พอคล้อยหลังคนทั้งสอง เจ้าสิ่งที่เธอสะกดกลั้นไว้ก็ล้นออกมาจากดวงตาทั้งสองก่อนที่จะถูกเจ้าตัวรีบปาดออกคนใจร้าย! ทั้งที่เขามีคนรักอยู่แล้ว ทั้งที่เขาไม่ได้รักเธอเลยซักนิด แต่ก็ยังมาล้อเล่นกับความรู้สึกกันแบบนี้อีก แต่ที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือเจ้าหัวใจไม่รักดีของเธอนี่ล่ะที่โง่งมหลงเคลิ้มไปตามเกมส์ของเขาอีกจนได้เมื่อไหร่จะรู้จักเข็ดหลาบกับเขาเสียทีนะ...หลังจากประชุมเช้ากับผู้บริหารเสร็จ รุ้งลาวัณย์ก็เดินกลับมาที่ออฟฟิศเพียงคนเดียว ส่วนเจ้านายตัวร้ายของเธอกลับไม่ได้เข้ามาในออฟฟิศตลอดทั้งวัน ดูเหมือนเขาจะมีนัดต้องออกไปพบลูกค้าข้างนอก ทำให้เตชิตาหายใจคล่องขึ้น โดยหารู้ไม่ว่าตนถูกคนในออฟฟิศพากันมองมาอย่างไรหลังจากที่เธอเดินออกมาจากห้องเจ้านายในสภาพหน้าซีด และดวงตาแดงๆ แต่ก็ไม่มีใครกล้าถาม ได้แต่สงสัยและคาดเดากันไปเอง‘สงสัยโดนนายดุมาแหงๆ’‘ดอสเขาก็ดูไม่น่าโหดนะ ตั้งแต่มาฉันยังไม่เห็นเขาเสียงดังหรือดุใครเลย’‘คราวซวยน่ะสิ แต่ดูไปก็น่าสงสารนะ น้องก็ดูเรียบร้อยออก โดนนายดุหน้าจ๋อยไปเลย’คนหน้าจ๋อยนั่งทำงานของตัวเองไปเรื่อยๆ สมองยังคงวนเวียนคิดถึงเรื่องลับๆ ในห้องทำงานเมื่อเช้า จึงไม่ได้สนใจใคร จ
“ถ้าคุณไม่มีอะไรจะคุยแล้ว งั้นดิฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ พอดีมีคนรออยู่”เตชิตายิ้มเย็นชา หันไปคว้ากระเป๋าสะพาย ทำท่าจะผละไป ก่อนที่เธอจะหน้ามืดทนไม่ไหวแล้วหาอะไรเขวี้ยงใส่คนร้ายกาจตรงหน้าให้สาใจ“เดี๋ยว!”หญิงสาวชะงัก ก่อนปรายตามองมืออีกฝ่ายที่คว้าข้อมือเธอไว้อย่างเย็นชา“คุณมีอะไรจะแนะนำอีกเหรอคะ หรือว่ามีผู้ชายดีๆ คนไหนจะแนะนำให้รู้จัก อุ๊ย!” หญิงสาวอุทานอย่างตกใจ เมื่อถูกกระชากเข้าหาอ้อมอกแกร่งที่ตวัดขังเธอไว้อย่างถือสิทธิ์“ทำไมต้องแนะนำคนอื่น ก็ผมนี่ไง ไหนๆ เราก็เคยพลาด...ด้วยกันมาแล้วไม่ใช่หรือ”“ก็บอกแล้วไงคะว่า ฉันจะไม่ยอมพลาดซ้ำ...อุ๊บ!” ยังไม่ทันพูดจบ หญิงสาวก็ต้องผงะเมื่อใบหน้าหล่อเหลาฉกลงมามัดปากเธอไว้ด้วยริมฝีปากของเขาอย่างเผ็ดร้อนปนดุดันริมฝีปากอุ่นร้อนของเขาบดขยี้ลงบนกลีบปากอิ่มสวยราวกับทำโทษที่เธอยั่วโมโหเขา ก่อนที่จะส่งปลายชิวหาเข้าไปกวาดต้อนชิมความหวานของเธอทุกซอกทุกมุม โดยไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ขัดขืนหรือต่อต้านได้เลยจูบของเขาแสนเอาแต่ใจและเรียกร้อง แต่มันกลับทำให้ไฟในกายเธอลุกโชน ราวกับอีกฝ่ายเป็นไฟ และเธอเป็นน้ำมัน เพียงแค่อยู่ใกล้กันมันก็พร้อมจะลุกไหม้ได้ง่ายๆถ้าปล
