บทที่2
หลิวเหว่ยขี่ม้าออกนอกเมืองไปราวกับคนไร้จิตใจ สีหน้าของชายหนุ่มนิ่งสนิท เมื่อตอนย่ำรุ่งยามที่เขาสบเข้ากับดวงตาสวยของเสี่ยวจื้อก็เห็นได้ชัดว่ามันบวมแดง เขารู้ว่านางเสียใจกว่าครั้งก่อนที่เขาไปช่วยจัดการเรื่องอ๋องก่อกบฎ เรื่องครั้งนั้นไม่ได้เดินทางไปไหนไกลเพราะเรื่องเกิดขึ้นที่เมืองหลวงและเพราะความกล้าหาญที่คนอย่างเขากระทำเมื่อรวมกับเรื่องเก่าในอดีตของบิดาทำให้ในครั้งนั้นเขาได้ตำแหน่งที่ค่อนข้างถือว่าข้ามหน้าข้ามตาใครหลาย ๆ คนแต่เพราะคำพูดของท่านราชครู แม่ทัพหาน และฮ่องเต้ที่ยังคงรู้สึกผิดกับสกุลหยุนในคราก่อนจึงทำให้หลิวเหว่ยได้ตำแหน่งที่มีอยู่มา แม้จะเป็นเพียงนายกองทั่ว ๆ ไป แต่ในเหล่าทหารก็จะรู้ว่าเขามีป้ายพิเศษที่ฮ่องเต้ประทานซึ่งสามารถออกคำสั่งคนที่มียศเดียวกันได้ ทำได้แม้กระทั่งสั่งนายกองคนอื่น หรือแม้กระทั่งตูตู ที่จริงป้ายนี้ก็ทำให้ชายหนุ่มมีตำแหน่งเทียบเท่ากับเซี่ยตูตู เขาถึงได้มาขี่ม้าอยู่เช่นนี้ไม่ต้องเดินไปกับเหล่าพลทหาร ชายหนุ่มถอนหายใจน้อย ๆ หากไม่เพราะเรื่องในวัยเยาว์เขาก็คงไม่ต้องพยายามขนาดนี้ คำพูดของท่านราชครูเขาก็เข้าใจ คนเป็นพ่อทุกคนย่อมเป็นห่วงบุตรสาวของตน แต่ยิ่งฟังท่านราชครูพูดเช่นนั้นแล้ว หากเขายังคงมีแต่ตำแหน่งลอย ๆ มิได้เป็นแม่ทัพมิได้เป็นขุนนางขั้นห้าขั้นสี่แล้วล่ะก็ คนก็คงจะมองเสี่ยวจื้อไม่ดีเป็นแน่ คนคงได้นินทาที่นางไม่รู้จักสรรหาของดีให้ตนหยิบลูกท้อมีตำหนิที่หล่นจากต้น ชายหนุ่มส่ายหัวไล่ความกังวลใจออกไป “หากจะแต่งกับเสี่ยวจื้อให้ไม่อายใครเจ้าก็ต้องพิสูจน์ตัวเอง แต่อย่าลืมว่าลูกข้านางรักเจ้ามิต่างจากที่เจ้ารักนาง หากมันไม่สำเร็จจริง ๆ ก็กลับมาอย่าให้นางรอนานไม่เช่นนั้นข้าคงต้องหาคู่ให้นางใหม่คงปล่อยให้นางรอเจ้าเก้อไม่ได้” คำของราชครูเมื่อเย็นวานทำให้หลิวเหว่ยหนักใจ แต่หลินเหว่ยก็ตอบรับกลับไปทันที “ข้าไม่ทำให้นางต้องรอแน่ ๆ ขอรับท่านลุง” คนมีอายุถอนหายใจ เขารู้ว่าเรื่องของบุตรสาวและบุตรชายของสหายนั้นมันเกิดขึ้นได้อย่างไร แม้ฮูหยินของเขานางจะดูเหมือนไม่ชอบหลิวเหว่ย แต่แท้จริงแล้วเปิดโอกาสหลายครั้งทั้งยังถามคำถามนำเขาอีกหลายหน ก็คงหมายใจจะช่วยเด็กทั้งสองให้สมหวัง “หวังว่าเจ้าไปแล้วจะไม่ลืมคำสัญญาที่ให้เอาไว้กับข้าตอนที่มาขอเสี่ยวจื้อนะ” หลิวเหว่ยยกมือขึ้นเคารพผู้สูงวัยที่อุ้มชูเด็กน้อยไร้ที่พึ่งพิงเช่นเขา “ข้าสัญญาและสาบานข้าจะไม่มีใคร จะมีเพียงแค่นางอย่างที่เคยได้ให้คำมั่นกับท่านลุงเอาไว้ขอรับ” คนมีอายุถอนหายใจอีกครั้ง“หากบิดพริ้วแม้แต่น้อยปลายผมของนางเจ้าก็จะไม่มีวันได้เห็นอีก” หลิวเหว่ยรู้ท่านราชครูเอ่ยเช่นนั้นก็หมายจะเป็นการเปิดโอกาศให้แล้ว แต่ก็ยังไม่วายทิ้งคำเตือนเอาไว้ให้ด้วย “นายกองขอรับ แม่ทัพบอกให้ตั้งค่ายพัก คืนนี้เราจะพักกันที่นี่ขอรับ” หลิวเหว่ยพยักหน้ารับคำอีกฝ่าย พลางมองไปทั่ว ๆ แม้จะเดินทางมาไกลหลายลี้แต่ดูเหมือนจิตใจของเขาจะยังอยู่แค่ที่เมืองหลวงเท่านั้น ชายหนุ่มเขียนความรู้สึกลงในม้วนกระดาษที่ซ่อนใส่เอาไว้ในอก เขาค่อย ๆ คลี่ม้วนกระดาษที่หยิบออกมาจากกระบอกเหล็กที่ถูกสลักลวดลายงดงาม นี่เป็นของไม่กี่อย่างที่เป็นของบิดาแล้วเขาได้เก็บรักษาเอาไว้อย่างดี ‘วันที่หนึ่ง มิเห็นใบหน้าของเจ้ายังไม่ครบสิบสองชั่วยามดวงใจข้าก็ไม่เป็นสุขเสียแล้ว’ ขณะที่คนไกลที่เพิ่งออกเดินทางไปนั้นคิดถึงหญิงสาวอันเป็นที่รัก