ฝ่ามือแกร่งปาดไล่หยาดเหงื่อที่ไหลซึมผ่านคอเสื้อลงมาเป็นทาง ก่อนจะปลดรังดุมเสื้อเชิ้ตออกและกระพือเรียกลมเย็นจากภายนอกเข้ามาปะทะแผงอกด้านใน ‘พงศกร’ ควักเอาผ้าเช็ดหน้าที่ยัดใส่กระเป๋ากางเกงเดินป่าแบบลวกๆ ขึ้นมาซับเหงื่อที่ไหลต่างน้ำ
กว่า 2 ชั่วโมงแล้วที่เขาเดินหลงเข้ามาในป่าแห่งนี้และยังมองไม่เห็นทางออก นึกโทษตัวเองที่มัวแต่ส่องนกเพลินจนพลัดหลงกับเพื่อนและพรานป่านำทาง แต่ประสบการณ์เข้าป่าที่พอมีอยู่บ้างก็สอนให้เขาต้องเงี่ยหูฟังเสียงรอบด้าน เขาต้องฟังเสียงน้ำ เสียงสัตว์ และเสียงอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นรอบตัว เพราะนั่นจะทำให้เขาได้เจอกับเพื่อนๆ และพรานป่าที่กำลังออกตามหาเขาอยู่ก็ได้
แต่ยิ่งเดินเข้ามาลึกเขาก็ยิ่งถอดใจและคิดว่าไม่น่าเลย เพราะเขาควรจะหยุดรออยู่ตรงจุดที่หลง เพื่อรอให้คนอื่นเดินมาพบ ไม่ควรตัดสินใจเดินตามร่องรอยที่เพื่อนทิ้งไว้เลย แต่คิดได้ตอนนี้ก็สายเสียแล้ว เพราะความอึมครึมที่คืบคลานเด่นชัดคือสัญญาณบ่งบอกว่าเวลานี้ใกล้ค่ำเต็มทน
หากเป็นในเมืองกรุง เวลานี้ผีเสื้อราตรีคงเพิ่งตื่นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโผบินในยามค่ำคืน แต่สำหรับป่า สัตว์หากินยามค่ำคืนก็คงเพิ่งตื่นเช่นเดียวกัน และอาหารของพวกมันก็คงไม่ใช่สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยอย่างเคยแน่ เพราะร่างกายสูงใหญ่ของเขาคงกินได้อิ่มไปหลายมื้อทีเดียว ทางเดียวที่เขาจะรอดชีวิตในป่านี้ได้ก็คือ เดินต่อไปและสังเกตเสียงรอบด้านไปด้วย
แต่แล้วสีหน้าของพงศกรก็ดีขึ้นเมื่อเสียงหนึ่งดังอยู่ไม่ไกล เขาแน่ใจว่าเป็นเสียงของน้ำตก น้ำเป็นสัญญาณของการกำเนิดชีวิต เมื่อมีน้ำก็ต้องมีคน และเขาอาจเจอเพื่อนกับนายพรานที่นั่นก็ได้ คิดแล้วก็ไม่รอช้าพงศกรรีบก้าวเดินไปยังจุดนั้นในทันที แม้ร่างกายจะอ่อนล้ามากแค่ไหน แต่เสียงน้ำที่ดังชัดมากขึ้นก็เร่งเร้าให้เขาไปให้ถึงโดยเร็ว
ลำธารขนาดเล็กที่มีฝายชะลอน้ำขวางกั้นทำให้พงศกรยิ้มกว้าง เพราะมีฝายก็แปลว่าใกล้แหล่งชุมชน เขาอาจเดินหลงจนย้อนกลับเข้ามาในเขตหมู่บ้าน หรือไม่ที่นี่ก็อาจเป็นหมู่บ้านของพวกพรานป่าก็ได้ สองเท้ารีบก้าวเร็วไว ทั้งดีใจและอ่อนล้าเสียจนอยากพัก หิวจนเสียงโครกครากในท้องเร่งเร้าว่าเลยเวลาอาหารมาจวนเจียนจะ 2 มื้อ
ทว่าเสียงหวานที่ดังแว่วมาจากธารน้ำข้างหน้ากลับทำให้ความโหยหิวจางหาย ก่อนหัวคิ้วเข้มจะขมวดเข้าหากัน
“ลา... ล้า... ลาล่าลาล้า...”
