“อ๋อ...หลานอาวีเขาน่ะสิ ชื่อน้องลูกชิ้น หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู” พอนึกถึงเจ้าตัวเล็กขึ้นมา นายชิษณุก็อดยิ้มไม่ได้“ลูกชิ้น...” เจษภัทรทวนคำ แต่ในใจแอบตงิดๆ สงสัยขึ้นมา แต่ยังไม่ทันได้ถามสิ่งที่คาใจ นายวีระก็ยกก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟตรงหน้าเสียก่อนวินรดามองชามก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าด้วยสายตาเซ็งๆ ไม่ได้อยากกินเลยสักนิด แม้ว่าหน้าตาก๋วยเตี๋ยวจะหน้าตาน่าอร่อยไม่ได้ทุเรศทุรังอย่างที่คิดตอนแรก แต่ก็ขึ้นชื่อว่าร้านในตลาดสด มันคงไม่ถูกปากเธอมากมายอะไรหรอกน่าครั้นพอหันไปมองชายหนุ่มข้างกายที่นั่งนิ่งใจลอยก็แอบแปลกใจ“พี่เจ...พี่เจคะ”“ครับ มีอะไรหรือ” เจษภัทรได้สติ หันไปมองคนรัก พยายามเก็บงำความสงสัยในใจไว้อย่างมิดเม้น“เป็นอะไรไปคะ ทำไมนั่งเหม่อ คิดถึงใครอยู่หรือเปล่าคะ”“เปล่านี่ครับ กินก๋วยเตี๋ยวกันดีกว่านะ” ชายหนุ่มรีบเฉไฉกลบเกลื่อนสิ่งที่กำลังสงสัยค้างคา ในใจร้อนรนด้วยคำถามมากมาย แต่คนที่สามารถจะให้คำตอบเขาได้กลับไม่อยู่ให้เห็นหน้า นึกแล้วก็พาลให้รู้สึกหงุดหงิดลึกๆหรือเตชิตากำลังคิดหลบหน้าเขา เพราะมีอะไรปิดบังซ่อนเร้นไม่อยากให้เขารู้หรือเปล่าพลันคำพูดสุดท้ายที่เธอขอเขาเมื่อคืนก็ดังขึ้นในหู‘ไม่ว่า
“แม่ครับ ลูกชิ้นไม่ได้ทำจริงๆ” เตชิตาก้มลงมองดวงตาใสซื่อที่มีน้ำตาคลอเบ้า เธอเองก็เชื่อลูกรักหมดใจ แต่เพื่อความถูกต้อง“ก็ได้ค่ะ ฉันจะรับผิดชอบ แต่ต้องหลังจากที่เราได้รู้ความจริงทั้งหมดก่อน”ที่จริงมันก็แค่เรื่องของเด็กๆ เล่นกัน แต่ในเมื่อแม่ของเด็กอีกฝ่ายกลับอยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ลูกใครใครก็รัก แต่หากลูกชิ้นทำผิดจริง เธอก็พร้อมจะรับผิดชอบเหมือนที่เคยสอนลูกมาตลอด“ความจริง!”“ใช่ค่ะ ความจริง ถ้าลูกชายฉันผิดจริง ฉันยินดีจะรับผิดชอบ แต่...ถ้ากลับกันล่ะก็ คุณก็ต้องรับผิดชอบด้วย”แม่ของเด็กอีกคนหันไปสบตาสามี ก่อนเชิดหน้าอย่างถือดีเพราะมั่นใจว่างานนี้ตัวเองถูกแน่ๆ“ได้”“คุณคะ ฉันขอดูกล้องวงจรปิดที่ติดตรงนั้นหน่อยได้ไหมคะ” หญิงสาวหันไปเอ่ยกับผู้ดูแลสถานที่“งั้นก็ได้ค่ะ เชิญพวกคุณทางนี้”ทันทีที่ภาพจากกล้องวงจรปิดย้อนกลับไปที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สีหน้าคนที่คิดว่าตัวเองถูกแน่ๆ ก็เริ่มเปลี่ยนสีจากแดงเป็นเขียวก่อนกลายเป็นซีดเผือด เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรก ว่าลูกชายตนเข้าไปหาเรื่องเด็กชายเตชินท์ก่อนเตชิตาโอบกระชับลูกน้อยในอ้อมแขนไว้แน่น เมื่อเห็นว่าลูกถูกอีกฝ่ายรังแกก่อนด้วยก