ลู่จื้อที่ตื่นมาและไปส่งหยุนหลิวเหว่ยเป็นอย่างแรกก็ยังไม่ได้ทำอะไรหลังจากนั้นอีก นางนั่งเหม่อมองดูนกน้อยสองตัวที่คอลเคลียกัน ภาพของหญิงสาวที่ทุกคนเห็นอยู่ในตอนนี้ราวกับภาพที่สวรรค์สรรค์สร้างบ่าวไพร่ต่างชื่นชม ยกเว้นเจ้าของจวนอย่างราชครูที่มองดูบุตรสาวตนเองเป็นเช่นนั้นแล้วใจมันเศร้าเหลือเกิน ผ่านไปนับสิบกว่าวันก็มีคนแจ้งข่าวมาทางเมืองหลวงว่าทัพแม่ทัพใหญ่หานพากองทัพเดินทางไปถึงชายแดนแล้ว การแจ้งข่าวกลับมาครั้งนี้มีจดหมายที่ฝากมาให้กับครอบครัวด้วย “เสี่ยวจื้อจดหมายจากพี่หลินเหว่ยน่ะลูก” ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของฮูหยินผู้ที่อยู่เบื้องหลังความรักของบุตรสาวและบุตรชายของสหายสามี เดินยิ้มร่าเข้ามาหาคนเป็นลูก เพราะนางนั้นรู้ดีว่าลู่จื้อรอจดหมายนี้มากแค่ไหน “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านแม่” หญิงสาวเปิดจดหมายออกอ่านอย่างรวดเร็ว ‘เดินทางถึงค่ายพักทหารแล้ว ความเป็นอยู่ดีว่าที่คาดไว้เจ้ามิต้องกังวล อยากจะพรรณนาความคิดถึงลงกระดาษให้เจ้ารู้ แต่กระดาษเพียงเท่านี้คงไม่เพียงพอจะบรรยายถึงความรู้สึกที่พี่มีต่อเจ้าได้จึงเขียนเป็นบันทึกเอาไว้ เมื่อวันที่พบเจอเจ้าอีกคราจะให้เจ้าอ่านให้หน่ำใจ’ เมื่อเห็นบุตรสาวอมยิ้มเมื่อได้อ่านจดหมายนั่นคนเป็นแม่ก็สบายใจ นางใช้เวลานานนับปีหยั่งเชิงสามีของตน เพราะเป็นคนมีความรู้จึงคิดรอบครอบแม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีอะไรคู่ควรกับบุตรสาวของตนแต่เหลียงฮูหยินก็เอาความรู้สึกของลู่จื้อเป็นที่ตั้ง แต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าสามีของนางจากทำหน้านิ่ง ๆ สุดท้ายก็จะยอมให้ทั้งสองทำสัญญาหมั้นหมายเอาไว้ก่อน แม้ว่ามันจะยังไม่ได้ยืนยันอะไร แต่แค่นี้สำหรับหลิวเหว่ยก็คงเพียงพอแล้วบทที่3“คุณหนูเหลียงมีจดหมายจากกองทัพด่านหน้าเมืองฉีขอรับ” เสียงเช่นนี้จะดังขึ้นในทุกเช้า ตั้งแต่หลิวเหว่ยไปถึงค่ายทหารเจ้าตัวก็ใช้เบี้ยเลี้ยงที่มีจ้างนกจากหน่วยส่งข่าวที่มีนกพิราบให้กับคนที่อยากส่งข่าวกลับที่บ้านเพื่อไม่ให้คนในครอบครัวต้องเป็นห่วงแต่หลิวเหว่ยนั้นส่งจดหมายหาลู่จื้อเกือบทุกวันจนคนทั้งกองทัพรู้แล้วว่าชายคนนี้รักคู่หมั้นของตนเองมากแค่เพียงใด แต่ถ้าใครได้เห็นใบหน้าบุตรีของราชครูก็คงพอจะเข้าใจได้‘ข้าเล่าเรื่องที่นี่ให้เจ้ารู้ไม่ได้เพราะพวกเขาเปิดดูข้อความก่อน แค่อยากให้รู้ว่า อาหารวันนี้ไม่อร่อยเหมือนที่เจ้าทำให้เลย’ถ้อยคำที่เขียนในจดหมายส่งให้คู่หมายราวกับคุณชายเจ้าสำราญเกี้ยวพาหญิงสาว ค่อนข้างทำให้คนในค่ายแปลกใจกับลักษณะของชายหนุ่มที่แสดงออกให้คนในค่ายได้เห็นบางวันชายหนุ่มก็บ่นดินฟ้าอากาศให้หญิงสาวได้ฟัง บ้างก็เล่าว่าคนที่หน่วยส่งข่าวนี่ล้อเลียนเขามากแค่ไหนกับถ้อยคำแต่ละคำที่เขียนส่งให้กับคู่หมั้นของตนแต่หลังจากส่งจดหมายอยู่เช่นนั้นเป็นเดือนสงครามที่แท้จริงก็เริ่มขึ้น หลิวเหว่ยไม่มีเวลาจะส่งจดหมายให้กับหญิงคนรักอีก เพราะหน่วยข่าวต้องใช้ทำภารกิจที่สำคัญกว่านั้นข้าศ
