“งั้นเดี๋ยวแตมไปดูให้เองค่ะพ่อ”เตชิตารีบอาสา หากทว่าพอเปิดประตูและได้เห็นคนที่ยืนรออยู่ หญิงสาวก็ตกตะลึงไปชั่วขณะเมื่อได้พบแขกที่ไม่ได้รับเชิญ“ยัยแตม ใครมาน่ะลูก” นายวีระร้องถาม แต่ไม่ทันใจเขาจึงเดินตามออกมาดูเสียเอง“อ้าว! เจ้านุไปไงมาไง ตาเจก็มาด้วย มีอะไรหรือเปล่า เข้ามาก่อนๆ”เตชิตาเหลือบมองคนที่เดินตามนายชิษณุเข้ามาในบ้านในมือทั้งสองมีถุงข้าวของหลายใบ เป็นจังหวะที่เขามองมาพอดี จึงสบตากันโดยไม่ตั้งใจ“อ้าว! แล้วนั่นหอบอะไรกันมาเยอะแยะล่ะ”“ก็พอได้ยินว่าวันนี้วันเกิดหลานนายน่ะสิ เจ้าเจมันก็เลยไปหาซื้อของขวัญซื้อขนมนมเนยมาให้หลาน แล้วจู่ๆ ก็โทรไปบอกให้ฉันเตรียมตัว แล้วก็ไปรับมาบ้านนายนี่แหละ” นายชิษณุแกล้งตัดพ้อเพื่อนสนิท“วันเกิดเด็กๆ น่ะ ก็เลยไม่ได้ชวนใคร ปกติก็จัดกันเล็กๆ ในบ้านเท่านั้นเอง ว่าแต่แกรู้ได้ยังไงล่ะ”“เห็นว่ารู้จากเพื่อนที่ทำงานหนูแตมน่ะสิ” นายวีระหันไปมองลูกชายเพื่อนอย่างสงสัย“หืม...”“อ้าว หนูแตมไม่ได้บอกแกเหรอว่าเขาทำงานที่เดียวกับตาเจ”“เปล่า...ไม่ได้บอก” นายวีระปรายตามองลูกสาวอย่างสงสัย“แล้วนี่ตาลูกชิ้นอยู่ไหนล่ะ” ถามไม่ทันขาดคำก็มีเสียงใสๆ ดังแทรกขึ้นเสียก่
เตชิตาเม้มริมฝีปากแน่น เธอเป็นคนเดียวที่รู้เจตนาที่แท้จริงของเขา แต่กลับทำอะไรไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน ได้แต่ภาวนาว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นว่าลูกชายเธอและชายหนุ่มตรงหน้านั้นละม้ายคล้ายคลึงกันมากเพียงใด“ดูเจ้าตัวแสบของแม่สิคะ ดีใจจนลืมกินเค้กของโปรดตัวเองไปแล้ว” ตารกาหันไปเอ่ยกับมารดาที่ยืนมองสองหนุ่มสองวัยตรงหน้าอย่างนึกแปลกใจ“นั่นสิ นี่ถ้าไม่รู้จักมาก่อน แล้วมาบอกว่าเป็นพ่อลูกกันล่ะก็ แม่เชื่อสนิทเลยนะนี่ จริงไหมพ่อ”“เหลวไหลน่ะแม่ เจ้านุมันก็เคยบอกว่าตาเจกำลังจะแต่งงาน คราวก่อนยังพาแฟนมากินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านเราอยู่เลยแม่จำไม่ได้เหรอ”“จริงสิ” นางตวงพรพยักหน้าอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนหันไปถามเพื่อนของสามีที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่“แล้วนี่ตาเจเขาจะแต่งงานเมื่อไหร่ล่ะคะพี่นุ”“อืม เห็นว่าจะหมั้นกันไว้ก่อน งานหมั้นก็ได้ยินว่าคุยๆ กันแล้วกำหนดจัดต้นเดือนหน้านี่แหละ แต่งกันเร็วๆ ก็ดี ฉันจะได้มีหลานน่ารักๆ อย่างตาลูกชิ้นให้อุ้มบ้าง ไงครับลูกชิ้น อยากมีน้องมาเล่นด้วยไหมลูก”คำถามนั้นทำให้เตชิตาหน้าถอดสี ขณะที่คนกำลังช่วยเด็กน้อยแกะกล่องของขวัญแอบชะงักไปนิดๆ“อยากครับ ลูกชิ้นอยากมีน้องผู้ชาย จะได้