“วินนี่ ฟังพี่อธิบายก่อน”“ไม่ฟัง พี่เจปล่อย...”เตชิตาอยากจะหันหลังแล้ววิ่งหนีไปจากฉากตรงหน้า แต่มันก็ทำไม่ได้ สุดท้ายสมองก็สั่งให้ร่างกายทำในสิ่งที่หัวใจไม่อยากทำจนได้“พี่วินนี่คะ”เสียงเรียกนั้นทำให้คนทั้งสองหยุดนิ่ง วินรดาหันไปมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาใกล้อย่างระแวง ริมฝีปากอิ่มสวยเม้มแน่น“เธอ...รู้จักฉันด้วยหรือ”“พี่วินนี่จำแตมไม่ได้แล้วเหรอคะ”“แตม...” วินรดาทวนคำ สีหน้างุนงง“ใช่ค่ะ แตมเอง น้องรหัสของพี่ที่มหาวิทยาลัยไงคะ”วินรดานิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนคลี่ยิ้มออกมาในที่สุด“อ๋อ...พี่จำได้แล้ว”เตชิตาลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนสถานการณ์ตึงเครียดจะคลี่คลาย เมื่ออีกฝ่ายมีสีหน้าดีขึ้น ผิดกับตอนพบกันเมื่อครู่“โธ่เอ๊ย! ที่แท้ก็คนกันเองทั้งนั้น พี่ก็หลงนึกว่าถูกแฟนตัวเองนอกใจแล้วสิ นี่ถ้าน้องแตมบอกพี่ช้าไปอีกนิดล่ะก็ มีหวังพี่เจเละแน่ๆ”เตชิตามองมือของรุ่นพี่สาวสวยที่กอดแขนเจษภัทรอย่างสนิทสนม ก่อนบังคับให้ตัวเองฝืนยิ้มออกมาราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทั้งที่ในอกกำลังทุรนทุราย“แล้วเมื่อกี้ที่พี่เห็นตอนแรก พี่เจกำลังรังแกน้องหรือเปล่า บอกพี่ได้นะ เดี๋ยวพี่จัดการให้ กล้ารังแกน้องรหัสพ
จึงได้แต่สงบปากเสีย พร้อมกับนึกถึงใครบางคนที่ป่านนี้คงกำลังชะเง้อรอเธอกลับบ้าน หญิงสาวแอบก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือตัวเองนึกอยากให้เวลาผ่านไปไวๆ จะได้รีบกลับไปหาเจ้าลูกชิ้นน้อยๆ ของแม่เสียทีคิดเพลินๆ จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของเตชิตาก็ดังขึ้น จังหวะนั้นสองหนุ่มสาวตรงหน้ากำลังคุยรำลึกความทรงจำตอนไปเรียนต่อด้วยกันจึงหันมาทางเธอเป็นตาเดียว“ฮั่นแน่ ตายยากจริงแฟนเธอ สงสัยจะโทรมาบอกเปลี่ยนใจมาทานข้าวด้วยกันหรือเปล่า รีบรับสิจ๊ะ”“งั้นแตมขอตัวไปคุยโทรศัพท์สักครู่นะคะ” เตชิตาบอกโดยทำเป็นมองไม่เห็นดวงตาเขียวปั๊ดของใครบางคนที่แฉลบผ่านมา ก่อนเสคว้าแก้วไวน์แดงขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว“แม่แตมครับ เมื่อไหร่จะกลับบ้าน ลูกชิ้นคิดถึง”เพียงได้ยินเสียงจากปลายสาย ความอึดอัดใจตลอดทั้งวันก็จางหาย หญิงสาวเพิ่งรู้สึกว่ายิ้มออกเป็นครั้งแรกของวันโดยไม่ต้องฝืนยิ้มจนหน้าเกร็งเหมือนตอนอยู่ต่อหน้าทุกคน“แม่ก็คิดถึงลูกชิ้นครับ อีกเดี๋ยวแม่ก็กลับแล้วลูก”“งั้นลูกชิ้นจะรอแม่แตมกลับบ้าน มาเล่านิทานให้ฟัง”“ได้เลย เดี๋ยวแม่รีบกลับไปเล่าให้ฟังนะครับคนดี งั้นแค่นี้ก่อนนะลูก” เตชิตายิ้มเมื่อคิดถึงใบหน้าของลูกชาย โดยหารู้
