รุ่งสางไม่ทันตะวันจะขึ้น คิมหันต์สะดุ้งตื่น ในขณะอ้อมแขนยังคงกอดเรรันต์อยู่ ขมวดคิ้วเข้าหากันเป็นปม ก่อนจะดันตัวเธอออกห่างเบาๆ ระวังอย่างมากที่จะไม่ให้เธอตื่น ...ไม่ใช่เขาไม่สนใจ ไม่ใช่ว่าจะหนีปัญหา... ...เขารู้ตัวดี เขาทำอะไรลงไป เพียงแต่ตอนนี้ด้วยสถานะ จึงไม่สามารถนอนกกเธอได้ เขาเลือกที่จะกลับห้องของตัวเองก่อนสว่าง นอกจากไม่อยากใหัใครมาเห็นแล้ว วันนี้เป็นวันทำงานของเขาวันแรกด้วย เนื่องจากตำแหน่งใหม่ในบริษัทตระกูลจรัญทิพย์คนถูกเลือกหนึ่งในนั้นคือคิมหันต์ ความจำเป็นมันจึงสูงลิ่ว มองหน้าเรรันต์ที่หลับสนิทอยู่พักใหญ่ ประทับริมฝีปากบนหน้าผากมน แล้วจึงจะปลีกตัวออกมา ใช้ท่าทางไม่ต่างกันเลยกับคนแอบได้แอบเสียกันเอง ใช่ เขาย่อง และเธอก็รู้ แอด... ซึ่งในขณะที่คนตัวสูงกำลังเดินย่องออกไป จนกระทั่งบานประตูปิดลงแล้วนั้น หลังบานประตูเขาจะไม่เห็นเลย ว่ามีผู้หญิงคนนึงนอนกอดตัวเองร้องไห้อยู่ เธอบีบผ้านวมที่ห่มร่างเปลือยแน่น ปล่อยน้ำตาไหลเปื้อนหมอน ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งผิดหวังตัวเอง ทั้งจุก ทั้งเสียด ไปพร้อ
ตรงโต๊ะอาหาร ในสถานะหนึ่งของครอบครัว กับความรู้สึกของเรรันต์ที่ไม่ได้เต็มใจอยากจะมา ซ้ำเหมือนเธอขนความอึดอัดมาเต็มที่ด้วยนั้น ทำอกเธอเริ่มสั่นคลอน เรรันต์จุก ก้มหน้าก้มตากินข้าวแต่กลับกลืนแทบไม่ลง ลำคอเธอตีบจนเกินไป อย่าว่าแต่สบตา แค่จะปริปากพูดยังลำบากเลย ยิ่งผู้หญิงคนนี้มาด้วยกันกับเขาแล้ว ยิ่งตอกย้ำสถานะตัวเธอเอง ในขณะที่ตัวจริงอย่างแพรววาพยายามทำหน้าที่ของแฟนที่ดี ตักอาหารให้กันบ้างไม่ก็ป้อนเข้าปาก คิมหันต์ไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้ง ให้ความสำคัญโดยการยิ้มรับตลอด นั่นก็ยิ่งทำเรรันต์ใจหาย บอกเป็นนัยๆให้รู้ว่า ไม่มีวิธีใดที่ดีพอจะทำให้เรื่องนี้มันจบหรอก นอกจาก.. ลืม ลืมมันซะ ลืมมันให้หมด! ข่มใจไม่ให้เงยขึ้นไปมอง แล้วก็สั่งใจตัวเองว่า..นี่น่ะพี่ชายเธอนะ พี่ชายก็คือพี่ชาย ถึงแม้สายตาที่มองเธออยู่ตอนนี้ จะไม่ใช่ก็เถอะ “อ้าว น้องรันต์อิ่มแล้วเหรอคะ” เสียงคนที่ทำให้เธอหมั่นไส้ที่สุดในตอนนี้ถาม ในขณะเธออุตส่าห์กินเงียบๆ และกำลังจะลุกไปเงียบๆแล้ว กลับมาชะงักไว้ เรรันต์หันไปมองคิมหันต์แว้บนึง
