“ถ้าเธอยังตามฉันอีก ฉันได้ลงมือจริงๆ นะ อย่าคิดว่าเธอสามารถทำอะไรก็ได้ที่เธอต้องการเพียงเพราะฉันช่วยเธอก่อนหน้านี้” ฉู่เฉินต้องการขู่ให้เธอหนีไปอย่างไรก็ตาม ผู้หญิงคนนั้นเชื่อว่าฉู่เฉินจะไม่ทำร้ายเธอ และเธอก็ไม่แสดงความกลัวใดๆ“เอาเลยสิ ลงมือเลยสิ ยังไงเจ้าก็แข็งแกร่งอยู่แล้ว แม้ว่าข้าจะพยายามก็ไม่อาจต้านทานมันได้อยู่แล้ว เอาเลย ข้าขี้เกียจเกินกว่าจะต้านทานอยู่แล้ว”เธอพูดขณะที่ลอยอยู่ข้างหน้าฉู่เฉิน มองดูราวกับว่าเป็นลูกไก่ในกำมือฉู่เฉินแกล้งยกมือขึ้นโดยเล็งไปที่หน้าผากของเธอเธอไม่ขยับ แค่จ้องมองไปที่ฉู่เฉิน มั่นใจว่าเขาจะไม่ทำร้ายเธอจริงๆหลังจากการเผชิญหน้ากันสักพัก ฉู่เฉินก็ต้องลดแขนลง ซึ่งชาจากการยกมันขึ้น“จะตามฉันมาก็ได้ แต่หยุดถามคำถามมากมายได้แล้ว โอเคไหม? ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ยอมให้เธอมากับฉันจริงๆ”ฉู่เฉินต้องยอมใจอ่อนลง สําหรับผู้หญิงที่ไม่ต่อต้านเลยแบบนี้ ฉู่เฉินยังทำไม่ลงจริงๆ“ตกลง” หญิงสาวตอบรับทันทีแน่นอนว่าเธอได้ตัดสินใจติดตามฉู่เฉินแล้ว“เธอชื่ออะไร ในเมื่อเธอตัดสินใจตามฉันมา ฉันก็ต้องรู้ว่าเธอชื่ออะไร” ฉู่เฉินถาม“เรียกข้าว่า 'ผีกระหายเลือด' ก็ได้ ข้า
วิญญาณแบบเธอ ไม่ได้สร้างบุญบารมาแม้แต่น้อย แต่ก็ได้รับสถานที่หลบภัยซึ่งถือได้เป็นพรจากสวรรค์อะไรที่ทำให้สมควรได้รับสิ่งนี้ตัวเธอรู้สึกซาบซึ้งและสงสัย ดังนั้นเธองติดตามคนใจดีคนนี้ในการเดินทางเมื่อได้เห็นสถานที่หลบภัยเช่นนี้ ใขขณะที่ยินดีให้กับตัวเอง ก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะติดตามฉู่เฉิน“ใช่ เธอสามารถอยู่ข้างในได้ ถ้าเธอโอเค พยายามอย่าออกมาทำให้คนอื่นกลัว” ฉู่เฉินตอบ“ขอบคุณ ฉู่เฉิน คุณชายฉู่” ไป๋หรันตอบกลับอย่างเป็นทางการในบางชนเผ่า คนหนุ่มสาวที่มีอำนาจบางอย่างมักถูกเรียกว่า "คุณชาย" เธอคิดว่าการเรียกฉู่เฉินด้วยวิธีที่จะไม่ทำให้ฉู่เฉินขุ่นเคืองใจไป๋หรันครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ“ยังไงก็เถอะ เธอจำเหตุการณ์ในอดีตของเธอได้ชัดเจนไหม? บอกฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้” ฉู่เฉินพูดออกมาเป็นการดีกว่าที่จะไม่เปิดเผยว่าเขาไม่ใช่คนพื้นเมืองของโลกนี้ ระมัดระวังตัวไว้ย่อมดีกว่า“ข้าจำอะไรได้ไม่มาก แต่ก็มีบางอย่าง ถ้าคุณชายฉู่ไม่ว่าอะไร ข้าจะเล่าให้ฟัง” ไป๋หรันตอบ“ได้ บอกฉันมาว่าเธอจำอะไรได้บ้าง และอย่าเรียกฉันว่าคุณชายฉู่อีกต่อไป เรียกฉันว่าพี่ใหญ่ก็ได้”“เข้าใจแล้ว คุณชายฉู่”……จากนั้นคนหนึ
