่งออกมาสัมผัสกับความนุ่มนิ่มดั่งกลีบกุหลาบแรกแย้มถ้วนทั่ว ไม่นานหญิงสาวก็ยินยอมเผยอรับลิ้นอุ่นเข้ามาพัวพันกับตนเองโดยไม่รู้ตัว เปรมินทร์เป็นผู้นำพาให้เธอหลงวนไปกับความหอมหวานจากจูบแรกในชีวิตจนแทบไม่อยากถอยห่าง กระทั่งความอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรง จากไล้เลียพันรัดก็กลับเป็นดูดดึงรุนแรง นั่นเองที่ทำให้กัญญานันผวาหายใจหายคอไม่ทัน อกอวบอิ่มสะท้อนแรงขึ้น ลมหายใจแทบจะไม่มีหลงเหลือราวถูกสูบวิญญาณ แล้วก็ต้องส่งเสียงอื้ออึงในลำคอ
เปรมินทร์หยุดจูบสะท้านใจเมื่ออีกฝ่ายเริ่มลมหายใจขาดห้วง พอเขาถอยห่างพร้อมปล่อยคางมนเธอก็สูดลมหายใจเข้าอย่างแรงทันที ร่างอรชรสั่นทั้งยังอ่อนปวกเปียกจนเขาต้องรั้งเอาไว้ มือบางข้างที่เป็นอิสระวางบนเคานเตอร์ดันเพื่อพยุงตัวเองไปด้วย เห็นดังนั้นเขาจึงปล่อยมือที่กุมประสานกันอยู่ เปลี่ยนมากอดประคองกลายๆ กลัวร่างบางจะทรุดลงไป ขณะเดียวกันก็มองใบหน้าที่แดงซ่านของอีกฝ่ายด้วยความพึงพอใจ แถมยังจูบแก้มนวลไปอีกครั้งราวกับได้ใจ ทำเอาคนที่โดนเอาเปรียบทั้งที่กำลังแย่เพราะรสจูบของเขามองตาขุ่น แต่เปรมินทร์กลับยิ้มนิดๆ อย่างระรื่น
“ไหวไหม ผมพาไปในห้องน้ำนะ เดี๋ยวน้ำจะเย็นซะหมด”
“ไม่เอาค่ะ”
คราวนี้กัญญานันปฏิเสธทันทีอย่างไม่ต้องคิดเพราะกลัวจะโดนเอาเปรียบอีก ทว่าเปรมินทร์กลับยิ้มกว้างส่ายหน้าแล้วพลิกร่างเธอกลับมาอุ้มโดยไม่ฟังคำพูดใด เขาทั้งอุ้มทั้งหยิบเสื้อผ้าของเธอไปด้วยอย่างไม่มีปัญหา
เมื่อมาถึงห้องน้ำแล้วชายหนุ่มก็วางร่างบางที่ขอบอ่าง เดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนใหม่จากตู้ในห้องน้ำมาส่งให้ ถึงจะเห็นอีกฝ่ายยกแขนกอดตัวเองทั้งยังมองเขาอย่างระแวงเปรมินทร์ก็เพียงยิ้มมุมปาก ไม่คิดใส่ใจในเมื่อไม่ว่าอย่างไรคืนนี้ก็เป็นค่ำคืนของคู่แต่งงาน จะให้หวงตัวสักแค่ไหนกัญญานันก็ไม่มีทางรอดมือเขาไปได้ ดูอย่างเมื่อครู่เป็นต้น เพียงจูบเดียวก็ปวกเปียกทั้งตัวแบบนี้เปรมินทร์รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายอ่อนหัด แต่ถึงไม่ต้องพิสูจน์เขาก็พอเดาได้จากกิริยามารยาทของเธอ และการพูดคุยกับเพื่อนสนิทของเขา
หลังจากที่รู้ว่าเขาชอบพอน้องสาวกิตติกรก็พูดคุยกับเขาถึงเรื่องของน้องสาวคนเล็กมากมาย แม้ก่อนหน้านั้นเขาจะโดนเพื่อนซักจนแทบขาวสะอาด ทว่าเมื่อเชื่อใจแล้วกิตติกรก็เปิดเผยแทบจะทุกมุมของกัญญานันให้เขาได้รู้
“รีบอาบน้ำเถอะ อยู่ในนี้นานเดี๋ยวจะเป็นหวัดแล้วผมจะจูบคุณไม่ได้”
กัญญานันมองคนพูดอย่างหวาดระแวงแต่ชายหนุ่มก็ยังมองข้ามท่าทางนั้นของเธอ เขาขยับเข้าไปใกล้ช่วยแกะผมที่มวยออกให้อย่างเบามือจนผมสลวยยาวสยายตกลงมาระบ่าบอบบาง มือหนาจึงปัดให้ไปด้านหลังทั้งที่คนร่างบางพยายามเบี่ยงซ้ายเบี่ยงขวาหลบเขา ชายหนุ่มหันไปควานมือในอ่างน้ำ เมื่อเห็นว่าน้ำเริ่มเย็นขึ้นแล้วก็เปิดน้ำร้อนผสมลงให้จนกะความอุ่นพอดี
“เอาล่ะ คุณแช่น้ำอุ่นซะ แล้วก็ถ้าสระผมก็สระน้ำอุ่น แล้วรีบแต่งตัวออกไปข้างนอก ผมจะเป่าผมให้”
ชายหนุ่มบอกรวดเดียวแล้วโน้มหน้าลงมาหาแม้ว่ากัญญานันจะถอยหนีก็ไม่พ้น จะผลักมือก็กอดตัวเองอยู่ จนปากได้รูปแตะเข้าที่หน้าผากตนหนักๆ แล้วเขาก็กระซิบสำทับ
“ออกไปแล้วเตรียมตัวเตรียมใจให้ดีกว่าเมื่อกี้นะ เพราะต่อจากนี้ไปจะไม่ใช่แค่จูบอีกแล้ว”
เขาไล้หลังมือกับแก้มที่ซีดขาวเพราะความเย็นของห้องน้ำให้แก้มใสระเรื่อขึ้น ชายหนุ่มยิ้มกับท่าทางขัดเขินระคนขัดใจที่ดูน่ารักในความรู้สึกของเขา แล้วเดินออกมาจากตรงนั้นก่อนจะบังคับตัวเองไม่ได้ พาเธอโดดลงอ่างน้ำไปด้วยกันแทน