ภาพนั้นทำให้เตชิตารู้สึกลำคอตีบตันจนพูดไม่ออก หรือนี่จะเป็นสายสัมพันธ์ที่สื่อถึงกันระหว่างสายเลือด แม้ไม่รู้ว่าเป็นพ่อลูกกันก็ตาม แต่คนที่รู้เต็มอกอย่างเธอควรจะทำอย่างไรดี หากปล่อยให้ลูกรักเขาจนหมดใจ แล้วในวันหนึ่งข้างหน้าได้รู้ความจริงที่น่าเจ็บปวด เจ้าลูกชิ้นของแม่จะเสียใจมากเพียงใด“ส่งลูกมาให้ฉันดีกว่านะคะ”“ให้พี่อุ้มเขาไปส่งที่ห้องเถอะนะ” สายตาเว้าวอนคู่นั้นทำให้หญิงสาวปฏิเสธไม่ออก พอหันไปสบตากับพ่อและแม่ของเธอ ทั้งสองก็นิ่งไปก่อนพยักหน้าไม่ได้ขัด“งั้นก็ได้ค่ะ” หญิงสาวถอนหายใจก่อนเดินนำทางไปที่ห้องนอนของตน ทิ้งให้ผู้ใหญ่อีกสี่คนมองตาม“ดูเถอะ ไม่รู้ว่าลูกชายฉัน หรือหลานชายนาย ใครติดใครกันแน่” นายชิษณุส่ายหน้าเบาๆ มองตามเจ้าลูกชายที่โอบอุ้มหลานชายเพื่อนอย่างอ่อนโยนราวกับเป็นลูกของตัวเอง“นั่นสิคะ แต่ก็แปลกนะคะ ปกตินอกจากพวกเรา ตาลูกชิ้นก็ไม่ได้ติดใครง่ายๆ แบบนี้” ตารกาเสริม เธอเองก็อดแปลกใจไม่ได้“จริงสิ ฉันก็ว่าจะถามตั้งแต่คราวก่อนที่เจอกัน ว่าพ่อของตาลูกชิ้นเขาเป็นใครกัน แล้วนี่วันเกิดลูกทั้งที ทำไมเอาแต่ทำงานจนไม่ยอมกลับมาหาลูกเต้าล่ะ” นายชิษณุหันไปถามเพื่อนอย่างสงสัย“ไม่รู้
เพียะ!“นังลูกไม่รักดี!”เสียงนั้นร้าวลึกลงไปถึงแกนสมองเลยก็ว่าได้ ตั้งแต่เกิดมาจนอายุสิบเก้าปี กำลังจะขึ้นปีสองของมหาวิทยาลัยแล้ว ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอจะถูกบุพการีที่รักผรุสวาทด้วยคำนี้นังลูกไม่รักดี...เตชิตา วิโรจน์ขจร หรือ แตม เม้มริมฝีปากแน่น ที่แก้มใสรู้สึกชาเห่อจนขึ้นรอยแดงเป็นริ้ว ในปากรู้สึกขมปร่าและมีรสคาวฝาดอุ่นๆ แต่นั่นยังไม่ถือว่าเป็นความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต เพราะสิ่งที่เจ็บยิ่งกว่าคือหัวใจของเธอ และความรู้สึกผิดที่อาบล้นวนเวียนอยู่ในตัวตอนนี้“บอกพ่อมานะว่ามันเป็นใคร” คนที่ยืนสอบสวนเธอราวกับเป็นอาชญากรฆ่าคนตายตรงหน้านี่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น นายวีระ วิโรจน์ขจร หรือ เฮียวี บิดาบังเกิดเกล้าของเธอนี่เอง“ใจเย็นๆ ก่อนพ่อ เดี๋ยวก็ความดันขึ้นหรอก” คนที่คอยฉุดแขนพ่อของเธอไว้ก็คือผู้เป็นแม่ของเด็กสาวที่ยืนหน้าซีดปากสั่นนั่นเองนางตวงพรมองใบหน้าสดใสในวัยแรกรุ่นของบุตรสาวคนเล็กอย่างแสนเสียดาย ไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกที่เธอเลี้ยงมากับมือจะทำตัวเช่นนี้ ไอ้โมโหก็ใช่อยู่ แต่พอเห็นผู้เป็นสามีลงไม้ลงมือกับเลือดเนื้อเชื้อไขตัวเอง นางก็ไม่อาจทนได้ที่ผ่านมาแม้ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย เป็นชนชั้
เตชิตาหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกลับก้มลงจูบซับที่ศีรษะหอมๆ ของเจ้าตัวเล็กอย่างมันเขี้ยว“นิ่งแล้วลูก แม่แตมไม่ร้องแล้วเห็นไหมครับ”“เย้ๆ แม่แตมเก่งมาก มาจูจุ๊บกันก่อน” ว่าพลางทำปากจู๋น่ารัก จนคนเป็นแม่ใจบางรีบยื่นแก้มให้ลูกรักจูบเจ้าตัวน่ารักปรบมือ หัวเราะโชว์ฟันซี่เล็กๆ ดวงตากลมโตยิบหยีชวนให้คิดถึงใครบางคนที่เธอไม่ได้พบมานานหลายปีคิดถึงเขาเหลือเกิน...หญิงสาวกอดร่างอวบของลูกชายตัวน้อยไว้ เด็กชาย เตชินท์ คือเจ้าลูกชิ้นน้อยๆ ของแม่ คือสิ่งเดียวที่แทนตัวคนไกล แม้เขาจะไม่รู้ว่ามีหนึ่งชีวิตเล็กๆ ที่เขาสร้างขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ แต่สำหรับเธอ ลูกชายคือเงาความรักที่เธอมีต่อเขาผู้นั้นรัก...แม้จะถูกใครต่อใครตราหน้าว่าไม่รักดีก็ช่างหัวมัน แต่สิ่งที่สำคัญคือคนในครอบครัวของเธอเข้าใจกัน และไม่ทอดทิ้งให้เธอต้องสู้อยู่คนเดียว“ไง...เจ้าลูกชิ้นเด้ง อ้อนอะไรแม่แตมแต่เช้า หืม...”คนที่โผล่หน้ามาตรงประตูล้อสองแม่ลูก“ป้าตาล!”ตารกา หรือป้าตาลของหลานชาย ยิ้มหวานก่อนอ้าแขนรับเจ้าตัวกลมป้อมที่ตะเกียกตะกายลงจากเตียงถลาไปหา ตั้งแต่เดินคล่อง เจ้าตัวดีก็เดินให้จับทั้งวัน แต่คนทั้งบ้านก็ไม่มีใครบ่นให้ได้ยินสักแอะ
แต่เมื่อสามปีก่อนตารกาสอบบรรจุครูประถมที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งได้ ก็เหลือเพียงเตชิตาที่ตอนนั้นกำลังตั้งครรภ์จึงดรอปเรียนไว้ แล้วมาคอยช่วยบิดามารดาทำงานจนกระทั่งคลอดแต่ต่อมาเธอก็ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยทั้งๆ ที่มีเกณฑ์การเรียนที่อยู่ในระดับดี แต่เพื่อทุ่นค่าเทอมค่าใช้จ่ายในบ้านรวมถึงค่าใช่จ่ายที่เพิ่มขึ้นเพราะเจ้าตัวน้อย หญิงสาวจึงตัดสินใจสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยเปิด เพื่อเอาเวลามาดูแลลูกชายและยังได้ช่วยพ่อแม่แบ่งเบาภาระทำงานที่ ‘ร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูเด้งเฮียวี’ หญิงสาวกัดฟันเรียนไป เลี้ยงลูกไปจนจบเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่ก็ยังช่วยงานที่ร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่จนเด็กชายเตชินท์อายุครบเกณฑ์เข้าเรียนอนุบาลเมื่อไม่กี่เดือนก่อนแต่พอมานั่งคิดคำนวนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ลำพังเงินที่ได้มาจากการทำงานในร้านและงานกระจุกกระจิกของตัวเองเริ่มไม่พอ ไหนจะต้องเตรียมเก็บเงินไว้ให้ลูกในอนาคต ทำให้เตชิตาต้องมองหาลู่ทางหารายได้เพิ่ม โดยเธอไปยื่นใบสมัครงานไว้หลายแห่ง แต่งานสมัยนี้ก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ แม้ว่าผลการเรียนของเธอจะจบด้วยเกรดที่ดี ทว่ามันก็ไม่เพียงพอให้บริษัทอยากจ้างเด็กจบใหม่ที่มีสถานะม