ดวงตาคมกริบทอดมองไปยังถนนเบื้องหน้าที่การจราจรติดขัด ตั้งแต่ออกจากร้านก๋วยเตี๋ยวจนพาพ่อไปส่งที่บ้านเรียบร้อย เขาก็ยังไม่อาจสลัดสิ่งที่ติดค้างในหัวใจออกไปได้ พอเผลอตัว ใจก็แล่นกลับไปคิดเรื่องเดิมอีก จนบางครั้งก็ลืมไปว่าข้างกายยังมีผู้หญิงอีกคนที่เขาควรสนใจให้มาก ในฐานะว่าที่คนที่จะมาร่วมชีวิตกันในอนาคตอันใกล้“ว่าไงคะ คิดถึงสาวที่ไหนหรือเปล่า” วินรดาสรรพยอก“ถ้าไม่อยากให้พี่คิดถึงใคร เราแต่งงานกันสักทีดีไหม”“พี่เจ...” หญิงสาวทำหน้าง้ำ “เราคุยกันแล้วนี่คะ ว่าจะรอไปก่อน ตอนนี้วินนี่กำลังยุ่งๆ กับการเปิดร้านกับเพื่อนๆ อยากได้เวลาอีกสักปีสองปี ให้ร้านอยู่ตัว เราค่อยแต่งตอนนั้นก็ไม่สายนี่คะ”เจษภัทรถอนหายใจเฮือกกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาขออีกฝ่ายแต่งงาน แต่ทุกครั้งมันก็ลงเอยที่ว่าเขายังคงต้องรอต่อไปอย่างไร้จุดหมาย เพราะอีกฝ่ายอยากทำตามความฝันของตนด้วยการเปิดร้านเสื้อผ้าแบรนด์ของตัวเอง และยังอยากใช้ชีวิตสาวโสดให้คุ้มเสียก่อนที่จะต้องลงหลักปักฐานกับเขา“ทำไมคะ ทำไมพี่เจถึงอยากรีบแต่งนัก หรือกลัววินนี่จะเปลี่ยนใจ ฮึ” วินรดายิ้มหวาน แกล้งหยอก“ใช่และไม่ใช่ พี่ไม่อยากรอแล้ว ถ
ป่านนี้เธอคนนั้นจะกลับถึงบ้านหรือยังนะ หรือว่าจะมัวเตร็ดเตร่เที่ยวเพลินกับใครบางคน อาจเป็นนายธัชพงศ์อะไรนั่น หรือไม่ก็เป็นใครคนที่เธอแอบคุยโทรศัพท์ด้วยอย่างหวานชื่นเมื่อวานเพียงคิดถึงเสียงจุ๊บๆ และใบหน้าใสๆ ยามที่ส่งยิ้มให้หนุ่มๆ ในแผนกตอนงานเลี้ยงเมื่อวาน เขาก็พาลหงุดหงิดขึ้นมาดื้อๆ“บ้าเอ๊ย! นี่เรามาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย” ชายหนุ่มสบถ พลางตบพวงมาลัยรถระบายความอัดอั้นในหัวใจทั้งที่เป็นคนบอกเธอให้ตัดใจเอง แล้วตัวเขากลับสลัดเธอออกจากหัวไม่ได้ อาจเป็นเพราะผิดหวังจากการขอแต่งงานที่ล้มเหลวอีกครั้ง มันเลยทำให้เขาอารมณ์แปรปรวนเช่นนี้พอคิดได้ เท้าที่เหยียบเบรกอยู่ก็ค่อยๆ เลื่อนไปที่คันเร่งเพื่อออกรถจากหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวนั่น หากทว่ายังไม่ทันได้ออกรถ จู่ๆ ก็มีรถแท็กซี่สีชมพูแล่นเข้ามาเสียก่อนมันคงไม่มีอะไร หากสายตาเขาไม่บังเอิญหันไปเห็นผู้โดยสารสาวที่นั่งมาในรถคันนั้น จนเผลอเหยียบเบรคอีกหน พร้อมกับที่รถแท็กซี่คันนั้นจอดลงที่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวพอดีเจษภัทรกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นผู้โดยสารสาวเปิดประตูลงจากรถ พร้อมกับยื่นมือไปรับใครอีกคนลงมาชายหนุ่มหัวใจแทบหยุดเต้นทันใด ตัวชาวาบไปตั้งแต่