บทที่4ขณะที่ทางเมืองหลวงกังวลใจเกี่ยวกับข่าวคราวที่หายไปของหลิวเหว่ย ชายหนุ่มเองที่ชายแดนก็กลัวและกังวลว่าคนตระกูลเหลียงและหญิงสาวอย่างลู่จื้อคู่หมั้นของตนจะเข้าใจผิดเช่นเดียวกันจึงพยายามหาวิธีส่งข่าวกลับไปที่เมืองหลวง อย่างน้อยเพื่อบอกว่าเขายังมีชีวิตก็ยังดีแต่ถึงกระนั้นของที่ส่งกลับไปได้ก็มีเพียงแค่เศษผ้าจากชุดที่หญิงสาวเคยเป็นคนเก็บให้แล้วก็ด้ายแดงที่ดึงออกมาจากด้ายแดงที่ข้อมือที่ทั้งสองเลือกซื้อเอาไว้ในเมื่อตอนที่ไปเที่ยวงานโคมไฟแม้จะไม่ได้อยากแกะให้มันแยกออกจากกัน แต่ก็คงมีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะพอยืนยันให้กับลู่จื้อได้ว่าเขานั้นยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ และมันก็ไม่ใช่ของมีค่าพอที่จะทำให้ใครต้องขโมย‘บนสะพานคืนนั้น ข้ายังคงคิดถึงเจ้าอยู่ทุกลมหายใจ ไม่ต้องห่วงข้ายังสบายดี ข้าจะต้องกลับไปแต่งกับเจ้าให้’ใครจะรู้ว่าหลังจากส่งข่าวนั้นให้กับคู่หมั้นเพียงแค่ไม่กี่วันหลิวเหว่ยก็ได้รับบาดเจ็บที่ค่อนข้างบางตายเกือบถึงชีวิต นั่นก็เพราะการนำกองกำลังส่วนหนึ่งออกไปช่วยรองแม่ทัพทำให้มีชีวิตรอดกลับมาได้ ชื่อเสียงในกองทัพที่ตอนแรกมีอยู่แล้วจึงยิ่งโด่งดังเข้าไปใหญ่ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ผลดี“คนพวกนั้น
บทที่5ยิ่งเปิดอ่านจดหมายไปแต่ละแผ่นดวงตากลมโตก็ยิ่งบวมแดงในจดหมายไม่ได้เอ่ยหยอกเย้าหรือเกี้ยวพานางเหมือนดั่งเช่นจดหมายช่วงแรก ๆ ที่ส่งมานี่เป็นเพียงจดหมายที่หลิวเหว่ยแค่เพียงตอบในเรื่องต่าง ๆ ที่นางเอ่ยถามออกไปในจดหมายที่ส่งให้ชายหนุ่มก่อนหน้าก็เท่านั้นแม้ทุกอย่างจะถูกตอบกลับมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ดีในทุก ๆ คำถามที่นางเคยได้เขียนถามเขาไป แต่คำตอบเหล่านั้นกลับเป็นเพียงคำตอบห้วน ๆ ราวกับไม่ต้องการจะตอบเสียอย่างนั้นทุกตัวอักษรแข็งทื่อราวกลับคนเขียนทำเพียงตวัดปลายพู่กันส่ง ๆ มาลู่จื้อพยายามบอกกับตนเองว่าหลิวเหว่ยไม่มีเวลาจึงได้ทำเช่นนี้ แม้จะไม่อยากน้อยใจอะไรไร้สาระกับเรื่องเล็กน้อย แต่เพราะประโยคที่ไม่เหมือนเคยอีกทั้งระยะทางก็ห่างไกลมันก็มีอยู่บ้างเหมือนกันที่นางคิดว่าอีกหลิวเหว่ยอาจจะมีคนอื่นหรือเปล่า แต่ไม่หรอกนางคงคิดฟุ้งซ่านไปเองเพราะความกังวล นางและเขาเติบโตมาด้วยกันความนึกคิดเขาเป็นเช่นไรนางย่อมรู้ดีกว่าใครยังมิเอ่ยปากนางก็เดาได้ว่าเขาต้องการสิ่งใด อีกทั้งเขารักนางขนาดนั้นและยังให้คำมั่นกับนางนางต้องเชื่อใจหลิวเหว่ยมากกว่านี้ ลู่จื้อลอบโทษตัวเองที่ชั่วขณะหนึ่งคิดว่าเขามีหญิงอื่นม
บทที่6ชายหนุ่มที่ขี่ม้าเข้ามาในชุดของแม่ทัพช่างเป็นภาพที่ลู่จื้อไม่คาดคิดเลยว่าจะได้เห็น หญิงสาวมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาวาวระยับแต่กลับต้องสงสัยเมื่อไม่ห่างกันมีม้าอีกตัวขี่แทบจะตีคู่กันมาม้าตัวนั้นมีหญิงสาวหน้าตางดงามคนหนึ่งนั่งอยู่ สีและลายปักบนเสื้อคลุมตัวนอกบ่งบอกฐานะของหญิงสาวผู้นี้ได้พอสมควร นางคงเป็นหญิงสาวชาวบ้านทั่ว ๆ ไป แต่เหตุใดหญิงสาวผู้นี้ถึงได้ขี่ม้าตามหลังของคนรักของลู่จื้อไม่ห่างเช่นนี้กัน กองทัพมีหญิงสาวเดินทางไปร่วมศึกได้ด้วยหรือ ยิ่งแววตาที่หญิงสาวผู้นั้นมองตามแผ่นหลังของหลิวเหว่ยยิ่งทำเอาใจลู่จื้อกระตุกมิหน่ำซ้ำ แววตาของชายหนุ่มที่หันมาเจอนางก็ไม่ได้แสดงท่าทางคิดถึงเหมือนอย่างที่นางเป็นเลยแม้แต่น้อย“คุณหนู” เสียงของสาวใช้ที่พาคุณหนูของตนมาหันมองไปยังหญิงสาวที่น้ำตาไหลพรากแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก และหากลู่จื้อเงยหน้าขึ้นมามิได้เอาแต่ก้มปาดน้ำตาก็จะเห็นแววตาเจ็บปวดจากชายคนที่นางรักเช่นเดียวกันหลังจากเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อรายงานเรื่องต่าง ๆ และได้รับรางวัลที่ควรจะได้รับแล้วหลิวเหว่ยก็กลับมาพักที่จวนหยุนที่เขาเพิ่งได้กุญแจกลับมา“แน่ใจหรือว่านี่คือสิ่งเดียวที่เจ้าจะขอ” ผู้เป็นเจ