รถแท็กซี่ที่มารับส่งแขกที่โรงแรมผ่านเข้าออกคันแล้วคันเล่า แต่หญิงสาวยังคงยืนนิ่งที่เดิมก็ไม่ได้โบกเรียกสักคัน รอจนกระทั่งน้ำตาเหือดแห้งไปพร้อมกับความรู้สึกที่อัดแน่นในหัวใจคลายลงบ้างหลังจากได้ระบายออก หญิงสาวจึงขยับเท้าไปทางด้านหน้าของโรงแรม เพื่อเดินไปเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่งที่เปิดไฟว่างผ่านมาพอดีหากทว่าตอนที่กำลังเอื้อมมือจะไปเปิดประตูนั้นเอง จู่ๆ ก็มีมือใครคนหนึ่งคว้ามือเธอไว้เสียก่อนเตชิตาใจหายวาบ หันขวับ พอเห็นว่าคนที่คว้าข้อมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อยเป็นใคร หญิงสาวก็รีบสะบัดมือออกทันที แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ“ปล่อย!”“กลับด้วยกัน พี่จะไปส่ง”“ฉันกลับเองได้ค่ะ ไม่อยากติดหนี้บุญคุณใคร” หญิงสาวสะบัดเสียงแข็งใส่ ตอนนี้เธอไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองเพื่อใคร“อย่าดื้อ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”หญิงสาวพยายามขืนตัวไว้ แต่ก็ไม่อาจสู้แรงเขาได้ สุดท้ายก็ถูกฉุดดึงให้ขึ้นรถของเขาจนได้ พอเธอจะเปิดประตูลง ก็ถูกสายตาดุเข้มคู่นั้นกดตรึงไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้“คุณต้องการอะไรอีก”“เวลา...ไม่นานหรอก พี่อยากคุยกับเธอ” ริมฝีปากสวยเม้มแน่น ก่อนเบือนหน้าหนีเจษภัทรถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ ก็แค่ลืมในสิ่งที่ไม่ควรจำเท่านั้น...”เจษภัทรนิ่งงันไปชั่วขณะ ราวกับมีกำแพงบางๆ มากั้นระหว่างเขากับเธอไว้ แม้อยู่ใกล้เพียงเอื้อม แต่กลับรู้สึกเหมือนไกล ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะปล่อยต้นแขนของเธอ แล้วกลับไปจับพวงมาลัยเพื่อออกรถฝ่าไปบนทางที่มืดสลัวอีกครั้งบรรยากาศในรถกลับมาเงียบงันเช่นเดิม เตชิตามองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งรถของเขาเลี้ยวเข้ามาในซอยและจอดลงที่หน้าบ้านของเธอ“เดี๋ยว!” มือที่กำลังจะเปิดประตูชะงักไปนิดๆ“เรื่องที่เธอจะลาออกนั่น พี่ยังไม่อนุมัติ” ชายหนุ่มทำลายความเงียบ “อีกไม่ถึงเดือนเธอก็จะผ่านโปรแล้ว พี่อยากให้เธอทำงานที่นี่ต่อไป”“ทำไมคะ...”“ถ้ามีใครสักคนต้องไป พี่ขอไปเองดีกว่า...”“...”ประโยคนั้นทำให้คนฟังถึงกับอึ้ง หันขวับไปมองคนพูดทันที ใบหน้าหล่อเหลาดูอ่อนล้า แต่กลับส่งยิ้มละมุนเฉกเช่นพี่ชายใจดีที่เธอแอบตกหลุมรักในวันวานมาให้“ดึกมากแล้ว รีบเข้าบ้านเถอะ เดี๋ยวลูกจะรอ”หญิงสาวรีบเบือนหลบสายตาที่มองมา กลัวใจตัวเองจะหวั่นไหว แต่ตอนที่เอื้อมมือไปเปิดประตูลงจากรถ จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้จึงหันกลับมา“ฉันยินดีกับคุณด้วยนะคะเรื่องหมั้น ขอให
“งั้นเดี๋ยวแตมไปดูให้เองค่ะพ่อ”เตชิตารีบอาสา หากทว่าพอเปิดประตูและได้เห็นคนที่ยืนรออยู่ หญิงสาวก็ตกตะลึงไปชั่วขณะเมื่อได้พบแขกที่ไม่ได้รับเชิญ“ยัยแตม ใครมาน่ะลูก” นายวีระร้องถาม แต่ไม่ทันใจเขาจึงเดินตามออกมาดูเสียเอง“อ้าว! เจ้านุไปไงมาไง ตาเจก็มาด้วย มีอะไรหรือเปล่า เข้ามาก่อนๆ”เตชิตาเหลือบมองคนที่เดินตามนายชิษณุเข้ามาในบ้านในมือทั้งสองมีถุงข้าวของหลายใบ เป็นจังหวะที่เขามองมาพอดี