สุดาเลือกชีวิตสุขสบายมั่งมีไปด้วยเงินทองและบ่าวไพร่มารายล้อม จากไม่เคยไปไหนไกลเท่าตลาดในเมือง เธอก็ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ แต่ที่ทำให้เธอมีความสุขที่สุดนั้น ก็ไม่พ้นจะเป็นความยิ่งใหญ่แข็งแกร่งของ ‘หม่อมเจ้าพงศกร วรเวชเดชากร’ ชายแปลกหน้าที่โชคชะตานำทางให้มาพบกับเธอ
“ทำอะไรอยู่รึหม่อม”
เสียงทุ้มที่ดังอยู่ด้านหลังก่อนอ้อมกอดแกร่งจะกระชับรอบเอวทำให้ ‘หม่อมสุดาวดี’ ตื่นจากภวังค์และหันไปยิ้มให้กับสามี พร้อมกับเอี้ยวหน้าไปรับรอยจูบที่ท่านบดเบียดลงมาหา และจากจูบเพียงนิดก็กลายเป็นปลายลิ้นที่แหย่ลงมา จนสุดาวดีต้องใช้ฝ่ามือยันแผงอกกว้างนั้นไว้
“อื้อ... ท่านชาย เดี๋ยวสิเพคะ สุดาหายใจหายคอไม่ออกแล้ว”
“อะไรกันเล่า ฉันรู้นะว่าสุดาน่ะหายใจออกเสมอ แม้แต่กลืนกินฉันอยู่ สุดาก็ยังหายใจได้”
“ท่านอ่ะ สุดาไม่พูดด้วยแล้ว”
“ไม่พูดก็ได้ งั้นเปลี่ยนเป็นครางก็แล้วกัน”
“อื้อ... ท่านชาย...”
แค่นั้นที่สุดาวดีได้ร้องห้าม เพราะสุดท้ายเธอก็ไม่สามารถห้ามปรามฝ่ามือร้อนรุ่มของท่านชายพงศกรได้ ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่อยู่ด้วยกันมา ท่านชายร้อนแรงกับเธออย่างสม่ำเสมอ สิ่งใดเคยแข็งเคยยิ่งใหญ่ก็ยังเป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง เช่นสิ่งที่อยู่ในอุ้งมือของเธอตอนนี้
สุดาวดีใช้สองมือประคองความยิ่งใหญ่ในมือตัวเอง ก่อนจะขยับฝ่ามือปลุกปั่นให้ท่อนเนื้อขยายตัวขึ้นอีก
“อูย... สุดาจ๋า... โอว... ผัวเสียว... โอว...”
ดวงตาสวยหวานของสุดาวดีเหลือบขึ้นมองหน้าสามีผู้สูงศักดิ์ ยิ้มอย่างสมใจ เพราะสิ่งหนึ่งที่เธอเรียนรู้ก็คือ ไม่ว่าชาวบ้านหรือเจ้านาย ไม่ว่าคนจนหรือคนรวย ความอยากในเรื่องแบบนี้ก็มีไม่น้อยไปกว่ากัน โดยเฉพาะท่วงท่าที่เธอช่ำชอง ไม่มีผู้ชายคนไหนไม่ชอบ และเมื่อความอยากทะลักทลายมากล้นอยู่ในกระแสเลือด ผู้ดีมีเงินก็สบถคำหยาบคายได้ไม่แพ้ชาวบ้านป่า
“อูย... เมียจ๋า... ผัวเสียว... โอว... ผัวเสียว... โอว... เยี่ยม! เยี่ยมที่สุด โอว...”
