บนถนนทางเท้าเส้นนี้ มีเพียงเธอและมาติกาสองคนเท่านั้น พอเดินได้สักระยะปวริศาก็ต้องหันไปมองด้านหลังเพราะเหมือนได้ยินเสียงของรถจักรยานยนต์ อดแปลกใจไม่ได้ตอนนี้กฎหมายออกมาบังคับห้ามขับขี่รถบนทางเท้าแล้ว เหตุใดจึงยังเห็นอยู่ แต่มันก็อยู่ห่างจากเธอไกลพอสมควรแล้วก็เห็นว่ารถคันนี้ทำท่าชะลอและหักเลี้ยวราวกับจะไปที่ท้องถนนตามเดิมเจ้าหล่อนจึงละความสนใจแล้วเลือกมาจ้ำเท้าเดินต่อสักพักกลับได้ยินเสียงเดิมมาใกล้อีกหนจึงหันไปมองทางเดิม ซึ่งก็ต้องนิ่วหน้า เพราะรถคันนั้นกลับขับขึ้นมาบนทางเท้าอีกแล้ว หญิงสาวดึงข้อมือของมาติกาให้ขยับมาใกล้เพื่อหลบจากรถคันนั้นมาติกาขยับตาม แทนที่รถคันนั้นจะเลือกแล่นรถไปทางที่เว้นว่างไว้เสียงของเครื่องยนต์กลับถูกเร่งให้เร็วและแรงกว่าเดิมด้านปวริศาก็สะดุ้งและหันไปมอง คราวนี้ทำให้ดวงตาขยายกว้าง เพราะเห็นได้ชัดว่ารถคันนั้นกำลังจะพุ่งมาชนเธอและมาติกา“คุณป่านระวัง”ปวริศาบอกพร้อมกับผลักตัวของมาติกาไปให้พ้นวิถีที่รถคันนั้นแล่นมา ส่งผลให้มาติกาถูกผลักถลาออกไปล้มกองกับพื้นส่วนปวริศาหวีดร้องลั่นเพราะรถคันนั้นกำลังจะพุ่งมาชนเธอ คนกลัวพยายามกระโดดหนี แต่ก็ยังไม่พ้นรัศมีร่างเล็กห
หญิงสาวตัดสินใจลงจากเตียงเพื่อไปเยี่ยมมาติกา ซึ่งอยู่อีกสองห้องถัดไปตอนนี้ก็มาหยุดอยู่หน้าห้องแล้ว มือจึงหมุนลูกบิด ประตูถูกแง้มทีละนิด ไม่ทันที่จะเปิดได้กว้าง หูสะอ้านก็ได้ยินประโยคหนึ่ง จึงทำให้เท้าหยุด พร้อมกับแค่นยิ้มเพราะได้ยินเสียงเรียกเข้าและจำได้ว่ามันคือโทรศัพท์ของมาติกา แต่สิ่งที่ทำให้ต้องยิ้มแบบนั้นก็เพราะปลายสายก็คือ ภาธร“ธร…” มาติกาเรียกชื่อเสียงสั่น น้ำเสียงคล้ายจะร้องไห้ส่วนคนที่ฟังก็เกิดอาการปวดหนึบ บางครั้งก็อยากได้กำลังใจบ้าง ตอนนี้เธอกำลังอิจฉาและทำตัวเหมือนเด็กๆ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางเป็นจริงแถมยิ่งคิดก็ยิ่งพลอยทำให้ความเข้มแข็งลดฮวบเปล่าๆ ปวริศาส่ายศีรษะเพื่อสลัดความคิดทิ้งไป แต่แล้วประโยคที่ได้ยินต่อมาก็แทบจะทำให้ล้มทั้งยืน“ป่านท้อง”คนฟังนิ่งงันไป ตอนนี้รู้สึกเหมือนสายฟ้าผ่าลงกลางใจ ทั้งเจ็บและแสนทรมานไปพร้อมกัน มือที่จับลูกบิดถูกปล่อยออกแล้วเท้าก็ถอยออกมาจากห้องเพราะตอนนี้น้ำตาของหล่อนกำลังจะไหล หญิงสาวเดินกลับไปห้องของตัวเองคล้ายคนไร้สติ ก่อนจะทิ้งตัวที่โซฟาในห้องพักฟื้นของตัวเองฮื่อ...