“เย้ๆ กินติมๆ ยูกชิ้นไม่ดื้อไม่ซน แม่แตมต้องพายูกชิ้นไปกินติมกันนะครับ พาป้าตาลกับตาตาแล้วก็ยายตวงไปด้วย ไปให้หมดเลย” เด็กชายปรบมือชอบใจ ก่อนรีบไหว้แม่และป้าที่มองคนตัวเล็กที่เดินเข้าโรงเรียนไปพร้อมเพื่อนร่วมชั้นที่มายืนกวักมือเรียกหยอยๆ จนลับสายตาพอส่งหลานชายเสร็จสองพี่น้องก็ได้โอกาสอยู่ตามลำพังในรถ ตารกาชำเลืองมองหน้าซีดเซียวของน้องสาว“คิดอะไรอยู่เหรอ อย่าบอกนะว่ายังคิดมากเรื่องที่ยัยป้านั่นพูดเมื่อเช้า”“เปล่าหรอกค่ะ ปากคนเขาก็พูดไปเรื่อย แตมไม่สนใจหรอก”“นั่นสิ เจ้าลูกชิ้นของฉันหน้าตาดีจะตาย ยัยป้านั่นต่างหากปากไม่ดี สมควรโดนป๊าด่า”“จริงๆ จะว่าเขาก็ไม่ได้นะคะเจ้ตาล” เตชิตาหยุดพูดเพียงแค่นั้น เพราะคิดถึงสิ่งที่ได้ยินเมื่อเช้าไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินแบบนั้นอันที่จริงมันปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายิ่งโต เค้าโครงหน้าตาของลูกชายเธอก็เริ่มมีเค้าผู้เป็นพ่อเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้งเธอก็รู้สึกกลัวว่าอาจมีใครสังเกตและพูดให้เข้าหูเด็กน้อยให้สงสัยได้ว่าตัวเองหน้าเหมือนใคร ทำไมไม่เหมือนทางฝั่งแม่“อย่าคิดมากเลยนะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว เราอยู่กับปัจจุบันดีกว่า”“ขอบคุณนะเจ้”“พอเลย อย่ามาอ้อนฉันเหม
ใบหน้าและรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนนั่นยังคงเหมือนที่เธอเคยเห็นในวันนั้นไม่เปลี่ยน แต่เขาไม่ใช่คนเดิมที่เธอเคยรู้จักอีกต่อไปไม่ใช่...พี่เจที่เธอเคยรู้จัก แต่วันนี้เขาคือ คุณเจษภัทร เจ้านายคนใหม่ของเธอเสียแล้ว แถมที่สำคัญคือหัวใจของเราก็มีคนเข้าไปจับจอง ไม่ว่าวันนั้นหรือวันนี้ พื้นที่ในหัวใจเขาก็ไม่ใช่ของเธอ มันไม่เคยเป็นของเธอ...“ผมขอฝากตัวกับพวกเราทุกคนด้วยนะครับ หากมีอะไรที่ต้องการเสนอแนะ หรือปรึกษาเรื่องงานก็บอกกันได้เลยนะครับ เพราะตอนนี้เราคือทีมเดียวกันแล้ว”นอกจากหน้าตาที่มีเสน่ห์แล้ว บุคลิกนิสัยใจคอของดอสคนใหม่ก็ดูจะเฟรนด์ลี่ผูกใจผู้ร่วมงานทั้งแผนกได้ไม่ยากเลย“ใกล้ได้เวลาเข้าประชุมกับหัวหน้าแผนกแล้วค่ะดอส นี่เป็นเอกสารที่ต้องใช้เข้าประชุม ยังพอมีเวลาอ่านอีกนิดหน่อยนะคะ”“ขอบคุณครับคุณรุ้ง” ชายหนุ่มเอ่ย ก่อนนึกได้ “อ้อ! จริงสิ...หลังประชุมเสร็จผมอยากได้รายงานการขายย้อนหลังของสามไตรมาสล่าสุดรวมถึงแผนงานต่างๆ ในปีนี้ด้วยนะครับ แล้วก็ช่วงบ่ายสองฝากคุณรุ้งช่วยนัดประชุมทีมกับทุกคนในแผนกเรา ทุกคนเลยนะครับ รบกวนคุณช่วยจองห้องประชุมให้ด้วย”“ได้ค่ะ เดี๋ยวรุ้งจัดการให้ ส่วนเอกสารต่างๆ เดี๋ย
ภาพนั้นทำให้เตชิตารู้สึกลำคอตีบตันจนพูดไม่ออก หรือนี่จะเป็นสายสัมพันธ์ที่สื่อถึงกันระหว่างสายเลือด แม้ไม่รู้ว่าเป็นพ่อลูกกันก็ตาม แต่คนที่รู้เต็มอกอย่างเธอควรจะทำอย่างไรดี หากปล่อยให้ลูกรักเขาจนหมดใจ แล้วในวันหนึ่งข้างหน้าได้รู้ความจริงที่น่าเจ็บปวด เจ้าลูกชิ้นของแม่จะเสียใจมากเพียงใด“ส่งลูกมาให้ฉันดีกว่านะคะ”“ให้พี่อุ้มเขาไปส่งที่ห้องเถอะนะ” สายตาเว้าวอนคู่นั้นทำให้หญิงสาวปฏิเสธไม่ออก พอหันไปสบตากับพ่อและแม่ของเธอ ทั้งสองก็นิ่งไปก่อนพยักหน้าไม่ได้ขัด“งั้นก็ได้ค่ะ” หญิงสาวถอนหายใจก่อนเดินนำทางไปที่ห้องนอนของตน