เอี๊ยด!! เสียงล้อซุปเปอร์คาร์ถูกชะงัก ก่อนแล่นเข้ามาจอดสนิทใต้หลังคาเหล็ก ทำชายรูปร่างสูงหน้าตาดีสองคนหันมามองพร้อมกัน ก่อนหนึ่งในนั้นจะพ่นควันบุหรี่ออกมาแสะยิ้มแค่มุมปาก ทิ้งก้นมันลงถังแล้วเดินล้วงกระเป๋าลงไปหาถึง ประตูรถ " ไง..ไอ้เสือ " ทักทายเสียงทุ้ม สีหน้าสดใส ทว่า..คนในรถกลับไม่เล่นด้วย เขาผลักมือที่เท้าอยู่บนหลังคารถของเพื่อนออก ก่อนลงมายืนเทียบ " ไปกินรังแตนที่ไหนมาวะ มาหากูทีไร เครียดมาทุกที กูไม่ใช่กระโถนนะโว้ย " " ก็คล้ายล่ะวะ" คิมหันต์แทรกติดตลก ก้าวฉับๆไปหาอีกคนที่ยืนรออยู่ข้างหน้า ก่อนจะโยนเงินปึกหนึ่งให้ ในจังหวะทีเขาแทบจะรับมันไม่ทัน " เงิน? เงินอะไร" " ปิดผับ คืนนี้ กูสองคนเหมา " เขาบอก เดินล้วงกระเป๋าเข้าไปแบบไม่สนใจคำตอบ ทำเอาคนรับเงินไปแล้วอย่างเจ้าของผับถึงกับลำบากใจ หันมองสิงขรแล้วขมวดคิ้ว " เอาน่า ตามใจมันหน่อย " " จะให้กูไล่แขกเหรอ ห้องวีไอพีของกู มันก็ใช้ได้นี่ อีกอย่าง ไม่กี่ชั่วโมงก็จะปิดแล้ว" เขาออกความเห็นขอความเห็นใจ ก่อน
หลายวันถัดมาต่อจากคืนนั้น วันนี้เป็นวันที่เรรันต์จะต้องแสดงละคร แต่หลังรู้ว่าในท้องตนเองนั้นมีน้อง เธอก็กังวลเรื่องการสวมชุดรัดแน่นไปโดยปริยาย กระนั้นคิดจะแก้ ก็ดูจะสายเกินไป เหมียวนักศึกษารุ่นพี่ที่อาสารับชุดเธอไปซักเมื่อวันก่อน ปฏิบัติการเย็บเข้ารูปตามคำขอของเธอไปเรียบร้อย ทันจะแก้ไข นั่นเลยเป็นสาเหตุทำให้เรรันต์วิตกกังวลอยู่ตอนนี้ ตึงเครียดมากจนถึงขนาดทำให้เธอหมดความมั่นใจ " เป็นอะไรรึเปล่าน้องรันต์ หน้าซีดเชียว "เสียงถามจากข้างหลังทำเธอสะดุ้งตื่น กังวลหนักเข้าไปอีก หญิงสาวหันกลับไปมอง ก็เห็นว่าเป็นสตาฟที่เดินมาทักทายสีหน้ายิ้มแย้ม " เปล่าค่ะพี่ หนูคงตื่นเต้น " เธอโกหก " ธรรมดาแหละ คนซื้อตั๋วมาดูเยอะขนาดนั้น เป็นพี่ พี่ก็คงทำอะไรไม่ถูก แต่อย่างน้องรันต์พี่มั่นใจนะ ว่าน้องต้องทำได้ ตอนซ้อมพี่เห็นตั้งใจมาตลอด วันจริงคงจะจำบทได้แม่นแน่ๆ เรื่องความมั่นใจนี่ไม่ต้องพูดถึง สวยๆอย่างน้องรันต์มุมไหนก็เป๊ะจ้ะ " " แหม พี่ว่านก็ชมเกินไป รันต์เขินนะคะ " เธอบอก แสร้งทำท่าเอียงอาย จนคนข้างหลังขำ ก่อนชะงักกลางคันเพราะคนมาใหม่คน