ผู้หญิงอีกคนก็หัวดื้อไม่ต่างกันมาติกาที่กำลังตอบก็เกิดอาการคลื่นไส้อยากจะอ้วก ทำให้เจ้าหล่อนต้องปิดปากแล้ววิ่งตรงไปที่ห้องน้ำ ไม่นานก็มีเสียงอาเจียนดังขึ้น มาติกาโก่งคออาเจียนอยู่หลายครั้ง ส่วนภาธรก็เร่งตามเข้ามาช่วยลูบหลังปวริศารู้ว่าอาการนี้คืออาการแพ้ท้อง หญิงสาวก้าวเท้าออกเช่นกันแต่ไม่ได้ตามไป เจ้าหล่อนหายเข้าไปในครัวแล้วไปนำบางสิ่งมาให้“น้ำค่ะ” หญิงสาวบอกพร้อมกับยื่นมันให้ภาธร และส่งอีกสิ่งหนึ่ง นั่นคือยาดม“ขอบใจ”ภาธรตอบรับและมองหน้าของปวริศาอยู่สักหนึ่งนาที เพราะอึ้งไปกับความมีน้ำใจหรือการแสดงความเห็นใจคนอื่นของปวริศาที่มีเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนหรือกับใคร แม้กระทั่งตอนนี้จะเป็นมาติกาพานทำให้นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อนที่บริษัทเกิดวิกฤต มีข่าวทำลายความน่าเชื่อถือของบริษัท ทำให้เขาสูญเสียเม็ดเงินไปไม่น้อยและต้องต่อสู้เพื่อให้สถานการณ์ดีดั่งเดิมยอมรับว่าตอนนั้นมีหลายคนที่ตีตัวออกห่าง ปวริศากลับไม่เคยทำแบบนั้น เจ้าหล่อนอยู่ข้างเขามาตลอดมาติกาอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง และตอนนี้ก็ประคองตัวเองไม่อยู่
“ใบนี้ค่ะ” พร้อมกับส่งให้ เขาทำให้เธอจนมุมอีกจนได้ สุดท้ายก็ไม่เคยเอาชนะเขาได้“ขอบใจ”เขากล่าวสั้นๆ ก่อนจะขยับเท้าแต่ก็เหมือนจะคิดอะไรได้อีก จึงถอยเท้ามายืนที่เดิม“ไว้จะมาให้เลือกตัวอักษรจัดงานด้วย ออ ถ้ายังขัดคำสั่งฉันไม่ยอมทำตามอย่างวันนี้ การ์ดใบนี้จะส่งตรงไปที่พ่อของฉันทันที หรืออยากให้ท่านหัวใจวายอีกรอบ” นั่นหมายถึงการที่ปวริศาขัดคำสั่งไม่ให้ลูกน้องของตนพาไปโรงพยาบาล“นั่นพ่อคุณนะคะ” นัยน์ตามีความตัดพ้อและไม่รู้จะหาคำไหนมาบรรยายถึงความใจร้ายของเขาได้อีก“อืม พ่อที่ทิ้งแม่ฉันไปหาแม่เธอ” น้ำเสียงเข้มขึ้นหลายเท่าตัว ดวงตาก็ขุ่นคลั่กความจริงข้อนี้ทำให้ปวริศาเงียบเพราะพูดไม่ออก ส่วนภาธรยังคงพูดต่อ“พ่อที่แทบไม่เคยมาหาฉัน”คนเดียวที่มาหา ทั้งที่มารดาคอยกีดกัน แต่ก็ยังพยายามทุกวิถีทางให้ได้เจอ นั่นก็คือคุณย่า การแต่งงานจึงเป็นการทดแทนบุญคุณ ทั้งที่ไม่ได้ยินดีกับการคลุมถุงชนมิหนำซ้ำคืนแต่งงานยังมาได้รู้ความจริงถึงเหตุผลที่มาติกาตีตัวออกห่าง มันเป็นเพราะย่าของเขาและผู้หญิงตรงหน้าคนนี้หญิงสาวหน้าเจื่อนลงทันที ก่อนจะหลุบสา