จึงสบตากันโดยไม่ตั้งใจ“อ้าว! แล้วนั่นหอบอะไรกันมาเยอะแยะล่ะ”“ก็พอได้ยินว่าวันนี้วันเกิดหลานนายน่ะสิ เจ้าเจมันก็เลยไปหาซื้อของขวัญซื้อขนมนมเนยมาให้หลาน แล้วจู่ๆ ก็โทรไปบอกให้ฉันเตรียมตัว แล้วก็ไปรับมาบ้านนายนี่แหละ” นายชิษณุแกล้งตัดพ้อเพื่อนสนิท“วันเกิดเด็กๆ น่ะ ก็เลยไม่ได้ชวนใคร ปกติก็จัดกันเล็กๆ ในบ้านเท่านั้นเอง ว่าแต่แกรู้ได้ยังไงล่ะ”“เห็นว่ารู้จากเพื่อนที่ทำงานหนูแตมน่ะสิ” นายวีระหันไปมองลูกชายเพื่อนอย่างสงสัย“หืม...”“อ้าว หนูแตมไม่ได้บอกแกเหรอว่าเขาทำงานที่เดียวกับตาเจ”“เปล่า...ไม่ได้บอก” นายวีระปรายตามองลูกสาวอย่างสงสัย“แล้วนี่ตาลูกชิ้นอยู่ไหนล่ะ” ถามไม่ทันขาดคำก็มีเสียงใสๆ ดังแทรกขึ้นเสียก่
เตชิตาเม้มริมฝีปากแน่น เธอเป็นคนเดียวที่รู้เจตนาที่แท้จริงของเขา แต่กลับทำอะไรไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน ได้แต่ภาวนาว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นว่าลูกชายเธอและชายหนุ่มตรงหน้านั้นละม้ายคล้ายคลึงกันมากเพียงใด“ดูเจ้าตัวแสบของแม่สิคะ ดีใจจนลืมกินเค้กของโปรดตัวเองไปแล้ว” ตารกาหันไปเอ่ยกับมารดาที่ยืนมองสองหนุ่มสองวัยตรงหน้าอย่างนึกแปลกใจ“นั่นสิ นี่ถ้าไม่รู้จักมาก่อน แล้วมาบอกว่าเป็นพ่อลูกกันล่ะก็ แม่เชื่อสนิทเลยนะนี่ จริงไหมพ่อ”“เหลวไหลน่ะแม่ เจ้านุมันก็เคยบอกว่าตาเจกำลังจะแต่งงาน คราวก่อนยังพาแฟนมากินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านเราอยู่เลยแม่จำไม่ได้เหรอ”“จริงสิ” นางตวงพรพยักหน้าอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนหันไปถามเพื่อนของสามีที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่“แล้วนี่ตาเจเขาจะแต่งงานเมื่อไหร่ล่ะคะพี่นุ”“อืม เห็นว่าจะหมั้นกันไว้ก่อน งานหมั้นก็ได้ยินว่าคุยๆ กันแล้วกำหนดจัดต้นเดือนหน้านี่แหละ แต่งกันเร็วๆ ก็ดี ฉันจะได้มีหลานน่ารักๆ อย่างตาลูกชิ้นให้อุ้มบ้าง ไงครับลูกชิ้น อยากมีน้องมาเล่นด้วยไหมลูก”คำถามนั้นทำให้เตชิตาหน้าถอดสี ขณะที่คนกำลังช่วยเด็กน้อยแกะกล่องของขวัญแอบชะงักไปนิดๆ“อยากครับ ลูกชิ้นอยากมีน้องผู้ชาย จะได้
ภาพนั้นทำให้เตชิตารู้สึกลำคอตีบตันจนพูดไม่ออก หรือนี่จะเป็นสายสัมพันธ์ที่สื่อถึงกันระหว่างสายเลือด แม้ไม่รู้ว่าเป็นพ่อลูกกันก็ตาม แต่คนที่รู้เต็มอกอย่างเธอควรจะทำอย่างไรดี หากปล่อยให้ลูกรักเขาจนหมดใจ แล้วในวันหนึ่งข้างหน้าได้รู้ความจริงที่น่าเจ็บปวด เจ้าลูกชิ้นของแม่จะเสียใจมากเพียงใด“ส่งลูกมาให้ฉันดีกว่านะคะ”“ให้พี่อุ้มเขาไปส่งที่ห้องเถอะนะ” สายตาเว้าวอนคู่นั้นทำให้หญิงสาวปฏิเสธไม่ออก พอหันไปสบตากับพ่อและแม่ของเธอ ทั้งสองก็นิ่งไปก่อนพยักหน้าไม่ได้ขัด“งั้นก็ได้ค่ะ” หญิงสาวถอนหายใจก่อนเดินนำทางไปที่ห้องนอนของตน