ท่านชายพงศกรในร่างเปล่าเปลือยกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาตัวหรูพร้อมทั้งแอ่นอัดท่อนเนื้อใส่อุ้งปากของสุดาวดีที่ก้มลงมากลืนกินท่านอย่างเอร็ดอร่อย และความอยากอันมากล้นก็ทำให้ท่านสบถคำหยาบคายออกมาไม่หยุด เพราะไม่เคยมีเมียคนไหนที่จะปรนเปรอท่านได้ถึงใจอย่างนี้
ไม่มีเมียคนใดที่ยอมให้ท่านสบถคำหยาบจนเกินจะพูดในเวลาปกติออกมาได้ ไม่เคยมีใครตามใจให้ท่านร่วมสวาทได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ และที่สุดก็คือไม่เคยมีใครขึ้นคร่อมและควบขี่ท่านจนถึงสวรรค์ แต่สุดาวดีทำได้ทุกอย่าง
“โอว... เมียจ๋า... ผัวจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว เมียจ๋า... โอว... ขี่ผัวที ขี่ผัวโอว... ผัวเสียว...”
สุดาวดียิ้มรับคำร่ำร้องของสามีทั้งๆ ที่ความยิ่งใหญ่ยังคับแน่นอยู่ในอุ้งปาก ก่อนที่ร่างอวบอิ่มไปทั้งเนื้อทั้งตัวจะค่อยๆ คืบคลานขึ้นไปบนโซฟา
“เมียจ๋า... คร่อมเลย”
“เพคะท่านชาย แต่เดี๋ยวท่านชายต้องให้สุดากินอีกนะคะ สุดายังไม่อิ่มเลย อยากกินท่านที่สุด สุดาอยากกินท่านให้มิดด้าม อูย... ท่านขา... สุดาอยากกินท่านเหลือเกิน อูย...”
เธอพูดพลางขึ้นคร่อมร่างของท่านชายพงศกรเอาไว้ แต่ยังไม่ครอบครองในสิ่งที่ท่านปรารถนา ดวงตาคู่สวยที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางราคาแพงมองท่านด้วยความอยาก สองมือบีบเคล้นเต้าอวบอิ่มของตัวเองไปมา ปากร่ำร้องว่าอยากกินท่านเพื่อกระตุ้นอารมณ์ให้กระเจิง
ทั้งปลายลิ้นก็แลบออกมาเลียไล้ที่ริมฝีปากเพิ่มความอยากให้กับตัวเองและท่านให้มากที่สุด พร้อมกับขยับตัวให้ถ้ำลึกลับของเธอเสียดสีกับส่วนหัวบานร่าของท่านชายที่พยายามจะดันเข้ามาในถ้ำของเธอ
“อูย... กินสิจ๊ะเมียจ๋า... อูย... ช่วยกินผัวสักที โอว... ผัวเสียว... เมียจ๋า... กินผัวเร็ว เมียจ๋า...”
ท่านชายละล่ำละลักร่ำร้องประหนึ่งว่าปากถ้ำฉ่ำเยิ้มของเธอคือริมฝีปากที่จะกลืนกินท่อนเนื้อของท่านได้ ซึ่งท่านเข้าใจถูกแล้ว เธอกำลังกลืนกินท่านด้วยสิ่งนี้
“โอว... เมียจ๋า... โอว... เสียว...”
“เมียก็เสียวค่ะผัวขา อูย... เมียเสียวที่สุด โอว...”
สุดาวดีกดปากถ้ำอ้าออกอมเอาส่วนหัวจากความแข็งแกร่งของท่านให้แทรกเข้ามา ความอึดอัดคับแน่นไม่ต่างจากเมื่อ 20 ปีก่อน ด้วยวิทยาการทางด้านการแพทย์และเงินมหาศาลที่ท่านชายจะบันดาลให้เธอได้ อยากให้ฟิตแค่ไหน เต่งตึงแค่ไหนเธอก็ทำได้ เพื่อจะมอบความสุขนี้ให้กับท่านชายให้มากที่สุด
“สุดาจ๋า... โอว...”
ท่านชายพงศกรแหงนใบหน้าขึ้นครวญครางเมื่อท่อนเนื้อถูกความคับแน่นสวมใส่ลงจนสุดทาง สองมือของท่านกอบโกยเอาอกอวบใหญ่ ซุกไซ้ฟอนเฟ้นใบหน้าลงไป สลับกับดูดดุนปลายยอดชูชันที่สู้ลิ้นของท่านไม่ถอย ก่อนจะต้องแหงนหน้าครางอีกครั้ง เพราะสุดาวดีกำลังพร้อมได้ที่
“โอว... เมียจ๋า... โอว... อูย... ขี่ผัวเลย โอว... ขี่ผัวเร็วๆ โอว...”