“ธรหลอกพ่อ คนที่ธรจะแต่งงานด้วยไม่ใช่หนูหวาน แต่เป็นหนูป่าน”เพียงก้าวเข้ามาในบ้าน ประโยคนี้ก็ดังขึ้นและทำให้คนที่เดินมาอย่างปวริศาหน้าซีด หัวใจเต้นระรัวเพราะสิ่งที่กลัวได้เกิดขึ้นแล้ว ท่านรู้ความจริงแล้วด้านคนถูกถามอย่างภาธรก็วางสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจเพราะคาดเดาไว้แล้วว่าไม่นานเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น และคิดว่ารู้ว่าอีกฝ่ายรู้มาจากใคร“ครับ” คนตัวสูงตอบสั้นๆเป็นการยอมรับ“ธรทำแบบนี้ทำไม นี่ถ้าแม่แกไม่มาโวยวายใส่พ่อ พ่อก็คงโง่อีกนาน” ท่านถามน้ำเสียงน้อยใจและส่งสายตาตัดพ้อลูกชาย“คุณท่านคะ คนผิดคือป่านเอง ป่านขอโทษค่ะ ที่จริงแล้วธรช่ว…” เพราะไม่อาจทนมองและนิ่งเฉยกับสถานการณ์นี้ได้อีกแล้ว ปัญหาของเธอกำลังทำให้พ่อลูกทะเลาะกัน ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีอยู่แล้วยิ่งสั่นคลอนเจ้าหล่อนจึงลุกขึ้น และกำลังจะบอกบางสิ่ง กลับถูกเบรกไว้ด้วยน้ำเสียงที่ดุห้วน“อย่าทำให้เสียเรื่อง” สีหน้าของภาธรขรึมเข้ม พร้อมกับส่ายหน้าห้ามความคิดของมาติกา ก่อนชายหนุ่มจะจบปัญหาด้วยการถามกลับ“รู้ความจริงแล้ว แล้วจะเอายังไงครับ” แถมยังเลือกเดินไปยืนอ
ต่อจากนั้นเพียงสามวันเท่านั้น ก็รู้ว่าคำขู่ของภาธรไม่ได้ผล ทักษ์ดนัยเข้ามารายงานเกี่ยวกับปวริศา และทำให้ชายหนุ่มหน้าตึงไปทีเดียว พร้อมกับกระแทกลมหายใจแรงๆ ออกมา“คุณหวานออกหางานใหม่ครับ”“เธอเข้ามาเก็บของหรือยัง”“ยังครับ แต่คุณสรวิศให้คนเอาจดหมายลาออกมายื่นครับ”ก่อนทักษ์ดนัยจะรายงานอีกประโยคพร้อมกับมองปฏิกิริยาของเจ้านายเพราะคิดว่ามันจะรุนแรงกว่าเก่า ซึ่งก็จริง“แล้วเธอก็หนีคนของเราครับ”เขาได้รับสายตรงจากลูกน้องและก็ได้ออกคำสั่งให้เร่งตามหาแล้ว แต่ยังไม่พบฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นขยี้ผมก่อนเสยอย่างหงุดหงิดเพราะความรู้สึกห่วงนั้นไหลเข้าทรวงมากกว่าเดิมพร้อมกับอยากจะจับร่างเล็กมาตีก้นสั่งสอนให้เข็ดในความพยศ พลางบอกเสียงเข้มและโบกมือไล่ให้ออกไป“ฉันจะจัดการเอง”คนสนิทก็โค้งตัวลงเล็กน้อยแล้วออกไปตามคำสั่งชายหนุ่มสั่งชัตดาวน์เครื่องโน้ตบุ๊กพร้อมพับหน้าจอลงก่อนจะลุกจากเก้าอี้ จุดมุ่งหมายก็คือที่บ้านของบิดา สงสัยงานนี้หากไม่ลงมือจัดการด้วยตนเองก็คงไม่ได้เสียแล้วร่วมครึ่งชั่วโมงกว่าแล้วที่ภาธรเดินทางมาถึง ปวริศาก็ยังไม
