“คุณไม่ใช่คุณแม่ของผมใช่มั้ยครับ...” เด็กชายถามน้ำเสียงจริงจังท่าทางขึงขังราวกับผู้ใหญ่ ดวงยิหวายิ้มให้น้องปราณอย่างเอ็นดู เธอไม่ค่อยชอบเด็กนัก เพราะเด็กๆ ทั้งงอแงงี่เง่าเอาใจยากดูอย่างน้องเปรียวนั่นประไร ยายเด็กนั่นล่ะ ตัวร้ายชัดๆ แต่กับเด็กชายตรงหน้าทำให้เธอลืมความไม่ชอบนั้นไปสิ้น...
“ทำไมถามแบบนั้นล่ะจ๊ะ...”
“แล้วใช่มั้ยล่ะ” เด็กชายขมวดคิ้วยุ่ง
“ถ้าจริงแล้วยังไงล่ะ หรือถ้าไม่จริงลูกจะทำยังไง...” หญิงสาวถามกลับด้วยน้ำสียงเอ็นดูไม่มีแววโกรธขึ้ง มองใบหน้าเล็กๆ นั้นอย่างรอคำตอบ เด็กชายอึ้งไปเล็กน้อย น้ำเสียงหวานใสของคนตรงหน้านั้นช่างฟังดูอบอุ่นและทำให้ดวงใจน้อยๆ ที่โหยหาความรักจากมารดาชุ่มชื้นขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
“ก็ไม่ทำไมครับ แค่อยากรู้”
“น้องปราณ ใช่มั้ยคุณแม่จำไม่ได้นัก หมอบอกว่าคุณแม่ความจำเสื่อมชั่วคราวจากอุบัติเหตุ...” เธอตอบเลี่ยงๆ ด้วยเหตุผลจริงๆ ของหมอเลยนะเนี่ย...
“ใช่ครับ ปราณรู้แล้วว่าคุณแม่หนีตามชายชู้ไปจนเกิดอุบัติเหตุรถตกเขา...” น้ำเสียงน้องปราณเศร้าลงเล็กน้อยแต่ก็แค่เพียงครู่เดียว ดูเหมือนพวกเขาชินชากระนั้น ดวงยิหวานึกโทษคนเป็นแม่ว่าทำไมถึงได้ทำตัวน่าเกลียดแบบนั้น ทำให้เด็กๆ ต้องจดจำแต่สิ่งที่เลวร้ายแบบนี้
“เอาล่ะ เรามานั่งคุยกันดีกว่า ช่วยเล่าให้คุณแม่ฟังหน่อยได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง...” ดวงยิหวาได้ทีแอบสอบถามเรื่องราวจากเด็กชาย พลางจูงมือน้องปราณไปนั่งที่ม้านั่งใต้ต้นชมพู่ม่าเหมี่ยวที่ยังไม่ออกผล
น้องปราณมองแผ่นหลังของมารดาที่เดินนำหน้าไปแล้วก้มมองมือเรียวขาวสะอาดของมารดาที่กุมมือตนอย่างตื้นตันใจ
นานแค่ไหนนะที่คุณแม่ดาหวันไม่เคยจับมือเขาแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วคุณแม่ไม่เคยจับจูงมือเขาแบบนี้เลยต่างหาก.. เด็กชายมองมารดาด้วยความรักล้นใจ
และในระหว่างที่สองแม่ลูกคุยกันอยู่ใต้ต้นชมพู่เปลวก็เฝ้ามองทั้งสองอยู่เงียบๆ ใบหน้าคมเข้มที่เต็มไปด้วยหนวดเคราจนไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงเครียดจัด ดวงตาสีเทาเข้มขุ่นเคืองเมื่อนึกถึงสิ่งที่ได้รับรู้มา...
หลายวันผ่านไปดวงยิหวายังคงอยู่ที่บ้านไร่ตะวันงามในฐานะ คุณแม่ ของน้องเปรียวกับน้องปราณ แต่เธอก็ต้องทำงานเหมือนลูกจ้างคนหนึ่งของเปลว
หญิงสาวปาดเหงื่อบนใบหน้างามอย่างเจ็บใจแกมโล่งอกที่งานของตนเสร็จสิ้นเสียที ทั้งท้องก็ร้องจ๊อกๆ เรียกหาอาหารเย็น ซึ่งอีกไม่กี่นาทีก็จะหนึ่งทุ่มตรง เปลวใช้งานเธอหนักมากเหมือนจะกลั่นแกล้ง หลังจากพรวนดินเสร็จเธอก็ต้องมาทำความสะอาดห้องน้ำทุกห้องในบ้านจนสะอาดเอี่ยมทั้งๆ ที่มีคนงานหลายคนในบ้านแต่ตอนนี้เธอกลับรับหน้าที่ทำความสะอาดบ้านทั้งหมด เรียกได้ว่าต้องทำงานแลกข้าวก็ไม่ผิดนัก แต่แม้งานจะหนักหรือเหนื่อยแค่ไหน และแม้ว่าอยากจะหนีไปจากที่นี่หลายรอบต่อวันแต่เพราะไม่คุ้นชินทั้งไม่รู้จะหนีอย่างไรจึงต้องทนให้เขาโขลกสับ อีกใจก็กลัวว่าหากเธอบอกเขาและยืนยันว่าเธอไม่ใช่ดวงดาหวันแล้วเขาจะฆ่าเธอหมกป่าเขาแถวนี้เสียและอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ...