" เบส...คือรันต์ ไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เลยนะ แต่..." เสียงที่เปล่งออกมามีแค่นั้น ก่อนจะกลืนกลับไปของเรรันต์ ทำให้เบสพอจะรู้แล้วว่า เธอหมดใจแล้วจริงๆ ไม่ใช่สิ..ไม่เคยมีใจให้เขาเลยต่างหาก ที่ผ่านมาเขาหลอกตัวเองทั้งนั้น สำคัญไปมากกว่านั้น ระยะเวลาการรอคอยของเขา ต่อให้อดทนเนิ่นนานแค่ไหน สุดท้าย ..เธอก็ไม่มีวันหันมารักเขา ในเมื่อเธอมีคนอื่นอยู่ในใจอยู่ก่อน มันจะต่างอะไร กับการรักข้างเดียว ความเจ็บปวดที่ก่อตัวอยู่ภายในใจของเบส มันไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ นั่นเพราะว่ามันมีมากเกินคำบรรยาย.. เขากลัวเจ็บ... เจ็บในชนิดที่ว่า ไม่ขอเสียเธอไปได้ไหม เขายอมโง่ก็ได้ “ เบสขอมากไปเหรอ ถ้าจะขอให้รันต์... “ " อย่าเลยเบส รันต์รู้ว่าการกระทำของรันต์นั้นมันเห็นแก่ตัว ไม่ยุติธรรมกับเบส แต่อย่าเลยนะ...เราไม่อยากเป็นคนสองใจอ่ะ " “ ใช่ ... เบสลืมไป รันต์คงไม่อยากคบซ้อน หรือนอกใจเขา “ " ..... " " เบส เข้าใจ" ความข่มขื่นที่แลกมาด้วยความจำเป็น มันทำเรรันต
หลายวันผ่านมา ไม่มีใครบอกเรื่องที่เบสทะเลาะกับคิมหันต์ตรงลานจอดรถ เปล่ามีเรื่องเพล่งพรายออกไปถึงหูคุณนายอารีย์ หรือใครอื่นให้เสื่อมเสียชื่อเสียง แม้แต่เรรันต์เองก็ไม่อาจจะรู้ได้ นั่นเพราะเธอหนีปัญหาโดยการไม่รับสายเบสซะดื้อๆ แถมยังหลบหน้าอีกต่างหาก เพียงเหตุผลแค่ว่า เบสทำเธอตกใจในวันนั้น...เท่านั้น "รันต์...” “ หื้ม “ เสียงแอม เพื่อนอีกคนของเธอสะกิดเรียก เรรันต์ที่กำลังเหม่อลอยถึงกับสะดุ้งตื่นจากภวังค์ หันไปขานรับ ในขณะที่สีหน้าเธอจืดชืดไม่ต่างกับผีดิบ “ เป็นอะไรรึเปล่า เราเรียกตั้งหลายครั้ง ไม่เห็นจะได้ยิน “ “ เรียกหลายครั้งแล้วเหรอ “ “ อืม ใช่ “ “ โทษทีนะ เราไม่ค่อยสบายน่ะ “ เธอบอก เสียงแหบ แอมถึงกับขมวดคิ้วสงสัย “ หมู่นี้รันต์ไม่ไปนั่งอ่านหนังสือที่ห้องสมุดแล้วเหรอ ปกติเราเห็นหลังเลิกเรียนรันต์จะอยู่แต่ที่นั่น “ ซึ่งคำถามนี้แหละ ที่ทำเธอหลบตาก้มหน้าสลด นึกถึงวันวานแล้วถอนหายใจ “ เฮ้อ...ไม่ค่อยมีเวลา “ “ จริงเหรอ ไม่ใช่เรื่องเบสหรอกนะ ใช่มั้ย? “