ในขณะที่กำลังมั่นใจตัวเอง ทำไมอีกฝ่ายถึงรู้สึกเหมือนไม่มั่นใจในตัวเขาเลย?ไป๋หรันพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า "ท่านคงมีวิชาที่จัดการกับผีอย่างข้า แต่ไม่สามารถรับมือกับการต่อสู้ผู้คนจริงๆ ได้ใช่ไหม?”ยิ่งไป๋หรันพูดมากเท่าไร เขาก็ยิ่งมีความมั่นใจน้อยลงเท่านั้น มองดูคนทั้งสี่คนที่ประตูเมืองก่อตัวเป็นรูปร่างจาง ๆ และเป็นมุมล้อมรอบพวกเขาฉู่เฉินมองไป๋หรัน“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ดูจากข้างๆ แล้วให้รู้ว่าเจ้านายของเธอแข็งแกร่งแค่ไหน!”ไป๋หรันรู้สึกผิดและไม่พูดอะไร เพียงเตรียมจะหายไปทันทีหากสถานการณ์ไม่เข้าทีเมื่อเห็นเช่นนั้น ฉู่เฉินก็ไม่ได้คิดจะโต้เถียงอีกเขาแตะพื้นเบา ๆ ด้วยปลายเท้า จับดาบดาราเจ็ดแสงแล้วพุ่งออกไปกลางอากาศ เขาถามอย่างสบายๆ : “พวกแกเป็นใคร”ไม่มีคำตอบจากคนที่อยู่อีกฝากถนนพวกเขาเป็นคนที่อาศัยอยู่บนคมดาบบ่อยครั้งที่การประกาศตัวเองอย่างกล้าหาญนั้นไม่มีประโยชน์เลย โดยเฉพาะผู้ที่ชอบตะโกนชื่อกระบวนท่าของตนออกมาก่อนลงมือ นั่นมักจะไม่ใช่นักสู้ที่มากประสบการณ์นักสู้ตัวจริงที่ใช้ชีวิตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจะไม่ค่อยพูดพร่ำทำเพลง เคยเห็นใครพูดคุยกับคนตายบ้างไหม?ฉู่เฉินรู้ว่าไม่สามารถใ
และดาบดาราเจ็ดแสงก็พุ่งตรงไปในทิศทางตรงกันข้ามกับประตูเมือง และปลายดาบก็ทะลุผ่านด้านหลังของร่างหนึ่งใบดาบทะลุออกมาชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงคนทั้งสองตายคาที่ทันทีชายที่แข็งแกร่งที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ภายนอกนั้น ฉู่เฉินเห็นว่าเขาได้พุ่งเข้าไปในเมืองจากประตูเมืองแล้ว ดังนั้นจึงต้องยอมแพ้ และทำได้เพียงแค่ทิ้งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไว้กับตัวอีกฝ่ายเท่านั้นการฆ่าเขาคงไม่ยาก สิ่งสำคัญคือการหาต้นตอว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมจู่ๆ ถึงมีคนกลุ่มหนึ่งซุ่มโจมตีเขาโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนฉู่เฉินคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง อาจจะเกี่ยวข้องกับผลึกประกายศักดิ์สิทธิ์ตัวเขาถูกตามล่าเพราะผลึกประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับมา หรือเป็นเพียงว่ามีคนสัมผัสได้ถึงผลึกประกายศักดิ์สิทธิ์ และกำลังรอเขาโดยไม่รู้ว่าใครเป็นคนครอบครองเอาไว้?เรื่องนี้สร้างความแตกต่างอย่างมากนอกจากนี้ เพื่อให้สามารถซุ่มโจมตีเขาที่ประตูเมืองของเมืองอินทรีย์ทะยานเวหาอย่างเปิดเผยอีก ดูเหมือนว่าคนคนนี้จะมีอิทธิพลในเมืองฉู่เฉินเดินไปยังร่างของผู้ที่ถูกสังหารด้วยดาบดาราเจ็ดแสงและนำดาบกลับมาค้นดูศพและพบสิ่งของมีค่าหลายชิ้นมีคำกล่าวว่าการฆ่าไม่ใช่จุด