ร่างสูงกำยำด้วยมัดกล้ามออกมาจากห้องน้ำแล้วปิดประตูลงด้วยอารมณ์ลำพองเต็มที่ รู้สึกดีอย่างคาดไม่ถึงเมื่อคิดว่ากำลังจะได้ครอบครองเรือนร่างงดงามราวนางฟ้าที่ตนเองฝันถึงมาเนิ่นนาน ทั้งที่เมื่อก่อนเขามองเธอเป็นเพียงจินตนาการที่สุดกู่ของตัวเอง ไม่ต้องการไขว่คว้ามาแนบเคียงในชีวิตจริง ทว่าแม่ของเขากลับทำให้นางในฝันมาอยู่ในอ้อมกอดเขาในที่สุด
ชายหนุ่มเดินไปกระโดดลงนอนรอบนเตียงอย่างสบายอารมณ์พร้อมกับนึกคิดถึงการสัมผัสร่างงดงามอย่างละเอียดลอออยู่ในใจ เขาต้องการเริ่มต้นแตะต้องผิวเนื้อหอมกรุ่นนั้นทุกซอกทุกมุมและให้เวลากับตัวเองอย่างเต็มที่ไม่รีบร้อน ส่วนเรื่องความร้อนแรงคงค่อยไต่ระดับขึ้นตามระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน เขาจะค่อยๆ ใส่จินตนาการที่เคยวาดฝันกับหญิงสาวทีละนิด เพราะมีเวลากับเธออีกชั่วชีวิต ถึงวันนั้นกัญญานันคงทำให้เขาเร่าร้อนได้อย่างใจฝัน
ขณะที่เปรมินทร์กำลังวางแผนชีวิตคู่ที่มีเพียงความใคร่อย่างเดียวอยู่นั้น เสียงมือถือของเขาก็ดังขึ้น ชายหนุ่มชะงักกึกเหมือนคนเดินสะดุดปลั๊กก่อนจะส่ายหน้าให้กับจินตนาการของตัวเอง แล้วหันไปมองมือถือบนโต๊ะที่วางโคมไฟก่อนจะหยิบมาดู เห็นเบอร์ของผู้จัดการไร่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเพราะใครๆ ก็รู้ว่าเขาแต่งงาน ทุกคนในไร่ก็มาร่วมงานย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ผู้จัดการจะโทรมาในเวลาอย่างนี้ ทว่ายิ่งเป็นเวลาที่ไม่ควรโทรยิ่งดึงความสนใจของเปรมินทร์ได้ดี เพราะหากไม่จำเป็นจริงๆ ผู้จัดการไร่จะไม่ติดต่อเขาแน่ คิดดังนั้นชายหนุ่มจึงกดรับ
“ว่าไงครับคุณดิส”
ชายหนุ่มทักไปด้วยน้ำเสียงธรรมดาไม่ได้หงุดหงิดแต่อย่างใด ทว่าน้ำเสียงร้อนรนของปลายสายกับคำพูดที่ดังมาทำให้เจ้าบ่าวหมาดๆ นิ่งงัน ลมหายใจแทบหยุดตามไปด้วย
“เจ้ากับนายประสบอุบัติเหตุระหว่างลงจากภูครับคุณมินทร์ ตอนนี้กำลังพาส่งโรงพยาบาล ผมเกรงใจคุณมินทร์ แต่ว่า...”
“จะเกรงใจทำไม!”
เปรมินทร์ตวาดกลับไปเสียงดังด้วยความร้อนใจ ก่อนจะตั้งสติได้จึงพูดใหม่ด้วยเสียงที่นิ่งขึ้น
“คุณทำถูกแล้ว เดี๋ยวผมตามลงไป”
“แต่คุณมินทร์เพิ่งแต่งงาน ออกจากหอคงไม่ดี...”
“แล้วคุณจะให้ผมนอนกับเมียอย่างมีความสุขได้ลงคองั้นเหรอ”
ยังไม่ทันที่ดิสกลจะพูดจบเจ้านายหนุ่มก็ตวาดขึ้นอีกครั้งปลายสายจึงเงียบไป ในขณะที่เปรมินทร์หายใจแรงจนเหมือนปอดจะหลุดออกมาจากอกก่อนจะเอ่ยขึ้นเพียงสั้นๆ
“ผมจะรีบตามไป”
=====
ความเย็นเยียบกระทบผิวกายนวลลออทันทีที่ร่างบางอรชรโผล่พ้นจากน้ำ กัญญานันล้างเนื้อล้างตัวด้วยน้ำอุ่นจากฝักบัวแล้วจึงรีบเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่มาคลุมร่าง ปากอิ่มสั่นจนฟันกระทบเข้าหากัน เมื่อซับน้ำจากร่างจนหมดแล้วก็แข็งใจดึงผ้าออกสวมชุดนอนแขนยาวขายาวตามด้วยเสื้อคลุมทับไปอีกชั้น หากก็ยังไม่ช่วยให้อบอุ่นเพียงพอหญิงสาวจึงรีบเอาผ้าขนหนูไปตาก เมื่อเห็นผ้าผืนใหญ่ตากอยู่ส่วนบนแล้วเหลือส่วนล่างที่เป็นของเธอก็รู้สึกแปลกๆ จะขัดเขินก็ไม่ใช่ อุ่นใจก็ไม่เชิง แต่ด้วยความหนาวกัญญานันจึงรีบทำทุกอย่างให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้ออกไปจากห้องน้ำที่เย็นฉ่ำนี้เสีย โดยลืมไปสนิทว่าเมื่อออกไปแล้วอะไรกำลังรอตนเองอยู่เท้าเล็กก้าวออกมาจากห้องน้ำแล้วปิดประตูลง มือกำลังจะแกะผ้าขนหนูที่ห่อผมอยู่เพื่อซับให้หมาดแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองไม่ได้อยู่ในห้องเพียงคนเดียว ดวงตากลมโตกวาดมองไปโดยรอบอย่างหวั่นใจ กระทั่งเจอร่างสูงเพรียวใส่กางเกงยีนเรียบร้อยยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้ากำลังสวมเสื้อยืดแขนสั้นแล้วหันมาทางเธอ คงเพราะได้ยินเสียงประตูนั่นเองกัญญานันมองอีกฝ่ายด้วยสายตาสงสัยแต่ไม่รู้จะเอ่ยถามว่าอะไร ส่วนชายหนุ่มก็มองเธอแวบเดียวแล้วหันไ
