มู่หรงยิ่นเก็บโทรศัพท์มือถือลงไป วนเวียนไปมาอยู่นอกห้องผู้ป่วยครู่หนึ่ง จึงเดินกลับเข้าไปหลี่เหยียนรีบถามอย่างอดทนรอไม่ไหว “หมอเทวดาหลินคนนั้นจะมาเมื่อไหร่กัน?” หยี่เหยียนรู้สึกว่าบนร่างของตนคันเล็กน้อย ที่มือเริ่มมีจุดแดงเล็กๆ ผุดขึ้นมา นี่เป็นสัญญาณการกำเริบของผื่นพิษโลหิต ตัวเขาในตอนนี้หวาดกลัวจะตายอยู่แล้ว“รบกวนพวกคุณช่วยออกไปก่อน ฉันต้องการคุยกับคุณหนูฉินสักสองสามประโยค” มู่หรงยิ่นกล่าว“คุณก็บอกพวกเรามาให้ชัดเลยดีกว่าว่าที่แท้เขาจะมาไหม แล้วรักษาได้หรือเปล่า? คุณจะไล่พวกเราออกไปทำไม?” หลี่เหยียนคว้ามือของมู่หรงยิ่นไว้แล้วเค้นถาม“หลี่เหยียน! ระวังพฤติกรรมของนายด้วย!” แม้ฉินอี๋หลิงจะนอนป่วยอยู่บนเตียง ทว่าความน่ายำเกรงของเธอยังคงอยู่ เพียงประโยคเดียวก็ทำให้หลี่เหยียนปล่อยมือออกและไม่กล้าพูดมากอีก“พวกนายออกไปให้หมด” คนทั้งหลายต่างตามกันออกไปจากห้องผู้ป่วย เหลือเพียงฉินอี๋หลิงกับมู่หรงยิ่นเท่านั้น“คุณหนูมู่หรง มีอะไรก็พูดมาเถอะค่ะ ฉันอยากรู้เพียงว่า หมอเทวดาหลินคนนี้สามารถรักษาโรคของฉันให้หายได้หรือเปล่าเท่านั้น?"ฉินอี๋หลิงถาม“รักษาได้ค่ะ” “คุณแน่ใจไหมคะ?”
ส่วนทางโรงพยาบาล มู่หรงยิ่นกำลังช่วยฉินอี๋หลิงวิเคราะห์เบาะแส จะต้องตรวจหาสาเหตุของการติดโรคให้เจอโดยเร็วที่สุดณ หมู่บ้านตี้เหา หลินหยางกำลังนั่งขัดสมาธิ ในสมองกำลังวิเคราะห์เบาะแสไม่หยุดก่อนเทพโอสถผู้เป็นอาจารย์จะสิ้นลมได้เคยกำชับไว้ว่า ก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นบรรลุเทพ ไม่อาจเปิดเผยฐานะว่าตนเป็นผู้สืบทอดของเทพโอสถอย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะชักนำเภทภัยถึงชีวิตมาและตัวหลินหยางในเวลานี้ ยังห่างไกลจากระดับบรรลุเทพอีกมาก ดุจดั่งวิมานในสรวงสวรรค์ ห่างออกไปแสนไกลเกินเอื้อมถึงระดับบรรลุเทพ นั่นเป็นระดับในตำนานที่เล่าขานกันกระทั่งมีคนจำนวนมากที่ไม่เชื่อถึงการคงอยู่ของระดับบรรลุเทพ คิดว่าระดับท่องสวรรค์ก็เป็นขีดจำกัดขั้นสูงสุดของมนุษย์แล้วระดับแรกคือ ‘ระดับมานะสร้าง’ หลังบรรลุระดับมานะสร้างได้ก็จะเข้าสู่ระดับที่สอง ‘ระดับเบิกฟ้า’ ซึ่งเป็นการสั่งสมลมปราณแท้จนกลั่นตัวเป็นจุดตันเถียนระดับขั้นที่สามของการฝึกยุทธ์คือ ‘ระดับเขตลับแห่งอิสรภาพ’ เป็นระดับที่สามารถปลดปล่อยปราณแท้ออกมา ควมคุมเป็นรังสีดาบกระบี่และรัศมีคุ้มครองกายที่แข็งแกร่งประดุจเหล็กกล้า สำหรับผู้ที่อยู่ในระดับนี้ กิ่งไม้ใบหญ้าล้