ทิ้งให้ผู้ใหญ่อีกสี่คนมองตาม“ดูเถอะ ไม่รู้ว่าลูกชายฉัน หรือหลานชายนาย ใครติดใครกันแน่” นายชิษณุส่ายหน้าเบาๆ มองตามเจ้าลูกชายที่โอบอุ้มหลานชายเพื่อนอย่างอ่อนโยนราวกับเป็นลูกของตัวเอง“นั่นสิคะ แต่ก็แปลกนะคะ ปกตินอกจากพวกเรา ตาลูกชิ้นก็ไม่ได้ติดใครง่ายๆ แบบนี้” ตารกาเสริม เธอเองก็อดแปลกใจไม่ได้“จริงสิ ฉันก็ว่าจะถามตั้งแต่คราวก่อนที่เจอกัน ว่าพ่อของตาลูกชิ้นเขาเป็นใครกัน แล้วนี่วันเกิดลูกทั้งที ทำไมเอาแต่ทำงานจนไม่ยอมกลับมาหาลูกเต้าล่ะ” นายชิษณุหันไปถามเพื่อนอย่างสงสัย“ไม่รู้
เตชิตาเม้มริมฝีปากแน่น เธอเป็นคนเดียวที่รู้เจตนาที่แท้จริงของเขา แต่กลับทำอะไรไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน ได้แต่ภาวนาว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นว่าลูกชายเธอและชายหนุ่มตรงหน้านั้นละม้ายคล้ายคลึงกันมากเพียงใด“ดูเจ้าตัวแสบของแม่สิคะ ดีใจจนลืมกินเค้กของโปรดตัวเองไปแล้ว” ตารกาหันไปเอ่ยกับมารดาที่ยืนมองสองหนุ่มสองวัยตรงหน้าอย่างนึกแปลกใจ“นั่นสิ นี่ถ้าไม่รู้จักมาก่อน แล้วมาบอกว่าเป็นพ่อลูกกันล่ะก็ แม่เชื่อสนิทเลยนะนี่ จริงไหมพ่อ”“เหลวไหลน่ะแม่ เจ้านุมันก็เคยบอกว่าตาเจกำลังจะแต่งงาน คราวก่อนยังพาแฟนมากินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านเราอยู่เลยแม่จำไม่ได้เหรอ”“จริงสิ” นางตวงพรพยักหน้าอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนหันไปถามเพื่อนของสามีที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่“แล้วนี่ตาเจเขาจะแต่งงานเมื่อไหร่ล่ะคะพี่นุ”“อืม เห็นว่าจะหมั้นกันไว้ก่อน งานหมั้นก็ได้ยินว่าคุยๆ กันแล้วกำหนดจัดต้นเดือนหน้านี่แหละ แต่งกันเร็วๆ ก็ดี ฉันจะได้มีหลานน่ารักๆ อย่างตาลูกชิ้นให้อุ้มบ้าง ไงครับลูกชิ้น อยากมีน้องมาเล่นด้วยไหมลูก”คำถามนั้นทำให้เตชิตาหน้าถอดสี ขณะที่คนกำลังช่วยเด็กน้อยแกะกล่องของขวัญแอบชะงักไปนิดๆ“อยากครับ ลูกชิ้นอยากมีน้องผู้ชาย จะได้
“งั้นเดี๋ยวแตมไปดูให้เองค่ะพ่อ”เตชิตารีบอาสา หากทว่าพอเปิดประตูและได้เห็นคนที่ยืนรออยู่ หญิงสาวก็ตกตะลึงไปชั่วขณะเมื่อได้พบแขกที่ไม่ได้รับเชิญ“ยัยแตม ใครมาน่ะลูก” นายวีระร้องถาม แต่ไม่ทันใจเขาจึงเดินตามออกมาดูเสียเอง“อ้าว! เจ้านุไปไงมาไง ตาเจก็มาด้วย มีอะไรหรือเปล่า เข้ามาก่อนๆ”เตชิตาเหลือบมองคนที่เดินตามนายชิษณุเข้ามาในบ้านในมือทั้งสองมีถุงข้าวของหลายใบ เป็นจังหวะที่เขามองมาพอดี จึงสบตากันโดยไม่ตั้งใจ“อ้าว! แล้วนั่นหอบอะไรกันมาเยอะแยะล่ะ”“ก็พอได้ยินว่าวันนี้วันเกิดหลานนายน่ะสิ เจ้าเจมันก็เลยไปหาซื้อของขวัญซื้อขนมนมเนยมาให้หลาน แล้วจู่ๆ ก็โทรไปบอกให้ฉันเตรียมตัว แล้วก็ไปรับมาบ้านนายนี่แหละ” นายชิษณุแกล้งตัดพ้อเพื่อนสนิท“วันเกิดเด็กๆ น่ะ ก็เลยไม่ได้ชวนใคร ปกติก็จัดกันเล็กๆ ในบ้านเท่านั้นเอง ว่าแต่แกรู้ได้ยังไงล่ะ”“เห็นว่ารู้จากเพื่อนที่ทำงานหนูแตมน่ะสิ” นายวีระหันไปมองลูกชายเพื่อนอย่างสงสัย“หืม...”“อ้าว หนูแตมไม่ได้บอกแกเหรอว่าเขาทำงานที่เดียวกับตาเจ”“เปล่า...ไม่ได้บอก” นายวีระปรายตามองลูกสาวอย่างสงสัย“แล้วนี่ตาลูกชิ้นอยู่ไหนล่ะ” ถามไม่ทันขาดคำก็มีเสียงใสๆ ดังแทรกขึ้นเสียก่