เรรันต์ยืนนิ่งอยู่อึดใจนึง ในขณะสายละห้อยจ้องมองไปทางอื่นเหมือนนึกคิด ก่อนจะช้อนตากลับขึ้นไป ทั้งๆที่ข้างในเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาซื่งคลอเต็มเบ้า ไร้ปัญญาจะต้านได้ “รับผิดชอบ? รับผิดชอบยังไงคะ พี่จะยอมเลิกกับพี่แพรว แล้วไปบอกแม่น่ะเหรอ” ...เงียบ... เงียบกริบ ทุกอย่างนิ่งสงบ เสมือนถูกปิดสวิตส์ เหลือแต่เพียงเสียงหัวใจเท่านั้น ที่มันเต้นแรงของเรรันต์ ที่มันทั้งเจ็บทั้งจุก เพราะไร้ซึ่งรู้คำตอบที่ชัดเจน “กล้าไหมละคะ” เธอย้ำถามทั้งน้ำตาไหลลงมาอาบสองแก้ม เก็บต่อไปคงไม่ไหวแล้ว และไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไปแล้ว “ฮึก ถ้าไม่กล้า ก็อย่ามายุ่งกับหนู” “รันต์..” “ไม่ต้องมาสนใจด้วย ว่าหนูจะเป็นยังไง” บอกพร้อมดันตัวเขาออก ในจังหวะที่เขาพยายามจะเข้ามาจับแขนเธอใหม่ “รันต์ เดี๋ยวสิ ฟังพี่ก่อน” “ไม่ฟังแล้ว ฟังไปมันก็ยิ่งทำให้หนูรู้สึกแย่ การที่พี่มายืนช่างใจอยู่แบบนี้ ทำเหมือนเสียดายพี่แพรว ถ้าจะต้องสูญเสีย ถ้าจะต้องเลิก มันทำหนูเจ็บ พี่รู้ไหม..”
..มหาลัย... สิ้นวันหยุด เหมือนสิ้นใจ เรรันต์หมดความร่าเริงนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์นั้น หมดแล้วรอยยิ้มบุ๋ม ที่ใครเห็นเป็นต้องมอง ยิ้มครั้งนึงเหมือนโลกน่าอยู่ไปค่อนใบ ถึงเธอไม่ได้ร้องไห้ แต่ก็เหมือนไร้ความรู้สึกอยู่ดี ปลีกตัวนั่งนิ่งคนเดียวตลอดทั้งวัน จนกระทั่งหมดคาบเรียน ถึงเวลากลับบ้าน ทว่า..เธอยังคงอยู่ ติ้ด ติ้ด ติ้ด เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำเรรันต์สะดุ้งโหยง ละสายตาจากตำราเรียนที่เผลอถือติดมือมานั่งจ้อง หวังกลบเกลื่อนสีหน้าใกล้ตายของตัวเอง หันมามองจอ ก่อนกดรับ (รันต์) คำแรกที่ได้ยินทำเธอถอนหายใจ กรอกเสียงเหนื่อยลงไป แม้แต่ปลายสายยังรู้ (อยู่ไหนครับ) “ห้องสมุดน่ะเบส จะมาเหรอ มาสิ” (ได้ครับ เดี๋ยวไป) อันที่จริง เขาแค่จะชวนเธอไปทานข้าวด้วยเท่านั้น แต่พอเธอตอบกลับมาเพียงสั้นๆแค่นี้ เขาก็ไปต่อไม่ถูก เลี่ยงไปหาถึงที่ไม่ได้ ทั้งที่ระยะทางที่เขายืนกับห้องสมุดมันห่างกันเป็นกิโล อีกทั้งรถยน
' อ้าวคิม นั่นคุณจะไปไหนน่ะ ' เสียงแหลมปรี๊ดแฝงความจริตในร่างเรียบร้อยร้องเรียก คิมหันต์ไม่ได้สนใจเสียงนั้น แต่กลับเลือกเดินเร็วไปหาผู้หญิงอีกคนแทน เพียงเพราะชายหนุ่มเกิดทนไม่ได้ขึ้นมา กับภาพกระหนุงกระหนิงออเซาะกันให้เห็นซึ่งๆหน้า จนรู้สึกเหมือนตัวเองนั้นกำลังถูกหยามศักดิ์ศรี กระทั่งคว้าแขนเธอได้สำเร็จจึงจะหยุดเดิน