หลังการฉายรอบปฐมทัศน์ ไม่มีรู้ว่าใครเป็นคนเริ่ม แต่จากนั้นทั้งสถานที่ก็ส่งเสียงปรบมือดังกึกก้องหลายคนถึงกับหลั่งน้ำตา จมอยู่กับการถ่ายทอดอารมณ์ของละครและไม่สามารถดึงตัวเองออกมาจากอารมณ์นั้นได้ในทันที“ผู้กำกับเฉินพูดอะไรสักหน่อย”"พูดสักคำสองคำสิ"หลายคนเริ่มส่งเสียงฮือฮาหลังจากที่ละครได้จบเมื่อเห็นภาพตรงหน้านี้ ผู้กำกับเฉินก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน ผู้ชมส่วนใหญ่ประทับใจนั่นหมายความว่าเข้าใกล้คำว่าประสบความสำเร็จแล้วอีกขั้นเขาค่อยๆ เดินไปที่หน้าเวทีผู้กำกับเฉินตั้งสติก่อนที่จะหยิบไมโครโฟนและพูดช้าๆ : "ละครเรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของผมตอนนี้เลยก็ว่าได้ แน่นอนว่ารวมถึงทักษะการแสดงที่ยอดเยี่ยมของนักแสดงและการทุ่มเทของทีมงานเบื้องหลัง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เจอกันสิ้นปีนี้ครับ”ผู้กำกับเฉินพยายามพูดให้สั้นกระชับ และก้าวเท้าลงจากเวที“ผู้กำกับเฉิน ยินดีด้วย! เห็นว่าละครเรื่องนี้ตั้งเป้าจะเข้าชิงรางวัลไก่ทองช่วงสิ้นปีนี้” ผู้กำกับจางมาแสดงความยินดีกับผู้กำกับเฉินด้วยตนเอง“ผู้กำกับจาง ก็ชมฉันเกินไป มันยังไม่แน่นอนเลย ไว้คุยกันทีหลังเถอะ” ผู้กำกับเฉินตอบอย่างสุภาพ
“คุณยังมัวยืนทำอะไรอยู่อีก ตอบตกลงสิ!” หลินอีนัวนั้นใจร้อนมากกว่าฉู่เฉิน"ไม่สนใจ" คำพูดไม่แยแสไม่กี่คำของฉู่เฉิน ทำให้ทุกคนอึ้งอะไรนะ?ผู้กำกับจางออกหน้ามาเชิญชวนด้วยตัวเอง แต่กลับถูกปฏิเสธโอ้ พระโพธิสัตว์โลกนี้มาถึงจุดนี้ได้ยังไงใครมันจะกล้าปฏิเสธหนทางสู่ชื่อเสียงโด่งดังอย่างง่ายดายเช่นนี้?ต้องรู้ว่าการที่มีส่วนร่วมในผลงานของผู้กำกับจางนั้น คือการรับประกันว่าจะต้องมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างแน่นอน“ถามได้ไหมว่าทำไม?” ผู้กำกับจางก็ค่อนข้างประหลาดใจเช่นกัน เพราะเขาก็ไม่ใช่ผู้กำกับที่ไม่มีชื่อเสียง และในขณะเดียวกัน เขาก็รู้ดีว่าคำพูดที่เขาพูดไปนั้นมีน้ำหนักเพียงพอแต่ไม่คาดคิดชายหนุ่มตรงหน้า กลับปฏิเสธเขาอย่างไม่ลังเลอะไร“เพราะฉันไม่อยากเห็นหน้าเขาและเธอ!” ฉู่เฉินชี้ไปที่หลินลี่ชงและหยางซือเจิ้นตามลำดับเดิมทีหยางซือเจิ้นกำลังการดูละครดีๆ อยู่ด้านข้างทันใดนั้นก็พบว่าฉู่เฉินชี้นิ้วไปที่ตัวเองทันใดนั้นก็มีเรื่องผุดขึ้นมาในหัวของเธอ สมองกระทบกระเทือนเหรอแกคิดว่าผู้กำกับจางเป็นใคร? เชื่อจริงๆ หรือว่าแกสามารถบีบบังคับผู้กำกับจางได้ แกคิดว่าตัวเองเป็นใครนอกจากนี้ ตัว
“บอกฉันได้ไหมว่าทำไมคุณถึงตัดสินใจอย่างนั้น” ฉู่เฉินไม่ได้ตอบตกลงในทันที แต่กลับถามคำถามแทนหลังจากการแสดงแล้ว ผู้กำกับระดับแนวหน้าของวงการก็เต็มใจที่จะละทิ้งเงินลงทุน และยังยื่นข้อเสนอที่เขาต้องการ เพียงเพื่อให้เขาร่วมแสดงภาพยนตร์ด้วยฉู่เฉินไม่เชื่อว่าจะไม่มีเรื่องตื้นลึกหนาบาง “มาคุยกันเป็นการส่วนตัวได้ไหม?” ผู้กำกับจางมองไปรอบๆ ก่อนที่จะดึงฉู่เฉินออกไปห่างจากผู้คน"คุณฉู่ ภาพยนตร์เรื่องต่อไปที่ฉันกำลังสร้างคือคนแปลกหน้า ““แล้วไงล่ะ?”“ฉันรู้ว่าคุณเป็นคนแปลก!” ผู้กำกับจางพูดอย่างมั่นใจตอนนี้ถึงคราวของฉู่เฉินที่ต้องประหลาดใจคนแปลก ที่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไปถูกจับได้แล้วเหรอ?“นั่นคือเหตุผลที่แท้จริงของฉัน คุณไม่กังวลเหรอว่าสิ่งที่คนธรรมดาไม่ควรเห็นจะถูกนำมาฉายบนจอ”ฉู่เฉินถาม“ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น แม้ว่าคุณจะแสดงความสามารถพิเศษบนหน้าจอ ผู้ชมก็จะคิดว่ามันเป็นเอฟเฟกต์พิเศษ ที่จริงแล้วความสมจริงต่างหากที่จะทำให้คนดูหลงใหลมากยิ่งขึ้น” ผู้กำกับจางพูดอย่างมั่นใจ เหมือนว่าได้จินตนาการไปถึงความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว“ฉันจะลองคิดดู!”ฉู่เฉินยังไม่
ชายชราพูดพร้อมกับเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน“น่าเสียดาย เจ้าหนู แกโชคร้ายแล้วที่เจอฉัน!”ชายชราพูดจบ แล้วโบกมือฝ่ามือนั้นไม่มีเรี่ยวแรง ราวกับว่าเป็นเพียงฝ่ามือธรรมดาฝ่ามือซึ่งดูเหมือนจะไม่มีลมปราณที่แท้จริง แต่จากการรับรู้ของฉู่เฉิน ลมปราณที่แท้จริงถูกขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดฟุ้งกระจายครอบลุมไปทั้งโลก“อา! จงแหลกสลายไปซะ!”ฉู่เฉินเรียกลมปราณทั้งหมดออกมา การฝึกฝนระดับเก้าของปรมาจารย์ได้รับการปลดปล่อยอย่างเต็มที่ และในที่สุดก็หลุดพ้นจากพื้นที่ที่แข็งตัว กระบวนท่านี้ทำให้ร่างกายชุ่มเหงื่อเปียกโชกไปทั้งตัวชายชราคนนี้คือใครกันแน่ จะน่ากลัวขนาดนี้ได้ยังไง? เพียงแค่ฉาบเดียวก็ถูกปราบปรามอย่างน่าเวทนาไม่มีเวลาคิดมากนัก ฉู่เฉินจึงใช้ลมปราณที่แท้จริงทั้งหมดและตบเขาไปในทิศทางเดียวกัน"ปั้ง!"พร้อมเสียงดังปั้ง หูของฉู่เฉินดังหึ่งไม่หยุด เมื่อพลังจากฝ่ามือของเขาสลายและหายไป ฉู่เฉินก็ถอยหลังกลับไป 9 เมตรและปากของเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกคาวจากเลือดตัวเองได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีครั้งเดียวนับตั้งแต่ลงมาจากภูเขา นี่เป็นครั้งแรกที่ฉู่เฉินเป็นฝ่ายเสียเปรียบจากการสู้ตัวต่อตัว เข