“ได้ค่ะผัวขา... ได้ค่ะ...”
ใบหน้าของผัวรักที่ร่ำร้องให้เธอทำ กระตุ้นทุกต่อมความเสียวของสุดาวดีกระเจิดกระเจิง ฝ่ามือนุ่มเพราะได้รับการบำรุงอยู่เสมอกระชับที่ขอบโซฟาหลุยส์ หัวเข่าวางทาบอยู่บนเบาะนั่ง ก่อนจะออกแรงทั้งหมดที่มีควบขี่ท่อนเนื้อแข็งปั๋งของท่านให้เร็วที่สุด
“โอว... โอว...”
“อูย... อูย...”
เสียงครวญครางร่ำร้องสอดประสานอย่างไม่มีใครยอมใคร ยิ่งทำให้สุดาวดีเมามันกับความซ่านเสียว เธอควบขี่ เร่งเร้า กระแทกกระทั้นความแข็งแกร่งของท่านรัวเร็ว เพราะนี่คือสิ่งที่เธอต้องการ ‘ความลับ’ ที่เก็บงำไว้กับตนเอง เพราะชายกลางคนแห่งบ้านป่าคนนั้นไม่สามารถทำให้เธอสุขสมได้นานนับแล้ว
ของอร่อยที่เคยได้กลืนกินอย่างเมามันทุกค่ำคืน ต้องร้างลาไปนานปี และเมื่อมีโอกาสได้กลับมากินอีกครั้ง เธอก็หวังว่าจะเอร็ดอร่อยจนต้องซู้ดปากไม่หยุด ทว่าอุบัติเหตุครั้งนั้นกลับทำให้นกกระจอกตัวน้อยไม่เคยโผบินอีกเลย ได้แต่นอนคอพับคออ่อน ปลุกไม่ตื่น เรียกไม่ลุก และผัวแก่ก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย วันๆ ได้แต่นั่งหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ปล่อยให้เธอต้องปลดเปลื้องความร้อนรุ่มด้วยตัวเอง แต่แค่นั้นจะไปถึงใจเธอได้ยังไง เธอต้องการมากกว่านั้น และมากครั้งกว่าที่เคยได้รับ จนได้มาพบกับท่านชาย ในยามนั้นท่านเป็นชายแปลกหน้าที่หล่อเหลาจนสาวบ้านป่าอย่างเธอตื่นตะลึง และฝ่ามือที่ล่วงล้ำร่างกายของเธอ ก็ทำให้เธอลืมทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะเมื่อความยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งราวกับมีชีวิตนั้นผงกหัวและส่ายไปมาอยู่ในอุ้งมือของเธอ เธอตื่นเต้นจนสั่นเพราะรู้ว่าสิ่งนี้จะทำอะไรกับเธอได้บ้าง และเพียงท่านชายสอดแทรกความแข็งแกร่งเข้ามาสู่ร่างกายของเธอ เธอก็ค้นพบแล้วว่าสิ่งนี้แหละที่จะเติมเต็มความอดอยากโหยหิวให้กับเธอได้ สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตได้คืนมา การเสร็จสมครั้งแรกในรอบปีจากท่อนเนื้อของผู้ชายที่หล่อเหลาราวเทพ