“ นี่ ปล่อยหนูลงเดี๋ยวนี้นะ! “ “ ....” “ ปล่อย...” “ อึม! “ “ โอ้ย เจ็บนะ “ “ จะดิ้นทำไม ไม่เข้าใจ “ “ ก็คนมันเวียนหัวจะอ้วกนี่คะ “ “ มันอั้นไม่ได้เลยรึไง “ “ อะไรนะ “ “ ไอ้อาการนั่นน่ะ เก็บไว้ไม่ได้เลยเรอะ มันเสี่ยงนายแม่จับได้นะรู้ไหม “ “ พี่คิม ..” เรรันต์เบิกตาโต “ แพ้ท้องนะคะพี่ ไม่ได้เรียกร้องความสนใจ ถึงจะสั่งมันได้! ” “ ....” “ คนเห็นแก่ตัว “ เรรันต์ถึงกับขมวดคิ้วน้ำตาคลอเบ้า ช้อนตามองไม่กระพริบ หลังจากคิมหันต์พาเดินโทงๆ อุ้มเธอมาทุ่มไว้บนที่นอนของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นความน้อยเนื้อต่ำใจเกิดขึ้นมาฉับพลันทันที เมื่อได้ยินประโยคที่เขาพูด เธอปาดน้ำตาตัวเองออก ก่อนไต่จากที่นอนลงมายืนหวังจะเดินกลับห้อง ทว่า..กลับถูกคั่นไว้ด้วยแขนกำยำ พร้อมลมปากมากระซิบ “ เดี๋ยว..คุยกันก่อน “ “ อย่ามายุ่งนะ หนูไม่อยากอยู่ใกล้พี่แล้ว อยากจะนอน เหม็นขี้หน้า “ เรรันต์สะบัดแขน “ นอนที่นี่ก็ได้ “ คิมหันต
เคลถึงกับอึ้ง ไปไม่ถูกเลยทีเดียว เมื่อประโยคที่ไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะมีทางได้ยินดังขึ้น " เอ่อ..แต่ว่านายแม่ครับ " " มีปัญหาอะไรเหรอ " คิดจะท้วงติง ก็กลับถูกดักคอ " น้องยังเด็กนะครับ " เขาพยายามคิดหาถ้อยคำมาหว่านล้อมให้คุณนายอารีย์เลิกล้มความคิด และเหมือนไม่เป็นผล " เพราะรู้ว่ายังเด็ก แม่ถึงรอให้น้องเรียนจบนี่ไง " หล่อนจะมีคำเถียงมาเบี่ยงประเด็นเสมอ จนเคลตอนนี้ ถึงกับถอนหายใจ ก้มหน้างุน หมดแล้วซึ่งคำปกป้อง อยากจะบอกใจจะขาดถึงเหตุผลที่เป็นไปไม่ได้ เพราะความกล้าเขายังมีไม่มากพอ และรู้ดีที่สุด นิสัยนายแม่ของพวกเขาเป็นยังไง ถ้าร้ายก็จะร้าย ถึงตอนนั้นคำว่าลูกมาคำคอก็คงไม่มี " รึเคลมีคนรักอยู่แล้ว " หล่อนเลิกคิ้วถาม " เอ่อ.." เคลอึกอัก " อย่างงั้นใช่ไหม? " " เปล่าครับ " ส่ายหน้าเบาๆ " ถ้างั้น มีปัญหาอะไรอีก " " ผมรักน้องแบบน้องสาวคนนึงนะครับ ถ้าจะให้เอามาทำภรรยา เกรงว่า.." " ก็ค่อยๆเป็น ค่อยๆไปสิ อยู่ด้วยกัน นอนด้วยกัน ขี้คร้านจะปั้นลูกคลานตามกันมาปีละคน " .