เจิ้งหนานซวี่กล่าวอย่างตื่นเต้น“คืนนี้ฉันมีธุระ ไม่ไปเล่นเป็นเพื่อนนายแล้ว เปลี่ยนเป็นวันอื่นแล้วกัน” หลินหยางตัดสินใจว่าคืนนี้จะไปที่บ้านของฉินโม่หนง เพื่อลองเชิงเรื่องอุบัติเหตุรถยนต์ของพ่อแม่เขา ดูว่าจะสามารถถามเบาะแสอะไรจากปากของฉินโม่หนงได้หรือไม่ในส่วนลึกของจิตใจ เขาหวังอย่างยิ่งว่าฉินโม่หนงจะไม่เกี่ยวข้องกับการตายของพ่อแม่เขา“อย่างนั้นก็ได้ ถูกแล้ว หวังเซิ่งหลานไม่ได้มาหาเรื่องพี่ใช่ไหม? เรื่องนั้นฉันช่วยอะไรไม่ได้เลย รู้สึกผิดจริงๆ” “หล่อนมาแล้วและก็ไปแล้วล่ะ นายวางใจเถอะ เรื่องพวกนี้ฉันรับมือคนเดียวก็พอ นายแค่ทำกิจการของนายให้ดีๆ” หลินหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม“สวรรค์ประทานโอกาสล้ำค่ามาให้แล้ว ฉันต้องไม่ผิดต่อมันแน่” เจิ้งหนานซวี่ในตอนนี้ ยามพูดจาจะมีกระแสความฮึกเหิมสายหนึ่งหมู่บ้านตี้เหา วิลล่าสกุลหลิ่วเหลียงควนออกจากโรงพยาบาลแล้ว เพียงแต่บาดแผลบนในหน้ายังไม่หายดีทั้งหมด ทว่าเขาไม่อาจทนรอที่จะไปแก้แค้นหลินหยางเหลียงควนขับรถไปที่บ้านสกุลหลิ่วก่อนเมื่อเห็นเหลียงควนมาเยือน อวี๋ผิงก็รู้สึกยินดีอย่างมาก ปฏิบัติต่อเขาอย่างมีมารยาท คอยสอบถามสารทุกข์สุกดิบและประจบปร
“เสี่ยวเหลียง เธอจะแก้แค้นก็ไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้หลินหยางมีวิชาฝีมือยู่กับตัว เกรงว่าเธอจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา หากเกิดโดนมันทำร้ายจนเป็นอะไรขึ้นมาอีก แบบนั้นก็จะไม่คุ้มกัน” อวี๋ผิงเป็นห่วงมาก กลัวว่าลูกเขยที่แสนล้ำค่าคนนี้ของเธอจะได้รับบาดเจ็บตรงที่ใดขึ้นมา“เธอเป็นเหมือนเครื่องเคลือบล้ำค่า ส่วนไอ้หลินหยางนั่นเป็นแค่พวกบ้านนอกคอกนา ไม่ว่าจะกระทบกันอย่างไรก็เป็นเธอที่บอบช้ำ” “ผมไม่ได้โง่ถึงขนาดจะไปเปรียบฝีมือกันคนฝึกยุทธ์หรอกครับ ผมมีทั้งเงินและอำนาจ จะจัดการกับเขาไม่จำเป็นต้องให้ผมลงมือเอง” “พ่อของผมออกหน้าเชิญยอดฝีมือขั้นแปดมาท่านหนึ่งมาด้วยตัวเอง รอจนเขามาถึง ผมจะต้องให้หลินหยางคุกเข่าโขกหัวต่อหน้าผม เหยียบเขาไว้ใต้ฝ่าเท้าแล้วสั่งสอนเขาอย่างหนักแน่ครับ” สีหน้าของเหลียงควนเต็มไปด้วยความลำพอง แสดงความรู้สึกเหนือกว่าออกมาอย่างเต็มขั้น“อย่างนั้นก็ดี ครั้งก่อนเป็นเพราะน้าประมาทเกินไป ทำให้ยอดฝีมือระดับห้าที่สนิทสนมกับพวกเราได้รับบาดเจ็บสาหัส จนเกิดความเสียหายอย่างมาก” "ครั้งนี้มียอดฝีมือระดับแปดออกโรงด้วยตัวเอง น้าจะรอดูว่าเจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นจะเอาความสามารถอะไรมาต้านอีก"อว
เติ้งจินขุยไม่ได้ลงจากรถในทันที แต่พยักหน้าเบาๆ แล้วกล่าวว่า “คนที่เธอต้องการจัดการอาศัยอยู่ที่นี่?” “ใช่แล้วครับ” “อยากได้แบบตายหรือเป็น?” เติ้งจินขุยถาม“เอาแบบเกือบตายก็พอครับ ส่วนที่เหลือมอบให้ผมจัดการ จะได้ไม่เปื้อนมือคุณ” เหลียงควนกล่าวเติ้งจินขุยพอใจต่อท่าทีของเหลียงควนเป็นอย่างมาก กล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “เธอรู้ความดี” อวี๋ผิงและหลิ่วฟู่อวี่ยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่พูดสิ่งใดแม้แต่คำเดียว เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับแปด คนทั้งสองก็มีความกลัวอยู๋ในใจเช่นกัน“ผมรู้ว่า แค่ไอ้กระจอกที่ไม่มีความสำคัญคนหนึ่ง การรบกวนให้คุณลงมือด้วยตัวเองแบบนี้ถือว่าไม่สมศักดิ์ศรีของคุณเลย แต่อีกฝ่ายมันโอหังเกินไปจริงๆ ครับ…” เติ้งจินขุยยกมือขึ้นเบาๆ ว่า “เอาเถอะ เรื่องไร้สาระพูดให้น้อยลงหน่อย หลังจากเรื่องนี้เมื่อกลับไปแล้วบอกพ่อของเธอด้วยว่า การลงมือครั้งนี้ของฉันถือว่าได้คืนน้ำใจที่ติดค้างเขาแล้ว และก็ให้เกียรติเขาอย่างเต็มที่แล้วเช่นกัน ในอนาคตเรื่องเล็กๆ แบบนี้อย่าได้มารบกวนฉัน” “ครับครับครับ” เหลียงควนรีบพยักหน้าติดกัน“ไปเคาะประตู!” เติ้งจินขุยส่งสัญญาณมือให้เหลียงควนเมื่อมีย
ถ้าพูดถึงเรื่องการปะทะฝีปาก ประชันวาจาเชือดเฉือน คนซื่อตรงอยู่ในหน้าที่มาตลอดแบบเสิ่นลี่หมิงจะเป็นคู่ต่อกรของหลิ่วฟู่อวี่ได้อย่างไร ทันใดนั้นก็ถูกถากถางดูแคลนจนไร้คำพูด ไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไรดี“พวกคุณพูดจบหรือยัง?” ในเวลานั้นเอง หลินหยางก็เดินออกมาจากในบ้าน สีหน้าเย็นชาสำหรับอวี๋ผิงและหลิ่วฟู่อวี่สองแม่ลูกแล้ว หลินหยางมิได้มีความรู้สึกดีด้วยแม้แต่น้อย เพียงเห็นแก่หน้าของหลิ่วเฉิงจื้อ จึงคร้านที่จะเอาความกับพวกเธอ เหลือหน้าไว้ให้พวกเธอบ้างเท่านั้นแต่การที่สองแม่ลูกเหยียดหยามเสิ่นลี่หมิงเช่นนี้ ทำให้หลินหยางโมโหขึ้นมา“นี่เป็นบ้านของฉัน ไม่ใช่ที่ที่พวกคุณสองแม่ลูกจะมาทำตามอำเภอใจ พวกคุณยิ่งไม่มีสิทธิ์มาพูดจาดูหมิ่นคนในบ้านของฉัน ไม่ว่าใครทั้งนั้น” หลินหยางกล่าวเสียงเย็น“บ้านของนาย? นายเสแสร้งอะไรกัน! เมื่อก่อนที่นี่อาจเป็นบ้านของนายจริง แต่ตอนนี้เกี่ยวอะไรกับนายแม้แต่สตางค์แดงเดียวหรือไง คิดว่ากลายเป็นไอ้หนุ่มบำเรอที่ถูกคนเลี้ยงไว้แล้ว แกก็จะกลายเป็นเจ้าของตัวจริงของที่นี่หรือยังไง?” หลิ่วฟู่อวี่พูดเยาะเย้ยถากถาง“ไร้ยางอายสิ้นดี” อวี๋ผิงกล่าว“หึ…” หลินหยางแค่นเสียงเย็
ตอนนั้นเติ้งจินขุยก็คิดว่าหลินหยางเป็นบุคคลใหญ่โตที่ไม่ควรไปหาเรื่องด้วยอย่างแน่นอน ตอนหลังเขาจึงไปสืบข่าวกับฉีอีซินเติ้งจินขุยเป็นคนส่วนน้อยที่รู้ตัวตนของหลินหยางตอนที่เขากระโดดเข้ามาแล้วเห็นว่าคนที่เผชิญหน้าด้วยคือหลินหยาง สีหน้าของเติ้งจินขุยสดใสมาก แทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี หรือไม่ก็หันหน้าแล้วกลิ้งตัวหนีออกไป“คุณเติ้ง เจอหน้ากันอีกแล้ว”หลินหยางกล่าวเสียงเรียบเติ้งจินขุยกลืนน้ำลายดังเอื๊อกกล่าว “ใช่...ใช่ครับ”“การประลองเมื่อครั้งก่อน เหมือนว่ายังไม่รู้ว่าใครแพ้หรือชนะเลยนี่นา? ในเมื่อมีวาสนากันขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็สู้กันให้รู้แพ้รู้ชนะ ตัดสินว่าจะรอดหรือจะตายไปเลยเถอะกันไปเลยเถอะ”ในระหว่างที่หลินหยางพูด นัยน์ตาก็เปล่งประกายแสงเย็นยะเยือก เติ้งจินขุยตกใจจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว ความหนาวเย็นกลุ่มหนึ่งวิ่งพุ่งขึ้นมาจากปลายเท้าจนถึงกลางกระหม่อมตัดสินแพ้ชนะ ตัดสินว่าจะรอดหรือตาย ความหมายในคำพูดนั้นก็คือจะให้เขาตายอยู่ที่นี่ เติ้งจินขุยจะไม่รู้สึกกลัวได้อย่างไร“คุณหลินกล่าวเกินไปแล้ว ผมยอมแพ้ เดิมทีก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณเลยด้วยซ้ำ ยังจำเป็นที่จะต้องตัดสินแพ้ชนะอะไรอีกล