ทิ้งให้ผู้ใหญ่อีกสี่คนมองตาม“ดูเถอะ ไม่รู้ว่าลูกชายฉัน หรือหลานชายนาย ใครติดใครกันแน่” นายชิษณุส่ายหน้าเบาๆ มองตามเจ้าลูกชายที่โอบอุ้มหลานชายเพื่อนอย่างอ่อนโยนราวกับเป็นลูกของตัวเอง“นั่นสิคะ แต่ก็แปลกนะคะ ปกตินอกจากพวกเรา ตาลูกชิ้นก็ไม่ได้ติดใครง่ายๆ แบบนี้” ตารกาเสริม เธอเองก็อดแปลกใจไม่ได้“จริงสิ ฉันก็ว่าจะถามตั้งแต่คราวก่อนที่เจอกัน ว่าพ่อของตาลูกชิ้นเขาเป็นใครกัน แล้วนี่วันเกิดลูกทั้งที ทำไมเอาแต่ทำงานจนไม่ยอมกลับมาหาลูกเต้าล่ะ” นายชิษณุหันไปถามเพื่อนอย่างสงสัย“ไม่รู้
เตชิตาเม้มริมฝีปากแน่น เธอเป็นคนเดียวที่รู้เจตนาที่แท้จริงของเขา แต่กลับทำอะไรไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน ได้แต่ภาวนาว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นว่าลูกชายเธอและชายหนุ่มตรงหน้านั้นละม้ายคล้ายคลึงกันมากเพียงใด“ดูเจ้าตัวแสบของแม่สิคะ ดีใจจนลืมกินเค้กของโปรดตัวเองไปแล้ว” ตารกาหันไปเอ่ยกับมารดาที่ยืนมองสองหนุ่มสองวัยตรงหน้าอย่างนึกแปลกใจ“นั่นสิ นี่ถ้าไม่รู้จักมาก่อน แล้วมาบอกว่าเป็นพ่อลูกกันล่ะก็ แม่เชื่อสนิทเลยนะนี่ จริงไหมพ่อ”“เหลวไหลน่ะแม่ เจ้านุมันก็เคยบอกว่าตาเจกำลังจะแต่งงาน คราวก่อนยังพาแฟนมากินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านเราอยู่เลยแม่จำไม่ได้เหรอ”“จริงสิ” นางตวงพรพยักหน้าอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนหันไปถามเพื่อนของสามีที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่“แล้วนี่ตาเจเขาจะแต่งงานเมื่อไหร่ล่ะคะพี่นุ”“อืม เห็นว่าจะหมั้นกันไว้ก่อน งานหมั้นก็ได้ยินว่าคุยๆ กันแล้วกำหนดจัดต้นเดือนหน้านี่แหละ แต่งกันเร็วๆ ก็ดี ฉันจะได้มีหลานน่ารักๆ อย่างตาลูกชิ้นให้อุ้มบ้าง ไงครับลูกชิ้น อยากมีน้องมาเล่นด้วยไหมลูก”คำถามนั้นทำให้เตชิตาหน้าถอดสี ขณะที่คนกำลังช่วยเด็กน้อยแกะกล่องของขวัญแอบชะงักไปนิดๆ“อยากครับ ลูกชิ้นอยากมีน้องผู้ชาย จะได้
“งั้นเดี๋ยวแตมไปดูให้เองค่ะพ่อ”เตชิตารีบอาสา หากทว่าพอเปิดประตูและได้เห็นคนที่ยืนรออยู่ หญิงสาวก็ตกตะลึงไปชั่วขณะเมื่อได้พบแขกที่ไม่ได้รับเชิญ“ยัยแตม ใครมาน่ะลูก” นายวีระร้องถาม แต่ไม่ทันใจเขาจึงเดินตามออกมาดูเสียเอง“อ้าว! เจ้านุไปไงมาไง ตาเจก็มาด้วย มีอะไรหรือเปล่า เข้ามาก่อนๆ”เตชิตาเหลือบมองคนที่เดินตามนายชิษณุเข้ามาในบ้านในมือทั้งสองมีถุงข้าวของหลายใบ เป็นจังหวะที่เขามองมาพอดี จึงสบตากันโดยไม่ตั้งใจ“อ้าว! แล้วนั่นหอบอะไรกันมาเยอะแยะล่ะ”“ก็พอได้ยินว่าวันนี้วันเกิดหลานนายน่ะสิ เจ้าเจมันก็เลยไปหาซื้อของขวัญซื้อขนมนมเนยมาให้หลาน แล้วจู่ๆ ก็โทรไปบอกให้ฉันเตรียมตัว แล้วก็ไปรับมาบ้านนายนี่แหละ” นายชิษณุแกล้งตัดพ้อเพื่อนสนิท“วันเกิดเด็กๆ น่ะ ก็เลยไม่ได้ชวนใคร ปกติก็จัดกันเล็กๆ ในบ้านเท่านั้นเอง ว่าแต่แกรู้ได้ยังไงล่ะ”“เห็นว่ารู้จากเพื่อนที่ทำงานหนูแตมน่ะสิ” นายวีระหันไปมองลูกชายเพื่อนอย่างสงสัย“หืม...”