...20.00 น... งานฉลองผู้บริหารคนใหม่ หนุ่มหล่อไฟแรง และจบด็อกเตอร์จากเมืองนอก ..คิมหันต์ จรัญทิพย์ ... เพียงแค่อายุ 28 ปี เขาก็คว้าตำแหน่ง CEO หนึ่งในหุ้นส่วนของบริษัทส่งออก ซึ่งใหญ่ที่สุด และรวยที่สุดได้แล้ว คุณนายอารีย์งานนี้ถึงกับยิ้มแก้มปริหุบไม่ลงกันเลยสักนาทีเดียว ภูมิใจซะเต็มประดา กับสิ่งที่ต้องการแล้วได้ดั่งสมความปราถนา หล่อนชายตามองไปรอบๆ เห็นคนในงานที่มีมากเกินกว่าที่คิด แล้วยิ้มหนักกว่าเก่า ก่อนจะมาชะงักจริงๆก็ตอนที่มองไปไม่เห็นคิมหันต์ " เคล.. เคลมานี่สิ " " ครับนายแม่ " จึงเรียกลูกชายคนโตในขณะยืนคุยกับนักธุรกิจคนอื่นๆอยู่ " มีอะไรด่วนรึเปล่าครับ " " คิมไปไหน " เคลถึงกับขมวดคิ้วมองไปรอบๆตาม ราวช่วยค้นหา เมื่อไม่มีอย่างที่นายแม่ว่าจริงๆ ถึงกับเครียด ก่อนจะถอนใจออกมาอย่างโล่งอกภายหลัง เมื่อเห็นเรรันต์ยืนยิ้มหวานอยู่กับพวกผู้ใหญ่อีกฝั่งหนึ่ง เพราะทีแรก เขาคิดว่า สองคนนี้คงจะใช้โอกาสนี้ไปนอนกกกันอีก แต่หากเห็นอีกคนนึงอยู่ที่
....สิบห้านาทีก่อนจากนี้..... ในขณะคิมหันต์เมามาย ปลีกตัวจากกลุ่มเพื่อนขอตัวไปทำธุระ ระหว่างทางเดินไม่ทันจะถึงห้องโถง ร่างบางสง่าในชุดเดรสแดงเพลิงทั้งชุดเกิดเดินเข้ามา ในมือของหล่อน กอดดอกไม้ช่อใหญ่มาด้วย ซึ่งทนมองอยู่ห่างๆ รอจังหวะมานานหลายชั่วโมง เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้างาน จนกระทั่งถึงเวลานี้ กว่าหล่อนจะเดินเข้ามาได้ ต้องเปลืองเวลาและน้ำลาย หลอกยั่วการ์ดหน้างานไปตั้งเท่าไหร่ ฉะนั้น ถ้าจะต้องพลาดพบเจอกับคู่สวาทเก่าตามลำพังเล่าก็ มันคงไม่ใช่วิสัยของคนหวังสูงอย่างหล่อนแน่นอน " คิมคะ " เสียงหวานเรียกขานปนยิ้มยั่ว ยืนตะหง่านอยู่เบื้องข้าง คิมหันต์เหลือบตาชำเลืองหันไปมอง ก่อนขมวดคิ้วงง " แพรว คุณมาได้ยังไง " มองสลับหน้าหล่อนกับทางออก ถามเสียงห้วน ไม่ชอบใจนัก แต่ก็เลือกที่จะยืนรอคำตอบ " ก็เดินเข้ามาสิคะถามแปลก " ทว่า หญิงสาวกลับหัวเราะชอบใจ อย่างมีจริต " ผมไม่ได้เชิญคุณนี่ " ชายหนุ่ม ในชุดสูทดำหล่อเนี้ยบเป็นพิเศษยักไหล่โพล่งเสียงถาม ทว่า..คนตรงหน้ากลับยิ้มยั่วหนักกว่าเดิม แถมยังจะเดินเข้ามาใกล้ ประชิดตัว