เติ้งจินขุยในเวลานี้ไม่อยากจะสนใจเหลียงควน ยิ่งคร้านจะโต้แย้งกับเหลียงควน เขาคิดแค่ว่าอยากได้รับการยกโทษจากหลินหยางเท่านั้น จากนั้นรีบออกไปจากที่นี่ ไม่อย่างนั้นหากไม่ระวังเพียงนิดเดียว ก็คงจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่“คุณหลิน คุณเองก็ได้ยินแล้ว ผมไม่รู้จริง ๆว่าคนที่ต้องจัดการจะเป็นคุณ ขอโอกาสคุณสักครั้ง ไว้ชีวิตผมสักครั้งเถอะ”แรงอาฆาตในดวงตาของหลินหยางค่อย ๆ จางหายไป กล่าว “นายทำให้กระเบื้องของบ้านฉันพัง ต้องชดใช้”“ผมยินดีชดใช้! ขอเพียงแค่คุณหลินได้โปรดเข้าใจ คุณว่ามาเลยว่าต้องชดใช้เท่าไหร่ ผมก็จะชดใช้เท่านั้น เติ้งจินขุยพูดอย่างตรงไปตรงมา“นายคิดว่าฉันขาดเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้หรือไง?” หลินหยางกล่าว“ถ้าอย่างนั้น...คุณคิดว่าผมควรจะชดใช้ยังไง?”เติ้งจินขุยถามอย่างหวาดกลัวหลินหยางครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ชดใช้ฉันด้วยหญ้าน้ำลายมังกรหนึ่งร้อยปีก็แล้วกัน”เติ้งจินขุยค่อนข้างสนิทกับฉีอีซิน แน่นอนว่ารู้ว่าหญ้าน้ำลายมังกรเป็นสมุนไพรล้ำค่า หาได้ยากมากเติ้งจินขุยสีหน้าลำบากใจ การมาที่นี่ของตนเอง ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลย ตอนนี้ยังต้องมาชดใช้ด้วยหญ้าน้ำลายมังกรหนึ่งต้นอีก เขาไม่รู้ว่าจะต้อง
เหยียนฮ่าวรู้สึกหมดความอดทนอยู่บ้าง “อยากจะเจรจาก็รีบพูดมา ไม่พูดฉันจะไปแล้ว!”หลินหยางกลับจิบไวน์อึกหนึ่ง ถึงได้หันหน้าไปมองเขาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเหยียน เหมือนว่าคุณจะเข้าใจผิดไปนะ”“คุณ มีสิทธิ์อะไรมาเจรจากับผม?”“ว่าอะไรนะ?”เหยียนฮ่าวงุนงงไปทันที หลินหยางเพียงแค่ดีดนิ้วทีหนึ่ง!ทันใดนั้น เหยียนฮ่าวก็ล้มลงไปบนพื้นอย่างรุนแรง กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดราวกับไม่ใช่เสียงของมนุษย์! ร่างกายคดงอราวกับกุ้งต้มสุก!ยังดีที่ครั้งก่อนต่อสู้ครั้งใหญ่กับหวังเหลียนเฉิง หลังจากทำลายคฤหาสน์จนพัง หลินหยางก็ได้ให้คนมาซ่อมแซมแล้ว ยังใช้วัสดุเก็บเสียงชั้นดีอีกด้วย ถึงไม่ทำให้เสียงร้องที่ราวกับจะขาดใจตายของเขาไม่ดังเล็ดลอดออกไปข้างนอกหลินหยางนั่งอยู่บนโซฟา ดื่มไวน์อย่างไม่รีบไม่ร้อน เอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับเสียงร้องอันน่าเวทนานั่นหลังจากผ่านไปห้านาที ถึงได้ค่อย ๆ วางแก้วไวน์ลงเสียงร้องอันน่าเวทนาของเหยียนฮ่าวก็ค่อย ๆ หยุดลงเขาในเวลานี้นอนอยู่บนพื้น เหงื่อท่วมตัว สีหน้าซีดขาวจนน่าตกใจ แม้แต่พรมยังถูกเขาฉีกจนเละเทะ!“รู้สึกดีแล้วใช่ไหม?”หลินหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม“แก แกทำอะไรกับฉัน?