“ว้าย คุณธรมาอุ้มหวานทำไม ตกลงคุณต้องการอะไรกันแน่”“ถ้าไม่ตอบ ฉันจะถามเอง”ก้าวไม่ถึงห้าก้าวเขาก็มาประชิดเตียงพร้อมกับวางร่างของคนดื้อลง และรู้ทันว่าเจ้าหล่อนจะหนี จึงแก้ไขสถานการณ์ด้วยการทาบทับตัวปวริศาไว้ แต่ไม่ได้ลงน้ำหนัก เนื่องจากกลัวจะกระทบถึงเลือดเนื้อเชื้อไขในท้อง แล้วเลิกชุดนอนของปวริศาขึ้นนั่นทำเอาปวริศาเปิดปากฉับไว“ไม่ดื้อ หวานไม่แพ้อะไรเลย”ไม่วายแพ้ราบคาบ ทุกการกระทำและคำถามของเขาในตอนนี้ชักจะทำให้สับสนมากเข้าไปใหญ่ เพราะคนตรงหน้าทำเหมือนห่วงใยกัน ภาธรจะทำไปทำไม ในเมื่อตลอดมาก็เอาแต่ทำร้ายจิตใจให้ปวดแสบปวดร้อน“งั้นแม่มันก็อย่าดื้อ ให้คนของฉันดูแล ที่สำคัญไม่ต้องไปหางาน แค่เลี้ยงเธอกับลูกพ่อฉันขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก”น้ำเสียงของภาธรอ่อนลง แถมสายตาก็ไม่ได้เฉยชาแบบแต่ก่อนแล้ว“หวานไม่อยากเป็นภาระให้ใครอีก หวานต้องยืนด้วยตนเองให้ได้ คุณท่านช่วยหวานมามากแล้ว” มันติดเศร้าทั้งสายตาและน้ำเสียง ตอนนี้คงรวมไปถึงความรู้สึกที่มีด้วยสิ่งที่จะทำให้สรวิศมีความสุขก็ทำไม่ได้สักอย่างความเศร้าภายในนัยน์ตาคู่นั้นมัน
“คิดถึงคนที่นี่มั้ง” ภาธรตอบสีหน้าเรียบและแววตาจริงจัง สิ่งที่พูดไปไม่ได้โกหก เพราะเขาคิดถึงคนที่นี่จริงๆ แม้ว่ายังตัดสินความรู้สึกที่มีทั้งหมดไม่ได้ แต่ก็แน่ใจว่าความกระวนกระวายที่ทำให้นอนไม่หลับ นอกจากความเป็นห่วงแล้ว มันมีความคิดถึงสอดแทรกมาด้วยและมีมากที่เดียว “ถ้าคิดถึงคุณท่าน ก็อยู่รอคุณท่านนะคะ อีกสักพักคุณท่านก็กลับ” ภาธรทำเสียงฉุนกับถ้อยคำของปวริศา ที่เจ้าหล่อนตีความไปแบบนี้ ก่อนจะตอบให้ชัด “พ่อไม่ใช่คนที่ฉันคิดถึง ลุงสมบูรณ์ก็ไม่ใช่ ก้อยก็ไม่ใช่” เขาย้ำเสียงชัดและจ้องหน้าปวริศา แถมยังขยับไปใกล้อีกนิด “คงไม่โง่ที่จะไม่รู้ว่าฉันกำลังบอกคิดถึงใคร” ในเมื่อเขาก็จ้องหน้าเธออยู่ขนาดนี้ ปวริศาก็ได้ยินชัดเต็มสองหูและตีความได้ ในเมื่อในบ้านนี้ก็เหลือเธออีกเพียงคนเดียวเท่านั้น “หวานคงไม่กล้ารับ และถึงจริงก็อย่าชวนหวานไปตกนรกด้วยเลยค่ะ คนที่คุณคว
ตอนพิเศษ ภาธรคนดุ ---- “อื้อ..คุณธร” เสียงเล็กหอบกระเส่าแต่ก็พยายามเรียกชื่อคนที่ทำให้หล่อนมีอาการนี้ออกมา แต่ดูท่าภาธรจะไม่ได้สนใจเสียงของเธอแม้สักนิด เพราะนี่คือหนที่สองแล้วที่เธอเรียกเขา ชายหนุ่มเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาขยับสะโพก แถมยังเป็นจังหวะที่เนิบนาบสลับกับดุร้อน “หือ” เขาครางรับแต่ก็ไม่ได้ฟังหรอกว่าคนใต้ร่างกำลังพูดอะไร เพราะสนใจกับสิ่งที่ทำตรงหน้ามากกว่า