“เสียงผู้หญิงร้องเพลง” พึมพำกับตัวเองพร้อมรอยยิ้มอย่างอิดโรยปรากฏขึ้นบนใบหน้า เพราะเขารอดตายแล้วจริงๆ มีเสียงคน แปลว่ามีหมู่บ้าน
ทว่าสิ่งที่พงศกรเห็นกลับทำให้เนื้อกายของเขาเย็นวาบไปทั้งร่างตั้งแต่ปลายเท้าจดศีรษะ ก่อนจะร้อนวูบวาบจนเขาแทบอยากจะสลัดไล่เสื้อผ้าที่ขวางกั้นเกะกะเนื้อกายไปเสียให้พ้น เพราะสิ่งที่เห็นนั้นคือ เรือนร่างด้านหลังของหญิงสาวที่งดงามและสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา เธอยืนอยู่กลางลำธารที่มีน้ำสูงแค่สะโพก กำลังฮัมเพลงและซักเสื้อผ้าไปด้วย
“ลา... ล้า... ลาล่าลาล้า...”
พงศกรเหมือนถูกตรึงร่างกายด้วยผิวละเอียดขาวนวลเนียนนั้น เพราะผิวเนื้อที่ดูมีเลือดฝาดช่างขาวกระจ่างชัดเจนอยู่ท่ามกลางลำธารสีเข้มตามแสงอาทิตย์ที่เริ่มจะหมดไป เธอยังคงยักย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะการขยี้ผ้า แต่ที่พงศกรรู้สึกนั้นคือเธอกำลังขยี้เนื้อกายของเขาจนร้อนฉ่า
ยามเส้นผมดำขลับยาวสยายละบั้นเอวคอดกิ่วสะบัดพลิ้วไปมา นั่นไม่ต่างจากเธอกำลังยั่วเย้าร่ำร้องให้เขาก้าวเข้าไปหา เธอที่เขาเห็นแต่เพียงด้านหลังยังคงฮัมเพลงด้วยน้ำเสียงไพเราะอย่างไม่สนใจสักนิดว่า ณ ที่แห่งนี้จะมีใครนอกจากเธออีกหรือไม่
พงศกรมองความสวยงามตรงหน้า เกิดอาการอยากจะเข่าอ่อนอยู่เพียงแทบเท้าของเธอ แม้ยังมองไม่เห็นใบหน้าแต่เขาก็มั่นใจว่าเธอต้องเป็นผู้หญิงที่สวยมากอย่างที่สุด เพราะผู้หญิงที่มั่นใจในความงดงามของตัวเองเท่านั้นที่จะกล้าเปลื้องผ้าท้าธรรมชาติเยี่ยงนี้ โดยเฉพาะขนาดหน้าอกที่เอ่อล้นจนมองเห็นได้ชัดจากทางด้านข้าง นั่นก็ทำให้เขาต้องกางมือออกเพื่อกะขนาดของความยิ่งใหญ่
พงศกรสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาคมเข้มฉายความปรารถนาที่ถูกปลุกเร้าอย่างกะทันหัน จ้องมองสำรวจทั่วด้านหลังของร่างเปล่าเปลือย
หญิงสาวยังคงฮัมเพลงส่ายสะโพกใบไม้ไหวไปมาตามจังหวะจะโคน เรือนผมยาวสยายสีดำมันขลับเปียกลู่แนบไปกับเรือนร่างละอยู่ตามสะโพกผาย ทว่ากลับไม่สามารถปกปิดความงามที่สวรรค์สรรค์สร้างได้เลยสักนิด ก่อนสายตาจะไล่ต่ำลงไปด้านล่างเพราะแม้บั้นท้ายกลมกลึงนั้นจะจมอยู่ปริ่มน้ำจนมองเห็นได้แค่เนินร่องที่ดำดิ่งลงไป แต่ความใสของผิวน้ำก็ทำให้มองเห็นอะไรๆ ใต้น้ำได้โดยไม่ยาก
พงศกรกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นที่สุด เมื่อเธอบิดกายเพื่อโยนผ้าที่ซักเสร็จแล้วขึ้นไปไว้ในตะกร้าสานจากหวายอย่างลวกๆ ก่อนจะยื้อเอาผ้าที่อยู่ใกล้มือลงมาขยี้ในน้ำอีกตัว หัวใจของเขาแทบหยุดเต้นเพราะจังหวะการเอี้ยวตัวของเธอนั้นทำให้เขามองเห็นปลายยอดสีชมพูสดเต็มตา ไม่น่าเชื่อว่าปลายลิ้นของเขายื่นออกมาโดยอัตโนมัติเมื่อคิดว่าตัวเองกำลังลงลิ้นเลียไล้ที่ปลายถันสีหวานนั้นอย่างมันลิ้น
ดวงตาคมเข้มมองจับแต่เพียงเรือนร่างงดงามที่สะกดสายตาเขาจนไม่อาจหลีกหนีไปทางไหนได้ และสายน้ำเย็นจัดก็ไม่อาจทำให้เขาเปลี่ยนใจเพราะทั่วทั้งกายเนื้อในขณะนี้มันร้อนรุ่มรุมเร้าราวคนมีไข้ และมันคงจะไข้หนักถึงตายหากไม่ได้ความงดงามตรงหน้านี้มาเติมเต็ม
เป้ที่สะพายหลังมาตลอด 2 ชั่วโมงถูกปลดออกอย่างเบามือ เสื้อผ้าชื้นเหงื่อก็ถูกถอดทิ้งเพราะไม่มีความต้องการใช้อีกแล้ว ในเวลานี้สิ่งที่เขาต้องใช้ก็คือความแข็งแกร่งกึ่งกลางตัว สิ่งที่จะมอบความสุขให้กับผู้หญิงได้ทุกคน
“ลา... ลั่นลาล้า... ลา... ลั่นลาล้า...”
เสียงฮัมเพลงของเธอยังมีอยู่ แม้ขณะที่เขาเคลื่อนร่างลงมาในน้ำเกือบที่จะถึงตัวเธออยู่แล้ว ก่อนที่เธอจะชะงักหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา และเขาก็ได้เห็นความงามของนางไพรอย่างสมบูรณ์
ดวงตากลมโตของเธอเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าค้างพร้อมเปล่งเสียงร้องแต่นั่นยังช้าไปกว่าเขาที่เข้าประชิด ฝ่ามือของเขาทาบปิดริมฝีปากของเธอไว้แน่น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยเพราะในนั้นเขาเห็นแววตื่นกลัวปะปนกับความร้อนแรงที่แทรกอยู่ ‘ไม่ธรรมดา’ เธอคนนี้จะร้อนได้อีกถ้าถูกเขาจุดไฟสวาทให้ “ชู่ววววว... สาวน้อย เธอสวยเหลือเกิน สวยเหมือนนางฟ้า สวยจนฉันอดใจไว้ไม่ไหว ฉันจะพานางฟ้าขึ้นสวรรค์... จับดูสิ เจ้านี่จะพาเธอไป” เขาจับฝ่ามือของเธอให้กอบกุมความยิ่งใหญ่ของเขาไว้แทนผืนผ้าที่เธอขยี้เมื่อครู่ อยากให้เธอขยี้ท่อนสวาทของเขาเหลือเกิน และสายตาที่มองสบก็ทำให้เขาปลดปล่อยริมฝีปากนั้นให้เป็นอิสระ ก่อนที่เขาจะบดเบียดความร้อนรุ่มลงไปแทน ฝ่ามือข้างหนึ่งกระชับแผ่นหลังดันเข้าหา อีกมือหนึ่งกอบกุมเต้าอวบอิ่มขยำขยี้ให้หนำใจกับความอยาก ลิ้นจ้วงแทงเข้าใส่กลีบปากบอบบาง ชอกชอน กว้านวนจนสาวเจ้าสะท้านเฮือกแอ่นสะโพกเข้าหาท่อนสวาทของเขาไม่หยุด ทั้งฝ่ามือก็บีบเคล้นความหยุ่นนุ่มมืออย่างเมามัน เพื่อเร่งเร้าให้เธอตอบโต้ และลีลาปลายลิ้นที่เกี่ยวตวัดรัดลิ้นของเขาเอาไว้ พร้อมกับฝ่ามือที่กอบกุมความย