บทที่7“จะต้องทำอย่างไรกับลูกดี” คนเป็นแม่และภรรยาเอ่ยถามสามี หญิงมีอายุร้อนใจเมื่อได้เห็นสภาพของบุตรสาว นางเองก็พอจะได้ยินข่าวมาบ้างว่าหลิวเหว่ยกลับมากับหญิงสาวคนใหม่ ไม่นึกเลยสักครั้ง ไม่นึกเลยจริง ๆ ว่าคนอย่างหยุนหลิวเหว่ยจะทำเรื่องอย่างนี้กับเสี่ยวจื้อได้ลงคอ“ข้าจะไปจวนหยุน” ได้ยินสามีพูดอย่างนั้นนางก็ต้องเร่งดึงแขนเอาไว้“พวกเรายังไม่รู้เลยนะเจ้าคะว่าเกิดอะไรขึ้น” คนฟังคำพูดนั้นของภรรยายิ่งรู้สึกโมโห“แล้วจะต้องรอให้เด็กอกตัญญู่มันพูดให้ชัดแค่ไหน พวกเราถึงจะตำหนิได้ แค่นี้เจ้าเด็กนั้นยังทำลายชีวิตของเสี่ยวจื้อไม่พออีกหรือ” มือเรียวที่มีรอยเหี่ยวย่นของเหลี่ยงฮูหยินลูบปลอบใจสามีองตนให้ใจเย็นลง“ขอโทษนะเจ้าคะข้าผิดเองที่สนับสนุนเด็กทั้งสอง” ราชครูเหลียงส่ายหน้า “จะโทษเจ้าได้อย่างไร เจ้าก็แค่รักบุตรสาวมากเกินไป ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด หากเจ้าจะบอกว่านั่นคือเจ้าทำผิด ข้าก็คงเป็นคนผิดที่สุดที่พาหยุนหลิวเหว่ยเข้ามาอาศัยในตระกูลของเรา พาเขามาให้เจอกับลู่จื้อ” คนมีอายุทั้งสองถอนหายใจหนักอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ ณ ตอนนี้ดีหลังจากขังตัวเองอยู่ในเรือนของตนไม่ยอมกินอะไรนอกจากน้
บทที่8ลู่จื้อกลับมาที่จวนตระกูลเหลียงด้วยสีหน้าไม่ดีนัก“ไปไหนมาเสี่ยวจื้อ” แม้จะได้ยินคำเรียกแต่ก็ไม่อยากเจอหน้าบิดาจนแสร้งทำเป็นไม่ยิน“พ่อรู้ว่าเจ้าได้ยิน เข้ามาดื่มชากับพ่อก่อนสิ” ท่าทางนิ่งเฉย ๆ และเดินนำเข้าเรือนไปไม่ได้ทำให้ลู่จื้อกังวลเท่ากับการชงชาเงียบ ๆ ราวกับอยากให้นางเอ่ยทุกสิ่งออกมาก่อนเอง“ท่านพ่อเรียกลูกมามีอะไรหรือเจ้าคะ” ลู่จื้อถามบิดา เพราะตั้งแต่นางนั่งลงตรงหน้า บิดาของนางก็เอาแต่จับนั่นใส่นี่ มิได้เอ่ยอะไร“ไปจวนของหลิวเหว่ยมาหรือ” ลู่จื้อมีสายตาเศร้า แต่ก็พยักหน้า “ไปทำไมกัน” ลู่จื้อตอบคำถามของบิดาไม่ได้นางยังคงมีความหวัง ตลอดเวลาสองปีกว่าเกือบสามปีที่ผ่านมา ทุก ๆ วันนางเฝ้าฝันที่จะได้เป็นภรรยาที่แสนดีของเขา ได้ต้อนรับเจ้าตัวกลับมาอย่างสมฐานะและก็จะไม่มีใครพูดถึงหลิวเหว่ยในทางที่ไม่ดีได้อีก ไม่ว่าจะเป็นแค่คนอาศัยแต่กลับคิดจะเด็ดดอกฟ้า หรือแม้แต่คำว่าคุณชายตกอับ หลิวเหว่ยก็เคยโดนบรรดาคุณชายในเมืองเอ่ยใส่หน้ามาแล้วทั้งนั้น แม้จะมีคุณหนูหลายบ้านชื่นชมใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาแต่ก็ไม่คิดจะร่วมหอลงโลงแต่ลู่จื้อไม่เคยคิดเช่นนั้นหญิงสาวเชื่อมั่นและคิดเช่นนั้นมาตลอดเพ
บทที่9“ท่านพี่ หมายความว่าอย่างไงที่ว่าหลิวเหว่ยเขามีแม่นางที่ทำตัวเหมือนฮูหยินคอยเฝ้าจวนอยู่แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้ออกมาพบใครเลยแม้แต่ท่าน”“ใครเป็นคนทำให้เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้กัน” เหลียงฮูหยินชักสีหน้าไม่พอใจ“จะมีใครได้ก็คนบังคับรถม้าสิเจ้าคะ ห้ามติดหนิเขาจะเจ้าคะท่านพี่ไม่ได้ห้ามไม่ให้เขาพูด หากเขาจะบอกจะกล่าวก็ว่าผิดไม่ได้นะเจ้าคะ” ชายมีอายุถอนหายใจ ก่อนจะยอมเล่าเรื่องที่เห็นให้กับภรรยาฟัง“มีหญิงสาวอายุประมาณเดียวกันกับหลิวเหว่ยอาศัยอยู่กับเขาจริง เจ้าตัวไม่ออกมาพบข้าด้วยซ้ำ มีแค่นางที่ออกมาเอ่ยวาจาน่ารังเกียจ ดูจากท่าทางแล้วจะเป็นหญิงสาวที่ไร้การศึกษา” เหลี่ยงฮูหยินเอามือทาบอก “แต่หลิวเหว่ยมิใช่คนเช่นนั้นนี่เจ้าคะ ทำไมกัน” ดวงตาคมที่แม้จะมีอายุแล้วก็ยังเห็นได้ชัดถึงความมั่นคงหันมองภรรยาของตน“เจ้าไม่รู้หรอกว่าชายหนุ่มนั้น บางทีก็เผลอทำผิดเพราะความไม่ตั้งใจ หากไม่ได้มั่นคงจริงย่อมมีหวั่นไหวไปได้ เป็นข้าที่มองผิดไปเอง ตอนนี้ก็คงเหลือแค่ยกเลิกสัญญาหมั้นหมายให้จบสิ้นไปก็เท่านั้น”“ข้าไม่ยกเลิกนะเจ้าคะท่านพ่อ” ลู่จื้อที่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้เอ่ยเสียงดังจนบิดาต้องมองอย่างตำห
บทที่10“ที่จริงเพราะสาเหตุนั้นข้าจึงคิดว่า ในเมื่อทำตามคำสัญญาที่ให้เอาไว้ไม่ได้ก็ควรจะยกเลิกการหมั้นหมายเสียขอรับ” คนมีอายุเดือดจนไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว “คำพูดเห็นแก่ได้พวกนี้ ไม่นึกเลยว่าจะออกจากปากของเจ้า ตลอดมาพวกเราไม่รู้จักตัวตนของหยุนหลิวเหว่ยเลยสินะ” และแม้ว่าอีกฝ่ายจะตำหนิหรือต่อว่ามากสักแค่ไหน หลิวเหว่ยก็ไม่เถียงเลยแม้แต่คำเดียวไม่แก้ต่างไม่แก้ตัว ทำเพียงก้มหน้ารับ“แล้วแม่นางคนนั้นนางเป็นใคร” ถึงแม้อย่างไรก็อยากจะรู้ว่าทำไมถึงเลือกที่จะชมชอบไปกับหญิงไร้สกุลเช่นนั้นราชครูจึงเอ่ยถามออกไป“นางและบิดาเป็นคนที่ช่วยเหลือข้าเอาไว้ขอรับ อีกทั้งระหว่างทางกลับมาจนถึงตอนนี้นางก็ดูแลข้าเป็นอย่างดีข้าจึงทิ้งนางไม่ได้ อีกอย่างบิดาของนางก็ฝากฝั่งนางเอาไว้กับข้า” หลิวเหว่ยพูดต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้รู้เลยว่าที่ด้านนอกลู่จื้อกำลังแอบฟังอยู่ หากเป็นเขาเมื่อก่อน ได้ยินเสียงกุกกักเท่านั้นคงจะรู้แน่ ๆ แต่ไม่ใช่ยามนี้“ข้าคงถามผิดไป นางเป็นอะไรกับเจ้า” ท่าทางอึกอักของชายหนุ่มทำให้คนมีอายุหนักใจ เพราะนี่ก็คงชัดแล้วว่าหญิงสาวคนนั้นคงเป็นมากกว่าสาวใช้ แต่จะเป็นถึงอนุหรือแท้จริงแล้วชายหนุ่มจะวางนาง
บทที่30“อี้อัน เออร์หมิง เลิกฝึกดาบแล้วมากินขนมได้แล้ว” ลู่จื้อเดินไปหาสามีที่มีใบหน้าดูแก่กว่าอายุจริงมากนัก ผมของเขาเริ่มเปลี่ยนสีเร็วกว่าที่ควร ร่างกายก็เริ่มไม่แข็งแรง ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่ม แต่ร่างกายกลับเหมือนชายวัยกลางคนแต่ถึงกระนั้นนางก็ยินดีที่สุดแล้วเพราะอย่างน้อย ๆ ผ่านมาเกือบจะเจ็ดปีแล้ว แต่สามีของนางก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากกว่านี้ แน่นอนว่าคงไปช่วยงานแม่ทัพหานไม่ได้อย่างแต่ก่อนแต่หลิวเหว่ยฝึกบุตรชายทั้งสองก็ไม่ถือว่าหนักหนาจนเกินไป “ท่านพี่น้ำชาเจ้าค่ะ” ลู่จื้อเอ่ยก่อนจะจับผ้าเช็ดหน้ายกขึ้นเช็ดไปตามกรอบหน้าของสามี“ท่านแม่มิเห็นเช็ดให้ข้าบ้าง” อี้อัน เด็กชายวัยเกือบหกขวบเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ให้ข้าเช็ดให้มา ๆ ” น้องชายวันสี่ขวบหัวเราะขำพี่ชายที่ดูคล้ายจะอิจฉาบิดาของตน ต่างกับเออร์หมิงที่ติดท่านตามากกว่า ดาบฝึกได้แต่เจ้าตัวกลับชอบที่จะอ่านเขียนเรียนตำรา สมแล้วที่เป็นหลานที่ได้ใช้แซ่เหลียง หลานชายที่จะสืบสกุลเหลียงของราชครูมิเหมือนบุตรชายคนแรกอย่างอี้อันที่ชื่นชอบการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นแบบที่ใช้อาวุธหรือไม่ แม้ว่าตอนนี้เจ้าตัวจะมีอายุเพียงแค่นี้แต่ความสามารถก็เรียกได