“คุณแม่ครับเราไปทานข้าวกันเถอะ..” แววตาของเด็กชายที่ทอดมองเธอนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและชื่นชม น้องปราณชื่นชมเธอมากจนเธอรู้สึกละอายใจที่หลอกถามน้องปราณเรื่องดวงดาหวัน
ดวงยิหวารู้ว่าเหตุใดเด็กชายจึงชื่นชมเธอก็เพราะที่ผ่านคุณแม่ดาหวันของเขาไม่เคยหยิบจับงานในบ้านไม่เคยอยู่รับประทานอาหารพร้อมหน้า ไม่เคยพาเขาเข้านอนไม่เคยอ่านนิทานให้ฟังก่อนนอนด้วย และเรื่องเล่านิทานนี่เองทำให้ดวงยิหวารู้สึกสงสารเด็กชายจับใจ เธอไม่อยากเชื่อว่าเด็กชายวัยย่างสิบขวบนั้นยังติดฟังนิทานก่อนนอนอยู่ ส่วนน้องเปรียวนั้นก็เช่นกันแต่จะให้เปลวอ่านให้ฟังมากกว่าเพราะเด็กหญิงยังคงตั้งแง่ไม่ยอมรับว่าเธอเป็นแม่ และบางครั้งก็แอบกลั่นแกล้งเธอเพื่อเรียกร้องความสนใจอีกด้วย
เมื่อคืนก่อนน้องเปรียวก็แอบเอาตุ๊กแกตัวเป็นๆ ไปใส่ไว้ในผ้าห่มเพื่อให้เธอตกใจ เอางูปลอมมาไว้ในห้องน้ำบ้าง บ้างก็เอากาวเหนียวๆ มาใส่ไว้ในครีมบำรุงผิวของเธอ แต่เด็กหญิงคงไม่รู้ว่าคนที่ตนเองกลั่นแกล้งนั้นซ่อนเขี้ยวเล็บและความแสบสันไว้เพื่อรอวันง้างกรงเล็บคมกริบของตัวเองอยู่ ดวงยิหวาได้แต่แอบขันระคนเอ็นดูเด็กหญิง ดูก็รู้ว่าน้องเปรียวกำลังเรียกร้องความสนใจจึงพยายามหาทางกลั่นแกล้งเธอต่างๆ นานา แต่เธอก็ทำเฉยไม่แสดงอาการอะไรออกมา หญิงสาวอมยิ้มขณะเดินไปห้องอาหารกับน้องปราณและเมื่อไปถึงก็พบว่ามี แขก ร่วมโต๊ะอาหารด้วยในเย็นวันนี้
“จะกินข้าวก็ยังให้คนอื่นลำบากไปตาม...” น้องเปรียวปรายตามองน้องชายที่เกาะแขน คุณแม่ อย่างไม่พอใจ
“อุ้ย สวัสดีค่ะ คุณดาหวันกลับมานานแล้วหรือคะ ว่าแล้วเชียวต้องไปกับชู้คนใหม่ไม่รอด...” น้ำหวาน หญิงสาวไร่ข้างเคียงใบหน้าสวยหวานแต่แต่งหน้าจัดไปนิดจนเหมือนงิ้วโพล่งขึ้นอย่างไม่รักษามารยาท คิ้วที่เขียนแบบหางเชิดขึ้นจนแทบจะจรดไรผมดูตลกเหลือเกินดวงยิหวาแทบจะหัวเราะก๊ากออกมาเมื่อเห็นท่าทางกรีดมือของเจ้าหล่อน
อืม... เย็นมีนี้งิ้วหลงโรงมาให้ดู... คนแถวนี้แต่งตัวไร้รสนิยมกันจริงๆ เลย..
ดวงยิหวาค่อนแคะน้ำหวานในใจ แม้อยากจะเชือดเฉือนคนปากเปราะอย่างน้ำหวานแค่ไหนแต่เธอก็ต้องบอกตัวเองว่ายังก่อน ใจเย็นๆ ไว้ก่อน...
“เธอไม่ควรพูดแบบนี้ต่อหน้าหลานๆ ของฉันนะน้ำหวาน...”