งานมงคล... ประตูวิวาห์แสนจะฉุกละหุก ถูกจัดขึ้นในวันที่เหมาะสมที่สุด ต่างเป็นข่าวลั่นวงการนักธุรกิจอึกทึกครึกโครม เป็นบ่อเกิดความอับอายให้แก่คุณนายอารีย์ไม่น้อย ทว่า มันไม่ใช่การจำใจทำ แต่เกิดขึ้นมาด้วยความรักลูกและหลานล้วนๆ หล่อนไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรือแคร์บุคคลอื่น ที่มีสถานะเป็นคนนอก ไม่ได้หาเงินให้หล่อนกินสักนิด " รัดไปไหมคะคุณหนู " เสียงเจิมเล็ดลอดออกมา สร้างรอยยิ้มตรงมุมปากคนยืนฟังอยู่ห่างๆ ทอดสายตามองไปยังเจ้าสาวตัวน้อยๆ ที่ไม่สมควรจะเป็นแม่คนด้วยซ้ำ แล้วกลั้นขำ " ฟู่ววว นี่ฉันควรจะดีใจหรือเสียใจดี " เรรันต์บ่นอุบ แม้จะถูกตราหน้าว่ามั่ว เป็นวงศ์ตระกูลฉายาสมพาลกินไก่วัด ทว่า หญิงใหญ่เสียงแหบเกินหวานอย่างเช่นคุณนายอารีย์น่ะหรือจะเดือดร้อน หล่อนคิดว่าดีซะอีก จะได้ไม่ต้องจัดกระบวนขันหมากไปขอใคร กินกันเองนี่แหละ ถือว่าดีไปอีกแบบ ขืนได้ลูกสะใภ้แย่ๆมา บ้านจะแตกน่าดู " เอาล่ะเรรันต์ เสร็จแล้วก็ออกไป แขกเรื่อมารอกันเพียบแล้ว นี่ฉันว่าฉันเปล่าเชิญใครนะ ทำไมถึงได้เยอะเกินคาด " ประโยคหลัง
‘ ไม่นะคะ พี่คิม‘ โพล่งเสียงแหลม พร้อมถลาเข้าไปกุมมือใหญ่ไว้ เปิดโอกาสให้คิมหันต์ดึงเธอเข้าไปกอดได้พอดี “ อ๊ะ! ” ล็อคตัวเธอซะแน่นหนา ให้สมกับความคิดถึง และทรมานที่เขานั้นเจอมา ทำเรรันต์ดิ้นไม่หลุด เพิ่งมารู้ว่าถูกหลอกให้พูด ก็ตอนที่คิมหันต์โกหกเธอ ก็ตอนเขาหอมหนักๆ ลงหลายฟอดตรงซอกคอ ฟอดดดด " คิดถึงจัง..." “ นี่ หยุดนะ! ” ตัดสินใจผลักออกไปอย่างแรง จนเขาผงะ ก่อนจะเหวี่ยงฝ่ามือเข้าไปเต็มๆหน้า เพี้ยะ! ชายหนุ่มชาวาบไปทั้งหน้า หันไปยังไงกลับนิ่งอยู่ในท่านั้น รอให้หายมึน หายอึ้งก่อน จึงจะหันกลับ “รันต์...” “ หนูไม่ชอบ! “ กลับมาเจอเสียงแข็งของหญิงสาว พร้อมหน้ายับยู่ยี่ เธอเบิกตาโพลงมองคนตรงข้ามด้วยความโกรธ ในขณะคิมหันต์นั้นตกใจ “ พี่แค่กอดเองนะรันต์ “ “ กอดที่ไหน ตะกี้พี่...” “ ทำไม... “ ทำท่าจะเถียง แต่ต้องมาชะงัก เพราะคิมหันต์แทรกด้วยเสียงที่สั่นกว่า “ ถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ “ สีหน้าเข้าสลด ดวงตาสั่นเครือ เต็มไปด้
" ขวัญเอ๋ยขวัญมานะลูกนะ " เสียงคุณนายอารีย์ แม่บุญธรรมของเรรันต์เอื้อนขึ้น หลังออกจากโรงพยาบาล กลับมาพักฟื้นที่บ้าน ในขณะที่เธอนั่งอยู่บนรถเข็น โดยมีคิมหันต์เป็นคนดูแล " นายแม่.." เสียงเรียกน้อยๆของเธอ ทำหล่อนยิ้มฝืนเลื่อนมือลูบหัวลงมาลูบแก้ม ก่อนจะมองคนป่วยน้ำตาคลอ " เดี๋ยวก็หายแล้วลูก " "ฮึก.." ไม่ต่างกับเรรันต์เลยในตอนนี้ที่ปล่อยน้ำตาให้มันไหลลงมาแล้ว เธอไม่ได้เจ็บปวดเพราะเกิดอุบัติเหตุ แผลบนร่างกายไม่ได้ทำให้เธอเจ็บสักเท่าไหร่ แต่แผลในใจต่างหากที่มันอักเสบซะจนกลัดหนอง เรรันต์รู้สึกผิด ผิดเต็มๆที่ทำคนเป็นแม่เสียใจขนาดนี้ เธอรู้ สิ่งที่ได้มาอาจจะเป็นคำปลอบใจ แต่ขณะเดียวกันในใจลึกๆของคนพูดไม่ต่างกันเลยกับเธอ ยกมือขึ้นไหว้ แล้วบอกขอโทษ ในจังหวะที่นายแม่โน้มตัวลงมาพอดี " รันต์.." หล่อนบีบมือบางนั้นเบาๆ บอกเป็นนัยๆว่าไม่ได้โกรธ ก่อนจะดึงเข้ามากอด ซึ่งนั่นเปิดโอกาสให้เรรันต์ที่สะอื้นไห้อยู่แล้ว ปล่อยโฮอย่างเต็มที่ " ฮือๆๆ ฮือ.." ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่ต่าง
ฝั่งด้านของคิมหันต์ตอนรู้ข่าว เขาเปล่าหึงหวงที่รู้ว่าเพื่อนสนิทกินน้ำใต้ศอกกันอย่างนั้น ไม่ได้ถือว่าเป็นของเหลือ เพราะไม่อยากดูถูกใคร แค่นึกไม่ถึงมากกว่าว่าคนอย่างสิงขรน่ะหรือจะทำมันจริง ปกติเขาเป็นคนเลือกมาก แต่พอได้ยินเหตุผลประมาณว่า เขานั้นมีน้ำใจอยากจะช่วยเพื่อน หวังกำจัดหล่อน ชายหนุ่มเลยไม่ติดใจอะไรอีก ในขณะคิมหันต์เปล่าคิดว่ามันจะสมควร ไม่ใช่ว่าจะไม่สนับสนุน เพียงแต่อีกใจนึงของเขา เขานึกสงสาร เห็นใจเพราะนี่ไม่ใช่วิสัยโดยตรง การทำแบบนี้มันดูหน้าตัวเมีย ทว่า เมื่อหันมาเห็นคนนอนนิ่ง ไม่ไหวติงอยู่ ทำชายหนุ่มแทบสะอึก จุกจนพูดไม่ออก ใช่ กับสิ่งที่ภรรยาเขาเจอล่ะ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน เธอยังอยู่ในคราบน้องสาวเขา แต่กลับต้องมาหมดอนาคตนับตั้งแต่เขานั้นกลับมา มันยุติธรรมแล้วหรือ? 15.00น. ร่างสูงยืนตระหง่านอยู่หน้าห้องในโรงพยาบาลด้วยความหมดแรง วันนี้เหยียบเข้ามาวันที่สิบสองแล้ว ภรรยาตัวน้อยๆของเขายังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น สองสามวันมานี้ เขารู้สึกเหงา และอ้างว้างเหลือเกิน กับเข็มนาฬิกาที่เดินไปเรื่อยๆ เชื่องช้าซะเหมือนแทบจะคลาน มันทำเขาไ
เมา... ศักยภาพของมันคืออะไรใครพอจะเข้าใจถึงความหมายตรงนี้บ้าง?? สำหรับคนทั่วไป อาจจะมองว่ามันทำให้ขาดสติ ทำอะไรสักอย่างออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ในความคิดส่วนตัวอย่างแอดมินสกั้งคนเขียนเรื่อง จะบอกให้รู้เลยตรงนี้ว่า.. ประเด็นสำคัญหลักของคนเมาไม่ได้อยู่น้ำเมา แต่มันอยู่ที่ตัวบุคคล คนที่ดื่มเข้าไป บางคนไม่ได้แย่ เมาคือการปล่อยโอกาสให้สันดานไม่ดีในจิตใต้สำนึกของคนกินนั้นออกมามากกว่า ดุจแพรววาตอนนี้ ที่ต่อให้เมารึไม่ ความเป็นเธอก็ยังคงเป็นเธอ ควงจริตยังไงไว้ข้างในก็ยังคงมีมันอยู่อย่างนั้น ถึงรู้อยู่แก่ใจว่าหล่อนนั้นผิด ผิดตั้งแต่เดินเข้ามาในชีวิตของคิมหันต์เพราะจุดประสงค์บางอย่างที่ไม่ใช่ความรัก หล่อนก็ยังไม่แคร์ สำนึกผิดอยู่ตรงไหนในความคิดหล่อน...คงไม่มี อันที่จริงหล่อนควรจะหายไปจากชีวิตของคิมหันต์ตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ ไม่ควรจะกลับมาให้เห็นหน้านับตั้งแต่เขาจับได้ คิมหันต์ทำตามข้อตกลงกับหล่อนอย่างถี่ถ้วนไม่มีข้อบกพร่องด้วยเงินห้าล้านบาท ทว่า..ทำไมยังไม่พอ หล่อนยังหวนคืนกลับมาใหม่ เพื่อยั่วยวนเขา