“แกคิดว่าแกมีลั่วหงอวี๋คอยปกป้อง ก็จะทำอะไรตามอำเภอใจได้อย่างนั้นหรือ? เพ้อเจ้อ! บ้านเมืองมีขื่อมีแป แม้ว่าจะเป็นลั่วหงอวี๋ก็ไม่สามารถต่อต้านได้!”จ้าวเจี้ยนชิงรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากไม่ใช่เพราะมีลั่วหงอวี๋ หลินหยางจะสามารถหนีมานานขนาดนี้ได้ยังไง!เขาทำได้แค่มองดูหลินหยางทำตัวอวดดีมานานขนาดนั้น แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้ ถูกบีบจนแทบจะเสียสติ!แต่ต่อหน้ากำลังของทางการ!ลั่วหงอวี๋ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น!ในระหว่างที่พูด เขาหันไปพูดกับเหยียนฮ่าว “คุณชายเหยียน หลินหยางฆ่าข้าราชการของกรมอัยการสูงสุดต่อหน้าทุกคน ยังทำร้ายชาวตงอิ๋งจนบาดเจ็บ ทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ คุณชายเหยียนได้โปรดให้ความเป็นธรรม!”แม้แต่ฮิเดนากะ ยามาโมโตะก็รีบกล่าวเช่นกัน “คุณชายเหยียนได้โปรดให้ความเป็นธรรม แก่ชาวตงอิ๋งด้วย!”เหยียนฮ่าวเข้าใจในทันที หันหน้าไปมองหลินหยางแสยะยิ้มกล่าว “ไม่คิดเลยว่าแกจะก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้ ยังกล้าทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศอีกด้วย!”“ใครก็ได้!”ปรมาจารย์หลายคนที่อยู่ด้านหลังเขาก้าวออกมาพร้อมกัน บนตัวแฝงไปด้วยสีหน้าอันดุร้าย ทุกคนเป็นปรมาจารย์ระดับแปด!
“ท่านรัฐมนตรี ท่านช่วยตบหน้ามัน แก้แค้นให้ผมหน่อยได้ไหม?”จ้าวเจิ้งฮ่าวรีบกล่าว“อนาคตอันน้อยนิดของแก...” หวังเทียนเหิงกล่าวอย่างเยาะหยัน“คงจะไม่ทำร้ายใครอีกใช่ไหม? แกควรคิดให้ดีล่ะ...”หลินหยางกล่าวด้วยความประหลาดใจหวังเทียนเหิงกลับตะคอก “ฉันจะทำร้ายแกจะทำไม!”ในระหว่างที่พูด เขาก็ตบหน้าเข้าไปฉาดหนึ่งท่าทางของเขาเหยียดหยามมาก หลินหยางปรมาจารย์ระดับเจ็ดแล้วยังไง ต่อหน้าฐานะอย่างตนเอง เขามีสิทธิ์อะไรมาขัดขืน?ต้องโดนตบหน้าแต่โดยดีเหมือนกัน!ครู่ต่อมา ความเหยียดหยามบนใบหน้าของเขาก็ชะงักไปทันทีฝ่ามือของเขาถูกหลินหยางจับเอาไว้ในมือ“ยังกล้าตอบโต้อีกเหรอ? ฉันเป็นถึงตัวแทนของทางการแห่งหนานหลิงเชียวนะ?!”หวังเทียนเหิงกล่าวด้วยความโมโห“รู้แล้ว ๆ”หลินหยางใบหน้าแฝงไปด้วยรอยยิ้ม“รู้แล้วก็...”หวังเทียนเหิงยังพูดไม่ทันจบประโยค หลินหยางกลับตบหน้าเขาฉาดหนึ่งอย่างรวดเร็ว สำหรับหลินหยางแล้วถือเป็นการใช้กำลังเพียงน้อยนิดเท่านั้นแต่หวังเทียนเหิงกลับถูกตบลอยกระเด็นออกไปทันที ฟันผสมเลือดปลิวอยู่กลางอากาศ!นี่ยังไม่หมด ยังไม่รอให้เขาตกถึงพื้น หลินหยางเตะเขาลอยกระเด็นออกไปอีก หวังเ