เปลวมองน้ำหวานอย่างไม่พอใจทั้งนึกระอาในความไม่มีมารยาทของเจ้าหล่อนที่นับวันจะ เยอะ มากขึ้นทุกที แม้ก่อนหน้านี้น้ำหวานกับดาหวันไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว แต่น้ำหวานไม่ควรพูดแบบนี้ต่อหน้าเด็กๆ ในขณะที่ดวงยิหวาแอบเลิกคิ้วและยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างเยาะหยันให้น้ำหวาน ซึ่งมันทำให้น้ำหวานที่พยายามรักษาภาพลักษณ์หญิงสาวผู้อ่อนหวานแสนดีแทบอยากจะลุกขึ้นกรี๊ดเสียให้ได้... สองสาวแอบเขม่นกันเงียบๆ
ตอนที่5.“เอาล่ะจ้ะน้องปราณทานข้าวนะคะ อันนี้มั้ยแกงเลียงของโปรดลูก นี่ค่ะคุณแม่ตักให้”“ขอบคุณครับคุณแม่” เด็กชายขอบคุณมารดาหน้าตาแช่มชื่นตักข้าวใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยๆ ซึ่งดวงยิหวาเองก็ตักอาหารรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยด้วยเช่นกันต่างจากคนทั้งสามที่มองดวงยิหวากับน้องปราณนิ่ง...“น้องเปรียวไม่กินแล้ว กินไม่ลง...” เด็กหญิงลุกขึ้นหน้าตางอง้ำ“นั่งลงเดี๋ยวนี้น้องเปรียว” เปลวเสียงเข้มเมื่อหลานสาวทำท่าจะวิ่งขึ้นห้องไป“แต่น้องเปรียวไม่อยากกินแล้ว...” เด็กหญิงงอแง“น้องเปรียวบ่นเองว่าหิว หิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวไม่ใช่เหรอ”“ก็น้องเปรียวไม่หิวแล้วนี่คะคุณอา...” เด็กหญิงยังคงตั้งแง่ดื้อดึง“อุ้ย น้องเปรียวขาไม่เป็นไรค่ะ ไม่อยากกินก็ไม่เป็นไร ไปเถอะค่ะอาน้ำหวานเองก็กินไม่ลงแล้วเหมือนกัน เราไปหาอะไรกินในเมืองกันดีกว่ามั้ยคะ” น้ำหวานได้ทีเอาใจสาวน้อยที่เธอมองว่าเป็นคนที่เปลวแคร์ เธอคิดว่าหากเอาใจและสนิทกับน้องเปรียว โอกาสที่จะได้เป็นแม่เลี้ยงแห่งบ้านไร่ตะวันงามก็มีมากขึ้น“เธอไม่ต้องให้ท้ายหลานฉันหรอกนะน้ำหวาน เธอเองก็ควรนั่งลงแล้วกินข้าวให้อิ่มจะได้กลับบ้านเสียทีฉันจะให้ไอ้เบิ้มไปส่ง”“แต่ว
ตอนที่6.“แล้วเข้ามานี่มีธุระอะไร”“คือ ฉันจะถามว่าฉันเข้าไปในห้องน้องเปรียวได้ไหม เห็นว่าเมื่อเย็นไม่ได้ทานข้าวฉันจะเอาข้าวต้มไปให้แก”“เธอน่ะเหรอ รู้จักห่วงใยลูก”“ถ้าฉันรู้ว่าคุณจะกวนประสาทขนาดนี้ฉันไม่เข้ามาถามให้เมื่อยปากหรอกเข้านอนดีกว่าเป็นไหนๆ”“โอเคๆ เธออยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ แต่อย่าให้เดือดร้อนวุ่นวายล่ะ หมดธุระแล้วก็ไปสิ” เขาพูดเหมือนอนุญาตและไล่เธอกรายๆ ดวงยิหวาหน้างอเดินออกมาจากห้องทำงานของเขาด้วยความขุ่นเคืองเด็กหญิงเปรียวปรียานอนร้องไห้ท้องร้องจ๊อกๆ อยู่บนเตียงสีหวานของตนด้วยความน้อยใจ เธอกำลังคิดถึงภาพมารดากำลังตักข้าวให้น้องปราณ ก่อนนอนคุณแม่ก็อ่านนิทานให้น้องปราณฟัง ทุกอย่างที่น้องชายได้รับเธอกลับเฝ้ามองอยู่ห่างๆ ไม่มีใครสนใจเธอเลย แต่น้องเปรียวลืมคิดไปว่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะตัวเธอเองนั่นล่ะ...ก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้เด็กหญิงปาดน้ำตาออกจากใบหน้าที่มีแววสวยคมโดดเด่นในอนาคตอันใกล้ แล้วมองประตูอย่างฉุนเฉียวตอนนี้เธอยังไม่มีแก่ใจจะคุยกับใครทั้งนั้น แม้แต่น้ำหวานหรือเอื้อง“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน ออกไป๊ ฉันอยากอยู่คนเดียว” เด็กหญิงแผดเสียงก้องโดยไม่กลัวว่าอาเปลวจะ