คำจากปากหมอ ที่ว่าเรรันต์นั้นพ้นขีดอันตราย ปลอดภัยหายห่วงแล้ว ทำทุกคนซึ่งเฝ้าคอยแต่เข้าใจแค่ครึ่งเดียว ใช่อยู่ว่าเธอไม่ตาย แต่ทำไมยังไม่ฟื้น นี่ก็ผ่านมาจะเข้าวันที่สิบแล้ว หญิงสาวไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาขึ้นมาเลย ความวิตกกังวลมาตกอยู่ที่คิมหันต์ เขาจะต้องทรมานแค่ไหน หากวันนึงไม่มีเธอ เขาเอาแต่โทษตัวเขาเอง กับการเจ็บตัวที่เรรันต์นั้นได้รับ กร่นด่าในใจสารพัด เฝ้าภาวนาให้เธอนั้นฟื้น เพื่อที่วันนั้นเขาจะได้กลับไปแก้ตัวเองใหม่ ทิ้งสันดานไม่ดี ผวนกลับมาดูแลเธอเต็มที่ ให้สมกับสิ่งที่เธอคู่ควร ...ซึ่งในฐานะภรรยาไม่ใช่น้องสาว.... ทุกๆภาพ ทุกๆเหตุการณ์ มันทำให้เขาเจ็บปวด หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ทำมันเลย รู้ว่ามันสาย รู้ว่าเพ้อฝัน และรู้ว่าเขานั้นผิด...พูดคำนี้ใครได้ยิน ก็คงมีแต่คนสมน้ำหน้า เหยียบย้ำซ้ำเติม ทว่า มันไม่มีความคิดไหนอีกแล้ว ที่จะเยียวยาจิตใจ นอกไปจากการสำนึกผิด และโทษตัวเองแบบนี้ สิบวันที่ผ่าน ใช่ว่าเขาจะกินอิ่มนอนหลับ คิมหันต์เครียดแทบจะอยู่บ้านไม่ติด ไม่ใช่ว่าคุณนายอารีย์เอาแต่ด่า ไม่ใช่หล่อนเอาแต่บึ้งตึงใส่
นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ที่เขานั่งมองมือซึ่งเปื้อนคราบเลือดอยู่ตรงนี้ หน้าห้องฉุกเฉินพร้อมกับความรู้สึกผิดถึงขีด สุด หลายครั้งที่นั่งอยู่ดีๆ ปล่อยให้น้ำตามันไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มจุกในอก หัวใจถูกบีบหนัก เจ็บทุกครั้งที่กลืนน้ำลายลงคอ พร่ำโทษตัวเองซ้ำๆ ผู้กระทำให้เธอเป็นแบบนี้ เขาไม่ควรทำแบบนั้นเลยจริง จริง ก่อนจะก้มหน้าสะอื้นตัวสั่นเทา เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ภาพเคลื่อนไหวที่เห็นต่อหน้าต่อตา ทำเขาช็อคไม่หาย รถเรรันต์หมุนเหมือนลูกค่าง เพราะแรงเบรค ก่อนจะหักไปชนต้นไม้ข้างทางเข้าอย่างจัง โชคดีที่เธอคาดเข็มขัดนิรภัย ซึ่งเป็นรถซุปเปอร์คาร์ที่เซฟตัวหญิงสาวได้อย่างดีเยี่ยมที่สุด เธอไม่ได้พุ่งออกมาจากรถ อีกทั้งแรงกระแทกนั้นไม่ได้หนักถึงขั้นทำเธอให้ตาย หนักสุดคงมีแค่ศีรษะแตกมีเลือดออก ทว่า ถึงเธอจะปลอดภัย นั่นก็ใช่ว่าจะทำให้เขาหายวิตกกังวล สิ่งที่เขากลัวที่สุดต่างหากที่สำคัญไม่แพ้กัน ภาวนา..อย่าให้มันเป็นไปอย่างที่เขาคิดเลย หากเรรันต์กับลูก เป็นอะไรไป เขาจะไม่มีวันอภัยตัวเองแน่นอน " พี่ขอโทษนะรันต์ ขอโทษจริงๆ " แม้