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ ก็แค่ลืมในสิ่งที่ไม่ควรจำเท่านั้น...”เจษภัทรนิ่งงันไปชั่วขณะ ราวกับมีกำแพงบางๆ มากั้นระหว่างเขากับเธอไว้ แม้อยู่ใกล้เพียงเอื้อม แต่กลับรู้สึกเหมือนไกล ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะปล่อยต้นแขนของเธอ แล้วกลับไปจับพวงมาลัยเพื่อออกรถฝ่าไปบนทางที่มืดสลัวอีกครั้งบรรยากาศในรถกลับมาเงียบงันเช่นเดิม เตชิตามองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งรถของเขาเลี้ยวเข้ามาในซอยและจอดลงที่หน้าบ้านของเธอ“เดี๋ยว!” มือที่กำลังจะเปิดประตูชะงักไปนิดๆ“เรื่องที่เธอจะลาออกนั่น พี่ยังไม่อนุมัติ” ชายหนุ่มทำลายความเงียบ “อีกไม่ถึงเดือนเธอก็จะผ่านโปรแล้ว พี่อยากให้เธอทำงานที่นี่ต่อไป”“ทำไมคะ...”“ถ้ามีใครสักคนต้องไป พี่ขอไปเองดีกว่า...”“...”ประโยคนั้นทำให้คนฟังถึงกับอึ้ง หันขวับไปมองคนพูดทันที ใบหน้าหล่อเหลาดูอ่อนล้า แต่กลับส่งยิ้มละมุนเฉกเช่นพี่ชายใจดีที่เธอแอบตกหลุมรักในวันวานมาให้“ดึกมากแล้ว รีบเข้าบ้านเถอะ เดี๋ยวลูกจะรอ”หญิงสาวรีบเบือนหลบสายตาที่มองมา กลัวใจตัวเองจะหวั่นไหว แต่ตอนที่เอื้อมมือไปเปิดประตูลงจากรถ จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้จึงหันกลับมา“ฉันยินดีกับคุณด้วยนะคะเรื่องหมั้น ขอให
รถแท็กซี่ที่มารับส่งแขกที่โรงแรมผ่านเข้าออกคันแล้วคันเล่า แต่หญิงสาวยังคงยืนนิ่งที่เดิมก็ไม่ได้โบกเรียกสักคัน รอจนกระทั่งน้ำตาเหือดแห้งไปพร้อมกับความรู้สึกที่อัดแน่นในหัวใจคลายลงบ้างหลังจากได้ระบายออก หญิงสาวจึงขยับเท้าไปทางด้านหน้าของโรงแรม เพื่อเดินไปเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่งที่เปิดไฟว่างผ่านมาพอดีหากทว่าตอนที่กำลังเอื้อมมือจะไปเปิดประตูนั้นเอง จู่ๆ ก็มีมือใครคนหนึ่งคว้ามือเธอไว้เสียก่อนเตชิตาใจหายวาบ หันขวับ พอเห็นว่าคนที่คว้าข้อมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อยเป็นใคร หญิงสาวก็รีบสะบัดมือออกทันที แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ“ปล่อย!”“กลับด้วยกัน พี่จะไปส่ง”“ฉันกลับเองได้ค่ะ ไม่อยากติดหนี้บุญคุณใคร” หญิงสาวสะบัดเสียงแข็งใส่ ตอนนี้เธอไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองเพื่อใคร“อย่าดื้อ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”หญิงสาวพยายามขืนตัวไว้ แต่ก็ไม่อาจสู้แรงเขาได้ สุดท้ายก็ถูกฉุดดึงให้ขึ้นรถของเขาจนได้ พอเธอจะเปิดประตูลง ก็ถูกสายตาดุเข้มคู่นั้นกดตรึงไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้“คุณต้องการอะไรอีก”“เวลา...ไม่นานหรอก พี่อยากคุยกับเธอ” ริมฝีปากสวยเม้มแน่น ก่อนเบือนหน้าหนีเจษภัทรถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่