บทที่29หลิวเหว่ยและลู่จื้อกลับเมืองหลวงมาช่วยท่านราชครูจัดการเรื่องต่าง ๆ ในจวน แต่บางครั้งแม่ทัพหานก็มาขอให้หลิวเหว่ยไปช่วยดูการฝึกเหล่านายทหารใหม่ ไม่ได้ให้ไปออกกำลังฝึกทหาร เพียงแค่ให้ไปนั่งดูการซ้อมเพื่อขวัญกำลังใจ อย่างไรหลิวเหว่ยก็เปรียบเสมือนวีรบุรุษสงครามในศึกคราก่อนงิ้วเรื่องเดิมเกี่ยวกับความรักที่น่าสงสารระหว่างหนึ่งแม่ทัพหนึ่งบุตรสาวของราชครู ถูกปรับเปลี่ยนเสียใหม่จนเป็นที่นิยมไปทั่วทั้งเมืองหลวงหรือแม้กระทั่งหัวเมืองเรื่องความรักมั่น และเชื่อใจในคนรักของตน จับใจหนุ่มสาวยิ่งนัก แม้จะเป็นเรื่องเล่าในโรงงิ้ว แต่ก็มีคนไม่น้อยที่คาดเดาได้ว่าแม่ทัพและคุณหนูผู้นั้นคือใคร จึงมักมีเสียงนินทากระทบกระเทียบอยู่เสมอยามงิ้วเรื่องนั้นเล่น หญิงสาวบางคนว่างิ้วเรื่องนั้นประโลมโลกจนเกินพอดี บุตรสาวราชครูในงิ้วช่างโง่งมเหลือเกิน เป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่แต่กลับหลงใหลชายหนุ่มที่ใกล้ตาย ลู่จื้อฟังคำนินทานั้นก็เพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ใครจะว่านางโง่งม นางหาได้ใส่ใจไม่ เพราะท้ายที่สุดเป็นนางที่ได้รักแท้เอาไว้ในกำมือคนที่จับกลุ่มนินทาชีวิตรักของผู้อื่น หาความรักได้ดีเท่าครึ่งที่นางมีหรือไม่ ก็ไม่ สา
บทที่28ความเจ็บปวดในร่างกายและความร้อนแบบที่เคยเป็นตอนที่โดนพิษเข้าไปช่วงแรก ๆ เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่หลิวเหว่ยก็ไม่แสดงอาการอะไรให้ลู่จื้อเห็นมากนัก เพราะเขากลัวว่าภรรยาจะเป็นกังวลมิใช่ว่าเคยเป็นอย่างนี้ครั้งแรกเสียหน่อย และถ้าหากทนไม่ไหวจริง ๆ ยาแก้เจ็บแก้ปวดที่นางว่าก็คงไม่ต้องหรอก เพราะร่างกายจะทำให้เขาหมดสติไปเอง เหมือนเมื่อตอนที่โดนครั้งแรกลู่จื้อมองสามีก็รู้ว่าอีกคนกำลังอดทน นางไม่เอ่ยอะไรเพราะไม่ว่าคำไหนก็พูดออกไปยากทั้งนั้น หญิงสาวทำเพียงแค่เช็ดเหงื่อที่ไหลออกมา ให้กับคนเป็นสามีก็เท่านั้น“เป็นอย่างไรบ้างอาการมาครบแล้วหรือยัง” เหมือนหมอเทวดาจะรู้ว่าชายหนุ่มกำลังพยายามอดทนต่อหน้าภรรยาของตน “ขอรับท่านหมอ” มือที่เหี่ยวย่นลูบเคราตนเองก่อนจะใช้เข็มแทงเข้าไปตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายหลิวเหว่ย พอดึงออกมาปลายเข็มเป็นสีดำขึ้นมาทันที“น่าจะได้เวลาแล้ว” คนมีอายุพูดก่อนจะเดินไปหยิบยามาให้กับหลิวเหว่ย ชายหนุ่มรีบรับไปกินในทันที เขารู้มาหลายวันแล้วว่าลิ้นของตนเองไม่รับรู้รสชาติไปแล้ว แต่เพราะอย่างอื่นในร่างกายยังคงดีจึงไม่ได้พูดอะไร จะเสียดายก็แค่จะไม่สามารถรับรู้รสชาติอาหารที่ลู่จื้อทำ แม้
บทที่27“เช่นนั้นคนผู้นี้ก็คือคนที่เจ้ารักษาไม่ได้ในรอบหลายปีสินะตาเฒ่า” หลิวเหว่ยมองชายสูงอายุสองคนคุยกันราวกับเขาและลู่จื้อมิได้อยู่ตรงนี้“ใช่ข้ารักษาไม่ได้เพราะไม่มีว่านตู๋” เสียงหัวเราะดังลั่นหลุดออกมาจากคนที่ทุกคนเรียกว่าอาจารย์ “เจ้าเองก็มีวันนี้เหมือนกันสินะ ถ้าหากข้าบอกว่าข้ามีบางสิ่งที่จะทำให้เจ้าอาจจะรักษาเขาได้ เจ้าจะยอมแลกเปลี่ยนกับข้าหรือไม่” ทั้งสองพูดคุยเหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องท้าทายของตนเองแต่สำหรับลู่จื้อไม่ใช่“ท่านหมอเทวดา ท่านอาจารย์ หากมีอะไรที่ช่วยสามีของข้าได้ ก็ได้โปรดช่วยด้วยเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะยอมทำทุกอย่างเอง” ยังไม่ทันจะจบประโยคของหญิงสาวผู้เป็นสามีก็เอ่ยขึ้น “ไม่นะเสี่ยวจื้อ ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องรักษาก็ได้”ดวงตาของผู้เฒ่าทั้งสองมองไปยังคนตรงหน้า “เจ้าจะแลกเปลี่ยนอะไรก็เอามา แต่ชีวิตของเขามิใช่เรื่องที่เจ้าจะมาทำเป็นเล่น พวกเราในเมืองนี้ทุกคนล้วนเป็นหนี้เขา” หมอเทวดาเห็นท่าว่าการเย้ากันระหว่างสหายจะเลยเถิดจนทำให้ภรรยาของคนป่วยคิดมาก จึงรีบตัดบทเสียงจิ๊ปากดังจากผู้เฒ่าที่ทุกคนเรียกว่าอาจารย์ “ข้ามีโสมที่ปลูกใกล้กับว่านตู๋ คนที่ให้ข้ามาบอกว่ามันจะมีสรรพคุ