“หน้าเหมือนแกตอนสี่ซ้าห้าขวบไม่มีผิด”เจษภัทรสะดุดลมหายใจตัวเองนิดๆ เมื่อก้มลงมองรูปถ่ายของตัวเอง พลันภาพเด็กน้อยในมือถือของเธอคนนั้นและเด็กชายที่ลงมาจากแท็กซี่พร้อมเตชิตาเมื่อวานก็แวบเข้ามาในสมองอีกครั้ง“นี่ถ้ามีใครมาหลอกพ่อว่าตาลูกชิ้นเป็นลูกชายแก พ่อคงเชื่อสนิทใจ ดูสิ คิ้ว ตา จมูก ปาก ผิวพรรณ ดูยังไงก็เหมือนแกชัดๆ เลย อย่างกับโขลกมาจากพิมพ์เดียวกันไม่มีผิด”“แล้วถ้าเกิดเป็นลูกผมขึ้นมาจริงๆ ล่ะครับ พ่อจะว่ายังไง”คำถามนั้นทำเอานายชิษณุหันขวับไปมองลูกชาย“ห๊ะ! ว่าไงนะ”“ถ้าลูกชิ้นเป็นลูกของผม พ่อจะดีใจไหมครับ”“อย่ามาล้อเล่นน่า เด็กคนนั้นอายุสี่ซ้าห้าขวบได้ ตอนเขาคลอด แกก็ยังเรียนที่เมืองนอกอยู่เลย เออ ถ้าบอกว่ามีลูกกับแฟนแก แม่หนูวินนี่คนนั้นก็ว่าไปอย่าง พ่อยังจะพอเชื่อได้บ้าง ก็เห็นไปเรียนต่อด้วยกันมาตั้งหลายปี”เจษภัทรถอนหายใจอย่างหนักอึ้งและสับสนกับสิ่งที่พยายามคิดหาคำตอบมาทั้งคืนถึงความเป็นไปได้ในเรื่องนี้“นั่นลูกคิดอะไรอยู่” คนเป็นพ่อเริ่มจับสังเกตความผิดปกติบนใบหน้าของอีกฝ่ายได้“เปล่าครับ ผมแค่คิดเรื่อยเปื่อย”“แทนที่แกจะคิดเรื่อยเปื่อย ทำไมไม่เอาเวลามาคิดเรื่องแต่งงานแต่งก
คนที่บอกขอตัวไปงีบ ตอนนี้กำลังนอนก่ายหน้าผาก ไม่อาจข่มตาหลับได้ทั้งที่เขาไม่ได้นอนมาทั้งคืนบวกกับค่อนวัน ร่างกายแสนเพลียอ่อนล้า แต่สมองกลับว้าวุ่นครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เลิกเด็กคนนั้นที่เห็นเป็นลูกชายของเขาจริงๆ หรือไม่ถ้าใช่แล้วทำไมเตชิตาถึงไม่ยอมบอกเขาให้รู้ โอเคล่ะ หลังเกิดเรื่องเขาก็สอบชิงทุนไปเรียนเมืองนอกได้ เธอจึงไม่มีโอกาสบอก แต่เมื่อได้พบกันอีกครั้ง เธอก็ควรจะเอ่ยปากบอกเขาสักคำสิชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น อย่างคนคิดไม่ตก ความรู้สึกผิดกำลังโบยตีเขาอย่างไม่ยั้งมือ ในฐานที่เป็นคนไม่รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปกับเธอคนนั้น ไหนจะแฟนสาวอย่างวินรดาอีกล่ะ เขาควรจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรเจษภัทรกระแทกลมหายใจระบายความอัดอั้นที่จุกแน่นในอก ปกติเขามักจะจัดการทุกสิ่งในชีวิตตามแผนที่ตัวเองวางไว้ได้อย่างดีเยี่ยม แต่เรื่องนี้มันอยู่นอกแผนของเขา เป็นสิ่งที่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นเขาควรรับมือกับเรื่องนี้ยังไงดี ควรเริ่มจากจุดไหนก่อน หรือควรปล่อยให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ต่อไป บางทีมันอาจจะดีกว่าไปฟื้นฝอยหาตะเข็บ แต่ทว่า...เขาไม่อาจลบภาพสองแม่ลูกออกจากสมองได้!‘ตอนที่แม่แกมาบอกว่าท้องแก พ
วันนี้วันจันทร์ เธอไม่ไปทำงานหรือไร เขามัวแต่สนใจเด็กน้อยจนลืมสังเกตว่าวันนี้แม่ของลูกไม่ได้แต่งชุดยูนิฟอร์ม ไวเท่าใจคิด มือของเขารีบคว้ามือถือขึ้นมาและกดโทรหาเลขาเพื่อหาคำตอบทันที“ลาป่วยงั้นเหรอ!” คิ้วเข้มขมวดแน่น เมื่อได้ยินปลายสายตอบกลับมาในสิ่งที่สงสัย ตาคมกริบจ้องมองคนป่วยที่ยืนรอรถเมล์แดดเปรี้ยงๆ ที่ป้ายรถประจำทางนั่น