....สิบห้านาทีก่อนจากนี้..... ในขณะคิมหันต์เมามาย ปลีกตัวจากกลุ่มเพื่อนขอตัวไปทำธุระ ระหว่างทางเดินไม่ทันจะถึงห้องโถง ร่างบางสง่าในชุดเดรสแดงเพลิงทั้งชุดเกิดเดินเข้ามา ในมือของหล่อน กอดดอกไม้ช่อใหญ่มาด้วย ซึ่งทนมองอยู่ห่างๆ รอจังหวะมานานหลายชั่วโมง เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้างาน จนกระทั่งถึงเวลานี้ กว่าหล่อนจะเดินเข้ามาได้ ต้องเปลืองเวลาและน้ำลาย หลอกยั่วการ์ดหน้างานไปตั้งเท่าไหร่ ฉะนั้น ถ้าจะต้องพลาดพบเจอกับคู่สวาทเก่าตามลำพังเล่าก็ มันคงไม่ใช่วิสัยของคนหวังสูงอย่างหล่อนแน่นอน " คิมคะ " เสียงหวานเรียกขานปนยิ้มยั่ว ยืนตะหง่านอยู่เบื้องข้าง คิมหันต์เหลือบตาชำเลืองหันไปมอง ก่อนขมวดคิ้วงง " แพรว คุณมาได้ยังไง " มองสลับหน้าหล่อนกับทางออก ถามเสียงห้วน ไม่ชอบใจนัก แต่ก็เลือกที่จะยืนรอคำตอบ " ก็เดินเข้ามาสิคะถามแปลก " ทว่า หญิงสาวกลับหัวเราะชอบใจ อย่างมีจริต " ผมไม่ได้เชิญคุณนี่ " ชายหนุ่ม ในชุดสูทดำหล่อเนี้ยบเป็นพิเศษยักไหล่โพล่งเสียงถาม ทว่า..คนตรงหน้ากลับยิ้มยั่วหนักกว่าเดิม แถมยังจะเดินเข้ามาใกล้ ประชิดตัว
...20.00 น... งานฉลองผู้บริหารคนใหม่ หนุ่มหล่อไฟแรง และจบด็อกเตอร์จากเมืองนอก ..คิมหันต์ จรัญทิพย์ ... เพียงแค่อายุ 28 ปี เขาก็คว้าตำแหน่ง CEO หนึ่งในหุ้นส่วนของบริษัทส่งออก ซึ่งใหญ่ที่สุด และรวยที่สุดได้แล้ว คุณนายอารีย์งานนี้ถึงกับยิ้มแก้มปริหุบไม่ลงกันเลยสักนาทีเดียว ภูมิใจซะเต็มประดา กับสิ่งที่ต้องการแล้วได้ดั่งสมความปราถนา หล่อนชายตามองไปรอบๆ เห็นคนในงานที่มีมากเกินกว่าที่คิด แล้วยิ้มหนักกว่าเก่า ก่อนจะมาชะงักจริงๆก็ตอนที่มองไปไม่เห็นคิมหันต์ " เคล.. เคลมานี่สิ " " ครับนายแม่ " จึงเรียกลูกชายคนโตในขณะยืนคุยกับนักธุรกิจคนอื่นๆอยู่ " มีอะไรด่วนรึเปล่าครับ " " คิมไปไหน " เคลถึงกับขมวดคิ้วมองไปรอบๆตาม ราวช่วยค้นหา เมื่อไม่มีอย่างที่นายแม่ว่าจริงๆ ถึงกับเครียด ก่อนจะถอนใจออกมาอย่างโล่งอกภายหลัง เมื่อเห็นเรรันต์ยืนยิ้มหวานอยู่กับพวกผู้ใหญ่อีกฝั่งหนึ่ง เพราะทีแรก เขาคิดว่า สองคนนี้คงจะใช้โอกาสนี้ไปนอนกกกันอีก แต่หากเห็นอีกคนนึงอยู่ที่