เกือบสิบนาทีต่อมามนตรีก็พารถโฟร์วีลคันโตของเปรมินทร์มาจอดเทียบหน้าบ้านพักหลังใหญ่ของเจ้าปัทมาดารา ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านส่วนตัวของเปรมินทร์ประมาณห้าร้อยเมตร ร่างสูงเพรียวพุ่งพรวดขึ้นไปนั่งข้างคนขับอย่างร้อนใจ“ไปเลย”คำสั่งห้วนๆ ของเจ้านายทำให้มนตรีไม่กล้าทักท้วงขอให้เปรมินทร์ไปนั่งด้านหลัง เมื่อรถวกเลี้ยวโค้งกำลังจะออกไปจากลานกรวดด้านหน้าก็ต้องเบรกกะทันหันเพราะร่างหนึ่งโผล่ออกมาขวาง รถยังไม่ทันหยุดนิ่งด้วยซ้ำคนที่ขวางก็วิ่งมาด้านข้างแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งเบาะหลัง เนื่องจากไฟในรถทำให้เธอเห็นว่าที่นั่งด้านหน้าเต็มแล้ว“คุณมาได้ยังไง”เปรมินทร์ถามขึ้นขณะร่างบางเข้ามานั่งในรถ“ออกรถเลยค่ะ”หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถาม แต่บอกคนขับทั้งที่ตนเองยังไม่ทันจะปิดประตูด้วยซ้ำ เสียงของเธอดูหอบสะท้านทว่ายังไม่มีใครทันสังเกต“เร็วสิคะ”เมื่อเสียงใสเจือลมหายใจหอบน้อยๆ เร่งขึ้นมนตรีจึงเหลือบตามองหน้าเจ้านายซึ่งตอนนี้หน้าหล่อเหลาดูเคร่งเครียดและดุอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ในที่สุดเปรมินทร์ก็ยอมพยักหน้าให้ออกรถ มนตรีจึงทำตามคำสั่ง จากนั้นในรถก็เข้าสู่ความเงียบมีเพียงเสียงหายใจหนักๆ ของคนร่างบางซึ่งอยู่เบาะหลัง
สองอาทิตย์แห่งความโศกเศร้าผ่านไปอย่างเชื่องช้า หลังจากเกิดความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นภายในไร่ภูศรีจันทุกอย่างในไร่ก็ดูเหมือนจะเฉาลงไปถนัดตา มองไปทางไหนก็เจอแต่ความหมองหม่น แม้แต่ไร่กุหลาบที่แสนสวยงามหลากหลายสียังไม่รู้สึกสดชื่นเวลาที่มองเห็น ใบหน้าของคนงานแต่ละคนก็หมองเศร้าจนไม่อยากมองหน้ากันเองด้วยซ้ำ ทว่าที่ดูแย่ที่สุดและราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนก็คือนายคนใหม่ของไร่ภูศรีจันอย่างเปรมินทร์ แม้ชายหนุ่มไม่อยากขึ้นมายืนบนจุดนี้ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะไร่ขาดร่มโพธิ์ร่มไทรที่ยิ่งใหญ่ไปด้วยกันถึงสองคนชายหนุ่มเงียบขรึมไปมากจนหลายคนไม่กล้าสู้หน้าในระหว่างงานพิธี แม้กระทั่งผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาเองก็ตาม กัญญานันอยู่ในที่ของตนเอง ช่วยหยิบจับดูแลความเรียบร้อยเท่าที่พอจะทำได้อย่างเต็มที่ แต่ด้วยเพิ่งแต่งงานทำให้หญิงสาวไม่กล้าเข้าไปยุ่งวุ่นวายมากนัก ยิ่งเห็นเปรมินทร์เฉย หน้าเศร้า เงียบขรึม เธอยิ่งทำตัวไม่ถูก อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นพรากความสูญเสียไปจากชายหนุ่มเพียงฝ่ายเดียว ส่วนคุณชายพงศกรกับคุณรุจีรัตน์พ่อกับแม่ของเธอปลอดภัย มีอาการบาดเจ็บ ทว่าก็ไม่รุนแรงมากถึงขั้นวิกฤต แต่ไม่สามารถออกจา