ตอนที่7.“ป้าว่าน้องเปรียวจะทานมั้ยคะ มันมีผักนิดหน่อย ไข่เจียวชะอมทอด และผัดรวมมิตรใส่กุ้งสด”“ไม่แน่ใจนะคะ คุณน้องปราณน่ะทานง่าย แต่คุณน้องเปรียวค้อนข้างทานยากเพราะนางเอื้องมันสอนให้กินแต่อาหารฝรั่งที่มีแต่เนื้อสัตว์และอาหารที่หาเครื่องปรุงยากๆ บางทีเราก็หาของที่เธอต้องการจนเหนื่อยค่ะ สุดท้ายก็กินไม่กี่คำ” “อืม แต่ฉันว่าเธอน่าจะทานนะคะ อาหารทุกอย่างเราตั้งใจทำขนาดนี้ มีประโยชน์ทั้งนั้นเลย ตอนเด็กๆ ฉันก็กินแต่อาหารพวกนี้และหัดทำเองด้วย มันสนุกและอร่อยที่สุด คุณแม่ของฉันน่ะทำอาหารเก่งมากเลยนะคะ อ้อ เอ่อ... เสร็จแล้วยกไปตั้งโต๊ะได้เลยค่ะ...” ดวงยิหวาคุยเรื่อยๆ จนลืมตัว แล้วก็รีบหันไปล้างมือหลบสายตาจับผิดของป้าสำลีในขณะเดียวกันน้องเปรียวกับน้องปราณซึ่งแอบตามมาดูทีหลังพี่สาวก็รีบวิ่งปรู้ดไปนั่งที่โต๊ะอาหารรอด้วยความดีใจ...“ไอ้เบิ้ม ที่แกว่าแม่คุณดาหวันตายตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็ก็อยู่กับแม่น้าขี้เมา ก่อนจะมาเจอคุณปราบคุณดาหวันทำงานในบาร์ของเสี่ยเจียง มันจริงรึเปล่าวะ” อยู่ๆ ป้าสำลีก็ถามเบิ้มผู้เป็นลูกเขยอย่างสงสัยพลางขมวดคิ้วมุ่น“จริงสิครับคุณแม่ยาย ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งบางว่าคุณดาหวันเธอเห
ตอนที่1.เปลือกตาบางที่ประดับด้วยแพขนตาหนางามงอนของหญิงสาวซึ่งนอนหลับสนิทมายาวนานถึงสามวันเต็มค่อยๆ ขยับกระพือขึ้นช้าๆ ราวปีกผีเสื้อโบยบิน ก่อนที่ดวงตากลมโตดำขลับจะลืมขึ้นมองเพดานสีขาวสะอาดตาแล้วหลับลงไปใหม่เพราะยังไม่ชินกับแสงสว่างซึ่งในความคิดของเธอมันน่าจะเป็นช่วงเวลาบ่ายๆ อากาศที่มีสายลมอ่อนๆ พัดผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบผิวและกลิ่นหอมสดชื่นราวอยู่ในขุนเขาที่เขียวขจีก็เป็นสิ่งที่เธอรับรู้ได้เช่นกัน เพราะคนอย่าง ดวงยิหวา เลิศรัตนาไพศาล หญิงสาวสังคมผู้เฉลียวฉลาดย่อมรับรู้อะไรได้เร็วและเข้าใจง่ายเสมอ...เธอยังไม่ตายใช่ไหม... แล้วที่นี่ที่ไหน... ดวงยิหวาถามตัวเองเธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้เธอกำลังขับรถไปหาเพื่อนซึ่งอยู่จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือของไทยเพื่อหนีการหมั้นหมายที่บิดามารดาพยายามจะให้เธอมีคู่ครอง ระหว่างทางขึ้นเขามีรถบรรทุกขับมาด้วยความเร็วสูงมากพุ่งมาหารถของเธอแล้วเธอก็หักพวกมาลัยรถหลบ แต่กลับเจอแรงกระแทกมหาศาลและเสียงโลหะกระทบกับของแข็งๆ ดังสนั่นหวั่นไหวเธอรู้สึกเจ็บแปลบไปทั้งตัวแล้วหลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดดับ... หญิงสาวค่อยๆ กลอกตามองรอบกาย แล้วพลันดวงตางามเบิกโพลงด้วยความตกใจเมื่อพบ