จึงได้แต่สงบปากเสีย พร้อมกับนึกถึงใครบางคนที่ป่านนี้คงกำลังชะเง้อรอเธอกลับบ้าน หญิงสาวแอบก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือตัวเองนึกอยากให้เวลาผ่านไปไวๆ จะได้รีบกลับไปหาเจ้าลูกชิ้นน้อยๆ ของแม่เสียทีคิดเพลินๆ จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของเตชิตาก็ดังขึ้น จังหวะนั้นสองหนุ่มสาวตรงหน้ากำลังคุยรำลึกความทรงจำตอนไปเรียนต่อด้วยกันจึงหันมาทางเธอเป็นตาเดียว“ฮั่นแน่ ตายยากจริงแฟนเธอ สงสัยจะโทรมาบอกเปลี่ยนใจมาทานข้าวด้วยกันหรือเปล่า รีบรับสิจ๊ะ”“งั้นแตมขอตัวไปคุยโทรศัพท์สักครู่นะคะ” เตชิตาบอกโดยทำเป็นมองไม่เห็นดวงตาเขียวปั๊ดของใครบางคนที่แฉลบผ่านมา ก่อนเสคว้าแก้วไวน์แดงขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว“แม่แตมครับ เมื่อไหร่จะกลับบ้าน ลูกชิ้นคิดถึง”เพียงได้ยินเสียงจากปลายสาย ความอึดอัดใจตลอดทั้งวันก็จางหาย หญิงสาวเพิ่งรู้สึกว่ายิ้มออกเป็นครั้งแรกของวันโดยไม่ต้องฝืนยิ้มจนหน้าเกร็งเหมือนตอนอยู่ต่อหน้าทุกคน“แม่ก็คิดถึงลูกชิ้นครับ อีกเดี๋ยวแม่ก็กลับแล้วลูก”“งั้นลูกชิ้นจะรอแม่แตมกลับบ้าน มาเล่านิทานให้ฟัง”“ได้เลย เดี๋ยวแม่รีบกลับไปเล่าให้ฟังนะครับคนดี งั้นแค่นี้ก่อนนะลูก” เตชิตายิ้มเมื่อคิดถึงใบหน้าของลูกชาย โดยหารู้
“วินนี่ ฟังพี่อธิบายก่อน”“ไม่ฟัง พี่เจปล่อย...”เตชิตาอยากจะหันหลังแล้ววิ่งหนีไปจากฉากตรงหน้า แต่มันก็ทำไม่ได้ สุดท้ายสมองก็สั่งให้ร่างกายทำในสิ่งที่หัวใจไม่อยากทำจนได้“พี่วินนี่คะ”เสียงเรียกนั้นทำให้คนทั้งสองหยุดนิ่ง วินรดาหันไปมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาใกล้อย่างระแวง ริมฝีปากอิ่มสวยเม้มแน่น“เธอ...รู้จักฉันด้วยหรือ”“พี่วินนี่จำแตมไม่ได้แล้วเหรอคะ”“แตม...” วินรดาทวนคำ สีหน้างุนงง“ใช่ค่ะ แตมเอง น้องรหัสของพี่ที่มหาวิทยาลัยไงคะ”วินรดานิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนคลี่ยิ้มออกมาในที่สุด“อ๋อ...พี่จำได้แล้ว”เตชิตาลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนสถานการณ์ตึงเครียดจะคลี่คลาย เมื่ออีกฝ่ายมีสีหน้าดีขึ้น ผิดกับตอนพบกันเมื่อครู่“โธ่เอ๊ย! ที่แท้ก็คนกันเองทั้งนั้น พี่ก็หลงนึกว่าถูกแฟนตัวเองนอกใจแล้วสิ นี่ถ้าน้องแตมบอกพี่ช้าไปอีกนิดล่ะก็ มีหวังพี่เจเละแน่ๆ”เตชิตามองมือของรุ่นพี่สาวสวยที่กอดแขนเจษภัทรอย่างสนิทสนม ก่อนบังคับให้ตัวเองฝืนยิ้มออกมาราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทั้งที่ในอกกำลังทุรนทุราย“แล้วเมื่อกี้ที่พี่เห็นตอนแรก พี่เจกำลังรังแกน้องหรือเปล่า บอกพี่ได้นะ เดี๋ยวพี่จัดการให้ กล้ารังแกน้องรหัสพ
