ขณะที่คำพูดของซุนหย่างซินจบลงซู่จื่อเหยียน และซู่ซานถังต่างก็ช๊อคไปทันที ราวกับว่าพวกเขาถูกสายฟ้าฟาดอย่างรุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งซู่จื่อเหยียน เธอตกใจมากจนหน้าชาไปเลยเธอได้ยินว่าอะไรนะ?เด็กคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่แม้แต่ซุนหย่างซินก็ชื่นชมงั้นเหรอ?เธอกรีดร้องและพูดด้วยความยากลำบาก “เป็นไปได้ยังไง? เป็นไปได้ยังไง หมอเทวดาซุน คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ?”“ถ้าอย่างนั้นคุณก็คิดว่าฉันจำผิดคนแล้ว”ซุนหย่างซิน ยิ้มอย่างเย็นชา และหันศีรษะไปมองฉู่เฉิน ด้วยความชื่นชมอย่างยิ่ง โดยกล่าวว่า "การมาถึงของเทพเจ้าการแพทย์ฉู่ที่ เตอเรินถังของเรา ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันเปล่งประกายสดใสจริงๆ ... ""ผู้เฒ่าซุนเกรงใจ กันเกินไปแล้วน่า" ฉู่เฉินยิ้มจาง ๆ และพูดว่า "วันนี้ฉันมาที่นี่เพื่อเอายาไปให้ผู้เฒ่าฉินน่ะ"“โอเค โอเค ขอเชิญหมอเทวดาฉู่มาทางนี้ด้วย และผมจะจ่ายยาให้คุณเองครับ”ซุนหย่างซินพยักหน้าอย่างตื่นเต้นและพาฉู่เฉินเข้าไปในร้านขายยา ปล่อยให้ซูจื่อเหยียน สองพ่อลูกยืนอยู่กับที่เป็นเวลานานโดยไม่รู้สึกตัวไม่นาน ฉู่เฉินก็หยิบยาที่บรรจุมาแล้วพูดว่า "ขอบคุณผู้เฒ่าซุ
ฉู่เฉินหันหลังกลับและเดินจากไป แล้วเสียงที่เฉยชาก็ดังขึ้นมา: "ผิด มันคือห้าแสนล้านต่างหาก!""อะไรนะ?"ซู่จื่อเหยียนรู้สึกประหลาดใจและคิดว่าเธอได้ยินผิดไป เมื่อเธอฟื้นคืนสติและต้องการจะด่าสาปเขา เธอก็พบว่าร่างของฉู่เฉินได้หายไปแล้วเธออดไม่ได้ที่จะนั่งยองลงไปกับพื้นและร้องไห้ด้วยความสิ้นหวังซู่ชานถังเดินออกไปและปลอบใจ “ลูกสาวที่รัก พ่อรู้ตั้งนานแล้ว…”“คุณหนูซู่ ขอโทษที่ฉันต้องพูดตรงๆ” ซุนหย่างซินที่ติดตามมาพูดอย่างเย็นชาว่า "คุณหยิ่งยโสเกินไป"“ คุณคิดว่าธุรกิจที่ยอดเยี่ยมของตระกูลซู่นั้นมีความสามารถล้นหลามและน่าดึงดูด แต่คุณไม่รู้ว่านี่เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่”“คนอย่างท่านอาจารย์ของฉัน ความมั่งคั่งและอำนาจในโลกก็เหมือนเมฆที่ล่องลอยสำหรับเขา ไม่ต้องพูดถึงว่าคุณเป็นเพียงตระกูลซู่ แม้แต่เจียงหนานทั้งหมดก็ไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย”“คุณใช้วิธีที่ผิดที่สุด ซึ่งไม่ต่างจากการตัดสินให้ทำให้คุณซู่ตาย!”คำพูดที่ไร้ความปรานีของซุนหย่างซินทำลายความภาคภูมิใจภายในของซูจื่อเหยียนไปโดยสิ้นเชิงเธอร้องไห้อย่างขมขื่นและพูดว่า "หมอวิเศษซุน ฉัน... ฉันควรทำอย่างไรดีในตอนนี้? ฉัน... ฉันไม่อยากให้