กัญญานันมองอ่างแก้วกับผ้าที่วางบนถาดแล้วก็รู้ว่าเป็นหน้าที่ของตัวเอง หญิงสาวตัดสินใจดื่มนมจนหมดแก้ว จากนั้นร่างบางก็ค่อยๆ เดินไปใกล้คนที่เอาแต่นอนนิ่ง ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทว่าในที่สุดก็ตัดสินใจเอ่ยปากเรียกก่อน“คุณมินทร์ คุณมินทร์คะ”ชายหนุ่มยังนิ่งอยู่เธอจึงค่อยๆ ยื่นมือไปวางบนท่อนแขนกำยำเบาๆ พร้อมเอ่ยเรียกอีกครั้ง ได้ยินเขาครางรับเสียงแหบพร่าแผ่วเบา รู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อยจึงพูดต่อ“คุณมินทร์ขยับตัวหน่อยนะคะ จะได้นอนสบายขึ้น”เธอเห็นเขาเหมือนจะพยักหน้านิดๆ แต่กลับไม่ขยับ จนผ่านไปชั่วอึดใจร่างสูงก็พยายามยันกายขึ้นแต่กลับเอียงเกือบจะล้มลงไปกัญญานันจึงรีบถลาเข้าไปพยุงแม้จะช่วยไม่ได้มากนัก เพราะชายหนุ่มพาตัวเองมานอนกลางเตียงเองเสียมากกว่า เขาเอียงตัวคว้าหมอนข้างมากอดแล้วปิดตาที่ปรือของตนลงอีกครั้งทันที ปล่อยให้คนร่างบางได้แต่มองอย่างทำอะไรไม่ถูก เมื่อนึกได้ว่าต้องเช็ดตัวกัญญานันก็ผละออกมาเอาผ้าชุบน้ำกลับมานั่งบนเตียงข้างชายหนุ่มแล้วเรียกอีกครั้ง“คุณมินทร์คะ เช็ดตัวหน่อยนะคะ”“อืม ก็ทำไปสิ”เสียงแหบแห้งตอบเบาจนแทบไม่ได้ยิน ทว่ากลับไม่ขยับตัวนอนให้เธอเช็ดตัวได้อย่างสะดวก กัญญานันถอนหายใจ
โฮ่งๆกัญญานันชะงักเดินผ่านแปลงดอกไม้นานาชนิดท่ามกลางความหนาวของอากาศในตอนเช้าหันมองตามเสียงแล้วดวงตากลมโตก็เบิกโพลงเจ้าตัวที่ทำเสียงดังไม่ได้มีท่าทางเหมือนจะทำร้ายหญิงสาว มันวิ่งพรวดออกมาหากระดิกหางพร้อมกับเห่าไม่หยุด ตัวมันค่อนข้างเตี้ย กัญญานันยิ้มให้มันแล้วคุกเข่าลงกับพื้นหญ้า ยื่นมือไปหามันก็ถูไถหน้าย่นแหลมกับมือเธอ ทั้งยังเลียไม่หยุดจนหญิงสาวหัวเราะเบาๆ พร้อมกับพิจมองไปด้วยรู้สึกถึงความคุ้น“เฮ้ย แกจะทำอะไร”เสียงดังของใครคนหนึ่งตวาดขึ้น เจ้าสุนัขกระโจนเข้าหาอกหญิงสาวทันทีเธอจึงอุ้มมันเอาไว้พร้อมหันไปมองคนมาใหม่ เขาไม่ใช่คนบนภูหมอก“คุณเป็นใคร”ร่างบางลุกขึ้นก้าวถอยหลัง เพราะอีกฝ่ายยังไม่ตอบคำถาม เอาแต่มองหน้าเธอเหมือนไม่เคยเห็น แต่ก็ไม่เคยเห็นจริงๆ นั่นแหละ“คุณเป็นใครคะ มาที่นี่ได้ยังไง”“ผม...”“อ้ายหนุ่ม”สโนสาวน้อยที่เป็นลูกมือคนหนึ่งของเพ็ญเรียกพร้อมกับวิ่งมาด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ พอเห็นกัญญานันก็ยิ้มหวานให้แล้วหันไปพูดกับผู้ชายคนนั้น“พี่เพ็ญเปิ้นหื้อมาตามอ้าย เปิ้นบอกหื้ออ้ายอาบน้ำอาบท่า สักกำจะได้กินข้าว เตียมตั๋ว เผื่อนายมินทร์เฮียกใจ๊”“อืม”ผู้ชายที่สโนเรียกว่าหนุ่มพย
ร่างบางเดินออกจากห้องน้ำพร้อมของในมือก็เห็นเปรมินทร์ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ทว่าทีวีเปิดขึ้นมาแล้ว เมื่อสบตากันเธอก็มองเห็นเพียงแววนิ่งสุดจะหยั่งได้จากนัยน์ตาอีกฝ่าย หญิงสาวเสียบปลั๊กไดร์เป่าผม แล้วขยับมายืนใกล้ร่างสูง หยิบผ้าขนหนูขึ้นมาถือในมือแต่ยังไม่ทันทำอะไรก็ถูกชายหนุ่มตวัดเอวบางเข้าไปหาเขา“เอ่อ...”“ผมรู้สึกเหมือนเริ่มจะหนักหัวอีกแล้ว”เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ ราวกับอ้อนก่อนที่หญิงสาวจะพูดอะไร แถมยังดึงร่างเล็กให้เข้าไปยืนตรงกลางระหว่างขาของตัวเอง รั้งเอวบางขยับใกล้เขาอีกนิดเพื่อที่เธอจะได้เช็ดผมให้เขาสะดวกขึ้นกัญญานันไม่กล้าฝืนจึงจำยอมยืนนิ่งอยู่ในอกคนร่างใหญ่แล้วใช้ผ้าเช็ดผมสั้นของอีกฝ่ายอย่างเบามือ พยายามมองเพียงแค่สิ่งที่ตนเองทำ ไม่คิดว่าใกล้ชิดกันแค่ไหน แต่ดูเหมือนคนที่พยายามไม่คิดอะไรมีเพียงเธอ เพราะรู้สึกได้ว่ามือหนาของอีกฝ่ายลูบไล้ไปมาอยู่ที่ช่วงเอวด้านหลัง หญิงสาวจึงหาเรื่องมาพูดคุยเพื่อลดความอึดอัด“เมื่อกี้ฉันไปเจอหมาตัวหนึ่งค่ะ น่ารักดี เห็นสโนบอกว่าคุณเลี้ยงไว้ที่ออฟฟิศ เพิ่งพามันมาที่นี่แล้วฝากไว้กับหนุ่ม”“อืม...เมื่อวานยังไม่ทันได้บอกคุณ หนุ่มเป็นคนขับรถคนใหม่ ผมเพิ่ง