เจียงรั่วหานหัวใจตึงเครียดขึ้นมาทันที เป็นห่วงชายชู้ของตนเอง ครั้งนี้หลินหยางตกอยู่ในอันตรายจริง ๆ!อย่างไรเสียใช้ยศตำแหน่งข่มเหงคนอื่น!ซ่งหว่านอวี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก็ถอนหายใจในใจเช่นกัน ต่อให้ตำแหน่งของหลินหยางที่เมืองลั่วสูงกว่านี้แล้วจะยังไงต่อหน้าผู้มีอิทธิพลอย่างหวังเทียนเหิง ก็ทำได้แค่เพียงอดกลั้นเท่านั้น!“จะตรวจสอบงั้นก็ได้ แต่ก็ต้องทำตามขั้นตอนทางกฎหมาย”หลี่หรูเยว่สีหน้าไม่สุขุม แต่กลับไม่กล้าให้หลินหยางมีข้อหาขัดขวางทางการติดตัว“กฎหมาย?” หวังเทียนเหิงยิ้มเยาะ กล่าวด้วยท่าทีหยิ่งยโส “คำพูดของฉัน ก็คือกฎหมาย! มีปัญหา? เข้าไปในห้องกับฉันค่อย ๆ คุยกัน ถ้าทำให้ฉันพอใจได้ ไม่แน่ว่าฉันอาจจะปล่อยแกไปสักครั้ง!”เขาทำตัวอวดดีกำเริบเสิบสาน! ถึงอย่างไรเหยียนฮ่าวก็ได้แทรกแซงคดีนี้ด้วยตนเองแล้ว ถ้าอยากจะจับหลินหยางให้อยู่หมัด! ต้องมีหลักฐานแน่ชัด ทำให้หลินหยางดิ้นไม่หลุดตลอดไป!ส่วนการหลับนอนกับปรมาจารย์ระดับแปดคนหนึ่ง นั่นก็เป็นเพียงเรื่องของผลพลอยได้เท่านั้น!เขาจ้องมองสำรวจรูปร่างที่สวยงามประณีตของหลี่หรูเยว่ด้วยสายตาที่ร้อนผ่าว มีความร้อนกลุ่มหนึ่งพลุ่งพล่านขึ้นในท้องน้อยข
แต่กลัวว่าเขาจะฉวยโอกาสช่วงจังหวะชุลมุน ลงมือกับจ้าวเจิ้งฮ่าว!“นายพลจ้าววางใจ”สีหน้าเฉิงคั่วหนักใจ ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งในฐานะที่เขาเป็นปรมาจารย์ระดับห้า ประกอบกับมีนักรบทหารองครักษ์ชาวตงอิ๋งที่มีระดับมานะสร้างกลุ่มหนึ่งคอยช่วยเหลือ ก็มากพอที่จะจับตัวปรมาจารย์หนึ่งในนั้นได้“แม่งเอ๊ย ในเมื่อพวกแกทั้งหมดยอมเป็นสุนัขรับใช้ของหลินหยาง ถ้าอย่างนั้นก็ไปตายให้หมด! คิดว่าปรมาจารย์ระดับเก้าของฉันมีไว้ประดับเหรอไงวะ!?”จ้าวเจี้ยนชิงดวงตาแดงก่ำด้วยความริษยา ตนเป็นผู้บังคับบัญชาของเมืองลั่วมานานหลายปี ยังไม่มีลูกน้องที่แข็งแกร่งขนาดนี้ หลินหยางเพิ่งมาได้ไม่นาน ก็มีปรมาจารย์ระดับหกถึงสี่คนเป็นสุนัขรับใช้?!หลินหยางยิ่งใช้ชีวิตดีเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอยากจะสับหลินหยางให้แหลกเป็นหมื่น ๆ ชิ้น!แต่ทว่ายังไม่ทันได้ลงมือเขาก็รู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งตัว แรงอาฆาตที่เย็นยะเยือกขั้นสุดกลุ่มหนึ่งลอยมา!“จ้าวเจี้ยนชิง แกอยากตายใช่ไหม?”ในเวลานี้ หลี่หรูเยว่ยืนอยู่ที่ประตูคฤหาสน์ ในมือของเธอใช้โซ่เหล็ก จูงม๋อจื่อที่เหมือนกับเป็นสัตว์ร้าย จ้องมองเขาด้วยความเย็นชาจ้าวเจี้ยนชิงรูม่านตาหดทันที กล่าวอย