พร้อมกับเสียงถามดังลั่น " รันต์ เลิกเรียนแล้วทำไมไม่กลับบ้าน! " " อ๊ะ.." นั่นถึงกับทำให้เรรันต์ตกใจ ก่อนจะถูกบังคับให้หันมาเผชิญหน้าด้วยแรงกระชากของเขา "ชักเหลวไหลขึ้นทุกวันแล้วนะ" "พี่คิม..." วินาทีแรกที่ได้ยินประโยคนี้ เธอเองก็อึ้ง ที่เขากล้าแหกหน้าเธอต่อหน้าประชาชนในสถานที่สาธารณะ พลางมองซ้ายมองขวา ก่อนจะหันกลับมาขมวดคิ้วมอง แสดงอาการไม่พอใจออกมาให้เขาเห็น "แล้วพี่คิม มายุ่งอะไรด้วย" กัดฟันถาม ตอกกลับเช่นกัน อย่างไม่มีความเกรงกลัว ทำคิมหันต์ถึงกับทึ่ง แต่เลือกที่จะยืนนิ่ง มองดูเธอละสายตาจากเขา มองข้ามไปยังแพร
หลังจากมั่นใจว่าสิ่งที่ได้ยินจากปากคิมหันต์หูเธอไม่ได้ฝาด เธอหย่อนคิ้วเสมือนใช้ความคิด พลางใช้กำลังทั้งหมดที่มีผลักอกเขาออกไปตอนเผลอทันที "ปล่อยหนู! " จนกระทั่งเธอหลุดออกจากพันธนาการนั้นสำเร็จ ยืนมองหน้าคนที่นอนหงายอยู่บนเตียงอย่างไม่เข้าใจ ก่อนตั้งคำถาม "เลิกกับพี่แพรว เลิกทำไมคะ " มันคือคำถามที่เธออาจจะรู้คำตอบอยู่แล้ว ทว่า..แค่เธออยากได้ยินจากปากคิมหันต์ซ้ำก็เท่านั้น เขายันตัวเองจากท่านอนเป็นท่านั่ง พลางแค่นหัวเราะ "ก็...มารักกับรันต์ไง" และตอบหน้าตาเฉย "มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคะ กับการทิ้งคนทั้งคนที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด " เรรันต์เลิกคิ้วถาม แววตาผิดหวัง ทว่าเขากลับยิ้มกว้างยียวน "สำหรับคนอื่นพี่ไม่รู้ แต่สำหรับพี่มันง่าย พี่เลิกก็คือ...เลิก " "พี่คิม...พี่นี่เลวมากเลยนะ" หญิงสาวกัดฟันสบถ คนตรงข้ามหุบยิ้ม พลางขมวดคิ้วทันที "นี่รันต์ด่าพี่เหรอ " เค้นถามเสียงต่ำ จนเรรันต์กระพริบตาปริบ เสมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ก่อนแสร้งทำใจดีสู้เสือ สบตาเขา "ใช่ค่ะ
ที่มหาลัยกำลังจะมีงานใหญ่ วันนี้เรรันต์วุ่นวายมาก เพราะถูกรุ่นพี่ขอช่วยให้เธอมาเป็นนางเอกละครเวทีให้ ทีแรกเธอปฏิเสธ ทว่าดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นผล ระดับคำพูดร้อยแปดเล่มเกวียนที่ออกมาจากปากพวกนั้นมันมากมายเหลือเกิน เท่าที่เรรันต์สังเกต เธอนับการขยับปากของตัวเองได้เลย แทบไม่ได้พูด ตอนนี้เลยต้องมานั่งเครียด คิดวนไปวนมา เอาไงดี เธอไม่ได้อยากจะทำ คิดให้ง่าย อย่างน้อยเวลาส่วนตัว เวลาพักผ่อนที่เธอควรมี มันจะต้องเอามาบริจาคให้กับการซ้อมย่อยซ้อมใหญ่ตรงนี้แน่ๆ "เฮ้อ.." ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม "น้ำที่สั่งได้แล้วจ้า~ " เพื่อนในคณะคนนึง ชื่อเปรี้ยวเดินกลับมาหาเธอพร้อมน้ำสองขวด และขนมอีกเพียบ หลังจากอาสาไปซื้อให้ "ขอบใจนะ " และเมื่อเห็นคิ้วที่ขมวดเข้าหากันจนยุ่งเหยิง ของเรรันต์เลยสงสัย "นี่อย่าบอกนะว่ารันต์ยังเครียดเรื่องนั้นอยู่อีกน่ะ " "อือ " เธอพยักหน้ายอมรับ ยกน้ำกระดกรวดเดียวหมด "ไม่อยากเป็น แล้วทำไมไม่ปฏิเสธเขาล่ะ " "เราเห็นความตั้งใจของพี่ๆเขา เราก็แพ้แล้วเปรี้ยว เขาคงวางแผนมาหมดแล้ว ถ้ามาเชิญ
เลิกเรียนหลังจากซ้อมละครเวทีที่จะต้องแสดงจริงอีกสองเดือนข้างหน้า เรรันต์เลือกที่จะไม่กลับบ้าน แต่ไปกับเบสแทน เธอโทรไปบอกคนที่บ้านก่อนหน้าครึ่งชั่วโมง โชคดีคนรับสายคือคุณนายอารีย์ เธอเลยไม่ต้องกังวลสักเท่าไหร่ โดยให้เหตุผลตามความจริงว่า เธอขอไปปาร์ตี้ผ่อนคลายสมองกับเพื่อนบ้าง ซึ่งที่ไหนนี้..ก็ไม่รู้ ...แล้วแต่คนขับรถ ... "ที่นี่รึเบส " เธอเปิดประเด็นถาม หลังจากรถชะลอช้าลงเมื่อมาถึง เบสพยักหน้าให้ "รันต์โอเคไหม " ถามเสียงทุ้มแสดงความเป็นห่วง ยิ้มกว้างให้ ก่อนเธอจะหันมา "มันคืออะไร " "ร้านพี่ชายเบสเอง " "ผับเหรอ " ทำหน้าซีด หันไปมองทางเข้า ที่เห็นผู้คนเดินเข้าเดินออกนับไม่ถ้วน บรรยากาศกำลังสะกิดแผลช้ำของเธอให้ชาวาบขึ้นมากลางใจ "เปล่าๆ ร้านนั่งดื่มเฉยๆ นี่แหละ รันต์จะไม่ดื่มเหล้าก็ได้นะ ที่นี่มีน้ำผลไม้ธรรมดาด้วย" "อ่อ...โอเค ^^ " เธอยิ้มกว้าง เป็นอันว่ารับรู้และพอใจกับแหล่งบันเทิงที่เบสนั้นพามา ก่อนจะกันลงจากรถ เดินเข้าไปข้างใน วินาทีแรก ที่คนสองคนนี้ย่างกรายกันเข้าไป สาย
งานมงคล... ประตูวิวาห์แสนจะฉุกละหุก ถูกจัดขึ้นในวันที่เหมาะสมที่สุด ต่างเป็นข่าวลั่นวงการนักธุรกิจอึกทึกครึกโครม เป็นบ่อเกิดความอับอายให้แก่คุณนายอารีย์ไม่น้อย ทว่า มันไม่ใช่การจำใจทำ แต่เกิดขึ้นมาด้วยความรักลูกและหลานล้วนๆ หล่อนไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรือแคร์บุคคลอื่น ที่มีสถานะเป็นคนนอก ไม่ได้หาเงินให้หล่อนกินสักนิด " รัดไปไหมคะคุณหนู " เสียงเจิมเล็ดลอดออกมา สร้างรอยยิ้มตรงมุมปากคนยืนฟังอยู่ห่างๆ ทอดสายตามองไปยังเจ้าสาวตัวน้อยๆ ที่ไม่สมควรจะเป็นแม่คนด้วยซ้ำ แล้วกลั้นขำ " ฟู่ววว นี่ฉันควรจะดีใจหรือเสียใจดี " เรรันต์บ่นอุบ แม้จะถูกตราหน้าว่ามั่ว