“อ้าว หนูแตมไม่ได้บอกแกเหรอว่าเขาทำงานที่เดียวกับตาเจ”“เปล่า...ไม่ได้บอก” นายวีระปรายตามองลูกสาวอย่างสงสัย“แล้วนี่ตาลูกชิ้นอยู่ไหนล่ะ” ถามไม่ทันขาดคำก็มีเสียงใสๆ ดังแทรกขึ้นเสียก่
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ ก็แค่ลืมในสิ่งที่ไม่ควรจำเท่านั้น...”เจษภัทรนิ่งงันไปชั่วขณะ ราวกับมีกำแพงบางๆ มากั้นระหว่างเขากับเธอไว้ แม้อยู่ใกล้เพียงเอื้อม แต่กลับรู้สึกเหมือนไกล ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะปล่อยต้นแขนของเธอ แล้วกลับไปจับพวงมาลัยเพื่อออกรถฝ่าไปบนทางที่มืดสลัวอีกครั้งบรรยากาศในรถกลับมาเงียบงันเช่นเดิม เตชิตามองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งรถของเขาเลี้ยวเข้ามาในซอยและจอดลงที่หน้าบ้านของเธอ“เดี๋ยว!” มือที่กำลังจะเปิดประตูชะงักไปนิดๆ“เรื่องที่เธอจะลาออกนั่น พี่ยังไม่อนุมัติ” ชายหนุ่มทำลายความเงียบ “อีกไม่ถึงเดือนเธอก็จะผ่านโปรแล้ว พี่อยากให้เธอทำงานที่นี่ต่อไป”“ทำไมคะ...”“ถ้ามีใครสักคนต้องไป พี่ขอไปเองดีกว่า...”“...”ประโยคนั้นทำให้คนฟังถึงกับอึ้ง หันขวับไปมองคนพูดทันที ใบหน้าหล่อเหลาดูอ่อนล้า แต่กลับส่งยิ้มละมุนเฉกเช่นพี่ชายใจดีที่เธอแอบตกหลุมรักในวันวานมาให้“ดึกมากแล้ว รีบเข้าบ้านเถอะ เดี๋ยวลูกจะรอ”หญิงสาวรีบเบือนหลบสายตาที่มองมา กลัวใจตัวเองจะหวั่นไหว แต่ตอนที่เอื้อมมือไปเปิดประตูลงจากรถ จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้จึงหันกลับมา“ฉันยินดีกับคุณด้วยนะคะเรื่องหมั้น ขอให
รถแท็กซี่ที่มารับส่งแขกที่โรงแรมผ่านเข้าออกคันแล้วคันเล่า แต่หญิงสาวยังคงยืนนิ่งที่เดิมก็ไม่ได้โบกเรียกสักคัน รอจนกระทั่งน้ำตาเหือดแห้งไปพร้อมกับความรู้สึกที่อัดแน่นในหัวใจคลายลงบ้างหลังจากได้ระบายออก หญิงสาวจึงขยับเท้าไปทางด้านหน้าของโรงแรม เพื่อเดินไปเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่งที่เปิดไฟว่างผ่านมาพอดีหากทว่าตอนที่กำลังเอื้อมมือจะไปเปิดประตูนั้นเอง จู่ๆ ก็มีมือใครคนหนึ่งคว้ามือเธอไว้เสียก่อนเตชิตาใจหายวาบ หันขวับ พอเห็นว่าคนที่คว้าข้อมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อยเป็นใคร หญิงสาวก็รีบสะบัดมือออกทันที แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ“ปล่อย!”“กลับด้วยกัน พี่จะไปส่ง”“ฉันกลับเองได้ค่ะ ไม่อยากติดหนี้บุญคุณใคร” หญิงสาวสะบัดเสียงแข็งใส่ ตอนนี้เธอไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองเพื่อใคร“อย่าดื้อ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”หญิงสาวพยายามขืนตัวไว้ แต่ก็ไม่อาจสู้แรงเขาได้ สุดท้ายก็ถูกฉุดดึงให้ขึ้นรถของเขาจนได้ พอเธอจะเปิดประตูลง ก็ถูกสายตาดุเข้มคู่นั้นกดตรึงไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้“คุณต้องการอะไรอีก”“เวลา...ไม่นานหรอก พี่อยากคุยกับเธอ” ริมฝีปากสวยเม้มแน่น ก่อนเบือนหน้าหนีเจษภัทรถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่