ก็แค่ปรมาจารย์ระดับหกคนหนึ่งเท่านั้น เขาไม่สนใจอยู่แล้วแต่ปรมาจารย์ระดับหกคนหนึ่งไม่คิดเลยว่าจะมาเป็นยามให้หลินหยาง เขาไม่สามารถเข้าใจได้!แม้ว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์ระดับเก้าก็ยังไม่เคยได้รับการปฏิบัติแบบนี้!จ้าวเจิ้งฮ่าวและคนอื่น ๆ ต่างก็อ้าปากค้างอย่างตกตะลึงสถานการณ์ตรงราวกับเป็นภาพลวงตาเลยทีเดียว!ไอ้หมอนี่หัวสมองมีปัญหาเหรอไง? ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เป็นปรมาจารย์ระดับหก แต่กลับมาเป็นยามให้คนที่มีระดับเจ็ดอย่างหลินหยาง?!“นับว่าแกพอมีความสามารถอยู่บ้าง แต่การรับใช้คนที่กำลังจะตาย เป็นการทำให้ตัวเองเสื่อมถอยแท้ ๆ เลย!”จ้าวเจี้ยนชิงกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “หลินหยางทำลายการค้าระหว่างกองทัพกับชาวตงอิ๋ง ฉันมาเพื่อค้นหาหลักฐาน”“ตอนนี้ฉันให้โอกาสแกกลับตัวกลับใจหนึ่งครั้ง สวามิภักดิ์ต่อฉัน! ไม่อย่างนั้น จะถือว่าแกขัดขวางการสอบสวน! ฝ่าฝืนกฎหมายระดับประเทศ! ฉันจะประหารชีวิตแกทันที”เขามีความคิดที่จะชักจูงคนคนนี้ถึงอย่างไรปรมาจารย์ระดับหกในเมืองลั่วก็นับว่าเป็นยอดฝีมือ ฆ่าไปก็น่าเสียดายแต่ทว่าอาต้ากลับกล่าวเสียงเย็นชา “รับเลี้ยงฉัน? แกคู่ควรเหรอ! ไสหัวไป!”“แกคิดให้ดี ๆ กล้าขัดขวาง
เจียงรั่วหานกล่าวโต้เถียงด้วยสีหน้าแดงก่ำแต่นี่ก็คือเรื่องจริงถึงอย่างไรตนก็ไม่ได้ขึ้นเตียงกับหลินหยาง แต่ทว่าทำในรถ...“ไม่ต้องรีบ นั่งลงคุยกัน...” ซ่งหว่านอวี๋ท่าทางสบาย ๆ พูดจาปลอบโยนอย่างมีเลศนัย “เป็นเพราะพี่กลัวเธอถูกหลินหยางหลอกเอา หลินหยางนั่นบังคับให้พี่ทำเรื่องแบบนั้น เขาไม่ใช่คนดีอะไร!”“พี่หว่านอวี๋พี่ไม่เข้าใจเขา!”เจียงรั่วหานกลับวางแก้วกาแฟลง รีบพูดขึ้นว่า “อันที่จริงหลินหยางเป็นคนดีคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ที่เขาทำแบบนั้นกับพี่ อัน อันที่จริงเป็นเพราะจ้าวเจิ้งฮ่าวเป็นต้นเหตุ!”“ฉันบอกเขาแล้ว ว่าต่อไปห้ามแตะต้องพี่อีก!”ไม่แตะต้องฉัน?ฉันต้องการให้เธอช่วยเหลือเรื่องนี้เหรอ?เธอกินอิ่มแล้วไม่กะจะไม่เหลือไว้ให้ฉันกินสักคำเลยเหรอไง!ซ่งหว่านอวี๋สีหน้าดูแย่เล็กน้อย เธอกินอาหารทะเลมื้อหรูจนเคยชินแล้ว จะกินอาหารจืดชืดลงได้ยังไงอีก?“พี่หว่านอวี๋ ต่อไปฉันคงต้องอาศัยพี่คอยเป็นที่กำบังให้ฉันแล้ว ครอบครัวนี้ ฉันทนอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแม้แต่วันเดียวแล้ว!”เจียงรั่วหานยังหันหน้าไปมองซ่งหว่านอวี๋ด้วยท่าทางขอร้อง“เรื่องเล็กน้อย...”ซ่งหว่านอวี๋กล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ไม่ว่าจะพู