จนปวริศาโมโหใช้กำปั้นทุบอกแกร่ง แต่ภาธรกลับยิ้มให้ แถมยังยกสะโพกขึ้นสูงแล้วดันเข้าไปสุด ปวริศาเม้มปากแน่น เธอรู้ว่าเขากำลังจงใจกลั่นแกล้ง “หวานบอกว่าหยุดได้แล้ว” หญิงสาวพูดแทบไม่ได้ศัพท์ ศีรษะก็สั่นคลอนไปตามแรงที่ถูกส่งมา ก่อนภาธรจะก้มลงมาซุกที่ลำคอระหง และขยับกายแนบชิดขึ้นกว่าเก่า “อืม” “หยุด” เสียงเล็กสั่งอีกหนน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น คนทำก็ส่ายศีรษะและตอบกลับเสียงดังฟังชัด
บทที่ 13 พิสูจน์ใจ06 ถ้อยคำของหญิงสาวทำให้ภาธรนิ่งแล้วค่อย ๆ ยิ้มออกมา พร้อมกับดึงร่างเล็กเข้ามาใกล้ ดวงตาคมเป็นประกาย เพราะมันตีความได้ว่าเขากำลังได้รับโอกาส “จริงหรือ หวานให้โอกาสฉันหรือ” “โอกาสของหวานไม่ได้ให้ใครง่าย ๆ” ทิฐิที่มีเธอขอวางมันลง เพราะรู้แล้วว่ามีมันก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขเลย และเมื่อเขารู้ว่าตัวเองผิดและเลือกที่จะปรับปรุง เธอก็จะยื่นโอกาสให้กับเขา ขอเพียงเขาไม่ทำลายมันพังอีกครั้งก็พอ ที่สำคัญความตายและการพลัดพรากมันน่ากลัว โดยที่เราไม่รู้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นเธอจะไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปโดยไม่ได้ทำในสิ่งที่มีความสุข “ฉันรู้ แล้วจะไม่ทำลายโอกาสนี้อีกแน่ ฉันสัญญา สัญญาครับหวาน” ชายหนุ่มยังพร่ำขอบคุณรวมถึงบอกรักอีกหลายหน “จบเรื่องนี้ ฉันขอนอนกอดหวานนะ” “ค่ะ” เพราะเธอก็อยากกอดเขาให้แน่นกว่านี้เช่นกัน ทางด้านสรวิศพอรู้เรื่องก็ตกใ
แต่สุดท้ายเขาก็ต้องตัดสินใจแย่งมีด จนในที่สุดก็ต้องยอมเจ็บตัวด้วยการคว้ามีดด้วยมือเปล่า ทำให้ถูกบาด เลือดสีแดงฉานไหลทะลักด้วยความคนร้ายตัวใหญ่กว่าจึงมีพลังมาก ทำให้การยื้อแย่งอาวุธในครั้งนี้ ภาธรมีแววแพ้ปวริศาสูดลมหายใจและลุกขึ้นได้ หญิงสาวพยายามที่จะก้าวเดิน แต่หล่อนไม่ได้หนี ปวริศาไปคว้าก้อนหินขึ้นมาหมายจะเอาไปตีหัวคนร้ายที่กำลังยื้อยุดอาวุธกับภาธรด้านคนร้ายกำลังให้ความสนใจกับศัตรูตรงหน้าเท่านั้น ทำให้ละสายตาไปจากหญิงสาว ปวริศาก้าวไปด้วยความรวดเร็วและฟาดก้อนหินใส่ศีรษะคนร้ายแต่ก้อนหินอาจจะเล็กไป และความเจ็บทำให้เธอใช้แรงได้ไม่มาก คนร้ายจึงเพียงร้องลั่น ไม่ได้หมดสติ ก่อนจะหันมามองปวริศาตาวาวอย่างต้องการจะฆ่า“หวาน ฉันบอกให้หนีไป” ภาธรต้องตะคอกบอกและยังยื้อกับคนร้ายไว้ เพื่อให้มันไม่สามารถไปทำร้ายปวริศาได้ แต่ไหงเจ้าหล่อนกลับเอาตัวมาเสี่ยง ที่สำคัญเขาก็ใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว“หวานไม่ทิ้งคุณ”“ไม่ต้องมาห่วงฉัน ไปซะ ไปสิ บอกให้ไปไง”ส่วนปวริศาพอรู้ว่าแผนที่ตีหัวไม่สำเร็จ คราวนี้เจ้าหล่อนจึงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ซึ่งทำให้คนร้าย
วันรุ่งขึ้น วันนี้หญิงสาวเลือกที่จะออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้า เพราะวันนี้คือวันเสาร์ ซึ่งภาธรจะมาอยู่กับบิดาทั้งวัน เธอจึงหนีมาเพื่อออกไปไกล ๆ ให้ใจห่างแต่ดูเหมือนว่าใจจะไม่ได้ห่างตามที่คิด เพราะตอนนี้เธอก็ยังคิดถึงเขา พร้อมกับไม่เข้าใจว่าทำไมถึงตัดภาธรออกไปไม่ได้เสียที ต่อให้คิดว่าที่ผ่านมาเขาทั้งร้ายและเย็นชา แต่หัวใจดวงนี้มันกลับยังไปรักเขาอยู่ได้หนักไปกันใหญ่ยามคิดถึงที่สิ่งที่เขาทำเพื่อขอคืนดี ทั้งใจและความรู้สึกมันอ่อนยวบอย่างง่ายดายมันตอกย้ำได้ดีว่าทุกคำที่พูดกับภาธรไป หล่อนโกหกทั้งเพ ปวริศาแค่นยิ้มสมเพชตัวเองเวลานี้เกือบจะหนึ่งทุ่มตรง หล่อนยังนั่งอยู่ที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน โดยรู้ว่ามีใครบางคนเฝ้าดูเธออยู่ตลอด นั่นคือทักษ์ดนัย แต่หล่อนทำเป็นไม่สนใจทว่าปวริศาไม่ทราบว่าไม่ใช่แค่ทักษ์ดนัยเท่านั้นที่จ้องมองอยู่ มีชายคนหนึ่งแอบมองปวริศาอยู่นานแล้ว แถมยังมองด้วยสายตาที่ไม่ปกติ มีความหื่นกระหายอยู่ในนั้นยิ่งเวลาค่ำเท่าไร ก็ยิ่งเงียบสงัดขึ้น ไม่นานความเงียบก็ได้กลืนกินไปทั่วพื้นที่ โดยเหลือเวลาอีกไม่นานสวนสาธารณะจะปิดปวริศาจึงลุกขึ้
“อยากได้อะไรอีกไหมหวาน เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะซื้อมาให้” ภาธรถามขณะที่รับรายการซื้อของสดมาจากมือของปวริศาและก็อ่านมันจนครบถ้วนแล้วไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเขาถึงได้รายการพวกนี้มา ทั้งที่เมื่อเช้าถูกปฏิเสธ นั่นก็เพราะบิดายอมพูดให้ ไม่งั้นหญิงสาวตรงหน้าคงไม่ยอมแน่“ถ้าหวานบอกว่า สิ่งที่หวานอยากได้คืออยากให้คุณธรหายไปจากชีวิตหวานแล้วล่ะคะ ทำให้หวานได้ไหม” น้ำเสียงบอกไปจริงจังไม่ต่างจากหน้าตาคนฟังใจวูบไหวและส่ายหน้าฉับไว ความกลัวแล่นจู่โจมหนักขึ้น เพราะน้ำเสียงของปวริศาไม่ได้มีแววล้อเล่นอยู่เลยแถมที่ผ่านมา ปวริศาก็ปฏิเสธความห่วงใยที่เขามีให้ทั้งหมด และรู้ว่าบางครั้งที่ยินยอมให้อยู่ใกล้ ก็เพราะเกรงใจบิดา“ฉันคงทำให้ไม่ได้”“งั้นต่อไปก็ไม่ต้องถามค่ะ ว่าหวานอยากได้อะไร” หญิงสาวบอกพร้อมด้วยสีหน้าที่มีแต่ความว่างเปล่า ยิ่งทำให้ภาธรรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก“หวาน ฉันขอโอกา...” ยังไม่ทันที่ภาธรจะเอ่ยได้จบประโยค ปวริศาก็สวนมาฉับไว เพราะล่วงรู้ว่าชายหนุ่มต้องการพูดสิ่งใด และหล่อนไม่อยากจะได้ยินมัน“หวานยังยืนยัน หวานไม่มีโอกาสให้ ปล่อยมือหวานเถอะค่
“ถ้ายังรักอยู่ ลุงแค่อยากจะให้หวานลองคิดว่าจะให้โอกาสธรได้ไหม ลุงยอมรับการตัดสินใจของหนูเสมอ โดยที่ไม่ต้องเห็นแก่ลุง เพียงแต่ลุงอยากเห็นหวานมีความสุขแบบแท้จริง” ท่านหยุดมอง แล้วก็เห็นว่าดวงตาของปวริศาวูบลง “ที่ลุงเห็นอยู่ทุกวันนี้ มันไม่ใช่ความสุข หวานมีทิฐิ ซึ่งคนที่เจ็บไม่แพ้ธรก็คือหวาน” “หนู...” หญิงสาวพูดไม่ออก เพราะมันคือเรื่องจริงทุกอย่าง “ถ้ายังรักกันก็แสดงมันออกมา อย่าให้เรื่องราวมันลงเอยแบบลุง เพราะลุงไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว” บทเรียนของเขามันน่าจะทำให้ปวริศาคิดได้ ถึงลูกชายจะให้อภัยแล้ว แต่ใจก็ไม่ได้มีความสุขแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะสิ่งที่เคยทำในอดีตมันคอยมาย้ำเตือนอยู่เสมอ “เก็บไปคิดนะหนูหวาน” ปวริศาพยักหน้ารับและถอยกลับมายังห้องนอนของตนเอง เช้าวันนี้ปวริศาก็ยังตื่นเวลาเดิม แม้เมื่
บทที่ 13พิสูจน์ใจ“สอนฉันทำอาหารบ้างสิ ฉันอยากทำให้พ่อทาน” ภาธรตามปวริศาเข้ามาในครัวและลองขอ ตอนนี้ทุกอย่างที่จะทำให้บิดาได้ เขาทำหมด แม้ไม่ได้ถนัดการทำครัวมากนัก อย่างมากก็มีไข่ทอดและผัดกะเพราหมูเท่านั้นที่ทำได้“ค่ะ” ปวริศาก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะรู้เช่นกันว่านี่คงจะทำให้สรวิศยิ้มได้ “งั้นเริ่มจากไปล้างผักและหั่นผักค่ะ” โดยวันนี้เมนูที่เธอจะทำก็คือผัดผักรวมมิตรและแกงจืดหมูสับภาธรรับคำสั่ง ชายหนุ่มหยิบผักกาดขาว แคร์รอต และบรอกโคลีไปล้าง ก่อนจะหยิบเขียงพร้อมมีดออกมา ปวริศาสอนการหั่นผักแต่ละอย่างและปล่อยให้ภาธรได้ทำตอนนี้ชายหนุ่มหั่นผักกาดขาวและบรอกโคลีเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังหั่นแคร์รอต ฟากหญิงสาวก็หั่นหมูและปอกเปลือกกุ้ง ไม่นานแม่ครัวที่กำลังวุ่นกับการเตรียมตั้งเตาก็หันไปมองตามเสียงร้องลั่นของภาธร“โอ๊ย” ชายหนุ่มมัวแต่เหลือบมองปวริศา เนื่องจากร่วมหลายวันแล้วกระมังที่ไม่ได้อยู่ใกล้ถึงขนาดนี้ เพราะปวริศามักจะหนีหน้า หรือไม่ก็เว้นระยะ จึงให้เอาแต่มองจนเกือบจะหั่นมือตัวเองแล้ว โชคดีที่โดนมีดบาดไม่ลึกมาก ไม่งั้นคงจะเสียนิ้วพอเห็นเลือดท