เป็นวงศ์ตระกูลฉายาสมพาลกินไก่วัด ทว่า หญิงใหญ่เสียงแหบเกินหวานอย่างเช่นคุณนายอารีย์น่ะหรือจะเดือดร้อน หล่อนคิดว่าดีซะอีก จะได้ไม่ต้องจัดกระบวนขันหมากไปขอใคร กินกันเองนี่แหละ ถือว่าดีไปอีกแบบ ขืนได้ลูกสะใภ้แย่ๆมา บ้านจะแตกน่าดู " เอาล่ะเรรันต์ เสร็จแล้วก็ออกไป แขกเรื่อมารอกันเพียบแล้ว นี่ฉันว่าฉันเปล่าเชิญใครนะ ทำไมถึงได้เยอะเกินคาด " ประโยคหลัง
‘ ไม่นะคะ พี่คิม‘ โพล่งเสียงแหลม พร้อมถลาเข้าไปกุมมือใหญ่ไว้ เปิดโอกาสให้คิมหันต์ดึงเธอเข้าไปกอดได้พอดี “ อ๊ะ! ” ล็อคตัวเธอซะแน่นหนา ให้สมกับความคิดถึง และทรมานที่เขานั้นเจอมา ทำเรรันต์ดิ้นไม่หลุด เพิ่งมารู้ว่าถูกหลอกให้พูด ก็ตอนที่คิมหันต์โกหกเธอ ก็ตอนเขาหอมหนักๆ ลงหลายฟอดตรงซอกคอ ฟอดดดด " คิดถึงจัง..." “ นี่ หยุดนะ! ” ตัดสินใจผลักออกไปอย่างแรง จนเขาผงะ ก่อนจะเหวี่ยงฝ่ามือเข้าไปเต็มๆหน้า เพี้ยะ! ชายหนุ่มชาวาบไปทั้งหน้า หันไปยังไงกลับนิ่งอยู่ในท่านั้น รอให้หายมึน หายอึ้งก่อน จึงจะหันกลับ “รันต์...” “ หนูไม่ชอบ! “ กลับมาเจอเสียงแข็งของหญิงสาว พร้อมหน้ายับยู่ยี่ เธอเบิกตาโพลงมองคนตรงข้ามด้วยความโกรธ ในขณะคิมหันต์นั้นตกใจ “ พี่แค่กอดเองนะรันต์ “ “ กอดที่ไหน ตะกี้พี่...” “ ทำไม... “ ทำท่าจะเถียง แต่ต้องมาชะงัก เพราะคิมหันต์แทรกด้วยเสียงที่สั่นกว่า “ ถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ “ สีหน้าเข้าสลด ดวงตาสั่นเครือ เต็มไปด้
" ขวัญเอ๋ยขวัญมานะลูกนะ " เสียงคุณนายอารีย์ แม่บุญธรรมของเรรันต์เอื้อนขึ้น หลังออกจากโรงพยาบาล กลับมาพักฟื้นที่บ้าน ในขณะที่เธอนั่งอยู่บนรถเข็น โดยมีคิมหันต์เป็นคนดูแล " นายแม่.." เสียงเรียกน้อยๆของเธอ ทำหล่อนยิ้มฝืนเลื่อนมือลูบหัวลงมาลูบแก้ม ก่อนจะมองคนป่วยน้ำตาคลอ " เดี๋ยวก็หายแล้วลูก " "ฮึก.." ไม่ต่างกับเรรันต์เลยในตอนนี้ที่ปล่อยน้ำตาให้มันไหลลงมาแล้ว เธอไม่ได้เจ็บปวดเพราะเกิดอุบัติเหตุ แผลบนร่างกายไม่ได้ทำให้เธอเจ็บสักเท่าไหร่ แต่แผลในใจต่างหากที่มันอักเสบซะจนกลัดหนอง เรรันต์รู้สึกผิด ผิดเต็มๆที่ทำคนเป็นแม่เสียใจขนาดนี้ เธอรู้ สิ่งที่ได้มาอาจจะเป็นคำปลอบใจ แต่ขณะเดียวกันในใจลึกๆของคนพูดไม่ต่างกันเลยกับเธอ ยกมือขึ้นไหว้ แล้วบอกขอโทษ ในจังหวะที่นายแม่โน้มตัวลงมาพอดี " รันต์.." หล่อนบีบมือบางนั้นเบาๆ บอกเป็นนัยๆว่าไม่ได้โกรธ ก่อนจะดึงเข้ามากอด ซึ่งนั่นเปิดโอกาสให้เรรันต์ที่สะอื้นไห้อยู่แล้ว ปล่อยโฮอย่างเต็มที่ " ฮือๆๆ ฮือ.." ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่ต่าง