ตอนที่2.เช้าวันใหม่ดวงยิหวาเดินลงมาชั้นล่างของบ้านหลังใหญ่ด้วยคราบของ ดวงดาหวัน ผู้หญิงที่เธอรู้จักเพียงชื่อและเดาเอาว่าเธอกับผู้หญิงคนนั้นคงจะเหมือนกันราวกับแกะอย่างแน่นอนดวงยิหวาสังเกตว่ามันมีห้องอยู่หลายห้อง ตรงข้ามกับห้องที่เธอพักอยู่มีสองห้องซึ่งป้ายหน้าห้องติดรูปน่ารักเก๋ไก๋ ป้ายห้องแรกเป็นสีชมพูหวานน่ารักประดับดอกไม้พลาสติกสีสวยงดงามราวดอกไม้จริงๆ ว่า น้องเปรียว อีกห้องมีป้ายที่ดูเป็นแบบเด็กผู้ชายสีน้ำเงินลายซุปเปอร์ฮีโร่เขียนว่า น้องปราณ ซึ่ง ป้าสำลี แม่บ้านวัยกลางคนร่างอวบอ้วนผิวขาวที่นำทางเธอมาบอกว่านั่นคือห้องลูกๆ ของเธอเธอมีลูก ยิหวามีลูก โอ... นี่พระเจ้าเล่นตลกอะไรกับยิหวากันแน่ ดวงยิหวากลอกตาไปมาไม่นึกอยากจะพูดอะไรเพราะพูดไปก็ไม่มีใครสนใจซ้ำยังมองด้วยสายตาแปลกๆ ไม่เป็นมิตรนัก ดูเหมือนว่าคนที่ชื่อดวงดาหวันจะเป็นคนร้ายกาจและทำไม่ดีกับคนพวกนี้ไว้เยอะทีเดียวพวกเขาถึงได้มองเธออย่างรังเกียจและไม่เป็นมิตรแบบนี้“ทุกวันเราจะทานอาหารเช้าเจ็ดโมง อาหารเย็นหกโมงเย็นหรือไม่ก็หนึ่งทุ่มแล้วแต่ว่าพ่อเลี้ยงจะกลับจากไร่ตอนไหน หรือบางทีหากมีงานด่วนกลับมาทานข้าวเย็นไม่ทันพ่อเลี้ยงก็จะโทร
ตอนที่3.เมื่อกลับเข้ามาในห้องทำงานเปลวหยิบรูปถ่ายของดวงดาหวันเท่าที่มีออกมาดูอย่างพินิจพิจารณาแล้วคิ้วเข้มก็ขมวดอย่างครุ่นคิดและเริ่มนึกถึงกิริยาท่าทางของเจ้าหล่อนอย่างละเอียดถี่ถ้วนชายหนุ่มหลับตาลงแต่ในใจก็คิดถึงความเปลี่ยนไปของดวงดาหวันไปด้วยปกติดวงดาหวันถนัดขวาแต่วันนี้เขาเห็นว่าเธอใช้ช้อนมือซ้ายตักอาหารอย่างคล่องแคล่ว อีกทั้งท่าทางที่แก่นกร้าวดูไม่กลัวใครนั่นก็สะกิดใจเขาไม่น้อย ใบหน้าเรียวไข่สวยโดดเด่นด้วยดวงตากลมโตพราวระยับภายใต้คิ้วเรียวโค้งดังคันศรก็ยังคงเหมือนเดิม จมูกโด่งเล็กๆ เชิดรั้นก็เหมือนเดิมผิดไปแต่แววตาไม่ได้พราวพรายอย่างมีจริตยั่วยวนให้ผู้ชายหลงใหล ริมฝีปากรูปกระจับระเรื่อด้วยวัยสาวก็เหมือนเดิม เป็นไปได้หรือว่าคนที่สูญเสียความทรงจำชั่วคราวจะเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดใช้มือข้างที่ไม่ถนัดของตนได้คล่องแคล่วปานนี้... เปลวลืมตาขึ้นก่อนจะโทรศัพท์หาใครบางคนดวงยิหวาปาดเหงื่อด้วยความเมื่อยล้าเพราะพรวนดินกุหลาบแปลงนี้มาตั้งแต่บ่ายโมงนี่มันก็บ่ายสามโมงเย็นแล้วคนใจร้ายยังไม่ให้เธอพัก ดวงยิหวามองมือที่เปื้อนดินของตนอย่างไม่ชอบใจ เธอไม่เคยจับดินดำๆ แบบนี้เลยสักครั้งและเพิ่งรู้ว่าดอกกุห