จึงได้แต่สงบปากเสีย พร้อมกับนึกถึงใครบางคนที่ป่านนี้คงกำลังชะเง้อรอเธอกลับบ้าน หญิงสาวแอบก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือตัวเองนึกอยากให้เวลาผ่านไปไวๆ จะได้รีบกลับไปหาเจ้าลูกชิ้นน้อยๆ ของแม่เสียทีคิดเพลินๆ จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของเตชิตาก็ดังขึ้น จังหวะนั้นสองหนุ่มสาวตรงหน้ากำลังคุยรำลึกความทรงจำตอนไปเรียนต่อด้วยกันจึงหันมาทางเธอเป็นตาเดียว“ฮั่นแน่ ตายยากจริงแฟนเธอ สงสัยจะโทรมาบอกเปลี่ยนใจมาทานข้าวด้วยกันหรือเปล่า รีบรับสิจ๊ะ”“งั้นแตมขอตัวไปคุยโทรศัพท์สักครู่นะคะ” เตชิตาบอกโดยทำเป็นมองไม่เห็นดวงตาเขียวปั๊ดของใครบางคนที่แฉลบผ่านมา ก่อนเสคว้าแก้วไวน์แดงขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว“แม่แตมครับ เมื่อไหร่จะกลับบ้าน ลูกชิ้นคิดถึง”เพียงได้ยินเสียงจากปลายสาย ความอึดอัดใจตลอดทั้งวันก็จางหาย หญิงสาวเพิ่งรู้สึกว่ายิ้มออกเป็นครั้งแรกของวันโดยไม่ต้องฝืนยิ้มจนหน้าเกร็งเหมือนตอนอยู่ต่อหน้าทุกคน“แม่ก็คิดถึงลูกชิ้นครับ อีกเดี๋ยวแม่ก็กลับแล้วลูก”“งั้นลูกชิ้นจะรอแม่แตมกลับบ้าน มาเล่านิทานให้ฟัง”“ได้เลย เดี๋ยวแม่รีบกลับไปเล่าให้ฟังนะครับคนดี งั้นแค่นี้ก่อนนะลูก” เตชิตายิ้มเมื่อคิดถึงใบหน้าของลูกชาย โดยหารู้
“วินนี่ ฟังพี่อธิบายก่อน”“ไม่ฟัง พี่เจปล่อย...”เตชิตาอยากจะหันหลังแล้ววิ่งหนีไปจากฉากตรงหน้า แต่มันก็ทำไม่ได้ สุดท้ายสมองก็สั่งให้ร่างกายทำในสิ่งที่หัวใจไม่อยากทำจนได้“พี่วินนี่คะ”เสียงเรียกนั้นทำให้คนทั้งสองหยุดนิ่ง วินรดาหันไปมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาใกล้อย่างระแวง ริมฝีปากอิ่มสวยเม้มแน่น“เธอ...รู้จักฉันด้วยหรือ”“พี่วินนี่จำแตมไม่ได้แล้วเหรอคะ”“แตม...” วินรดาทวนคำ สีหน้างุนงง“ใช่ค่ะ แตมเอง น้องรหัสของพี่ที่มหาวิทยาลัยไงคะ”วินรดานิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนคลี่ยิ้มออกมาในที่สุด“อ๋อ...พี่จำได้แล้ว”เตชิตาลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนสถานการณ์ตึงเครียดจะคลี่คลาย เมื่ออีกฝ่ายมีสีหน้าดีขึ้น ผิดกับตอนพบกันเมื่อครู่“โธ่เอ๊ย! ที่แท้ก็คนกันเองทั้งนั้น พี่ก็หลงนึกว่าถูกแฟนตัวเองนอกใจแล้วสิ นี่ถ้าน้องแตมบอกพี่ช้าไปอีกนิดล่ะก็ มีหวังพี่เจเละแน่ๆ”เตชิตามองมือของรุ่นพี่สาวสวยที่กอดแขนเจษภัทรอย่างสนิทสนม ก่อนบังคับให้ตัวเองฝืนยิ้มออกมาราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทั้งที่ในอกกำลังทุรนทุราย“แล้วเมื่อกี้ที่พี่เห็นตอนแรก พี่เจกำลังรังแกน้องหรือเปล่า บอกพี่ได้นะ เดี๋ยวพี่จัดการให้ กล้ารังแกน้องรหัสพ