ฝั่งด้านของคิมหันต์ตอนรู้ข่าว เขาเปล่าหึงหวงที่รู้ว่าเพื่อนสนิทกินน้ำใต้ศอกกันอย่างนั้น ไม่ได้ถือว่าเป็นของเหลือ เพราะไม่อยากดูถูกใคร แค่นึกไม่ถึงมากกว่าว่าคนอย่างสิงขรน่ะหรือจะทำมันจริง ปกติเขาเป็นคนเลือกมาก แต่พอได้ยินเหตุผลประมาณว่า เขานั้นมีน้ำใจอยากจะช่วยเพื่อน หวังกำจัดหล่อน ชายหนุ่มเลยไม่ติดใจอะไรอีก ในขณะคิมหันต์เปล่าคิดว่ามันจะสมควร ไม่ใช่ว่าจะไม่สนับสนุน เพียงแต่อีกใจนึงของเขา เขานึกสงสาร เห็นใจเพราะนี่ไม่ใช่วิสัยโดยตรง การทำแบบนี้มันดูหน้าตัวเมีย ทว่า เมื่อหันมาเห็นคนนอนนิ่ง ไม่ไหวติงอยู่ ทำชายหนุ่มแทบสะอึก จุกจนพูดไม่ออก ใช่ กับสิ่งที่ภรรยาเขาเจอล่ะ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน เธอยังอยู่ในคราบน้องสาวเขา แต่กลับต้องมาหมดอนาคตนับตั้งแต่เขานั้นกลับมา มันยุติธรรมแล้วหรือ? 15.00น. ร่างสูงยืนตระหง่านอยู่หน้าห้องในโรงพยาบาลด้วยความหมดแรง วันนี้เหยียบเข้ามาวันที่สิบสองแล้ว ภรรยาตัวน้อยๆของเขายังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น สองสามวันมานี้ เขารู้สึกเหงา และอ้างว้างเหลือเกิน กับเข็มนาฬิกาที่เดินไปเรื่อยๆ เชื่องช้าซะเหมือนแทบจะคลาน มันทำเขาไ
เมา... ศักยภาพของมันคืออะไรใครพอจะเข้าใจถึงความหมายตรงนี้บ้าง?? สำหรับคนทั่วไป อาจจะมองว่ามันทำให้ขาดสติ ทำอะไรสักอย่างออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ในความคิดส่วนตัวอย่างแอดมินสกั้งคนเขียนเรื่อง จะบอกให้รู้เลยตรงนี้ว่า.. ประเด็นสำคัญหลักของคนเมาไม่ได้อยู่น้ำเมา แต่มันอยู่ที่ตัวบุคคล คนที่ดื่มเข้าไป บางคนไม่ได้แย่ เมาคือการปล่อยโอกาสให้สันดานไม่ดีในจิตใต้สำนึกของคนกินนั้นออกมามากกว่า ดุจแพรววาตอนนี้ ที่ต่อให้เมารึไม่ ความเป็นเธอก็ยังคงเป็นเธอ ควงจริตยังไงไว้ข้างในก็ยังคงมีมันอยู่อย่างนั้น ถึงรู้อยู่แก่ใจว่าหล่อนนั้นผิด ผิดตั้งแต่เดินเข้ามาในชีวิตของคิมหันต์เพราะจุดประสงค์บางอย่างที่ไม่ใช่ความรัก หล่อนก็ยังไม่แคร์ สำนึกผิดอยู่ตรงไหนในความคิดหล่อน...คงไม่มี อันที่จริงหล่อนควรจะหายไปจากชีวิตของคิมหันต์ตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ ไม่ควรจะกลับมาให้เห็นหน้านับตั้งแต่เขาจับได้ คิมหันต์ทำตามข้อตกลงกับหล่อนอย่างถี่ถ้วนไม่มีข้อบกพร่องด้วยเงินห้าล้านบาท ทว่า..ทำไมยังไม่พอ หล่อนยังหวนคืนกลับมาใหม่ เพื่อยั่วยวนเขา