ตอนที่7.“ป้าว่าน้องเปรียวจะทานมั้ยคะ มันมีผักนิดหน่อย ไข่เจียวชะอมทอด และผัดรวมมิตรใส่กุ้งสด”“ไม่แน่ใจนะคะ คุณน้องปราณน่ะทานง่าย แต่คุณน้องเปรียวค้อนข้างทานยากเพราะนางเอื้องมันสอนให้กินแต่อาหารฝรั่งที่มีแต่เนื้อสัตว์และอาหารที่หาเครื่องปรุงยากๆ บางทีเราก็หาของที่เธอต้องการจนเหนื่อยค่ะ สุดท้ายก็กินไม่กี่คำ” “อืม แต่ฉันว่าเธอน่าจะทานนะคะ อาหารทุกอย่างเราตั้งใจทำขนาดนี้ มีประโยชน์ทั้งนั้นเลย ตอนเด็กๆ ฉันก็กินแต่อาหารพวกนี้และหัดทำเองด้วย มันสนุกและอร่อยที่สุด คุณแม่ของฉันน่ะทำอาหารเก่งมากเลยนะคะ อ้อ เอ่อ... เสร็จแล้วยกไปตั้งโต๊ะได้เลยค่ะ...” ดวงยิหวาคุยเรื่อยๆ จนลืมตัว แล้วก็รีบหันไปล้างมือหลบสายตาจับผิดของป้าสำลีในขณะเดียวกันน้องเปรียวกับน้องปราณซึ่งแอบตามมาดูทีหลังพี่สาวก็รีบวิ่งปรู้ดไปนั่งที่โต๊ะอาหารรอด้วยความดีใจ...“ไอ้เบิ้ม ที่แกว่าแม่คุณดาหวันตายตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็ก็อยู่กับแม่น้าขี้เมา ก่อนจะมาเจอคุณปราบคุณดาหวันทำงานในบาร์ของเสี่ยเจียง มันจริงรึเปล่าวะ” อยู่ๆ ป้าสำลีก็ถามเบิ้มผู้เป็นลูกเขยอย่างสงสัยพลางขมวดคิ้วมุ่น“จริงสิครับคุณแม่ยาย ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งบางว่าคุณดาหวันเธอเห
ตอนที่6.“แล้วเข้ามานี่มีธุระอะไร”“คือ ฉันจะถามว่าฉันเข้าไปในห้องน้องเปรียวได้ไหม เห็นว่าเมื่อเย็นไม่ได้ทานข้าวฉันจะเอาข้าวต้มไปให้แก”“เธอน่ะเหรอ รู้จักห่วงใยลูก”“ถ้าฉันรู้ว่าคุณจะกวนประสาทขนาดนี้ฉันไม่เข้ามาถามให้เมื่อยปากหรอกเข้านอนดีกว่าเป็นไหนๆ”“โอเคๆ เธออยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ แต่อย่าให้เดือดร้อนวุ่นวายล่ะ หมดธุระแล้วก็ไปสิ” เขาพูดเหมือนอนุญาตและไล่เธอกรายๆ ดวงยิหวาหน้างอเดินออกมาจากห้องทำงานของเขาด้วยความขุ่นเคืองเด็กหญิงเปรียวปรียานอนร้องไห้ท้องร้องจ๊อกๆ อยู่บนเตียงสีหวานของตนด้วยความน้อยใจ เธอกำลังคิดถึงภาพมารดากำลังตักข้าวให้น้องปราณ ก่อนนอนคุณแม่ก็อ่านนิทานให้น้องปราณฟัง ทุกอย่างที่น้องชายได้รับเธอกลับเฝ้ามองอยู่ห่างๆ ไม่มีใครสนใจเธอเลย แต่น้องเปรียวลืมคิดไปว่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะตัวเธอเองนั่นล่ะ...ก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้เด็กหญิงปาดน้ำตาออกจากใบหน้าที่มีแววสวยคมโดดเด่นในอนาคตอันใกล้ แล้วมองประตูอย่างฉุนเฉียวตอนนี้เธอยังไม่มีแก่ใจจะคุยกับใครทั้งนั้น แม้แต่น้ำหวานหรือเอื้อง“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน ออกไป๊ ฉันอยากอยู่คนเดียว” เด็กหญิงแผดเสียงก้องโดยไม่กลัวว่าอาเปลวจะ
ตอนที่5.“เอาล่ะจ้ะน้องปราณทานข้าวนะคะ อันนี้มั้ยแกงเลียงของโปรดลูก นี่ค่ะคุณแม่ตักให้”“ขอบคุณครับคุณแม่” เด็กชายขอบคุณมารดาหน้าตาแช่มชื่นตักข้าวใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยๆ ซึ่งดวงยิหวาเองก็ตักอาหารรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยด้วยเช่นกันต่างจากคนทั้งสามที่มองดวงยิหวากับน้องปราณนิ่ง...