เป็นเวลาร่วมหนึ่งเดือนแล้วที่ภาธรยังตามภรรยาต้อย ๆ แม้มันอาจจะไม่ได้ทุกวัน เพราะบางครั้งก็ต้องเข้าไปประชุมที่บริษัทและไปจัดการเคลียร์เอกสาร แต่ภาธรก็มักจะมากินข้าวเย็นด้วยเสมอโดยตอนนี้ปวริศามีความคิดที่จะพักเรื่องการหางานไว้ก่อน เพราะท้องเริ่มโตขึ้นทำให้เป็นเรื่องยากในการเดินทาง แถมน้อยบริษัทนักที่จะรับพนักงานในช่วงตั้งครรภ์ที่สำคัญก็คือ อยากดูแลสรวิศ ยอมรับว่าตกใจและเสียใจจนร้องไห้กับเรื่องที่เพิ่งทราบว่าท่านเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายตอนนี้สิ่งเดียวที่ตอบแทนได้ก็คือเธอจะดูแลท่านให้ดีที่สุด“มันควรมีชื่อฉันอยู่ตรงนั้น” ภาธรว่าขณะยืนมองปวริศากรอกข้อมูลในประวัติการฝากครรภ์ โดยมีช่องหนึ่งที่หญิงสาวเว้นไว้แล้วเลือกไปกรอกข้อมูลข้ออื่นก่อน นั่นคือช่องของชื่อบิดาของลูกในครรภ์ปวริศาเงยหน้าขึ้นมองคนพูด แต่สายตาก็ว่างเปล่าและเย็นชา แถมยังไม่ได้ทำตามคำที่ภาธรร้องขอ หล่อนเลือกที่จะเขียนลงไปว่าไม่ระบุแทน นั่นทำให้ภาธรรู้สึกหนาวเหน็บและทนดูเจ้าหล่อนกรอกต่อไปไม่ได้ เพราะรู้สึกเหมือนถูกขยี้หัวใจให้แตกละเอียดปวริศาไม่สนใจ เมื่อกรอกเสร็จก็ยื่นให้นางพยาบาลและร
บทที่ 12อยากให้รู้ว่ารัก“ไม่ต้องออกไปหางาน กลับไปทำงานที่บริษัทเหมือนเดิม หรือไม่ก็เตรียมตัวเป็นแม่ก็พอ” ภาธรสั่ง เพราะได้รับรายงานจากทักษ์ดนัยว่าคนที่ให้เฝ้าดูนั้นได้ออกหางานมาแล้วหนึ่งวัน ซึ่งวันนี้ปวริศาก็กำลังจะออกไปหางานอีกเช่นกัน“หวานขอปฏิเสธ แล้วหวานก็ลาออกจากที่นั่นแล้ว”“ฉันไม่เคยเซ็นใบลาออกให้ และไม่เคยคิดจะเซ็น” เขาบอกเสียงหนักแน่น หัวใจเต้นเร็วไวขึ้นจากแรงปรารถนาที่เต็มไปด้วยความคิดถึง ร่วมอาทิตย์แล้วที่ปล่อยให้หญิงสาวมีอิสระและได้ผ่อนจากความเครียด โดยที่เขาไม่เข้ามายุ่งวุ่นวาย แต่ก็สั่งกำชับทักษ์ดนัยให้ดูแลปวริศาอย่างดีอีกเหตุผลหนึ่งที่เขายอมหายหน้าไปคือสะสางงานที่ค้างให้เสร็จ คราวนี้จะได้เดินหน้าง้อปวริศาเต็มที่“นั่นคงเป็นเรื่องของคุณธรค่ะ ช่วยหลีกทางด้วย หวานไม่อยากให้สาย หวานมีนัดสัมภาษณ์งานแล้ว” ปวริศาปฏิเสธเสียงแข็ง และต้องสั่งเขา เพราะพอขยับเท้าไปอีกทาง เขาก็ขยับตามหญิงสาวไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ ๆ วันนี้เขาถึงโผล่หน้ามาให้เห็น ทั้งที่หายไปเป็นอาทิตย์ มาให้ใจเธอต้องป