คำจากปากหมอ ที่ว่าเรรันต์นั้นพ้นขีดอันตราย ปลอดภัยหายห่วงแล้ว ทำทุกคนซึ่งเฝ้าคอยแต่เข้าใจแค่ครึ่งเดียว ใช่อยู่ว่าเธอไม่ตาย แต่ทำไมยังไม่ฟื้น นี่ก็ผ่านมาจะเข้าวันที่สิบแล้ว หญิงสาวไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาขึ้นมาเลย ความวิตกกังวลมาตกอยู่ที่คิมหันต์ เขาจะต้องทรมานแค่ไหน หากวันนึงไม่มีเธอ เขาเอาแต่โทษตัวเขาเอง กับการเจ็บตัวที่เรรันต์นั้นได้รับ กร่นด่าในใจสารพัด เฝ้าภาวนาให้เธอนั้นฟื้น เพื่อที่วันนั้นเขาจะได้กลับไปแก้ตัวเองใหม่ ทิ้งสันดานไม่ดี ผวนกลับมาดูแลเธอเต็มที่ ให้สมกับสิ่งที่เธอคู่ควร ...ซึ่งในฐานะภรรยาไม่ใช่น้องสาว.... ทุกๆภาพ ทุกๆเหตุการณ์ มันทำให้เขาเจ็บปวด หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ทำมันเลย รู้ว่ามันสาย รู้ว่าเพ้อฝัน และรู้ว่าเขานั้นผิด...พูดคำนี้ใครได้ยิน ก็คงมีแต่คนสมน้ำหน้า เหยียบย้ำซ้ำเติม ทว่า มันไม่มีความคิดไหนอีกแล้ว ที่จะเยียวยาจิตใจ นอกไปจากการสำนึกผิด และโทษตัวเองแบบนี้ สิบวันที่ผ่าน ใช่ว่าเขาจะกินอิ่มนอนหลับ คิมหันต์เครียดแทบจะอยู่บ้านไม่ติด ไม่ใช่ว่าคุณนายอารีย์เอาแต่ด่า ไม่ใช่หล่อนเอาแต่บึ้งตึงใส่
นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ที่เขานั่งมองมือซึ่งเปื้อนคราบเลือดอยู่ตรงนี้ หน้าห้องฉุกเฉินพร้อมกับความรู้สึกผิดถึงขีด สุด หลายครั้งที่นั่งอยู่ดีๆ ปล่อยให้น้ำตามันไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มจุกในอก หัวใจถูกบีบหนัก เจ็บทุกครั้งที่กลืนน้ำลายลงคอ พร่ำโทษตัวเองซ้ำๆ ผู้กระทำให้เธอเป็นแบบนี้ เขาไม่ควรทำแบบนั้นเลยจริง จริง ก่อนจะก้มหน้าสะอื้นตัวสั่นเทา เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ภาพเคลื่อนไหวที่เห็นต่อหน้าต่อตา ทำเขาช็อคไม่หาย รถเรรันต์หมุนเหมือนลูกค่าง เพราะแรงเบรค ก่อนจะหักไปชนต้นไม้ข้างทางเข้าอย่างจัง โชคดีที่เธอคาดเข็มขัดนิรภัย ซึ่งเป็นรถซุปเปอร์คาร์ที่เซฟตัวหญิงสาวได้อย่างดีเยี่ยมที่สุด เธอไม่ได้พุ่งออกมาจากรถ อีกทั้งแรงกระแทกนั้นไม่ได้หนักถึงขั้นทำเธอให้ตาย หนักสุดคงมีแค่ศีรษะแตกมีเลือดออก ทว่า ถึงเธอจะปลอดภัย นั่นก็ใช่ว่าจะทำให้เขาหายวิตกกังวล สิ่งที่เขากลัวที่สุดต่างหากที่สำคัญไม่แพ้กัน ภาวนา..อย่าให้มันเป็นไปอย่างที่เขาคิดเลย หากเรรันต์กับลูก เป็นอะไรไป เขาจะไม่มีวันอภัยตัวเองแน่นอน " พี่ขอโทษนะรันต์ ขอโทษจริงๆ " แม้