พ่อบ้านซวี่แตกต่างจากคนทั่วไป ถือได้ว่าเป็นบุคคลที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะในที่สุดก็สงบสติลงและถาม "คุณชายผู้นี้คือผู้ที่เข้ามาในเมืองอินทรีย์ทะยานเวหาทางประตูหลังหรือเปล่า?"“ใช่ เป็นข้าเอง ไม่ทราบว่าท่านมีเรื่องอะไรเหรอ?” ฉู่เฉินตอบ“คุณชายได้ยินหรือเห็นอะไรที่ประตูหลังบ้างหรือเปล่า?” พ่อบ้านซวี่ยังคงถาม แม้ว่าจะไม่ได้ถามออกไปอย่างตรงๆ“ไม่นะ ตอนที่ข้าเข้ามา ประตูนั้นเงียบมาก ไม่เห็นใครเลย” ฉู่เฉินแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง“โอ้ ฉันเข้าใจแล้ว คุณชายมีธุระอะไรในเมืองอินทรีย์ทะยานเวหา?” เมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวคนนี้ดูเป็นมิตร พ่อบ้านซวี่ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย“ไม่มีอะไรสำคัญ แค่ผ่านไป พื้นที่โดยรอบเป็นป่าและภูเขาทั้งหมด มันยากมากจริงๆ ข้าเลยคิดว่าอาจจะพักอยู่ในเมืองอินทรีย์ทะยานเวหาสักสองสามคืนเพื่อพักผ่อนและฟื้นกำลัง” ฉู่เฉินสร้างข้อแก้ตัวที่ธรรมดาที่สุดพ่อบ้านซวี่ลังเลและในที่สุดก็ตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่เขามองไปที่ชายหนุ่มในชุดเสื้อสีเขียวที่ดูไม่เหมือนคนชั่วร้ายและมีใบหน้าที่ใจดีมาก“ผู้มาเยี่ยมต่างก็เป็นแขก เนื่องจากคุณชายมาจากแดนไกล การพบกันก็ถือเป็นโชคชะตา แล
ประการแรก คนที่ตายไม่ใช่สมาชิกของเผ่า และเพิ่งมาถึงในเมืองประการที่สอง เห็นได้ชัดว่าแม้ฉู่เฉินยังเด็ก แต่ก็ค่อนข้างแข็งแกร่ง ซวี่ฮวงหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น“คิดว่าประมาณเวลาสามถึงห้าวัน” ฉู่เฉินพูดอย่างไม่เป็นทางการ สามถึงห้าวันน่าจะเพียงพอที่จะรู้ว่าทำไมผลึกประกายศักดิ์สิทธิ์จึงดึงดูดความสนใจได้มากขนาดนี้“โอเค เช่นนั้นเจ้าสามารถพักที่บ้านของข้าได้เป็นเวลาห้าวันนี้” ซวี่ฮวงพูดและเรียกพ่อบ้านซวี่ให้พาฉู่เฉินไปที่ลานที่อยู่ห่างไกลทางด้านตะวันออกของจวนเจ้าเมืองแม้ว่าฉู่เฉินจะไม่เต็มใจที่จะอาศัยอยู่ในจวนเจ้าเมืองก็ตาม แต่ก็ไม่สมควรที่จะขัดต่อความต้องการของเจ้าเมืองซวี่ฮวงในเวลานี้การอยู่ที่จวนเจ้าเมืองจะทำให้การสืบสวนเรื่องต่างๆ ไม่สะดวกสำหรับเขามากขึ้นหลังจากนำทางฉู่เฉินแล้ว พ่อบ้านซวี่ที่ระมัดระวังก็รีบไปพบเจ้าเมืองซวี่ฮวงที่จวนทันที“ท่านเจ้าเมือง ทำไมปล่อยให้คนนอกมาพักที่จวนด้วย?” พ่อบ้านซวี่ถาม“ก็ข้าไม่ไว้ใจคนคนนี้ การทำเช่นนี้จะทำให้ข้าสามารถจับตาดูการเคลื่อนไหวของเขาในจวนได้”ซวี่ฮวงพูด เห็นได้ชัดว่าไว้วางใจพ่อบ้านซวี่มากพอที่จะอธิบายเหตุผลโดยไม่ลังเล“แต่สิ่งน