เมื่อเผชิญหน้ากับการจ้องมองของเธอ ฉู่เฉินเพียงยิ้มบาง ๆ และพูดว่า "คุณหนูฉินมีเพื่อนมากมาย ทำไมคุณถึงยืนกรานที่จะชวนผมเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยล่ะครับ?""ไม่เหมือนกันค่ะ"ฉินปิงเยว่พูดด้วยใบหน้าอันร้อนผ่าว "แม้ว่าฉันจะมีเพื่อนมากมาย แต่ก็มีไม่มากพอที่จะสำคัญเท่าคุณฉู่น่ะค่ะ"“ยิ่งไปกว่านั้น คุณฉู่ยังแสดงความเมตตาต่อตระกูลฉินของฉันอีกด้วย หากคุณสามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของฉันได้ ทั้งคุณปู่และฉันก็จะมีความสุขมากๆเลยค่ะ”“ในเมื่อคุณหนูฉินพูดเช่นนั้นแล้ว ก็ไม่สมควรที่ผมจะปฏิเสธอีกครั้งใช่มั้ยครับ” ฉู่เฉินยิ้มอย่างโง่ๆฉินปิงเยว่ยิ้มหวานขึ้นมาทันทีและพูดว่า "ตกลงค่ะ เมื่อถึงเวลานั้นแล้วฉันจะมารับคุณนะคะ"ท้องฟ้าค่อยๆมืดลงทันทีที่ฉู่เฉินกลับไปที่บ้านตระกูลถัง เขาพบว่าหวังซวี่กำลังถ่มน้ำลายและพูดอะไรบางอย่างซึ่งทำให้เหอหลาน, ถังรั่วเวย และคนอื่น ๆ อึ้งกันไปหมดถังไห่ซานเห็นเขา ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า "เสี่ยวฉู่ คุณมาได้ทันเวลาพอดี เสี่ยวหวังและรั่วเวย กำลังจะไปงานปาร์ตี้คืนนี้ แล้วทำไมคุณไม่กับพวกเขาล่ะ?"“ปาร์ตี้อะไรครับ?” ฉู่เฉินถามถังไห่ซานกล่าว "นี่เป็นการฉลองวันเกิดสำหร
กว่าสิบนาทีต่อมา อาคารย้อนยุคซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองหนานเจียง นั่นก็คือวังสีขาวในขณะนี้ ทางเข้าวังสีขาวเต็มไปด้วยรถหรูทุกประเภท แต่ทว่าเบนซ์เมอร์ซิเดียสและบีเอ็มนั้นกลับไม่โดดเด่นเลยในสถานที่แห่งนี้ เพราะข้างหน้ามีทั้งแลมโบกินี, เบนท์ลีย์ และแม้แต่โรลส์รอยซ์ในฐานะลูกสาวคนโตของตระกูลฉินที่ร่ำรวย งานวันเกิดของฉินปิงเยว่ดึงดูดผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนจากชนชั้นสูงของในหนานเจียง“คุณฉู่ พวกเรามาถึงกันแล้วค่ะ”หลังจากที่ฉินปิงเยว่จอดรถเสร็จแล้ว เธอจึงลงไปเปิดประตูรถให้ฉู่เฉินเป็นการส่วนตัวในขณะนี้มีรถมาเซราติจอดอยู่ข้างๆ คนทั้งสองคน และผู้หญิงทั้งสองก็เดินออกจากรถฉินปิงเยว่เข้าไปกอดผู้หญิงคนหนึ่งทันทีและพูดว่า "ชิงเสว่ ฉันคิดว่าเธอจะไม่มาซะแล้ว"“ในฐานะเพื่อนรักของเธอ ฉันจะพลาดวันเกิดของเธอได้ยังไงกัน” หนิงชิงเสว่ยิ้มอย่างไม่พอใจครู่ต่อมา เธอก็จ้องมองไปที่ฉู่เฉิน และใบหน้าของเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นวาบ: “นั่นคุณเหรอ?”พานอวิ๋น เลขาที่อยู่ข้างๆ เธอก็มองดูฉู่เฉินด้วยสีหน้ารังเกียจคิ้วของฉู่เฉินอดไม่ได้ที่จะขมวด เขาไม่คาดคิดว่าจะได้พบคนสองคนนี้ในงานปาร์ตี้“ชิงเสว่ ฉันขอแนะนำใ