“ถ้าคุณไม่มีอะไรจะคุยแล้ว งั้นดิฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ พอดีมีคนรออยู่”เตชิตายิ้มเย็นชา หันไปคว้ากระเป๋าสะพาย ทำท่าจะผละไป ก่อนที่เธอจะหน้ามืดทนไม่ไหวแล้วหาอะไรเขวี้ยงใส่คนร้ายกาจตรงหน้าให้สาใจ“เดี๋ยว!”หญิงสาวชะงัก ก่อนปรายตามองมืออีกฝ่ายที่คว้าข้อมือเธอไว้อย่างเย็นชา“คุณมีอะไรจะแนะนำอีกเหรอคะ หรือว่ามีผู้ชายดีๆ คนไหนจะแนะนำให้รู้จัก อุ๊ย!” หญิงสาวอุทานอย่างตกใจ เมื่อถูกกระชากเข้าหาอ้อมอกแกร่งที่ตวัดขังเธอไว้อย่างถือสิทธิ์“ทำไมต้องแนะนำคนอื่น ก็ผมนี่ไง ไหนๆ เราก็เคยพลาด...ด้วยกันมาแล้วไม่ใช่หรือ”“ก็บอกแล้วไงคะว่า ฉันจะไม่ยอมพลาดซ้ำ...อุ๊บ!” ยังไม่ทันพูดจบ หญิงสาวก็ต้องผงะเมื่อใบหน้าหล่อเหลาฉกลงมามัดปากเธอไว้ด้วยริมฝีปากของเขาอย่างเผ็ดร้อนปนดุดันริมฝีปากอุ่นร้อนของเขาบดขยี้ลงบนกลีบปากอิ่มสวยราวกับทำโทษที่เธอยั่วโมโหเขา ก่อนที่จะส่งปลายชิวหาเข้าไปกวาดต้อนชิมความหวานของเธอทุกซอกทุกมุม โดยไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ขัดขืนหรือต่อต้านได้เลยจูบของเขาแสนเอาแต่ใจและเรียกร้อง แต่มันกลับทำให้ไฟในกายเธอลุกโชน ราวกับอีกฝ่ายเป็นไฟ และเธอเป็นน้ำมัน เพียงแค่อยู่ใกล้กันมันก็พร้อมจะลุกไหม้ได้ง่ายๆถ้าปล
พอคล้อยหลังคนทั้งสอง เจ้าสิ่งที่เธอสะกดกลั้นไว้ก็ล้นออกมาจากดวงตาทั้งสองก่อนที่จะถูกเจ้าตัวรีบปาดออกคนใจร้าย! ทั้งที่เขามีคนรักอยู่แล้ว ทั้งที่เขาไม่ได้รักเธอเลยซักนิด แต่ก็ยังมาล้อเล่นกับความรู้สึกกันแบบนี้อีก แต่ที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือเจ้าหัวใจไม่รักดีของเธอนี่ล่ะที่โง่งมหลงเคลิ้มไปตามเกมส์ของเขาอีกจนได้เมื่อไหร่จะรู้จักเข็ดหลาบกับเขาเสียทีนะ...หลังจากประชุมเช้ากับผู้บริหารเสร็จ รุ้งลาวัณย์ก็เดินกลับมาที่ออฟฟิศเพียงคนเดียว ส่วนเจ้านายตัวร้ายของเธอกลับไม่ได้เข้ามาในออฟฟิศตลอดทั้งวัน ดูเหมือนเขาจะมีนัดต้องออกไปพบลูกค้าข้างนอก ทำให้เตชิตาหายใจคล่องขึ้น โดยหารู้ไม่ว่าตนถูกคนในออฟฟิศพากันมองมาอย่างไรหลังจากที่เธอเดินออกมาจากห้องเจ้านายในสภาพหน้าซีด และดวงตาแดงๆ แต่ก็ไม่มีใครกล้าถาม ได้แต่สงสัยและคาดเดากันไปเอง‘สงสัยโดนนายดุมาแหงๆ’‘ดอสเขาก็ดูไม่น่าโหดนะ ตั้งแต่มาฉันยังไม่เห็นเขาเสียงดังหรือดุใครเลย’‘คราวซวยน่ะสิ แต่ดูไปก็น่าสงสารนะ น้องก็ดูเรียบร้อยออก โดนนายดุหน้าจ๋อยไปเลย’คนหน้าจ๋อยนั่งทำงานของตัวเองไปเรื่อยๆ สมองยังคงวนเวียนคิดถึงเรื่องลับๆ ในห้องทำงานเมื่อเช้า จึงไม่ได้สนใจใคร จ