บทที่26ลู่จื้อเช็ดเนื้อเช็ดตัวสามีของนาง ทั้ง ๆ ที่หมอเทวดาบอกว่าอาการเช่นนี้จะไม่มีอีกแล้ว แต่คงเพราะเหนื่อยจากการเดินทางสุดท้ายไข้ของชายหนุ่มก็ขึ้น ในการพักโรงเตี๊ยมที่สอง โชคยังดีที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ มีบ่อน้ำแร่ร้อนซึ่งทำให้สมุนไพรที่ใช้แช่อาบตัวนั้นได้ผลดีขึ้นกว่าเก่าอาการไข้จึงมีเพียงแค่ไม่กี่วันแล้วก็เดินทางต่อได้ ลู่จื้อไม่ได้พูดถึงความลำบากที่ต้องดูแลสามี มันไม่ได้ลำบากเลยสักนิด แต่มันหนักใจเสียมากกว่าที่เห็นเขาต้องเจ็บป่วยและทรมาน“พ้นเขาลูกนี้ไปก็จะถึงหมู่บ้านของอาเฉิงแล้ว” ลู่จื้อมองตามไปอย่างยิ้ม ๆ “สวยจังนะเจ้าคะ”“อื้อสวยพี่ก็เพิ่งรู้ว่าหมู่บ้านที่อาเฉิงอยู่งดงามถึงเพียงนี้ แต่เขาก็ต้องไปรบ” แม้ว่าจะเป็นหน้าที่แต่บางครั้ง ลู่จื้อก็อยากตัดพ้อสวรรค์บ้างเหมือนกันที่ต้องให้พี่หลิวเหว่ยของนางนั้นรับเคราะห์แต่เพียงผู้เดียวและสำหรับลู่จื้อแล้วชื่อเสียงที่หลิวเหว่ยได้มาจากการกระทำครั้งนี้นางก็ไม่สนใจเลยสักนิด ที่จริงเป็นหลิวเหว่ยคิดไปเองว่ามันสำคัญ แน่นอนมันสำคัญสำหรับคนอื่นไม่ใช่ในสายตาของนาง“ท่านพี่มาเช่นนี้ไม่ได้บอกก่อนเขาจะอยู่หรือไม่เจ้าคะ หมู่บ้านก็ดูเงียบ ๆ พิกล” หลิว
บทที่25“พี่มีเพื่อนบ้านอยู่นอกเมืองเห็นว่าเป็นเขาที่งดงามเจ้าอยากจะไปหรือไม่” ลู่จื้อไม่ปฏิเสธอีกคนอยู่แล้ว หญิงสาวมองคนรักที่แม้จะดูคล้ายกับคนปกติไม่ได้เป็นอะไรแต่เหงื่อที่ซึมอยู่น้อย ๆ ที่ขมับก็ทำให้รู้ว่าเจ้าตัวก็รู้สึกไม่สบายตัวอยู่บ้างเหมือนกันมือเรียวยกผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดเหงื่อนั่นออก “หากท่านพี่เจ็บปวดหรือเป็นอะไรก็ต้องบอกข้าทันทีนะเจ้าคะ ห้ามฝืนเด็ดขาด” แม้แต่เอ่ยคำเช่นนั้นออกไปแต่ก็ไม่แน่ใจว่าคนดื้อรั้นอย่างหลิวเหว่ยจะยอมเชื่อฟังนางไหมเพราะพี่หลิวเหว่ยที่นางรู้จักที่จริงก็ดื้ออยู่พอควร “ถ้าไม่บอกเจ้าแล้วพี่จะบอกใครกัน” ลู่จื้อหัวเราะคิกคัก “ไม่ต้องมาเย้าข้าเลย ก่อนหน้านี้ถ้าข้าไม่ดึงดันคงไม่มีทางรู้ ว่าแต่บนเขาที่ว่ามีอะไรบ้างหรือเจ้าคะ” หลิวเหว่ยส่ายหน้า “พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่เขามาเยือนแถวนั้นจึงอยากจะไปเยี่ยมเขาบ้าง เขาเป็นคนที่พี่ไว้ใจตอนที่ไปรบน่ะ”“จะต้องเป็นสหายที่ดีของท่านพี่แน่ ๆ แต่ว่าหนทางยังอีกยาว ท่านพี่เล่าเรื่องที่สนามรบให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าคะ” หลิวเหว่ยมีสีหน้าแปลกใจ “ในบันทึกพวกนั้นเจ้ายังอ่านไม่เต็มที่อีกหรือ” ลู่จื้อทำหน้างอน “ก็นั่งรถม้าไปตั