ฉู่เฉินหันหน้าไปและเห็นร่างที่คุ้นเคยหลายคนเดินมาหาเขาพวกเขาคือหวังซวี่ ถังรั่วเวยและคนอื่นๆถังรั่วเวยมองเขาด้วยความประหลาดใจแล้วพูดว่า "คุณมาที่นี่ได้ยังไง?"“รั่วเวย มันยังจำเป็นที่จะต้องถามอีกเหรอครับ?” หวังซวี่ก้าวไปข้างหน้าและมองดูฉู่เฉินอย่างเหยียดหยาม “คงเป็นเพราะไอ้หนูคนนี้ที่ไม่ยอมแพ้ และแอบตามเรามาน่ะสิ”เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ แววตาของรั่วเวยก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาและเธอก็พูดด้วยความรังเกียจอย่างมากว่า "ฉู่เฉิน คุณหยุดรบกวนฉันเหมือนเห็บหมัดบนตัวสุนัขซักทีจะได้ไหม? คุณรู้ไหมว่าพฤติกรรมของคุณทำให้ฉันรู้สึกรังเกียจคุรมากขึ้นแค่ไหน?"“ผมไม่ได้ตามพวกคุณมาซักหน่อย”ฉู่เฉินกล่าวด้วยสีหน้าไม่แยแส “อันที่จริง ผมไม่รู้ว่างานปาร์ตี้ที่พวกนายจะมานั้นเป็นงานวันเกิดเพื่อนของผม ไม่อย่างนั้นผมก็คงไม่มา”"เพื่อนของคุณ?" กัวรุ่ยที่อยู่ด้านหลังหวังซวี่อดไม่ได้ที่จะถาม "นายบอกฉันได้ไหมว่าเพื่อนของนายคือใคร?""ฉินปิงเยว่!" ฉู่เฉินพูดเรียบเรียบทันทีที่คำพูดออกไป ทั้งกลุ่มก็เงียบลงทันทีหวังซวี่ซึ่งเป็นคนแรกที่โต้ตอบ พร้อมหัวเราะทันทีและพูดว่า "ฉันได้ยินถูกหรือเปล่า คุณหนูฉินคือเพื่อนของ
“นายน้อยหวัง เขาเป็นกันเหรอใครคะ?” เฉินย่ามองไปที่ฉีเฟิงที่กำลังเดินเข้ามาด้วยความสงสัย“แม้แต่เขา คุณก็ไม่รู้จัก?”หวังซวี่พุดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เขาคือฉีเฟิง เขาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลฉีในตระกูลที่ร่ำรวยหนานเจียง เขาเป็นทายาทที่แท้จริงของตระกูลที่ร่ำรวย และไม่มีใครกล้ายั่วยุเขา! "พวกเขาทั้งสามสูดลมหายใจเข้าลึกทันทีกัวรุ่ยอุทานด้วยความประหลาดใจ "ดูสิ ดูเหมือนเขาจะเดินไปหาไอ้บ้าฉู่เฉิน"ทุกคนรีบมองและเห็นฉีเฟิงเดินไปทางฉู่เฉินแบบสบายๆ “ฉู่เฉินรู้จักฉีเฟิงหรือเปล่า?” สีหน้าของหวังซวี่เปลี่ยนไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสายตาของคนอื่นๆ ในงานก็หันไปมองฉู่เฉินด้วย“หนุ่มคนนั้นคือใคร?”“ไม่รู้สิ ดูเหมือนจะไม่ได้มาจากแวดวงของเรา”“หรือว่านายน้อยฉีรู้จักเขาหรือเปล่า? ไม่น่าจะใช่นะ ดูไอ้หนุ่นนั้นสิเสื้อผ้าทั้งหมดของเขามีมูลค่ารวมกันไม่เกินห้าพันบาท นายน้อยฉีจะไปรู้จักคนแบบนี้ได้ยังไง?”สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ ฉีเฟิงก็เดินมาถึงฉู่เฉิน และพูดว่า "แกคือฉู่เฉิน?"“ฉันเอง มีอะไรเหรอ?” ฉู่เฉินยังคงนั่งนิ่งๆ สีหน้าธรรมดา“ฮึฮึ ให้ฉันแนะนำตัวก่อน ฉันชื่อฉีเฟิง” ฉีเฟิงยิ้มด้วยรอ