สุดาเลือกชีวิตสุขสบายมั่งมีไปด้วยเงินทองและบ่าวไพร่มารายล้อม จากไม่เคยไปไหนไกลเท่าตลาดในเมือง เธอก็ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ แต่ที่ทำให้เธอมีความสุขที่สุดนั้น ก็ไม่พ้นจะเป็นความยิ่งใหญ่แข็งแกร่งของ ‘หม่อมเจ้าพงศกร วรเวชเดชากร’ ชายแปลกหน้าที่โชคชะตานำทางให้มาพบกับเธอ “ทำอะไรอยู่รึหม่อม” เสียงทุ้มที่ดังอยู่ด้านหลังก่อนอ้อมกอดแกร่งจะกระชับรอบเอวทำให้ ‘หม่อมสุดาวดี’ ตื่นจากภวังค์และหันไปยิ้มให้กับสามี พร้อมกับเอี้ยวหน้าไปรับรอยจูบที่ท่านบดเบียดลงมาหา และจากจูบเพียงนิดก็กลายเป็นปลายลิ้นที่แหย่ลงมา จนสุดาวดีต้องใช้ฝ่ามือยันแผงอกกว้างนั้นไว้ “อื้อ... ท่านชาย เดี๋ยวสิเพคะ สุดาหายใจหายคอไม่ออกแล้ว” “อะไรกันเล่า ฉันรู้นะว่าสุดาน่ะหายใจออกเสมอ แม้แต่กลืนกินฉันอยู่ สุดาก็ยังหายใจได้” “ท่านอ่ะ สุดาไม่พูดด้วยแล้ว” “ไม่พูดก็ได้ งั้นเปลี่ยนเป็นครางก็แล้วกัน” “อื้อ... ท่านชาย...” แค่นั้นที่สุดาวดีได้ร้องห้าม เพราะสุดท้ายเธอก็ไม่สามารถห้ามปรามฝ่ามือร้อนรุ่มของท่านชายพงศกรได้ ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่อย
ของอร่อยที่เคยได้กลืนกินอย่างเมามันทุกค่ำคืน ต้องร้างลาไปนานปี และเมื่อมีโอกาสได้กลับมากินอีกครั้ง เธอก็หวังว่าจะเอร็ดอร่อยจนต้องซู้ดปากไม่หยุด ทว่าอุบัติเหตุครั้งนั้นกลับทำให้นกกระจอกตัวน้อยไม่เคยโผบินอีกเลย ได้แต่นอนคอพับคออ่อน ปลุกไม่ตื่น เรียกไม่ลุก และผัวแก่ก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย วันๆ ได้แต่นั่งหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ปล่อยให้เธอต้องปลดเปลื้องความร้อนรุ่มด้วยตัวเอง แต่แค่นั้นจะไปถึงใจเธอได้ยังไง เธอต้องการมากกว่านั้น และมากครั้งกว่าที่เคยได้รับ จนได้มาพบกับท่านชาย ในยามนั้นท่านเป็นชายแปลกหน้าที่หล่อเหลาจนสาวบ้านป่าอย่างเธอตื่นตะลึง และฝ่ามือที่ล่วงล้ำร่างกายของเธอ ก็ทำให้เธอลืมทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะเมื่อความยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งราวกับมีชีวิตนั้นผงกหัวและส่ายไปมาอยู่ในอุ้งมือของเธอ เธอตื่นเต้นจนสั่นเพราะรู้ว่าสิ่งนี้จะทำอะไรกับเธอได้บ้าง และเพียงท่านชายสอดแทรกความแข็งแกร่งเข้ามาสู่ร่างกายของเธอ เธอก็ค้นพบแล้วว่าสิ่งนี้แหละที่จะเติมเต็มความอดอยากโหยหิวให้กับเธอได้ สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตได้คืนมา การเสร็จสมครั้งแรกในรอบปีจากท่อนเนื้อของผู้ชายที่หล่อเหลาราวเทพ