....สิบห้านาทีก่อนจากนี้..... ในขณะคิมหันต์เมามาย ปลีกตัวจากกลุ่มเพื่อนขอตัวไปทำธุระ ระหว่างทางเดินไม่ทันจะถึงห้องโถง ร่างบางสง่าในชุดเดรสแดงเพลิงทั้งชุดเกิดเดินเข้ามา ในมือของหล่อน กอดดอกไม้ช่อใหญ่มาด้วย ซึ่งทนมองอยู่ห่างๆ รอจังหวะมานานหลายชั่วโมง เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้างาน จนกระทั่งถึงเวลานี้ กว่าหล่อนจะเดินเข้ามาได้ ต้องเปลืองเวลาและน้ำลาย หลอกยั่วการ์ดหน้างานไปตั้งเท่าไหร่ ฉะนั้น ถ้าจะต้องพลาดพบเจอกับคู่สวาทเก่าตามลำพังเล่าก็ มันคงไม่ใช่วิสัยของคนหวังสูงอย่างหล่อนแน่นอน " คิมคะ " เสียงหวานเรียกขานปนยิ้มยั่ว ยืนตะหง่านอยู่เบื้องข้าง คิมหันต์เหลือบตาชำเลืองหันไปมอง ก่อนขมวดคิ้วงง " แพรว คุณมาได้ยังไง " มองสลับหน้าหล่อนกับทางออก ถามเสียงห้วน ไม่ชอบใจนัก แต่ก็เลือกที่จะยืนรอคำตอบ " ก็เดินเข้ามาสิคะถามแปลก " ทว่า หญิงสาวกลับหัวเราะชอบใจ อย่างมีจริต " ผมไม่ได้เชิญคุณนี่ " ชายหนุ่ม ในชุดสูทดำหล่อเนี้ยบเป็นพิเศษยักไหล่โพล่งเสียงถาม ทว่า..คนตรงหน้ากลับยิ้มยั่วหนักกว่าเดิม แถมยังจะเดินเข้ามาใกล้ ประชิดตัว
...20.00 น... งานฉลองผู้บริหารคนใหม่ หนุ่มหล่อไฟแรง และจบด็อกเตอร์จากเมืองนอก ..คิมหันต์ จรัญทิพย์ ... เพียงแค่อายุ 28 ปี เขาก็คว้าตำแหน่ง CEO หนึ่งในหุ้นส่วนของบริษัทส่งออก ซึ่งใหญ่ที่สุด และรวยที่สุดได้แล้ว คุณนายอารีย์งานนี้ถึงกับยิ้มแก้มปริหุบไม่ลงกันเลยสักนาทีเดียว ภูมิใจซะเต็มประดา กับสิ่งที่ต้องการแล้วได้ดั่งสมความปราถนา หล่อนชายตามองไปรอบๆ เห็นคนในงานที่มีมากเกินกว่าที่คิด แล้วยิ้มหนักกว่าเก่า ก่อนจะมาชะงักจริงๆก็ตอนที่มองไปไม่เห็นคิมหันต์ " เคล.. เคลมานี่สิ " " ครับนายแม่ " จึงเรียกลูกชายคนโตในขณะยืนคุยกับนักธุรกิจคนอื่นๆอยู่ " มีอะไรด่วนรึเปล่าครับ " " คิมไปไหน " เคลถึงกับขมวดคิ้วมองไปรอบๆตาม ราวช่วยค้นหา เมื่อไม่มีอย่างที่นายแม่ว่าจริงๆ ถึงกับเครียด ก่อนจะถอนใจออกมาอย่างโล่งอกภายหลัง เมื่อเห็นเรรันต์ยืนยิ้มหวานอยู่กับพวกผู้ใหญ่อีกฝั่งหนึ่ง เพราะทีแรก เขาคิดว่า สองคนนี้คงจะใช้โอกาสนี้ไปนอนกกกันอีก แต่หากเห็นอีกคนนึงอยู่ที่