บทที่24วันงานมงคลของแม่ทัพหยุนและบุตรสาวของท่านราชครูเหลียงเป็นอะไรที่เรียกได้ว่าแปลกกว่างานอื่น ๆ แม่ทัพหนุ่มนำขบวนรับตัวเจ้าสาวมาที่จวนตระกูลหยุนเพื่อกราบไหว้บรรพบุรุษที่อยู่ในนั้น ก่อนที่จะย้อนกลับไปที่ตระกูลเหลียงเพื่อทำพิธีที่เหลือทั้งคำนับฟ้าดินและส่งตัวเจ้าสาวเข้าห้องหอก็ล้วนทำที่ตระกูลเหลียงทั้งสิ้น ทุกคนจึงรับรู้กันทั่วว่าแม่ทัพหนุ่มนั้นแต่งเข้าบ้านภรรยาบรรดาแม่ทัพนายกองที่ชายหนุ่มเคยช่วยชีวิตและร่วมรบต่างมาร่วมแสดงความยินดี และยังมีของกำนัลจากฮ่องเต้ส่งมาให้อีก นี่เรียกได้ว่าเป็นงานมงคลที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของเมืองหลวงเลยก็ว่าได้เพราะท่านราชครูก็เป็นที่รู้จักของขุนนางมากมาย ส่วนแม่ทัพหยุนนั้นก็เป็นที่ยอมรับจากบรรดาขุนนางฝ่ายบู๊ทำให้หลิวเหว่ยต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะขอตัวจากบรรดาแขกและเข้ามาหาลู่จื้อในห้องหอได้ภาพที่เขาฝันว่าจะได้เห็นอยู่ทุกคืนตั้งแต่รู้ตัวว่ารักนาง หญิงสาวที่เขารักกำลังนั่งรออยู่ที่เตียง รอให้เขาไปเปิดผ้าให้นาง“พี่หลิวเหว่ยหรือเจ้าคะ” ชายหนุ่มไม่เอ่ยอะไร เขาขยับเข้าไปใกล้กับหญิงสาวในชุดแดง “พี่หลิวเหว่ยอย่าแกล้งข้าสิเจ้าคะ ท่านพี่” หลิวเหว่ยยังไม่ได้เป
บทที่23“ท่านแม่ทัพช่วงนี้เป็นช่วงที่อาการจะต้องกำเริบใช่หรือไม่” หมอเทวดาเคยมารักษาหลิวเหว่ยรอบที่แล้วกลับมาช่วยดูแลชายหนุ่มอีกครั้ง“ไม่แล้วขอรับ ต้องขอบคุณท่านหมอ สมแล้วที่ทุกคนต่างเรียกท่านว่าหมอเทวดา” ชายชราเคราขาวลูบเคราตนเองเรื่อย ๆ ราวกับคิดอะไรสักอย่าง “ยาพิษที่เจ้าโดนมันร้ายกาจมาก ทุกวันนี้ที่อยู่ได้ก็เพราะยาล้างพิษของหมอหลวง ส่วนยาที่ข้าจัดเอาไว้ให้ในช่วงสิบกว่าวันก่อนงานมงคลของเจ้าจะเริ่ม ก็ทำได้เพียงยื้ออาการไม่ให้มีไข้ก็เท่านั้น อะไรที่จะเสื่อม มันก็ยังคงเสื่อมต่อไปห้ามไม่ได้ จะว่าไปก็มีอยู่อย่าง สมุนไพรหายากว่านตู๋ แม้ว่าตัวว่านจะเป็นพิษร้ายแรง แต่หากใช้ในปริมาณที่พอเหมาะก็จะสามารถสงบอาการของเจ้าได้” หลิวเหว่ยฟังคำของหมอเทวดาอย่างมีความหวัง “แล้วว่านนี้ต้องหาที่ใดหรือท่านหมอ”หมอเทวดาส่ายหน้า “ร้อยปีมีต้นหนึ่งตั้งแต่เกิดมาข้าก็ยังไม่เคยเห็นเองกับตา เพียงแค่เจอในตำราที่บรรพบุรุษเขียนเอาไว้”ใบหน้าของหลิวเหว่ยหมองลงในทันควัน ขนาดว่าพยายามที่จะไม่คาดหวังแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังอดที่จะหวังไม่ได้อยู่ดี “ท่านหมอแค่ให้ข้าได้ใช้ชีวิตกับนางในช่วงนี้เยี่ยงคนธรรมดาก็ถือว่าดีมากแล้ว
บทที่22เส้นทางในจวนที่มาอยู่ตั้งแต่เด็กจนเป็นหนุ่มเป็นสิ่งที่คุ้นเคย มองไปทางไหนก็มีแต่ความทรงจำที่ดี ไม่เคยมีสักช่วงที่เขารู้สึกอึดอัดใจตอนที่อยู่ที่นี่ ผู้คนที่นี่ล้วนดีต่อเขา“พี่หลิวเหว่ย เป็นเช่นไรบ้าง เมื่อครู่ก่อนที่จริงก็พักใหญ่แล้วได้ยินเสียงโวยวายแต่ท่านพ่อส่งคนมาบอกไม่ให้ข้าออกไป” หลิวเหว่ยมองใบหน้าที่เขาเฝ้าฝันถึงตลอดมา “พี่ให้แม่ทัพหานเป็นผู้ใหญ่มาสู่ขอเจ้า ขอโทษนะเสี่ยวจื้อที่คิดเองโดยไม่ถามความเห็นเจ้า” ลู่จื้อส่งยิ้มให้อีกฝ่าย แน่นอนว่ามีความไม่พอใจ แต่หากนางมัวแต่โกรธวันเวลาก็จะยิ่งเหลือน้อยลงไปอีก ระหว่างนางกับพี่หลิวเหว่ยตอนนี้เอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าเหลือเวลามากน้อยเพียงใด แต่ไม่ว่าอย่างไร นางก็จะใช้มันให้มีความสุขที่สุด“ต่อไปเจ้าเป็นคนนำดีหรือไม่” คำพูดของหลิวเหว่ยช่างน่าขันยิ่งนัก มีผู้ใดให้ภรรยาเป็นผู้นำกันบ้าง “ในเมื่อเจ้าจะต้องดูแลทุกอย่าง และเมื่อครู่ท่านลุงยังขอให้ข้าแต่งเข้าสกุล แต่หากมีบุตร ซึ่งก็มิรู้ว่าจะมีได้หรือไม่ต้องลองถามท่านหมอดู ก็จะให้ใช้แซ่ข้า หากเรามีบุตรได้สักสองสามคนก็ดีสินะ ให้เป็นแซ่ข้าหนึ่งคน แซ่เจ้าหนึ่งคน” ลู่จื้อมองคนที่เอ่ยคำเหล่า