“น้องเปรียวไม่กินแล้ว กินไม่ลง...” เด็กหญิงลุกขึ้นหน้าตางอง้ำ“นั่งลงเดี๋ยวนี้น้องเปรียว” เปลวเสียงเข้มเมื่อหลานสาวทำท่าจะวิ่งขึ้นห้องไป“แต่น้องเปรียวไม่อยากกินแล้ว...” เด็กหญิงงอแง“น้องเปรียวบ่นเองว่าหิว หิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวไม่ใช่เหรอ”“ก็น้องเปรียวไม่หิวแล้วนี่คะคุณอา...” เด็กหญิงยังคงตั้งแง่ดื้อดึง“อุ้ย น้องเปรียวขาไม่เป็นไรค่ะ ไม่อยากกินก็ไม่เป็นไร ไปเถอะค่ะอาน้ำหวานเองก็กินไม่ลงแล้วเหมือนกัน เราไปหาอะไรกินในเมืองกันดีกว่ามั้ยคะ” น้ำหวานได้ทีเอาใจสาวน้อยที่เธอมองว่าเป็นคนที่เปลวแคร์ เธอคิดว่าหากเอาใจและสนิทกับน้องเปรียว โอกาสที่จะได้เป็นแม่เลี้ยงแห่งบ้านไร่ตะวันงามก็มีมากขึ้น“เธอไม่ต้องให้ท้ายหลานฉันหรอกนะน้ำหวาน เธอเองก็ควรนั่งลงแล้วกินข้าวให้อิ่มจะได้กลับบ้านเสียทีฉันจะให้ไอ้เบิ้มไปส่ง”“แต่ว
ตอนที่4.“คุณไม่ใช่คุณแม่ของผมใช่มั้ยครับ...” เด็กชายถามน้ำเสียงจริงจังท่าทางขึงขังราวกับผู้ใหญ่ ดวงยิหวายิ้มให้น้องปราณอย่างเอ็นดู เธอไม่ค่อยชอบเด็กนัก เพราะเด็กๆ ทั้งงอแงงี่เง่าเอาใจยากดูอย่างน้องเปรียวนั่นประไร ยายเด็กนั่นล่ะ ตัวร้ายชัดๆ แต่กับเด็กชายตรงหน้าทำให้เธอลืมความไม่ชอบนั้นไปสิ้น...“ทำไมถามแบบนั้นล่ะจ๊ะ...”“แล้วใช่มั้ยล่ะ” เด็กชายขมวดคิ้วยุ่ง “ถ้าจริงแล้วยังไงล่ะ หรือถ้าไม่จริงลูกจะทำยังไง...” หญิงสาวถามกลับด้วยน้ำสียงเอ็นดูไม่มีแววโกรธขึ้ง มองใบหน้าเล็กๆ นั้นอย่างรอคำตอบ เด็กชายอึ้งไปเล็กน้อย น้ำเสียงหวานใสของคนตรงหน้านั้นช่างฟังดูอบอุ่นและทำให้ดวงใจน้อยๆ ที่โหยหาความรักจากมารดาชุ่มชื้นขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ“ก็ไม่ทำไมครับ แค่อยากรู้”“น้องปราณ ใช่มั้ยคุณแม่จำไม่ได้นัก หมอบอกว่าคุณแม่ความจำเสื่อมชั่วคราวจากอุบัติเหตุ...” เธอตอบเลี่ยงๆ ด้วยเหตุผลจริงๆ ของหมอเลยนะเนี่ย...“ใช่ครับ ปราณรู้แล้วว่าคุณแม่หนีตามชายชู้ไปจนเกิดอุบัติเหตุรถตกเขา...” น้ำเสียงน้องปราณเศร้าลงเล็กน้อยแต่ก็แค่เพียงครู่เดียว ดูเหมือนพวกเขาชินชากระนั้น ดวงยิหวานึกโทษคนเป็นแม่ว่าทำไมถึงได้ทำตัวน่าเกลียดแบ
ตอนที่3.เมื่อกลับเข้ามาในห้องทำงานเปลวหยิบรูปถ่ายของดวงดาหวันเท่าที่มีออกมาดูอย่างพินิจพิจารณาแล้วคิ้วเข้มก็ขมวดอย่างครุ่นคิดและเริ่มนึกถึงกิริยาท่าทางของเจ้าหล่อนอย่างละเอียดถี่ถ้วนชายหนุ่มหลับตาลงแต่ในใจก็คิดถึงความเปลี่ยนไปของดวงดาหวันไปด้วยปกติดวงดาหวันถนัดขวาแต่วันนี้เขาเห็นว่าเธอใช้ช้อนมือซ้ายตักอาหารอย่างคล่องแคล่ว อีกทั้งท่าทางที่แก่นกร้าวดูไม่กลัวใครนั่นก็สะกิดใจเขาไม่น้อย ใบหน้าเรียวไข่สวยโดดเด่นด้วยดวงตากลมโตพราวระยับภายใต้คิ้วเรียวโค้งดังคันศรก็ยังคงเหมือนเดิม จมูกโด่งเล็กๆ เชิดรั้นก็เหมือนเดิมผิดไปแต่แววตาไม่ได้พราวพรายอย่างมีจริตยั่วยวนให้ผู้ชายหลงใหล ริมฝีปากรูปกระจับระเรื่อด้วยวัยสาวก็เหมือนเดิม เป็นไปได้หรือว่าคนที่สูญเสียความทรงจำชั่วคราวจะเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดใช้มือข้างที่ไม่ถนัดของตนได้คล่องแคล่วปานนี้... เปลวลืมตาขึ้นก่อนจะโทรศัพท์หาใครบางคนดวงยิหวาปาดเหงื่อด้วยความเมื่อยล้าเพราะพรวนดินกุหลาบแปลงนี้มาตั้งแต่บ่ายโมงนี่มันก็บ่ายสามโมงเย็นแล้วคนใจร้ายยังไม่ให้เธอพัก ดวงยิหวามองมือที่เปื้อนดินของตนอย่างไม่ชอบใจ เธอไม่เคยจับดินดำๆ แบบนี้เลยสักครั้งและเพิ่งรู้ว่าดอกกุห