กลุ่มควันสีขาวที่เกิดจากเปลวไฟกำลังเผาไหม้ร่างของพ่อ นั่นคือเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ อีกทั้งข่าวการตายของพ่อที่กระพือไปทั่วประเทศไทยและขจรไกลไปอีกฟากโลกก็ไม่อาจมีใครเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปอีกนานเท่าไร อีก 10 ปี 20 ปี หรืออีก 30 ปี โลกโซเชียลเน็ตเวิร์คที่ไวกว่าไฟลามทุ่งก็จะทำให้ข่าว... ‘หม่อมเจ้าพงศกร วรเวชเดชากร ตายคาอกหม่อมเพราะใช้ไวอากร้าเกินขนาด’ จะยังถูกพูดถึงไปตลอดกาล “คุณชายครับ เรื่องพินัยกรรมของท่าน” ดวงตาคมเข้มของ ‘หม่อมราชวงศ์ธีรดนย์ วรเวชเดชากร’ มีแววกร้าวขึ้นเล็กน้อยก่อนจะปรับให้เป็นปกติดังเดิม เขาไม่ได้อยากฟังเรื่องพินัยกรรมในเวลานี้ เพราะร่างของพ่อยังเผาไม่หมดซะด้วยซ้ำ แต่เพราะทนายวีระเดชนั้นเป็นทนายประจำตระกูลและเป็นเพื่อนสนิทของพ่อ เขาจึงไม่ควรแสดงกิริยาไม่เหมาะสมออกไป อีกทั้งฐานันดรที่แบกอยู่บนบ่าตั้งแต่เกิดก็สอนสั่งให้เขาเก็บอารมณ์ “ไว้คุยกันวันอื่นได้มั้ยครับคุณลุง” ทนายวีระเดชชำเลืองมองใบหน้าเคร่งขรึม นึกเห็นใจคุณชายธีรดนย์ที่สุด เพราะคุณชายไม่ควรต้องมาพบเจอกับเรื่องราวแบบนี้เลย เ
กลุ่มควันสีขาวที่เกิดจากเปลวไฟกำลังเผาไหม้ร่างของพ่อ นั่นคือเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ อีกทั้งข่าวการตายของพ่อที่กระพือไปทั่วประเทศไทยและขจรไกลไปอีกฟากโลกก็ไม่อาจมีใครเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปอีกนานเท่าไร อีก 10 ปี 20 ปี หรืออีก 30 ปี โลกโซเชียลเน็ตเวิร์คที่ไวกว่าไฟลามทุ่งก็จะทำให้ข่าว... ‘หม่อมเจ้าพงศกร วรเวชเดชากร ตายคาอกหม่อมเพราะใช้ไวอากร้าเกินขนาด’ จะยังถูกพูดถึงไปตลอดกาล “คุณชายครับ เรื่องพินัยกรรมของท่าน” ดวงตาคมเข้มของ ‘หม่อมราชวงศ์ธีรดนย์ วรเวชเดชากร’ มีแววกร้าวขึ้นเล็กน้อยก่อนจะปรับให้เป็นปกติดังเดิม เขาไม่ได้อยากฟังเรื่องพินัยกรรมในเวลานี้ เพราะร่างของพ่อยังเผาไม่หมดซะด้วยซ้ำ แต่เพราะทนายวีระเดชนั้นเป็นทนายประจำตระกูลและเป็นเพื่อนสนิทของพ่อ เขาจึงไม่ควรแสดงกิริยาไม่เหมาะสมออกไป อีกทั้งฐานันดรที่แบกอยู่บนบ่าตั้งแต่เกิดก็สอนสั่งให้เขาเก็บอารมณ์ “ไว้คุยกันวันอื่นได้มั้ยครับคุณลุง” ทนายวีระเดชชำเลืองมองใบหน้าเคร่งขรึม นึกเห็นใจคุณชายธีรดนย์ที่สุด เพราะคุณชายไม่ควรต้องมาพบเจอกับเรื่องราวแบบนี้เลย เ