ดูยังไงก็ห่างไกลจากคำว่าป่วยนัก“ป่วยการเมืองน่ะสิไม่ว่า”“ดอสว่าอะไรนะคะ” เสียงปลายสายถามกลับมาอย่างงุนงง ทำให้เขานึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้วางสาย“เปล่าครับ ผมเพียงแค่จะบอกว่าวันนี้ผมอาจเข้าสายสักหน่อย แต่หากมีงานเร่งด่วนคุณรุ้งโทรหาผมได้เลย เท่านี้ก่อนนะครับ” ชายหนุ่มกดวางสาย พลางมองผู้หญิงที่ทำให้เขาว้าวุ่นใจอย่างครุ่นคิดวันเวลาเปลี่ยนเธอไปจากวันวานไม่น้อย จากสาวน้อยสดใสร่าเริงกลายมาเป็นคุณแม่วัยสาว ความอ่อนโยนที่เธอแสดงออกกับเด็กชายตัวน้อยที่เห็นทำให้หัวใจเขาหวั่นไหวโดยไม่รู้ตัวทว่าความคิดของเขาพลันถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังแทรกขึ้น เจษภัทรรีบกดรับสายโดยไม่ทันมองหน้าจอโทรศัพท์ เพราะสายตาเขายังตามติดร่างเพรียวบางที่กำลังก้าวขึ้นรถเมล์เพิ่งจอดเทียบต
“เป็นอะไรไปน่ะลูกวินนี่” คนเป็นแม่ถามอย่างเป็นห่วง“ก็พี่เจน่ะสิคะ วินนี่อุตส่าห์บอกว่าคุณพ่อกับคุณแม่ชวนทานข้าวที่บ้านเย็นนี้ แทนที่จะดีใจรีบตอบรับ นี่อะไรกัน เขาดันปฏิเสธเสียอย่างนั้นบอกว่าติดงาน ทีวินนี่ยังทนไปกินข้าวที่ร้านก๋วยเตี๋ยวซ่อมซ่อกับพ่อเขาได้เลย มันน่าโมโหจริงๆ”“งั้นก็เลิกเสียสิลูก จะไปยากอะไร” หญิงสาวหันไปมองคนพูดตาค้าง“คุณพ่อ!”“ในเมื่อเขาไม่เห็นความสำคัญของลูกสาวพ่อ แล้วเราจะต้องไปง้อทำไม นายอะไรนี่น่ะ พ่อไม่เห็นว่าเขาจะมีดีกว่าลูกตรงไหน แค่หน้าตาดีอย่างเดียว ฐานะ ชาติตระกูลอะไรก็งั้นๆ พ่อก็ไม่เห็นว่าเขาจะเหมาะสมหรือเชิดหน้าชูตาให้เราที่ตรงไหนเลย”“นั่นสิจ๊ะ แม่ก็เห็นด้วย ลูกสาวแม่ทั้งสวย ทั้งรวย ชาติตระกูลอะไรก็ดีกว่าทุกอย่าง จะหาคนที่ดีกว่านายอะไรนี่ก็ได้ ลูกชายเพื่อนคุณพ่อ หรือไม่ก็ลูกเพื่อนแม่ก็มีที่ดีกว่าเขาถมเถไป”“พ่อคะ แม่คะ เราเคยคุยกันเรื่องนี้ตั้งหลายหนแล้วนี่คะ หนูคบกับพี่เจมาตั้งนาน เขาก็เป็นคนดีนะคะ อย่างน้อยก็ไม่เคยนอกใจวินนี่สักครั้ง” หญิงสาวอดแก้ตัวแทนไม่ได้ แม้ว่าสิ่งที่พ่อกับแม่เธอพูดมาจะเป็นความจริงก็เถอะ“แต่ลูกก็ไม่ควรปิดกั้นโอกาสตัวเองนี่จ๊ะ ต
ภาพนั้นทำให้เตชิตารู้สึกลำคอตีบตันจนพูดไม่ออก หรือนี่จะเป็นสายสัมพันธ์ที่สื่อถึงกันระหว่างสายเลือด แม้ไม่รู้ว่าเป็นพ่อลูกกันก็ตาม แต่คนที่รู้เต็มอกอย่างเธอควรจะทำอย่างไรดี หากปล่อยให้ลูกรักเขาจนหมดใจ แล้วในวันหนึ่งข้างหน้าได้รู้ความจริงที่น่าเจ็บปวด เจ้าลูกชิ้นของแม่จะเสียใจมากเพียงใด“ส่งลูกมาให้ฉันดีกว่านะคะ”“ให้พี่อุ้มเขาไปส่งที่ห้องเถอะนะ” สายตาเว้าวอนคู่นั้นทำให้หญิงสาวปฏิเสธไม่ออก พอหันไปสบตากับพ่อและแม่ของเธอ ทั้งสองก็นิ่งไปก่อนพยักหน้าไม่ได้ขัด“งั้นก็ได้ค่ะ” หญิงสาวถอนหายใจก่อนเดินนำทางไปที่ห้องนอนของตน ทิ้งให้ผู้ใหญ่อีกสี่คนมองตาม“ดูเถอะ ไม่รู้ว่าลูกชายฉัน หรือหลานชายนาย ใครติดใครกันแน่” นายชิษณุส่ายหน้าเบาๆ มองตามเจ้าลูกชายที่โอบอุ้มหลานชายเพื่อนอย่างอ่อนโยนราวกับเป็นลูกของตัวเอง“นั่นสิคะ แต่ก็แปลกนะคะ ปกตินอกจากพวกเรา ตาลูกชิ้นก็ไม่ได้ติดใครง่ายๆ แบบนี้” ตารกาเสริม เธอเองก็อดแปลกใจไม่ได้“จริงสิ ฉันก็ว่าจะถามตั้งแต่คราวก่อนที่เจอกัน ว่าพ่อของตาลูกชิ้นเขาเป็นใครกัน แล้วนี่วันเกิดลูกทั้งที ทำไมเอาแต่ทำงานจนไม่ยอมกลับมาหาลูกเต้าล่ะ” นายชิษณุหันไปถามเพื่อนอย่างสงสัย“ไม่รู้
เตชิตาเม้มริมฝีปากแน่น เธอเป็นคนเดียวที่รู้เจตนาที่แท้จริงของเขา แต่กลับทำอะไรไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน ได้แต่ภาวนาว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นว่าลูกชายเธอและชายหนุ่มตรงหน้านั้นละม้ายคล้ายคลึงกันมากเพียงใด“ดูเจ้าตัวแสบของแม่สิคะ ดีใจจนลืมกินเค้กของโปรดตัวเองไปแล้ว” ตารกาหันไปเอ่ยกับมารดาที่ยืนมองสองหนุ่มสองวัยตรงหน้าอย่างนึกแปลกใจ“นั่นสิ นี่ถ้าไม่รู้จักมาก่อน แล้วมาบอกว่าเป็นพ่อลูกกันล่ะก็ แม่เชื่อสนิทเลยนะนี่ จริงไหมพ่อ”“เหลวไหลน่ะแม่ เจ้านุมันก็เคยบอกว่าตาเจกำลังจะแต่งงาน คราวก่อนยังพาแฟนมากินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านเราอยู่เลยแม่จำไม่ได้เหรอ”“จริงสิ” นางตวงพรพยักหน้าอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนหันไปถามเพื่อนของสามีที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่“แล้วนี่ตาเจเขาจะแต่งงานเมื่อไหร่ล่ะคะพี่นุ”“อืม เห็นว่าจะหมั้นกันไว้ก่อน งานหมั้นก็ได้ยินว่าคุยๆ กันแล้วกำหนดจัดต้นเดือนหน้านี่แหละ แต่งกันเร็วๆ ก็ดี ฉันจะได้มีหลานน่ารักๆ อย่างตาลูกชิ้นให้อุ้มบ้าง ไงครับลูกชิ้น อยากมีน้องมาเล่นด้วยไหมลูก”คำถามนั้นทำให้เตชิตาหน้าถอดสี ขณะที่คนกำลังช่วยเด็กน้อยแกะกล่องของขวัญแอบชะงักไปนิดๆ“อยากครับ ลูกชิ้นอยากมีน้องผู้ชาย จะได้
“งั้นเดี๋ยวแตมไปดูให้เองค่ะพ่อ”เตชิตารีบอาสา หากทว่าพอเปิดประตูและได้เห็นคนที่ยืนรออยู่ หญิงสาวก็ตกตะลึงไปชั่วขณะเมื่อได้พบแขกที่ไม่ได้รับเชิญ“ยัยแตม ใครมาน่ะลูก” นายวีระร้องถาม แต่ไม่ทันใจเขาจึงเดินตามออกมาดูเสียเอง“อ้าว! เจ้านุไปไงมาไง ตาเจก็มาด้วย มีอะไรหรือเปล่า เข้ามาก่อนๆ”เตชิตาเหลือบมองคนที่เดินตามนายชิษณุเข้ามาในบ้านในมือทั้งสองมีถุงข้าวของหลายใบ เป็นจังหวะที่เขามองมาพอดี จึงสบตากันโดยไม่ตั้งใจ“อ้าว! แล้วนั่นหอบอะไรกันมาเยอะแยะล่ะ”“ก็พอได้ยินว่าวันนี้วันเกิดหลานนายน่ะสิ เจ้าเจมันก็เลยไปหาซื้อของขวัญซื้อขนมนมเนยมาให้หลาน แล้วจู่ๆ ก็โทรไปบอกให้ฉันเตรียมตัว แล้วก็ไปรับมาบ้านนายนี่แหละ” นายชิษณุแกล้งตัดพ้อเพื่อนสนิท“วันเกิดเด็กๆ น่ะ ก็เลยไม่ได้ชวนใคร ปกติก็จัดกันเล็กๆ ในบ้านเท่านั้นเอง ว่าแต่แกรู้ได้ยังไงล่ะ”“เห็นว่ารู้จากเพื่อนที่ทำงานหนูแตมน่ะสิ” นายวีระหันไปมองลูกชายเพื่อนอย่างสงสัย“หืม...”“อ้าว หนูแตมไม่ได้บอกแกเหรอว่าเขาทำงานที่เดียวกับตาเจ”“เปล่า...ไม่ได้บอก” นายวีระปรายตามองลูกสาวอย่างสงสัย“แล้วนี่ตาลูกชิ้นอยู่ไหนล่ะ” ถามไม่ทันขาดคำก็มีเสียงใสๆ ดังแทรกขึ้นเสียก่