“แต่...แต่ว่า...นี่มันตอนเช้า เอ่อ...”คำท้วงหวานใสหยุดลงเพราะนิ้วเรียวยาวของชายหนุ่มวางลงบนปากอิ่ม“ปากของคุณทั้งสวยทั้งหวานจนผมอยากจูบแล้วจูบอีก แก้มคุณก็นิ่มจนผมอยากหอมไม่หยุด คอก็ขาวผ่อง แล้ว...”ขณะที่พูดปลายนิ้วเขาก็ลากไล้ไปตามจุดต่างๆ ที่เอ่ยถึงบนเรือนร่างสวยพร้อมไปด้วย ทำเอาร่างบางสะท้านตาม กระทั่งปลายนิ้วแข็งแรงไล้ไปบนเนินเนื้ออวบเขาก็ชะงักเพราะกัญญานันจับมือเอาไว้ ชายหนุ่มจึงยิ้มให้อย่างอ่อนโยนก่อนจับมือบางมาจุมพิตแผ่วเบาจนถ้วนทั่ว“ผิวคุณเนียนนุ่ม หอมทั้งเนื้อทั้งตัว คุณไม่รู้หรอกว่าผมอยากรักคุณทุกครั้งเวลาอยู่ใกล้ ไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย เย็น”กัญญานันฟังคนที่พึมพำบอกเสียงแผ่วนิ่งเขินจนทำตัวไม่ถูก ได้แต่มองการกระทำของอีกฝ่ายด้วยใจไหวระทึก แทบลืมไปแล้วว่าตัวเองมีปากที่จะห้าม ด้วยถูกเหนี่ยวสติสัมปชัญญะทั้งหมดไป ไม่ว่าชายหนุ่มจะจูบจะหอมเธอก็สะท้านไปทั้งร่าง ใบหน้าหล่อเหลาเลื่อนลงมาหาแก้มนวลใส สูดดมความหอมชื่นใจเต็มที่ก่อนจะจูบไซ้แผ่วผิวระเรื่อยไปหาใบหูอ่อนนุ่ม ทำเอากัญญานันหอบแรงขึ้นมาทันใด มือบางที่ถูกฝ่ามือหนาทาบทับให้แนบแก้มเขานั้นชื้นไปด้วยเหงื่อ แม้จะเกร็งและสมองเตือนใ
ก๊อกๆๆมือหนาของชายหนุ่มพร้อมร่างสูงทั้งร่างชะงักกึกราวโดนกระตุกออกจากภวังค์ล้ำลึก ตาคู่คมเต็มไปด้วยแววปรารถนาเหลือบขึ้นสบกับดวงตาคู่หวานที่ก้มมองเขาพอดี ร่างสวยลออไปทั้งเนื้อทั้งตัวอยู่ในสภาพเปลือยอย่างล่อตาล่อใจ ทรวงสล้างงามสะท้อนตามแรงหายใจราวเธอผ่านการออกกำลังกายมาอย่างหนักริมฝีปากอิ่มสวยเผยอค้างน้อยๆ อย่างน่าจูบ ตาปรือฉ่ำราวเชิญชวน เปรมินทร์แทบคลั่งกับความงดงามตรงหน้าเขา อยากกลับลงไปคลุกเคล้าเรือนร่างราวนางฟ้าไม่สนใจสิ่งอื่น แต่เพียงชั่วอึดใจเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทำเอาชายหนุ่มต้องถอนหายใจอย่างแรงด้วยความหงุดหงิด มือหนายอมละจากซับในตัวน้อยขณะขยับกายสูงขึ้นไปโอบกอดร่างเล็ก รับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังตกอยู่ในอาการที่เรียกว่าค้างคาเต็มพิกัดเพราะตนเองก็ไม่ต่างกัน“หายใจเข้าลึกๆ คนดี”ชายหนุ่มกระซิบบอกพร้อมกับจูบหนักๆ บนแก้มหอมเพื่อผ่อนคลายตนเองเช่นกัน เขาขบกรามแน่นระงับอารมณ์ แววตาของเธอที่เห็นในตอนนี้มันทำเอาเปรมินทร์แทบเข่าอ่อน แต่ก็จำต้องต้องห้ามใจไว้“มีอะไร”เปรมินทร์พูดเสียงดังกับคนข้างนอก ขณะรั้งหญิงสาวให้แนบหน้ากับซอกคอตนเองแล้วจูบผมหอมเบาๆ“ข้าเจ้าเอาอาหารเช้ามาให้นายมินท
จากที่คิดว่าจะกลับไปคิดบัญชีกับภรรยาสาวสวย เย็นวันนั้นเปรมินทร์กลับต้องบินลงไปกรุงเทพฯ พร้อมกับดิสกล เนื่องจากต้องไปพบคู่ค้ารายใหม่ ซึ่งไม่ใช่ใครอื่น เป็นบริษัท RAPP ของครอบครัวอรรถพันธ์พงศ์นั่งเอง ชายหนุ่มต้องเข้าตกลงเรื่องสัญญากับทางนี้ตั้งแต่เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกอย่างเสร็จในเวลาเลยเที่ยงไปเล็กน้อย ซึ่งเปรมินทร์ยอมเสียเปรียบกับข้อเสนอขอจ่ายในราคาที่ต่ำกว่าคู่ค้ารายอื่น แต่เพราะเกี่ยวดองกันชายหนุ่มจึงยอมปล่อยวางกับข้อตกลงข้อนี้ เนื่องจากคำนวณดูกำไรที่เขาจะได้รับก็ไม่ได้หดหายไปหรือลดลงเปรมินทร์ตั้งใจจะออกไปทานข้าวกับกิตติกร เพราะเพื่อนเขาบอกว่าอยากปรึกษาเกี่ยวกับการเพิ่มสาขาที่เชียงใหม่ แต่เมื่อรู้ว่าวันนี้คุณชายพงศกรกับคุณรุจีรัตน์อาการดีขึ้นแล้ว ทั้งยังมาที่บริษัทด้วย เพียงแต่ไม่ได้ร่วมประชุมเกี่ยวกับสัญญา ชายหนุ่มจึงคิดจะมาไหว้ทั้งคู่ ทว่าระหว่างทางเดินกิตติกรโดนเลขาเชิญไปเซ็นเอกสารบางอย่าง เปรมินทร์จึงให้เพื่อนแยกไปเพราะเห็นว่าเดินต่ออีกเล็กน้อยก็ถึงแล้วร่างสูงใหญ่ไปหยุดอยู่หน้าห้องที่เขียนป้ายด้านหน้าว่า ‘ที่ปรึกษาอาวุโส’ ตั้งใจจะเคาะแต่ประตูแง้มเอาไว้เล็กน้อย เสียงในนั้นลอดออกมา