ฝนตกหนักนอกหน้าต่างยังคงเทลงมาอย่างหนัก ฝนตกหนักเช่นนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ก็สามารถเข้าใจได้เมื่อถึงช่วงเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลหูของฉู่เฉินกระตุกเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินเสียงเด็กๆ หัวเราะและเล่นกันข้างนอกลานบ้าน ครู่ต่อมา หลังจากที่เขาจิบเหล้าแล้ว แล้วก็ได้ยินเสียงอันแผ่วเบาและโศกเศร้าของหญิงสาวคนหนึ่งฉู่เฉินไม่สนใจ และเสียงกระแอมไอจากชายชราที่ค่อยๆจางหายไปฉู่เฉินรู้ว่าลานบ้านของเขาอยู่ที่ริมด้านตะวันออกสุด และบริเวณด้านข้างก็เป็นทางตันเขาวางถ้วยลง เทอีกถ้วยแล้วก้าวออกไปข้างนอก ขณะที่เขาเปิดประตู ดูเหมือนว่าฝนทั้งหมดในโลกจะกลายเป็นเลือดชั่วครู่หนึ่ง ในชั่วพริบตา ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ มีเพียงสายฝนที่โปรยลงมารอบๆ ลานบ้าน และไม่มีความผิดปกติใดๆฉู่เฉินนำเก้าอี้ไปที่ประตู นั่งลง และควบคุมรัศมีของเขาให้เพียงพอสำหรับการกันน้ำฝนมีเสียงเคาะประตูมาจากด้านนอกประตูลานเล็กๆฉู่เฉินกำลังจะลุกขึ้นไปเปิดประตูแต่เสียงเคาะประตูก็หยุดลงอย่างกระทันหันพอฉู่เฉินนั่งลงเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งหลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง ฉู่เฉินก็เลือกที่จะเมินเฉยและนั่งจิบเหล้าบนเก้าอี้หลังจาก
คำพูดของไป๋หรันเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ฉู่เฉินหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วชี้ไปที่ประตู เพื่อส่งสัญญาว่าให้ไป๋หรันออกไปได้และไปหาคนอื่นไป๋หรันก็หยุดพล่ามเรื่องไร้สาระของเธอลงในที่สุด ฉู่เฉินก็กลับเข้าไปในห้องและปิดประตูลง เพื่อนอนหลับ ส่วนไป๋หรันใครจะไปสนใจว่าเธออยากนอนหรือไม่นอนหลับจนถึงรุ่งเช้าในตอนเช้า ได้ถูกเสียงพ่อบ้านซวี่เรียกหาจากด้านนอกลานบ้าน โดยบอกว่าท่านเจ้าเมืองเชิญฉู่เฉินไปร่วมรับประทานอาหารเช้า ซึ่งเป็นงานเลี้ยงของครอบครัวของท่านเจ้าเมือง และฉู่เฉินบังเอิญอยู่ที่นี่ จึงได้รับเชิญไปด้วยเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตามฉู่เฉินเก็บห้องให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นจึงเดินตามพ่อบ้านซวี่ไปที่จวนเจ้าเมืองระหว่างทาง ฉู่เฉินถามออกมาว่า “เมื่อคืนนี้ไม่มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นใช่ไหม?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น พ่อบ้านซวี่ก็ลังเลที่จะพูด แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรเลยฉู่เฉินก็เข้าใจทันทีเดินตามพ่อบ้านซวี่ไปที่ห้องจัดเลี้ยงเมื่อวานไม่ได้สนใจอะไรนัก แค่ให้ความสนใจกับเจ้าเมืองซวี่ฮวงเท่านั้นเช้านี้ดูเหมือนว่าจวนของเจ้าเมืองค่อนข้างโอ่อ่า มีสิงโตหินสีขาวตั้งอยู่ทั้งสองด้านและได้แกะส