กลุ่มควันสีขาวที่เกิดจากเปลวไฟกำลังเผาไหม้ร่างของพ่อ นั่นคือเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ อีกทั้งข่าวการตายของพ่อที่กระพือไปทั่วประเทศไทยและขจรไกลไปอีกฟากโลกก็ไม่อาจมีใครเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปอีกนานเท่าไร อีก 10 ปี 20 ปี หรืออีก 30 ปี โลกโซเชียลเน็ตเวิร์คที่ไวกว่าไฟลามทุ่งก็จะทำให้ข่าว... ‘หม่อมเจ้าพงศกร วรเวชเดชากร ตายคาอกหม่อมเพราะใช้ไวอากร้าเกินขนาด’ จะยังถูกพูดถึงไปตลอดกาล “คุณชายครับ เรื่องพินัยกรรมของท่าน” ดวงตาคมเข้มของ ‘หม่อมราชวงศ์ธีรดนย์ วรเวชเดชากร’ มีแววกร้าวขึ้นเล็กน้อยก่อนจะปรับให้เป็นปกติดังเดิม เขาไม่ได้อยากฟังเรื่องพินัยกรรมในเวลานี้ เพราะร่างของพ่อยังเผาไม่หมดซะด้วยซ้ำ แต่เพราะทนายวีระเดชนั้นเป็นทนายประจำตระกูลและเป็นเพื่อนสนิทของพ่อ เขาจึงไม่ควรแสดงกิริยาไม่เหมาะสมออกไป อีกทั้งฐานันดรที่แบกอยู่บนบ่าตั้งแต่เกิดก็สอนสั่งให้เขาเก็บอารมณ์ “ไว้คุยกันวันอื่นได้มั้ยครับคุณลุง” ทนายวีระเดชชำเลืองมองใบหน้าเคร่งขรึม นึกเห็นใจคุณชายธีรดนย์ที่สุด เพราะคุณชายไม่ควรต้องมาพบเจอกับเรื่องราวแบบนี้เลย เ
ฝ่ามือแกร่งปาดไล่หยาดเหงื่อที่ไหลซึมผ่านคอเสื้อลงมาเป็นทาง ก่อนจะปลดรังดุมเสื้อเชิ้ตออกและกระพือเรียกลมเย็นจากภายนอกเข้ามาปะทะแผงอกด้านใน ‘พงศกร’ ควักเอาผ้าเช็ดหน้าที่ยัดใส่กระเป๋ากางเกงเดินป่าแบบลวกๆ ขึ้นมาซับเหงื่อที่ไหลต่างน้ำ กว่า 2 ชั่วโมงแล้วที่เขาเดินหลงเข้ามาในป่าแห่งนี้และยังมองไม่เห็นทางออก นึกโทษตัวเองที่มัวแต่ส่องนกเพลินจนพลัดหลงกับเพื่อนและพรานป่านำทาง แต่ประสบการณ์เข้าป่าที่พอมีอยู่บ้างก็สอนให้เขาต้องเงี่ยหูฟังเสียงรอบด้าน เขาต้องฟังเสียงน้ำ เสียงสัตว์ และเสียงอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นรอบตัว เพราะนั่นจะทำให้เขาได้เจอกับเพื่อนๆ และพรานป่าที่กำลังออกตามหาเขาอยู่ก็ได้ แต่ยิ่งเดินเข้ามาลึกเขาก็ยิ่งถอดใจและคิดว่าไม่น่าเลย เพราะเขาควรจะหยุดรออยู่ตรงจุดที่หลง เพื่อรอให้คนอื่นเดินมาพบ ไม่ควรตัดสินใจเดินตามร่องรอยที่เพื่อนทิ้งไว้เลย แต่คิดได้ตอนนี้ก็สายเสียแล้ว เพราะความอึมครึมที่คืบคลานเด่นชัดคือสัญญาณบ่งบอกว่าเวลานี้ใกล้ค่ำเต็มทน หากเป็นในเมืองกรุง เวลานี้ผีเสื้อราตรีคงเพิ่งตื่นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโผบินในยามค่ำคืน แต่สำหรับป่า สัตว์หากินยามค่ำคื
ดวงตากลมโตของเธอเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าค้างพร้อมเปล่งเสียงร้องแต่นั่นยังช้าไปกว่าเขาที่เข้าประชิด ฝ่ามือของเขาทาบปิดริมฝีปากของเธอไว้แน่น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยเพราะในนั้นเขาเห็นแววตื่นกลัวปะปนกับความร้อนแรงที่แทรกอยู่ ‘ไม่ธรรมดา’ เธอคนนี้จะร้อนได้อีกถ้าถูกเขาจุดไฟสวาทให้ “ชู่ววววว... สาวน้อย เธอสวยเหลือเกิน สวยเหมือนนางฟ้า สวยจนฉันอดใจไว้ไม่ไหว ฉันจะพานางฟ้าขึ้นสวรรค์... จับดูสิ เจ้านี่จะพาเธอไป” เขาจับฝ่ามือของเธอให้กอบกุมความยิ่งใหญ่ของเขาไว้แทนผืนผ้าที่เธอขยี้เมื่อครู่ อยากให้เธอขยี้ท่อนสวาทของเขาเหลือเกิน และสายตาที่มองสบก็ทำให้เขาปลดปล่อยริมฝีปากนั้นให้เป็นอิสระ ก่อนที่เขาจะบดเบียดความร้อนรุ่มลงไปแทน ฝ่ามือข้างหนึ่งกระชับแผ่นหลังดันเข้าหา อีกมือหนึ่งกอบกุมเต้าอวบอิ่มขยำขยี้ให้หนำใจกับความอยาก ลิ้นจ้วงแทงเข้าใส่กลีบปากบอบบาง ชอกชอน กว้านวนจนสาวเจ้าสะท้านเฮือกแอ่นสะโพกเข้าหาท่อนสวาทของเขาไม่หยุด ทั้งฝ่ามือก็บีบเคล้นความหยุ่นนุ่มมืออย่างเมามัน เพื่อเร่งเร้าให้เธอตอบโต้ และลีลาปลายลิ้นที่เกี่ยวตวัดรัดลิ้นของเขาเอาไว้ พร้อมกับฝ่ามือที่กอบกุมความย
กลุ่มควันสีขาวที่เกิดจากเปลวไฟกำลังเผาไหม้ร่างของพ่อ นั่นคือเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ อีกทั้งข่าวการตายของพ่อที่กระพือไปทั่วประเทศไทยและขจรไกลไปอีกฟากโลกก็ไม่อาจมีใครเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปอีกนานเท่าไร อีก 10 ปี 20 ปี หรืออีก 30 ปี โลกโซเชียลเน็ตเวิร์คที่ไวกว่าไฟลามทุ่งก็จะทำให้ข่าว... ‘หม่อมเจ้าพงศกร วรเวชเดชากร ตายคาอกหม่อมเพราะใช้ไวอากร้าเกินขนาด’ จะยังถูกพูดถึงไปตลอดกาล “คุณชายครับ เรื่องพินัยกรรมของท่าน” ดวงตาคมเข้มของ ‘หม่อมราชวงศ์ธีรดนย์ วรเวชเดชากร’ มีแววกร้าวขึ้นเล็กน้อยก่อนจะปรับให้เป็นปกติดังเดิม เขาไม่ได้อยากฟังเรื่องพินัยกรรมในเวลานี้ เพราะร่างของพ่อยังเผาไม่หมดซะด้วยซ้ำ แต่เพราะทนายวีระเดชนั้นเป็นทนายประจำตระกูลและเป็นเพื่อนสนิทของพ่อ เขาจึงไม่ควรแสดงกิริยาไม่เหมาะสมออกไป อีกทั้งฐานันดรที่แบกอยู่บนบ่าตั้งแต่เกิดก็สอนสั่งให้เขาเก็บอารมณ์ “ไว้คุยกันวันอื่นได้มั้ยครับคุณลุง” ทนายวีระเดชชำเลืองมองใบหน้าเคร่งขรึม นึกเห็นใจคุณชายธีรดนย์ที่สุด เพราะคุณชายไม่ควรต้องมาพบเจอกับเรื่องราวแบบนี้เลย เ