ก๊อกๆๆมือหนาของชายหนุ่มพร้อมร่างสูงทั้งร่างชะงักกึกราวโดนกระตุกออกจากภวังค์ล้ำลึก ตาคู่คมเต็มไปด้วยแววปรารถนาเหลือบขึ้นสบกับดวงตาคู่หวานที่ก้มมองเขาพอดี ร่างสวยลออไปทั้งเนื้อทั้งตัวอยู่ในสภาพเปลือยอย่างล่อตาล่อใจ ทรวงสล้างงามสะท้อนตามแรงหายใจราวเธอผ่านการออกกำลังกายมาอย่างหนักริมฝีปากอิ่มสวยเผยอค้างน้อยๆ อย่างน่าจูบ ตาปรือฉ่ำราวเชิญชวน เปรมินทร์แทบคลั่งกับความงดงามตรงหน้าเขา อยากกลับลงไปคลุกเคล้าเรือนร่างราวนางฟ้าไม่สนใจสิ่งอื่น แต่เพียงชั่วอึดใจเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทำเอาชายหนุ่มต้องถอนหายใจอย่างแรงด้วยความหงุดหงิด มือหนายอมละจากซับในตัวน้อยขณะขยับกายสูงขึ้นไปโอบกอดร่างเล็ก รับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังตกอยู่ในอาการที่เรียกว่าค้างคาเต็มพิกัดเพราะตนเองก็ไม่ต่างกัน“หายใจเข้าลึกๆ คนดี”ชายหนุ่มกระซิบบอกพร้อมกับจูบหนักๆ บนแก้มหอมเพื่อผ่อนคลายตนเองเช่นกัน เขาขบกรามแน่นระงับอารมณ์ แววตาของเธอที่เห็นในตอนนี้มันทำเอาเปรมินทร์แทบเข่าอ่อน แต่ก็จำต้องต้องห้ามใจไว้“มีอะไร”เปรมินทร์พูดเสียงดังกับคนข้างนอก ขณะรั้งหญิงสาวให้แนบหน้ากับซอกคอตนเองแล้วจูบผมหอมเบาๆ“ข้าเจ้าเอาอาหารเช้ามาให้นายมินท
“แต่...แต่ว่า...นี่มันตอนเช้า เอ่อ...”คำท้วงหวานใสหยุดลงเพราะนิ้วเรียวยาวของชายหนุ่มวางลงบนปากอิ่ม“ปากของคุณทั้งสวยทั้งหวานจนผมอยากจูบแล้วจูบอีก แก้มคุณก็นิ่มจนผมอยากหอมไม่หยุด คอก็ขาวผ่อง แล้ว...”ขณะที่พูดปลายนิ้วเขาก็ลากไล้ไปตามจุดต่างๆ ที่เอ่ยถึงบนเรือนร่างสวยพร้อมไปด้วย ทำเอาร่างบางสะท้านตาม กระทั่งปลายนิ้วแข็งแรงไล้ไปบนเนินเนื้ออวบเขาก็ชะงักเพราะกัญญานันจับมือเอาไว้ ชายหนุ่มจึงยิ้มให้อย่างอ่อนโยนก่อนจับมือบางมาจุมพิตแผ่วเบาจนถ้วนทั่ว“ผิวคุณเนียนนุ่ม หอมทั้งเนื้อทั้งตัว คุณไม่รู้หรอกว่าผมอยากรักคุณทุกครั้งเวลาอยู่ใกล้ ไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย เย็น”กัญญานันฟังคนที่พึมพำบอกเสียงแผ่วนิ่งเขินจนทำตัวไม่ถูก ได้แต่มองการกระทำของอีกฝ่ายด้วยใจไหวระทึก แทบลืมไปแล้วว่าตัวเองมีปากที่จะห้าม ด้วยถูกเหนี่ยวสติสัมปชัญญะทั้งหมดไป ไม่ว่าชายหนุ่มจะจูบจะหอมเธอก็สะท้านไปทั้งร่าง ใบหน้าหล่อเหลาเลื่อนลงมาหาแก้มนวลใส สูดดมความหอมชื่นใจเต็มที่ก่อนจะจูบไซ้แผ่วผิวระเรื่อยไปหาใบหูอ่อนนุ่ม ทำเอากัญญานันหอบแรงขึ้นมาทันใด มือบางที่ถูกฝ่ามือหนาทาบทับให้แนบแก้มเขานั้นชื้นไปด้วยเหงื่อ แม้จะเกร็งและสมองเตือนใ
ร่างบางเดินออกจากห้องน้ำพร้อมของในมือก็เห็นเปรมินทร์ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ทว่าทีวีเปิดขึ้นมาแล้ว เมื่อสบตากันเธอก็มองเห็นเพียงแววนิ่งสุดจะหยั่งได้จากนัยน์ตาอีกฝ่าย หญิงสาวเสียบปลั๊กไดร์เป่าผม แล้วขยับมายืนใกล้ร่างสูง หยิบผ้าขนหนูขึ้นมาถือในมือแต่ยังไม่ทันทำอะไรก็ถูกชายหนุ่มตวัดเอวบางเข้าไปหาเขา“เอ่อ...”“ผมรู้สึกเหมือนเริ่มจะหนักหัวอีกแล้ว”เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ ราวกับอ้อนก่อนที่หญิงสาวจะพูดอะไร แถมยังดึงร่างเล็กให้เข้าไปยืนตรงกลางระหว่างขาของตัวเอง รั้งเอวบางขยับใกล้เขาอีกนิดเพื่อที่เธอจะได้เช็ดผมให้เขาสะดวกขึ้นกัญญานันไม่กล้าฝืนจึงจำยอมยืนนิ่งอยู่ในอกคนร่างใหญ่แล้วใช้ผ้าเช็ดผมสั้นของอีกฝ่ายอย่างเบามือ พยายามมองเพียงแค่สิ่งที่ตนเองทำ ไม่คิดว่าใกล้ชิดกันแค่ไหน แต่ดูเหมือนคนที่พยายามไม่คิดอะไรมีเพียงเธอ เพราะรู้สึกได้ว่ามือหนาของอีกฝ่ายลูบไล้ไปมาอยู่ที่ช่วงเอวด้านหลัง หญิงสาวจึงหาเรื่องมาพูดคุยเพื่อลดความอึดอัด“เมื่อกี้ฉันไปเจอหมาตัวหนึ่งค่ะ น่ารักดี เห็นสโนบอกว่าคุณเลี้ยงไว้ที่ออฟฟิศ เพิ่งพามันมาที่นี่แล้วฝากไว้กับหนุ่ม”“อืม...เมื่อวานยังไม่ทันได้บอกคุณ หนุ่มเป็นคนขับรถคนใหม่ ผมเพิ่ง