“ถ้าคุณไม่มีอะไรจะคุยแล้ว งั้นดิฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ พอดีมีคนรออยู่”เตชิตายิ้มเย็นชา หันไปคว้ากระเป๋าสะพาย ทำท่าจะผละไป ก่อนที่เธอจะหน้ามืดทนไม่ไหวแล้วหาอะไรเขวี้ยงใส่คนร้ายกาจตรงหน้าให้สาใจ“เดี๋ยว!”หญิงสาวชะงัก ก่อนปรายตามองมืออีกฝ่ายที่คว้าข้อมือเธอไว้อย่างเย็นชา“คุณมีอะไรจะแนะนำอีกเหรอคะ หรือว่ามีผู้ชายดีๆ คนไหนจะแนะนำให้รู้จัก อุ๊ย!” หญิงสาวอุทานอย่างตกใจ เมื่อถูกกระชากเข้าหาอ้อมอกแกร่งที่ตวัดขังเธอไว้อย่างถือสิทธิ์“ทำไมต้องแนะนำคนอื่น ก็ผมนี่ไง ไหนๆ เราก็เคยพลาด...ด้วยกันมาแล้วไม่ใช่หรือ”“ก็บอกแล้วไงคะว่า ฉันจะไม่ยอมพลาดซ้ำ...อุ๊บ!” ยังไม่ทันพูดจบ หญิงสาวก็ต้องผงะเมื่อใบหน้าหล่อเหลาฉกลงมามัดปากเธอไว้ด้วยริมฝีปากของเขาอย่างเผ็ดร้อนปนดุดันริมฝีปากอุ่นร้อนของเขาบดขยี้ลงบนกลีบปากอิ่มสวยราวกับทำโทษที่เธอยั่วโมโหเขา ก่อนที่จะส่งปลายชิวหาเข้าไปกวาดต้อนชิมความหวานของเธอทุกซอกทุกมุม โดยไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ขัดขืนหรือต่อต้านได้เลยจูบของเขาแสนเอาแต่ใจและเรียกร้อง แต่มันกลับทำให้ไฟในกายเธอลุกโชน ราวกับอีกฝ่ายเป็นไฟ และเธอเป็นน้ำมัน เพียงแค่อยู่ใกล้กันมันก็พร้อมจะลุกไหม้ได้ง่ายๆถ้าปล
พอคล้อยหลังคนทั้งสอง เจ้าสิ่งที่เธอสะกดกลั้นไว้ก็ล้นออกมาจากดวงตาทั้งสองก่อนที่จะถูกเจ้าตัวรีบปาดออกคนใจร้าย! ทั้งที่เขามีคนรักอยู่แล้ว ทั้งที่เขาไม่ได้รักเธอเลยซักนิด แต่ก็ยังมาล้อเล่นกับความรู้สึกกันแบบนี้อีก แต่ที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือเจ้าหัวใจไม่รักดีของเธอนี่ล่ะที่โง่งมหลงเคลิ้มไปตามเกมส์ของเขาอีกจนได้เมื่อไหร่จะรู้จักเข็ดหลาบกับเขาเสียทีนะ...หลังจากประชุมเช้ากับผู้บริหารเสร็จ รุ้งลาวัณย์ก็เดินกลับมาที่ออฟฟิศเพียงคนเดียว ส่วนเจ้านายตัวร้ายของเธอกลับไม่ได้เข้ามาในออฟฟิศตลอดทั้งวัน ดูเหมือนเขาจะมีนัดต้องออกไปพบลูกค้าข้างนอก ทำให้เตชิตาหายใจคล่องขึ้น โดยหารู้ไม่ว่าตนถูกคนในออฟฟิศพากันมองมาอย่างไรหลังจากที่เธอเดินออกมาจากห้องเจ้านายในสภาพหน้าซีด และดวงตาแดงๆ แต่ก็ไม่มีใครกล้าถาม ได้แต่สงสัยและคาดเดากันไปเอง‘สงสัยโดนนายดุมาแหงๆ’‘ดอสเขาก็ดูไม่น่าโหดนะ ตั้งแต่มาฉันยังไม่เห็นเขาเสียงดังหรือดุใครเลย’‘คราวซวยน่ะสิ แต่ดูไปก็น่าสงสารนะ น้องก็ดูเรียบร้อยออก โดนนายดุหน้าจ๋อยไปเลย’คนหน้าจ๋อยนั่งทำงานของตัวเองไปเรื่อยๆ สมองยังคงวนเวียนคิดถึงเรื่องลับๆ ในห้องทำงานเมื่อเช้า จึงไม่ได้สนใจใคร จ