ขณะที่ฉีเฟิงพูดจบทันใดนั้นทั้งห้องโถงก็เงียบลง และทุกคนก็รู้สึกหนาวสั่นอย่างรุนแรง“ฮ่าฮ่าฮ่า ฉู่เฉินคนงี่เง่าคนนี้หัวเราะเยาะฉันมามาก ตอนนี้เขากำลังจะได้ตายแล้ว”หวังซวี่ไม่พอใจฉู่เฉินมาโดยตลอด แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกมีความสุขอย่างมากในใจในสายตาของเขา ฉู่เฉินเป็นคนที่กำลังจะตายไปแล้วและเฉินย่ากับกัวรุ่ยมีความคิดแบบเดียวกันกับเขา โดยเฉพาะเฉินย่าที่หันหน้าไปมองถังรั่วเวยและพูดว่า:“รั่วเวย ฉันได้พูดไว้นานแล้วนะ ไอ้คนคนนี้ไม่ได้เป็นแค่คนบ้านนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวปัญหาอีกด้วย ไม่ช้าก็เร็วเขาจะเล่นจนตัวเองตาย ตอนนี้มันกลายเป็นจริงแล้วใช่ไหมเนี่ย?”เมื่อได้ยินเช่นนี้สีหน้าของถังรั่วเวยดูซับซ้อนและหวาดกลัว: "ผู้ชายคนนี้สร้างปัญหามามากเกินไป โชคดีที่ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขา ไม่งั้นฉันเกรงว่าฉันจะโชคร้ายไปด้วยแน่ๆ!"ริมฝีปากของฉีเฟิงยกขึ้นเล็กน้อย และแผ่รังสีอาฆาตพลุ่งพล่านในดวงตาของเขา ขณะที่เขามองไปที่ฉู่เฉิน “ยินดีด้วย แกทำให้ฉันโกรธได้สำเร็จแล้ว” เขาพูด"เมื่ออายุแปดขวบ ฉันถูกส่งไปฝึกกองทัพทหารรับจ้างในต่างประเทศ เมื่ออายุได้สิบห้าปี ฉันเอาชนะกองทัพทหารรับจ้างที่ว่ากันว่าอยู
คนที่ตกตะลึงที่สุดคือถังรั่วเวย เพราะเธออดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นมา และพบว่าฉีเฟีงดูเหมือนจะถูกฉู่เฉิน……ตบจนปลิวกระเด็นออกไปการตบเพียงครั้งเดียวสามารถทำให้คนๆ หนึ่งบินไปไกลกว่าสิบเมตรได้เลยหรอ? นี่มันไม่น่าเชื่อเกินไปแล้วเธอมองดูใบหน้าที่น่ารังเกียจของฉู่เฉินอีกครั้ง และทันใดนั้นเธอก็ตระหนักได้ว่าเธออาจจะประเมินชายคนนี้ต่ำไปมาโดยตลอดเขาไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปซะทีเดียวสายตาทุกคู่กำลังจับจ้องมามาที่พวกเขา ฉีเฟิงค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้นขณะนี้ เขาเช็ดคราบเลือดออกจากมุมปากของเขาและมองไปที่ฉู่เฉินด้วยสีหน้าขุ่นเคือง: "ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ไอ้ขยะอย่างแก! นี่มันเป็นไปไม่ได้! มันเป็นไปไม่ได้!"“ราชาแห่งทหารรับจ้าง?” ฉู่เฉินหัวเราะอย่างสนุกสนานและพูดคำแทงใจดำอีกฝ่าย “แล้วไง แต่ก็ยังสู้ไม่ได้!”เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ดวงตาของฉีเฟิงก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที รู้สึกเพียงความอัปยศที่พลุ่งพลานอยู่ในใจ“ฉันไม่เชื่อ!”“ฉันไม่เชื่อ!”“ไอ้บ้านี่ ตายซะ!”เขาส่งเสียงคำราม กำหมัดของเขาอีกครั้ง และรีบวิ่งไปหาฉู่เฉินด้วยเจตนาที่จะฆ่าให้ตายฉู่เฉินยังคงนิ่งเฉย ในขณะที่เขาเข้ามาหาตัวเองนั้น เขาก็ทำเพียงแค่เอ
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่