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ ก็แค่ลืมในสิ่งที่ไม่ควรจำเท่านั้น...”เจษภัทรนิ่งงันไปชั่วขณะ ราวกับมีกำแพงบางๆ มากั้นระหว่างเขากับเธอไว้ แม้อยู่ใกล้เพียงเอื้อม แต่กลับรู้สึกเหมือนไกล ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะปล่อยต้นแขนของเธอ แล้วกลับไปจับพวงมาลัยเพื่อออกรถฝ่าไปบนทางที่มืดสลัวอีกครั้งบรรยากาศในรถกลับมาเงียบงันเช่นเดิม เตชิตามองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งรถของเขาเลี้ยวเข้ามาในซอยและจอดลงที่หน้าบ้านของเธอ“เดี๋ยว!” มือที่กำลังจะเปิดประตูชะงักไปนิดๆ“เรื่องที่เธอจะลาออกนั่น พี่ยังไม่อนุมัติ” ชายหนุ่มทำลายความเงียบ “อีกไม่ถึงเดือนเธอก็จะผ่านโปรแล้ว พี่อยากให้เธอทำงานที่นี่ต่อไป”“ทำไมคะ...”“ถ้ามีใครสักคนต้องไป พี่ขอไปเองดีกว่า...”“...”ประโยคนั้นทำให้คนฟังถึงกับอึ้ง หันขวับไปมองคนพูดทันที ใบหน้าหล่อเหลาดูอ่อนล้า แต่กลับส่งยิ้มละมุนเฉกเช่นพี่ชายใจดีที่เธอแอบตกหลุมรักในวันวานมาให้“ดึกมากแล้ว รีบเข้าบ้านเถอะ เดี๋ยวลูกจะรอ”หญิงสาวรีบเบือนหลบสายตาที่มองมา กลัวใจตัวเองจะหวั่นไหว แต่ตอนที่เอื้อมมือไปเปิดประตูลงจากรถ จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้จึงหันกลับมา“ฉันยินดีกับคุณด้วยนะคะเรื่องหมั้น ขอให
รถแท็กซี่ที่มารับส่งแขกที่โรงแรมผ่านเข้าออกคันแล้วคันเล่า แต่หญิงสาวยังคงยืนนิ่งที่เดิมก็ไม่ได้โบกเรียกสักคัน รอจนกระทั่งน้ำตาเหือดแห้งไปพร้อมกับความรู้สึกที่อัดแน่นในหัวใจคลายลงบ้างหลังจากได้ระบายออก หญิงสาวจึงขยับเท้าไปทางด้านหน้าของโรงแรม เพื่อเดินไปเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่งที่เปิดไฟว่างผ่านมาพอดีหากทว่าตอนที่กำลังเอื้อมมือจะไปเปิดประตูนั้นเอง จู่ๆ ก็มีมือใครคนหนึ่งคว้ามือเธอไว้เสียก่อนเตชิตาใจหายวาบ หันขวับ พอเห็นว่าคนที่คว้าข้อมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อยเป็นใคร หญิงสาวก็รีบสะบัดมือออกทันที แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ“ปล่อย!”“กลับด้วยกัน พี่จะไปส่ง”“ฉันกลับเองได้ค่ะ ไม่อยากติดหนี้บุญคุณใคร” หญิงสาวสะบัดเสียงแข็งใส่ ตอนนี้เธอไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองเพื่อใคร“อย่าดื้อ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”หญิงสาวพยายามขืนตัวไว้ แต่ก็ไม่อาจสู้แรงเขาได้ สุดท้ายก็ถูกฉุดดึงให้ขึ้นรถของเขาจนได้ พอเธอจะเปิดประตูลง ก็ถูกสายตาดุเข้มคู่นั้นกดตรึงไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้“คุณต้องการอะไรอีก”“เวลา...ไม่นานหรอก พี่อยากคุยกับเธอ” ริมฝีปากสวยเม้มแน่น ก่อนเบือนหน้าหนีเจษภัทรถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่
จึงได้แต่สงบปากเสีย พร้อมกับนึกถึงใครบางคนที่ป่านนี้คงกำลังชะเง้อรอเธอกลับบ้าน หญิงสาวแอบก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือตัวเองนึกอยากให้เวลาผ่านไปไวๆ จะได้รีบกลับไปหาเจ้าลูกชิ้นน้อยๆ ของแม่เสียทีคิดเพลินๆ จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของเตชิตาก็ดังขึ้น จังหวะนั้นสองหนุ่มสาวตรงหน้ากำลังคุยรำลึกความทรงจำตอนไปเรียนต่อด้วยกันจึงหันมาทางเธอเป็นตาเดียว“ฮั่นแน่ ตายยากจริงแฟนเธอ สงสัยจะโทรมาบอกเปลี่ยนใจมาทานข้าวด้วยกันหรือเปล่า รีบรับสิจ๊ะ”“งั้นแตมขอตัวไปคุยโทรศัพท์สักครู่นะคะ” เตชิตาบอกโดยทำเป็นมองไม่เห็นดวงตาเขียวปั๊ดของใครบางคนที่แฉลบผ่านมา ก่อนเสคว้าแก้วไวน์แดงขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว“แม่แตมครับ เมื่อไหร่จะกลับบ้าน ลูกชิ้นคิดถึง”เพียงได้ยินเสียงจากปลายสาย ความอึดอัดใจตลอดทั้งวันก็จางหาย หญิงสาวเพิ่งรู้สึกว่ายิ้มออกเป็นครั้งแรกของวันโดยไม่ต้องฝืนยิ้มจนหน้าเกร็งเหมือนตอนอยู่ต่อหน้าทุกคน“แม่ก็คิดถึงลูกชิ้นครับ อีกเดี๋ยวแม่ก็กลับแล้วลูก”“งั้นลูกชิ้นจะรอแม่แตมกลับบ้าน มาเล่านิทานให้ฟัง”“ได้เลย เดี๋ยวแม่รีบกลับไปเล่าให้ฟังนะครับคนดี งั้นแค่นี้ก่อนนะลูก” เตชิตายิ้มเมื่อคิดถึงใบหน้าของลูกชาย โดยหารู้
“วินนี่ ฟังพี่อธิบายก่อน”“ไม่ฟัง พี่เจปล่อย...”เตชิตาอยากจะหันหลังแล้ววิ่งหนีไปจากฉากตรงหน้า แต่มันก็ทำไม่ได้ สุดท้ายสมองก็สั่งให้ร่างกายทำในสิ่งที่หัวใจไม่อยากทำจนได้“พี่วินนี่คะ”เสียงเรียกนั้นทำให้คนทั้งสองหยุดนิ่ง วินรดาหันไปมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาใกล้อย่างระแวง ริมฝีปากอิ่มสวยเม้มแน่น“เธอ...รู้จักฉันด้วยหรือ”“พี่วินนี่จำแตมไม่ได้แล้วเหรอคะ”“แตม...” วินรดาทวนคำ สีหน้างุนงง“ใช่ค่ะ แตมเอง น้องรหัสของพี่ที่มหาวิทยาลัยไงคะ”วินรดานิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนคลี่ยิ้มออกมาในที่สุด“อ๋อ...พี่จำได้แล้ว”เตชิตาลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนสถานการณ์ตึงเครียดจะคลี่คลาย เมื่ออีกฝ่ายมีสีหน้าดีขึ้น ผิดกับตอนพบกันเมื่อครู่“โธ่เอ๊ย! ที่แท้ก็คนกันเองทั้งนั้น พี่ก็หลงนึกว่าถูกแฟนตัวเองนอกใจแล้วสิ นี่ถ้าน้องแตมบอกพี่ช้าไปอีกนิดล่ะก็ มีหวังพี่เจเละแน่ๆ”เตชิตามองมือของรุ่นพี่สาวสวยที่กอดแขนเจษภัทรอย่างสนิทสนม ก่อนบังคับให้ตัวเองฝืนยิ้มออกมาราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทั้งที่ในอกกำลังทุรนทุราย“แล้วเมื่อกี้ที่พี่เห็นตอนแรก พี่เจกำลังรังแกน้องหรือเปล่า บอกพี่ได้นะ เดี๋ยวพี่จัดการให้ กล้ารังแกน้องรหัสพ