ของอร่อยที่เคยได้กลืนกินอย่างเมามันทุกค่ำคืน ต้องร้างลาไปนานปี และเมื่อมีโอกาสได้กลับมากินอีกครั้ง เธอก็หวังว่าจะเอร็ดอร่อยจนต้องซู้ดปากไม่หยุด ทว่าอุบัติเหตุครั้งนั้นกลับทำให้นกกระจอกตัวน้อยไม่เคยโผบินอีกเลย ได้แต่นอนคอพับคออ่อน ปลุกไม่ตื่น เรียกไม่ลุก และผัวแก่ก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย วันๆ ได้แต่นั่งหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ปล่อยให้เธอต้องปลดเปลื้องความร้อนรุ่มด้วยตัวเอง แต่แค่นั้นจะไปถึงใจเธอได้ยังไง เธอต้องการมากกว่านั้น และมากครั้งกว่าที่เคยได้รับ จนได้มาพบกับท่านชาย ในยามนั้นท่านเป็นชายแปลกหน้าที่หล่อเหลาจนสาวบ้านป่าอย่างเธอตื่นตะลึง และฝ่ามือที่ล่วงล้ำร่างกายของเธอ ก็ทำให้เธอลืมทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะเมื่อความยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งราวกับมีชีวิตนั้นผงกหัวและส่ายไปมาอยู่ในอุ้งมือของเธอ เธอตื่นเต้นจนสั่นเพราะรู้ว่าสิ่งนี้จะทำอะไรกับเธอได้บ้าง และเพียงท่านชายสอดแทรกความแข็งแกร่งเข้ามาสู่ร่างกายของเธอ เธอก็ค้นพบแล้วว่าสิ่งนี้แหละที่จะเติมเต็มความอดอยากโหยหิวให้กับเธอได้ สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตได้คืนมา การเสร็จสมครั้งแรกในรอบปีจากท่อนเนื้อของผู้ชายที่หล่อเหลาราวเทพ
สุดาเลือกชีวิตสุขสบายมั่งมีไปด้วยเงินทองและบ่าวไพร่มารายล้อม จากไม่เคยไปไหนไกลเท่าตลาดในเมือง เธอก็ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ แต่ที่ทำให้เธอมีความสุขที่สุดนั้น ก็ไม่พ้นจะเป็นความยิ่งใหญ่แข็งแกร่งของ ‘หม่อมเจ้าพงศกร วรเวชเดชากร’ ชายแปลกหน้าที่โชคชะตานำทางให้มาพบกับเธอ “ทำอะไรอยู่รึหม่อม” เสียงทุ้มที่ดังอยู่ด้านหลังก่อนอ้อมกอดแกร่งจะกระชับรอบเอวทำให้ ‘หม่อมสุดาวดี’ ตื่นจากภวังค์และหันไปยิ้มให้กับสามี พร้อมกับเอี้ยวหน้าไปรับรอยจูบที่ท่านบดเบียดลงมาหา และจากจูบเพียงนิดก็กลายเป็นปลายลิ้นที่แหย่ลงมา จนสุดาวดีต้องใช้ฝ่ามือยันแผงอกกว้างนั้นไว้ “อื้อ... ท่านชาย เดี๋ยวสิเพคะ สุดาหายใจหายคอไม่ออกแล้ว” “อะไรกันเล่า ฉันรู้นะว่าสุดาน่ะหายใจออกเสมอ แม้แต่กลืนกินฉันอยู่ สุดาก็ยังหายใจได้” “ท่านอ่ะ สุดาไม่พูดด้วยแล้ว” “ไม่พูดก็ได้ งั้นเปลี่ยนเป็นครางก็แล้วกัน” “อื้อ... ท่านชาย...” แค่นั้นที่สุดาวดีได้ร้องห้าม เพราะสุดท้ายเธอก็ไม่สามารถห้ามปรามฝ่ามือร้อนรุ่มของท่านชายพงศกรได้ ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่อย
ดวงตากลมโตของเธอเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าค้างพร้อมเปล่งเสียงร้องแต่นั่นยังช้าไปกว่าเขาที่เข้าประชิด ฝ่ามือของเขาทาบปิดริมฝีปากของเธอไว้แน่น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยเพราะในนั้นเขาเห็นแววตื่นกลัวปะปนกับความร้อนแรงที่แทรกอยู่ ‘ไม่ธรรมดา’ เธอคนนี้จะร้อนได้อีกถ้าถูกเขาจุดไฟสวาทให้ “ชู่ววววว... สาวน้อย เธอสวยเหลือเกิน สวยเหมือนนางฟ้า สวยจนฉันอดใจไว้ไม่ไหว ฉันจะพานางฟ้าขึ้นสวรรค์... จับดูสิ เจ้านี่จะพาเธอไป” เขาจับฝ่ามือของเธอให้กอบกุมความยิ่งใหญ่ของเขาไว้แทนผืนผ้าที่เธอขยี้เมื่อครู่ อยากให้เธอขยี้ท่อนสวาทของเขาเหลือเกิน และสายตาที่มองสบก็ทำให้เขาปลดปล่อยริมฝีปากนั้นให้เป็นอิสระ ก่อนที่เขาจะบดเบียดความร้อนรุ่มลงไปแทน ฝ่ามือข้างหนึ่งกระชับแผ่นหลังดันเข้าหา อีกมือหนึ่งกอบกุมเต้าอวบอิ่มขยำขยี้ให้หนำใจกับความอยาก ลิ้นจ้วงแทงเข้าใส่กลีบปากบอบบาง ชอกชอน กว้านวนจนสาวเจ้าสะท้านเฮือกแอ่นสะโพกเข้าหาท่อนสวาทของเขาไม่หยุด ทั้งฝ่ามือก็บีบเคล้นความหยุ่นนุ่มมืออย่างเมามัน เพื่อเร่งเร้าให้เธอตอบโต้ และลีลาปลายลิ้นที่เกี่ยวตวัดรัดลิ้นของเขาเอาไว้ พร้อมกับฝ่ามือที่กอบกุมความย
ฝ่ามือแกร่งปาดไล่หยาดเหงื่อที่ไหลซึมผ่านคอเสื้อลงมาเป็นทาง ก่อนจะปลดรังดุมเสื้อเชิ้ตออกและกระพือเรียกลมเย็นจากภายนอกเข้ามาปะทะแผงอกด้านใน ‘พงศกร’ ควักเอาผ้าเช็ดหน้าที่ยัดใส่กระเป๋ากางเกงเดินป่าแบบลวกๆ ขึ้นมาซับเหงื่อที่ไหลต่างน้ำ กว่า 2 ชั่วโมงแล้วที่เขาเดินหลงเข้ามาในป่าแห่งนี้และยังมองไม่เห็นทางออก นึกโทษตัวเองที่มัวแต่ส่องนกเพลินจนพลัดหลงกับเพื่อนและพรานป่านำทาง แต่ประสบการณ์เข้าป่าที่พอมีอยู่บ้างก็สอนให้เขาต้องเงี่ยหูฟังเสียงรอบด้าน เขาต้องฟังเสียงน้ำ เสียงสัตว์ และเสียงอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นรอบตัว เพราะนั่นจะทำให้เขาได้เจอกับเพื่อนๆ และพรานป่าที่กำลังออกตามหาเขาอยู่ก็ได้ แต่ยิ่งเดินเข้ามาลึกเขาก็ยิ่งถอดใจและคิดว่าไม่น่าเลย เพราะเขาควรจะหยุดรออยู่ตรงจุดที่หลง เพื่อรอให้คนอื่นเดินมาพบ ไม่ควรตัดสินใจเดินตามร่องรอยที่เพื่อนทิ้งไว้เลย แต่คิดได้ตอนนี้ก็สายเสียแล้ว เพราะความอึมครึมที่คืบคลานเด่นชัดคือสัญญาณบ่งบอกว่าเวลานี้ใกล้ค่ำเต็มทน หากเป็นในเมืองกรุง เวลานี้ผีเสื้อราตรีคงเพิ่งตื่นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโผบินในยามค่ำคืน แต่สำหรับป่า สัตว์หากินยามค่ำคื