โฮ่งๆกัญญานันชะงักเดินผ่านแปลงดอกไม้นานาชนิดท่ามกลางความหนาวของอากาศในตอนเช้าหันมองตามเสียงแล้วดวงตากลมโตก็เบิกโพลงเจ้าตัวที่ทำเสียงดังไม่ได้มีท่าทางเหมือนจะทำร้ายหญิงสาว มันวิ่งพรวดออกมาหากระดิกหางพร้อมกับเห่าไม่หยุด ตัวมันค่อนข้างเตี้ย กัญญานันยิ้มให้มันแล้วคุกเข่าลงกับพื้นหญ้า ยื่นมือไปหามันก็ถูไถหน้าย่นแหลมกับมือเธอ ทั้งยังเลียไม่หยุดจนหญิงสาวหัวเราะเบาๆ พร้อมกับพิจมองไปด้วยรู้สึกถึงความคุ้น“เฮ้ย แกจะทำอะไร”เสียงดังของใครคนหนึ่งตวาดขึ้น เจ้าสุนัขกระโจนเข้าหาอกหญิงสาวทันทีเธอจึงอุ้มมันเอาไว้พร้อมหันไปมองคนมาใหม่ เขาไม่ใช่คนบนภูหมอก“คุณเป็นใคร”ร่างบางลุกขึ้นก้าวถอยหลัง เพราะอีกฝ่ายยังไม่ตอบคำถาม เอาแต่มองหน้าเธอเหมือนไม่เคยเห็น แต่ก็ไม่เคยเห็นจริงๆ นั่นแหละ“คุณเป็นใครคะ มาที่นี่ได้ยังไง”“ผม...”“อ้ายหนุ่ม”สโนสาวน้อยที่เป็นลูกมือคนหนึ่งของเพ็ญเรียกพร้อมกับวิ่งมาด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ พอเห็นกัญญานันก็ยิ้มหวานให้แล้วหันไปพูดกับผู้ชายคนนั้น“พี่เพ็ญเปิ้นหื้อมาตามอ้าย เปิ้นบอกหื้ออ้ายอาบน้ำอาบท่า สักกำจะได้กินข้าว เตียมตั๋ว เผื่อนายมินทร์เฮียกใจ๊”“อืม”ผู้ชายที่สโนเรียกว่าหนุ่มพย
กัญญานันมองอ่างแก้วกับผ้าที่วางบนถาดแล้วก็รู้ว่าเป็นหน้าที่ของตัวเอง หญิงสาวตัดสินใจดื่มนมจนหมดแก้ว จากนั้นร่างบางก็ค่อยๆ เดินไปใกล้คนที่เอาแต่นอนนิ่ง ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทว่าในที่สุดก็ตัดสินใจเอ่ยปากเรียกก่อน“คุณมินทร์ คุณมินทร์คะ”ชายหนุ่มยังนิ่งอยู่เธอจึงค่อยๆ ยื่นมือไปวางบนท่อนแขนกำยำเบาๆ พร้อมเอ่ยเรียกอีกครั้ง ได้ยินเขาครางรับเสียงแหบพร่าแผ่วเบา รู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อยจึงพูดต่อ“คุณมินทร์ขยับตัวหน่อยนะคะ จะได้นอนสบายขึ้น”เธอเห็นเขาเหมือนจะพยักหน้านิดๆ แต่กลับไม่ขยับ จนผ่านไปชั่วอึดใจร่างสูงก็พยายามยันกายขึ้นแต่กลับเอียงเกือบจะล้มลงไปกัญญานันจึงรีบถลาเข้าไปพยุงแม้จะช่วยไม่ได้มากนัก เพราะชายหนุ่มพาตัวเองมานอนกลางเตียงเองเสียมากกว่า เขาเอียงตัวคว้าหมอนข้างมากอดแล้วปิดตาที่ปรือของตนลงอีกครั้งทันที ปล่อยให้คนร่างบางได้แต่มองอย่างทำอะไรไม่ถูก เมื่อนึกได้ว่าต้องเช็ดตัวกัญญานันก็ผละออกมาเอาผ้าชุบน้ำกลับมานั่งบนเตียงข้างชายหนุ่มแล้วเรียกอีกครั้ง“คุณมินทร์คะ เช็ดตัวหน่อยนะคะ”“อืม ก็ทำไปสิ”เสียงแหบแห้งตอบเบาจนแทบไม่ได้ยิน ทว่ากลับไม่ขยับตัวนอนให้เธอเช็ดตัวได้อย่างสะดวก กัญญานันถอนหายใจ
สองอาทิตย์แห่งความโศกเศร้าผ่านไปอย่างเชื่องช้า หลังจากเกิดความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นภายในไร่ภูศรีจันทุกอย่างในไร่ก็ดูเหมือนจะเฉาลงไปถนัดตา มองไปทางไหนก็เจอแต่ความหมองหม่น แม้แต่ไร่กุหลาบที่แสนสวยงามหลากหลายสียังไม่รู้สึกสดชื่นเวลาที่มองเห็น ใบหน้าของคนงานแต่ละคนก็หมองเศร้าจนไม่อยากมองหน้ากันเองด้วยซ้ำ ทว่าที่ดูแย่ที่สุดและราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนก็คือนายคนใหม่ของไร่ภูศรีจันอย่างเปรมินทร์ แม้ชายหนุ่มไม่อยากขึ้นมายืนบนจุดนี้ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะไร่ขาดร่มโพธิ์ร่มไทรที่ยิ่งใหญ่ไปด้วยกันถึงสองคนชายหนุ่มเงียบขรึมไปมากจนหลายคนไม่กล้าสู้หน้าในระหว่างงานพิธี แม้กระทั่งผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาเองก็ตาม กัญญานันอยู่ในที่ของตนเอง ช่วยหยิบจับดูแลความเรียบร้อยเท่าที่พอจะทำได้อย่างเต็มที่ แต่ด้วยเพิ่งแต่งงานทำให้หญิงสาวไม่กล้าเข้าไปยุ่งวุ่นวายมากนัก ยิ่งเห็นเปรมินทร์เฉย หน้าเศร้า เงียบขรึม เธอยิ่งทำตัวไม่ถูก อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นพรากความสูญเสียไปจากชายหนุ่มเพียงฝ่ายเดียว ส่วนคุณชายพงศกรกับคุณรุจีรัตน์พ่อกับแม่ของเธอปลอดภัย มีอาการบาดเจ็บ ทว่าก็ไม่รุนแรงมากถึงขั้นวิกฤต แต่ไม่สามารถออกจา
เกือบสิบนาทีต่อมามนตรีก็พารถโฟร์วีลคันโตของเปรมินทร์มาจอดเทียบหน้าบ้านพักหลังใหญ่ของเจ้าปัทมาดารา ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านส่วนตัวของเปรมินทร์ประมาณห้าร้อยเมตร ร่างสูงเพรียวพุ่งพรวดขึ้นไปนั่งข้างคนขับอย่างร้อนใจ“ไปเลย”คำสั่งห้วนๆ ของเจ้านายทำให้มนตรีไม่กล้าทักท้วงขอให้เปรมินทร์ไปนั่งด้านหลัง เมื่อรถวกเลี้ยวโค้งกำลังจะออกไปจากลานกรวดด้านหน้าก็ต้องเบรกกะทันหันเพราะร่างหนึ่งโผล่ออกมาขวาง รถยังไม่ทันหยุดนิ่งด้วยซ้ำคนที่ขวางก็วิ่งมาด้านข้างแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งเบาะหลัง เนื่องจากไฟในรถทำให้เธอเห็นว่าที่นั่งด้านหน้าเต็มแล้ว“คุณมาได้ยังไง”เปรมินทร์ถามขึ้นขณะร่างบางเข้ามานั่งในรถ“ออกรถเลยค่ะ”หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถาม แต่บอกคนขับทั้งที่ตนเองยังไม่ทันจะปิดประตูด้วยซ้ำ เสียงของเธอดูหอบสะท้านทว่ายังไม่มีใครทันสังเกต“เร็วสิคะ”เมื่อเสียงใสเจือลมหายใจหอบน้อยๆ เร่งขึ้นมนตรีจึงเหลือบตามองหน้าเจ้านายซึ่งตอนนี้หน้าหล่อเหลาดูเคร่งเครียดและดุอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ในที่สุดเปรมินทร์ก็ยอมพยักหน้าให้ออกรถ มนตรีจึงทำตามคำสั่ง จากนั้นในรถก็เข้าสู่ความเงียบมีเพียงเสียงหายใจหนักๆ ของคนร่างบางซึ่งอยู่เบาะหลัง
ความเย็นเยียบกระทบผิวกายนวลลออทันทีที่ร่างบางอรชรโผล่พ้นจากน้ำ กัญญานันล้างเนื้อล้างตัวด้วยน้ำอุ่นจากฝักบัวแล้วจึงรีบเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่มาคลุมร่าง ปากอิ่มสั่นจนฟันกระทบเข้าหากัน เมื่อซับน้ำจากร่างจนหมดแล้วก็แข็งใจดึงผ้าออกสวมชุดนอนแขนยาวขายาวตามด้วยเสื้อคลุมทับไปอีกชั้น หากก็ยังไม่ช่วยให้อบอุ่นเพียงพอหญิงสาวจึงรีบเอาผ้าขนหนูไปตาก เมื่อเห็นผ้าผืนใหญ่ตากอยู่ส่วนบนแล้วเหลือส่วนล่างที่เป็นของเธอก็รู้สึกแปลกๆ จะขัดเขินก็ไม่ใช่ อุ่นใจก็ไม่เชิง แต่ด้วยความหนาวกัญญานันจึงรีบทำทุกอย่างให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้ออกไปจากห้องน้ำที่เย็นฉ่ำนี้เสีย โดยลืมไปสนิทว่าเมื่อออกไปแล้วอะไรกำลังรอตนเองอยู่เท้าเล็กก้าวออกมาจากห้องน้ำแล้วปิดประตูลง มือกำลังจะแกะผ้าขนหนูที่ห่อผมอยู่เพื่อซับให้หมาดแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองไม่ได้อยู่ในห้องเพียงคนเดียว ดวงตากลมโตกวาดมองไปโดยรอบอย่างหวั่นใจ กระทั่งเจอร่างสูงเพรียวใส่กางเกงยีนเรียบร้อยยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้ากำลังสวมเสื้อยืดแขนสั้นแล้วหันมาทางเธอ คงเพราะได้ยินเสียงประตูนั่นเองกัญญานันมองอีกฝ่ายด้วยสายตาสงสัยแต่ไม่รู้จะเอ่ยถามว่าอะไร ส่วนชายหนุ่มก็มองเธอแวบเดียวแล้วหันไ