ของอร่อยที่เคยได้กลืนกินอย่างเมามันทุกค่ำคืน ต้องร้างลาไปนานปี และเมื่อมีโอกาสได้กลับมากินอีกครั้ง เธอก็หวังว่าจะเอร็ดอร่อยจนต้องซู้ดปากไม่หยุด ทว่าอุบัติเหตุครั้งนั้นกลับทำให้นกกระจอกตัวน้อยไม่เคยโผบินอีกเลย ได้แต่นอนคอพับคออ่อน ปลุกไม่ตื่น เรียกไม่ลุก และผัวแก่ก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย วันๆ ได้แต่นั่งหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ปล่อยให้เธอต้องปลดเปลื้องความร้อนรุ่มด้วยตัวเอง แต่แค่นั้นจะไปถึงใจเธอได้ยังไง เธอต้องการมากกว่านั้น และมากครั้งกว่าที่เคยได้รับ จนได้มาพบกับท่านชาย ในยามนั้นท่านเป็นชายแปลกหน้าที่หล่อเหลาจนสาวบ้านป่าอย่างเธอตื่นตะลึง และฝ่ามือที่ล่วงล้ำร่างกายของเธอ ก็ทำให้เธอลืมทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะเมื่อความยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งราวกับมีชีวิตนั้นผงกหัวและส่ายไปมาอยู่ในอุ้งมือของเธอ เธอตื่นเต้นจนสั่นเพราะรู้ว่าสิ่งนี้จะทำอะไรกับเธอได้บ้าง และเพียงท่านชายสอดแทรกความแข็งแกร่งเข้ามาสู่ร่างกายของเธอ เธอก็ค้นพบแล้วว่าสิ่งนี้แหละที่จะเติมเต็มความอดอยากโหยหิวให้กับเธอได้ สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตได้คืนมา การเสร็จสมครั้งแรกในรอบปีจากท่อนเนื้อของผู้ชายที่หล่อเหลาราวเทพ
สุดาเลือกชีวิตสุขสบายมั่งมีไปด้วยเงินทองและบ่าวไพร่มารายล้อม จากไม่เคยไปไหนไกลเท่าตลาดในเมือง เธอก็ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ แต่ที่ทำให้เธอมีความสุขที่สุดนั้น ก็ไม่พ้นจะเป็นความยิ่งใหญ่แข็งแกร่งของ ‘หม่อมเจ้าพงศกร วรเวชเดชากร’ ชายแปลกหน้าที่โชคชะตานำทางให้มาพบกับเธอ “ทำอะไรอยู่รึหม่อม” เสียงทุ้มที่ดังอยู่ด้านหลังก่อนอ้อมกอดแกร่งจะกระชับรอบเอวทำให้ ‘หม่อมสุดาวดี’ ตื่นจากภวังค์และหันไปยิ้มให้กับสามี พร้อมกับเอี้ยวหน้าไปรับรอยจูบที่ท่านบดเบียดลงมาหา และจากจูบเพียงนิดก็กลายเป็นปลายลิ้นที่แหย่ลงมา จนสุดาวดีต้องใช้ฝ่ามือยันแผงอกกว้างนั้นไว้ “อื้อ... ท่านชาย เดี๋ยวสิเพคะ สุดาหายใจหายคอไม่ออกแล้ว” “อะไรกันเล่า ฉันรู้นะว่าสุดาน่ะหายใจออกเสมอ แม้แต่กลืนกินฉันอยู่ สุดาก็ยังหายใจได้” “ท่านอ่ะ สุดาไม่พูดด้วยแล้ว” “ไม่พูดก็ได้ งั้นเปลี่ยนเป็นครางก็แล้วกัน” “อื้อ... ท่านชาย...” แค่นั้นที่สุดาวดีได้ร้องห้าม เพราะสุดท้ายเธอก็ไม่สามารถห้ามปรามฝ่ามือร้อนรุ่มของท่านชายพงศกรได้ ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่อย
ดวงตากลมโตของเธอเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าค้างพร้อมเปล่งเสียงร้องแต่นั่นยังช้าไปกว่าเขาที่เข้าประชิด ฝ่ามือของเขาทาบปิดริมฝีปากของเธอไว้แน่น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยเพราะในนั้นเขาเห็นแววตื่นกลัวปะปนกับความร้อนแรงที่แทรกอยู่ ‘ไม่ธรรมดา’ เธอคนนี้จะร้อนได้อีกถ้าถูกเขาจุดไฟสวาทให้ “ชู่ววววว... สาวน้อย เธอสวยเหลือเกิน สวยเหมือนนางฟ้า สวยจนฉันอดใจไว้ไม่ไหว ฉันจะพานางฟ้าขึ้นสวรรค์... จับดูสิ เจ้านี่จะพาเธอไป” เขาจับฝ่ามือของเธอให้กอบกุมความยิ่งใหญ่ของเขาไว้แทนผืนผ้าที่เธอขยี้เมื่อครู่ อยากให้เธอขยี้ท่อนสวาทของเขาเหลือเกิน และสายตาที่มองสบก็ทำให้เขาปลดปล่อยริมฝีปากนั้นให้เป็นอิสระ ก่อนที่เขาจะบดเบียดความร้อนรุ่มลงไปแทน ฝ่ามือข้างหนึ่งกระชับแผ่นหลังดันเข้าหา อีกมือหนึ่งกอบกุมเต้าอวบอิ่มขยำขยี้ให้หนำใจกับความอยาก ลิ้นจ้วงแทงเข้าใส่กลีบปากบอบบาง ชอกชอน กว้านวนจนสาวเจ้าสะท้านเฮือกแอ่นสะโพกเข้าหาท่อนสวาทของเขาไม่หยุด ทั้งฝ่ามือก็บีบเคล้นความหยุ่นนุ่มมืออย่างเมามัน เพื่อเร่งเร้าให้เธอตอบโต้ และลีลาปลายลิ้นที่เกี่ยวตวัดรัดลิ้นของเขาเอาไว้ พร้อมกับฝ่ามือที่กอบกุมความย
ฝ่ามือแกร่งปาดไล่หยาดเหงื่อที่ไหลซึมผ่านคอเสื้อลงมาเป็นทาง ก่อนจะปลดรังดุมเสื้อเชิ้ตออกและกระพือเรียกลมเย็นจากภายนอกเข้ามาปะทะแผงอกด้านใน ‘พงศกร’ ควักเอาผ้าเช็ดหน้าที่ยัดใส่กระเป๋ากางเกงเดินป่าแบบลวกๆ ขึ้นมาซับเหงื่อที่ไหลต่างน้ำ กว่า 2 ชั่วโมงแล้วที่เขาเดินหลงเข้ามาในป่าแห่งนี้และยังมองไม่เห็นทางออก นึกโทษตัวเองที่มัวแต่ส่องนกเพลินจนพลัดหลงกับเพื่อนและพรานป่านำทาง แต่ประสบการณ์เข้าป่าที่พอมีอยู่บ้างก็สอนให้เขาต้องเงี่ยหูฟังเสียงรอบด้าน เขาต้องฟังเสียงน้ำ เสียงสัตว์ และเสียงอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นรอบตัว เพราะนั่นจะทำให้เขาได้เจอกับเพื่อนๆ และพรานป่าที่กำลังออกตามหาเขาอยู่ก็ได้ แต่ยิ่งเดินเข้ามาลึกเขาก็ยิ่งถอดใจและคิดว่าไม่น่าเลย เพราะเขาควรจะหยุดรออยู่ตรงจุดที่หลง เพื่อรอให้คนอื่นเดินมาพบ ไม่ควรตัดสินใจเดินตามร่องรอยที่เพื่อนทิ้งไว้เลย แต่คิดได้ตอนนี้ก็สายเสียแล้ว เพราะความอึมครึมที่คืบคลานเด่นชัดคือสัญญาณบ่งบอกว่าเวลานี้ใกล้ค่ำเต็มทน หากเป็นในเมืองกรุง เวลานี้ผีเสื้อราตรีคงเพิ่งตื่นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโผบินในยามค่ำคืน แต่สำหรับป่า สัตว์หากินยามค่ำคื