“ถ้าคุณไม่มีอะไรจะคุยแล้ว งั้นดิฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ พอดีมีคนรออยู่”เตชิตายิ้มเย็นชา หันไปคว้ากระเป๋าสะพาย ทำท่าจะผละไป ก่อนที่เธอจะหน้ามืดทนไม่ไหวแล้วหาอะไรเขวี้ยงใส่คนร้ายกาจตรงหน้าให้สาใจ“เดี๋ยว!”หญิงสาวชะงัก ก่อนปรายตามองมืออีกฝ่ายที่คว้าข้อมือเธอไว้อย่างเย็นชา“คุณมีอะไรจะแนะนำอีกเหรอคะ หรือว่ามีผู้ชายดีๆ คนไหนจะแนะนำให้รู้จัก อุ๊ย!” หญิงสาวอุทานอย่างตกใจ เมื่อถูกกระชากเข้าหาอ้อมอกแกร่งที่ตวัดขังเธอไว้อย่างถือสิทธิ์“ทำไมต้องแนะนำคนอื่น ก็ผมนี่ไง ไหนๆ เราก็เคยพลาด...ด้วยกันมาแล้วไม่ใช่หรือ”“ก็บอกแล้วไงคะว่า ฉันจะไม่ยอมพลาดซ้ำ...อุ๊บ!” ยังไม่ทันพูดจบ หญิงสาวก็ต้องผงะเมื่อใบหน้าหล่อเหลาฉกลงมามัดปากเธอไว้ด้วยริมฝีปากของเขาอย่างเผ็ดร้อนปนดุดันริมฝีปากอุ่นร้อนของเขาบดขยี้ลงบนกลีบปากอิ่มสวยราวกับทำโทษที่เธอยั่วโมโหเขา ก่อนที่จะส่งปลายชิวหาเข้าไปกวาดต้อนชิมความหวานของเธอทุกซอกทุกมุม โดยไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ขัดขืนหรือต่อต้านได้เลยจูบของเขาแสนเอาแต่ใจและเรียกร้อง แต่มันกลับทำให้ไฟในกายเธอลุกโชน ราวกับอีกฝ่ายเป็นไฟ และเธอเป็นน้ำมัน เพียงแค่อยู่ใกล้กันมันก็พร้อมจะลุกไหม้ได้ง่ายๆถ้าปล
พอคล้อยหลังคนทั้งสอง เจ้าสิ่งที่เธอสะกดกลั้นไว้ก็ล้นออกมาจากดวงตาทั้งสองก่อนที่จะถูกเจ้าตัวรีบปาดออกคนใจร้าย! ทั้งที่เขามีคนรักอยู่แล้ว ทั้งที่เขาไม่ได้รักเธอเลยซักนิด แต่ก็ยังมาล้อเล่นกับความรู้สึกกันแบบนี้อีก แต่ที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือเจ้าหัวใจไม่รักดีของเธอนี่ล่ะที่โง่งมหลงเคลิ้มไปตามเกมส์ของเขาอีกจนได้เมื่อไหร่จะรู้จักเข็ดหลาบกับเขาเสียทีนะ...หลังจากประชุมเช้ากับผู้บริหารเสร็จ รุ้งลาวัณย์ก็เดินกลับมาที่ออฟฟิศเพียงคนเดียว ส่วนเจ้านายตัวร้ายของเธอกลับไม่ได้เข้ามาในออฟฟิศตลอดทั้งวัน ดูเหมือนเขาจะมีนัดต้องออกไปพบลูกค้าข้างนอก ทำให้เตชิตาหายใจคล่องขึ้น โดยหารู้ไม่ว่าตนถูกคนในออฟฟิศพากันมองมาอย่างไรหลังจากที่เธอเดินออกมาจากห้องเจ้านายในสภาพหน้าซีด และดวงตาแดงๆ แต่ก็ไม่มีใครกล้าถาม ได้แต่สงสัยและคาดเดากันไปเอง‘สงสัยโดนนายดุมาแหงๆ’‘ดอสเขาก็ดูไม่น่าโหดนะ ตั้งแต่มาฉันยังไม่เห็นเขาเสียงดังหรือดุใครเลย’‘คราวซวยน่ะสิ แต่ดูไปก็น่าสงสารนะ น้องก็ดูเรียบร้อยออก โดนนายดุหน้าจ๋อยไปเลย’คนหน้าจ๋อยนั่งทำงานของตัวเองไปเรื่อยๆ สมองยังคงวนเวียนคิดถึงเรื่องลับๆ ในห้องทำงานเมื่อเช้า จึงไม่ได้สนใจใคร จ