ฉินเจิ้งคุนกลับส่งสัญญาณมือให้เงียบเอาไว้“เรื่องพวกนี้ห้ามเอาไปพูดข้างนอกส่งเดช! การต่อสู้ของบุคคลใหญ่โตไม่ใช่สิ่งที่พวกเราวิจารณ์ได้!”เขากล่าวเตือนด้วยท่าทีขึงขังถึงแม้ว่าตระกูลฉินจะมีชื่อเสียงโด่งดังในหนานโจว แต่ในสายตาของตระกูลใหญ่ที่ล้ำลึกจนไม่อาจคาดเดาของซานโจวบนพวกนั้น วงศ์ตระกูลบ้านนอกอย่างตระกูลฉิน ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงการต่อสู้ระดับนั้น เพียงแค่ควันหลง ก็มากพอที่จะทำให้ทั้งตระกูลฉินตายไร้ที่ฝังศพแล้ว!ฉินอี๋หลิงรีบหุบปากทันทีเช่นกันไม่กล้าส่งเสียงดัง เพราะหวาดกลัวว่าคนบนฟ้า!“หลินไร้ศัตรูแอบรายงานแต่ละวงศ์ตระกูลใหญ่แห่งหนานโจวอย่างลับ ๆ ให้ช่วยเขาตามหาหลานชายของเขา ถ้าหากใครหาเจอ เขาก็จะยอมรับคำขอร้องของคนนั้นหนึ่งข้อ” ฉินเจิ้งคุนค่อย ๆ พูด“จริงเหรอคะ?”ฉินอี๋หลิงสีหน้าตื่นเต้นดีใจ หัวใจไฟลุกโชนถึงแม้ว่าวงศ์ตระกูลของหลินไร้ศัตรูจะล่มสลายไปแล้ว แต่ก็ยังไม่สิ้นอำนาจโดยสมบูรณ์!คำมั่นสัญญาของเขาหนึ่งข้อ สามารถตัดสินว่าใครจะได้ครอบครองตำแหน่งหัวหน้าตระกูลฉิน!“มีเบาะแสของหลานชายคนนั้นของเขาแล้วเหรอยัง!”เธอรีบกล่าวถาม“ง่ายแบบนั้นซะที่ไหน...”ฉินเจิ้งคุนส่ายหน้
ตนในตอนนี้ ต่อสู้ข้ามสามระดับชั้นก็ไม่เป็นปัญหา มีลูกน้องไม่กี่คน ตนก็ไม่ต้องโดนรุมโจมตีอีกบ่อย ๆมีสิทธิ์แสร้งทำเป็นเก่ง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทำแต่ทว่าหลี่หรูเยว่กับปรมาจารย์ทั้งสี่คนมีความปรับตัวให้เข้ากับสไตล์แบบนี้ไม่ค่อยได้เท่าไหร่หลูอ้าวตงว่าอวดดีมากพอแล้ว แต่เมื่อเทียบกับหลินหยาง นั่นก็เป็นแค่เรื่องจิ๊บจ๊อยเท่านั้น...“ไปกันเถอะ กลับไปที่บ้านให้ฉันรักษาอาการบาดเจ็บให้พวกแกก่อน อีกเดี๋ยวไปกับฉันฆ่าคนของจ้าวเจี้ยนชิงให้เรียบ”หลินหยางเดินลงจากภูเขาแต่หลี่หรูเยว่และคนอื่น ๆ อีกห้าคนกลับสบตากันแวบหนึ่ง เห็นสีหน้าตกใจจากนัยน์ตาของอีกฝ่ายหลินหยางพูดจาสบาย ๆ มาก ราวกับว่าในสายตาของเขา การฆ่าหัวหน้ากองทหารรักษาการณ์ ง่ายเหมือนกับซื้อผักพวกเขากลับไม่ทันได้คิดมาก รีบตามหลินหยางลงจากเขา คอยตามปรนนิบัติ...อีกด้านหนึ่งภายในห้องหนังสือสไตล์โบราณแห่งหนึ่งฉินเจิ้งคุนกระแทกโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะ พูดด้วยความโมโห “ไอ้สารเลวนี่อวดดีมาก! แม้แต่สายโทรศัพท์ของฉันกล้าตัดทิ้ง!”ฉินอี๋หลิงที่อยู่ด้านข้างสีหน้าดูแย่เช่นกัน บทสนทนาเมื่อครู่นี้เธอได้ยินหมดแล้วหลินหยางไม่ให้เกียรติเลยแม้แต