ตอนที่2.เช้าวันใหม่ดวงยิหวาเดินลงมาชั้นล่างของบ้านหลังใหญ่ด้วยคราบของ ดวงดาหวัน ผู้หญิงที่เธอรู้จักเพียงชื่อและเดาเอาว่าเธอกับผู้หญิงคนนั้นคงจะเหมือนกันราวกับแกะอย่างแน่นอนดวงยิหวาสังเกตว่ามันมีห้องอยู่หลายห้อง ตรงข้ามกับห้องที่เธอพักอยู่มีสองห้องซึ่งป้ายหน้าห้องติดรูปน่ารักเก๋ไก๋ ป้ายห้องแรกเป็นสีชมพูหวานน่ารักประดับดอกไม้พลาสติกสีสวยงดงามราวดอกไม้จริงๆ ว่า น้องเปรียว อีกห้องมีป้ายที่ดูเป็นแบบเด็กผู้ชายสีน้ำเงินลายซุปเปอร์ฮีโร่เขียนว่า น้องปราณ ซึ่ง ป้าสำลี แม่บ้านวัยกลางคนร่างอวบอ้วนผิวขาวที่นำทางเธอมาบอกว่านั่นคือห้องลูกๆ ของเธอเธอมีลูก ยิหวามีลูก โอ... นี่พระเจ้าเล่นตลกอะไรกับยิหวากันแน่ ดวงยิหวากลอกตาไปมาไม่นึกอยากจะพูดอะไรเพราะพูดไปก็ไม่มีใครสนใจซ้ำยังมองด้วยสายตาแปลกๆ ไม่เป็นมิตรนัก ดูเหมือนว่าคนที่ชื่อดวงดาหวันจะเป็นคนร้ายกาจและทำไม่ดีกับคนพวกนี้ไว้เยอะทีเดียวพวกเขาถึงได้มองเธออย่างรังเกียจและไม่เป็นมิตรแบบนี้“ทุกวันเราจะทานอาหารเช้าเจ็ดโมง อาหารเย็นหกโมงเย็นหรือไม่ก็หนึ่งทุ่มแล้วแต่ว่าพ่อเลี้ยงจะกลับจากไร่ตอนไหน หรือบางทีหากมีงานด่วนกลับมาทานข้าวเย็นไม่ทันพ่อเลี้ยงก็จะโทร
ตอนที่1.เปลือกตาบางที่ประดับด้วยแพขนตาหนางามงอนของหญิงสาวซึ่งนอนหลับสนิทมายาวนานถึงสามวันเต็มค่อยๆ ขยับกระพือขึ้นช้าๆ ราวปีกผีเสื้อโบยบิน ก่อนที่ดวงตากลมโตดำขลับจะลืมขึ้นมองเพดานสีขาวสะอาดตาแล้วหลับลงไปใหม่เพราะยังไม่ชินกับแสงสว่างซึ่งในความคิดของเธอมันน่าจะเป็นช่วงเวลาบ่ายๆ อากาศที่มีสายลมอ่อนๆ พัดผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบผิวและกลิ่นหอมสดชื่นราวอยู่ในขุนเขาที่เขียวขจีก็เป็นสิ่งที่เธอรับรู้ได้เช่นกัน เพราะคนอย่าง ดวงยิหวา เลิศรัตนาไพศาล หญิงสาวสังคมผู้เฉลียวฉลาดย่อมรับรู้อะไรได้เร็วและเข้าใจง่ายเสมอ...เธอยังไม่ตายใช่ไหม... แล้วที่นี่ที่ไหน... ดวงยิหวาถามตัวเองเธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้เธอกำลังขับรถไปหาเพื่อนซึ่งอยู่จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือของไทยเพื่อหนีการหมั้นหมายที่บิดามารดาพยายามจะให้เธอมีคู่ครอง ระหว่างทางขึ้นเขามีรถบรรทุกขับมาด้วยความเร็วสูงมากพุ่งมาหารถของเธอแล้วเธอก็หักพวกมาลัยรถหลบ แต่กลับเจอแรงกระแทกมหาศาลและเสียงโลหะกระทบกับของแข็งๆ ดังสนั่นหวั่นไหวเธอรู้สึกเจ็บแปลบไปทั้งตัวแล้วหลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดดับ... หญิงสาวค่อยๆ กลอกตามองรอบกาย แล้วพลันดวงตางามเบิกโพลงด้วยความตกใจเมื่อพบ