“คุณเป็นใคร แล้วที่นี่มันคือที่ไหนกัน?” ฉู่เฉินมองไปรอบๆ ไม่เห็นมีคน นอกจากได้ยินเสียงคนเท่านั้นอาการบาดเจ็บของเขาหายไป ราวกับว่าการปะทะกับนักฆ่าจากวิหารวรยุทธก่อนหน้านั้น เป็นเพียงภาพลวงตา“แค่ที่นี่คือที่ไหนแม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ แถมยังคงถูกขังอยู่ที่นี่ ช่างน่าสมเพชจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่แกอ่อนแอขนาดนี้” เสียงนั้นยังคงเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามการฝึกฝนระดับปรมาจารย์ระดับเก้าถูกเรียกว่าอ่อนแอ - หากพูดสิ่งนี้ออกไปข้างนอก มันคงทำให้หลายคนตกตะลึง“ใต้เท้า ไม่ว่าการฝึกฝนของคุณจะล้ำลึกมากแค่ไหน ถ้ายังคงดูถูกฉันอย่างนี้อยู่ ก็อย่าตำหนิฉันหยาบคาย!” ปกติฉู่เฉินจะไม่โต้ตอบ แต่กลับรู้สึกโกรธจนควันออกหูจากการถูกเย้ยหยัน“โอ้ ไก่อ่อนนี่อารมณ์ร้อนใช้ได้เลย!”เมื่อเสียงแผ่วลง ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากพื้นผิวกระจก ชายร่างกำยำมีหนวดเคราปกคลุมไปทั่วทั้งตัวปรากฏตัวต่อหน้าฉู่เฉิน ร่างกายปกคลุมไปด้วยหนังสัตว์ดึกดำบรรพ์“ไอ้หนู แกเป็นคนแรกที่มาเยือนที่นี่ในรอบหลายปี ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันขอจัดการแกก่อนล่ะ!” ชายร่างกำยำเหวี่ยงหมัดทันทีที่ปรากฏตัวพลังมหาศาลพุ่งเข้าหาฉู่เฉิน ความกดดันอันล้นหลามที่ด
จวินหวู่หมิงก็รู้สึกว่าโอกาสมาถึงแล้วเพียงแค่ต้องหลุดพ้นจากวังวนนี้ และด้วยความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้ ก็จะสามารถพิชิตต้าเซี่ยทั้งหมดได้อย่างแน่นอน“ไอ้หนู ฉันจะบอกให้นายรู้ก็ได้ว่านี่คือเมืองลับแลมังกร ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าในโลกยุทธภพ การฝึกที่นี่มีประสิทธิภาพมากกว่าภายนอกอย่างน้อยสองเท่า และยิ่งไปไต่ระดับไปสูงมากเท่าไร พลังจิตวิญญาณก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น เอางี้นะ ฉันจะให้นายครอบครองดินแดนนี้ ข้อแลกเปลี่ยนเดียวคือให้นายปล่อยฉันออกไป มันง่ายมาก ลองนึกดูสิ” จวินหวู่หมิงพูดราวกับว่าเขากำลังเสนอข้อต่อรองดีๆนี่เองไม่รู้สึกเลยสักนิดเมื่อจี้มังกรหยกรวมเป็นหนึ่งกับร่างกายแล้ว ภาพนิมิตรก็มาปรากฏขึ้นในจิตใจของฉู่เฉินในความว่างเปล่า มีเงามังกรอันงดงามลอยอยู่ และข้างใต้เงาก็มีพื้นที่เล็กๆ นับไม่ถ้วน ทั้งหมดนี้เบียดแน่นกันเหมือนรังผึ้ง และตอนนี้พื้นที่ที่พวกเขาครอบครองนั้นเล็กที่สุดและยังเป็นพื้นที่เดียวที่ฉู่เฉินสามารถมองเห็นได้ชัดเจนภายในพื้นที่นี้ มีร่างสองร่างปรากฎอยู่ ร่างหนึ่งคือตัวเองและอีกร่างคือจวินหวู่หมิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามในสายตาของฉู่เฉิน พื้นที่อื่นๆ เป็นเหมือนกระจ
ฉู่เฉินก็รับรู้ได้ว่าถึงเวลาที่ต้องออกไปข้างนอกแล้วจิตนการอยู่สักครู่ ฉู่เฉินก็พบว่าตัวเองมาอยู่ที่บนถนนร้าง โชคดีที่เป็นเวลากลางดึก จึงไม่มีใครอยู่ที่ ไม่อย่างนั้นถ้าคนทั่วไปมาเห็นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเขา อาจคิดว่าเห็นผีเป็นแน่“เมืองลับแลมังกร…”ฉู่เฉินก้มศีรษะลงและมองดูจี้มังกรหยกมรดกตกทอดประจำตระกูลบนหน้าอก แล้วพึมพำ: “ฉู่เซินที่ผู้อาวุโสพูดถึงนั้นใช่พ่อหรือเปล่า…..”ตอนนี้เขารู้แล้วว่า เหตุผลที่คนพวกนั้นต้องการฆ่าเขาในปีนั้น อาจเป็นเพราะจี้มังกรหยกมังกรนี้ไม่รู้ว่าตอนนี้หลินอีนัวเป็นยังไงบ้างฉู่เฉินกังวลว่าคนจากวิหารวรยุทธจะไม่สามารถหาเขาเจอ และไปสร้างปัญหาให้กับคนรอบข้างเขา ไม่สนใจโลกที่กำลังวุ่นวายและบินพุ่งขึ้นไปยังระแวกบ้านของหลินอีนัวตามที่คาดไว้ เมื่อมาถึงบ้านของหลินอีนัวก็พบว่าเธอไม่ได้อยู่ที่บ้านดึกดื่นขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่ได้อยู่บ้านจะไปอยู่ที่ไหนได้อีก?ฉู่เฉินคิดในใจว่านี่ท่าจะไม่ดีแล้วรีบพุ่งมุ่งหน้าไปยังตระกูลนักรบโบราณฮวาในจินหลิง ถ้าคนจากวิหารวรยุทธไม่ได้อยู่ที่นั้น ฉู่เฉินก็นึกที่อื่นไม่ออกอีกแล้วหลังจากบินมาด้วยความเร็ว ฉู่เฉินก็มาถึงทางเข้าข
ฮวาเยว่หยิงรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเข้า แต่ก็เยาะเย้ยถากถาง: "ผู้นำสมาคมการต่อสู้อะไร ก็แค่หมาขี้เรื้อนเท่านั้นแหละ!"เมื่อรู้สึกถึงว่าการเหยียดหยาม หยานกวงหมิงก็ขึ้นเสียง“แกรู้ไหมว่าวิหารยุทธมีสถานะแบบไหน? ผู้คนมากมายยอมเสียสละทุกอย่างที่มีเพื่อวิหารยุทธแต่ก็ไม่มีโอกาส แกมันก็แค่ตระกูลฮวากระจอกๆ ช่างมันเถอะ ฉันขี้เกียจเกินกว่าจะคุยกับแกแล้ว เพราะหลังจากวันนี้แกก็จะเป็นแค่เศษกระดูกในโกศ”ฮวาเยว่หยิงท้าทายอย่างไม่เกรงกลัว: "แม้ว่าฉันจะตาย ตัวแกก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉันหรอก แกยังจับเพื่อนของปรมาจารย์ฉู่ด้วย อีกไม่นานปรมจารย์ฉู่จะมาเคาะประตูบ้านแก แล้วคอยดูว่าแกจะจัดการกับมันได้ยังไง"หยานกวงหมิงเหมือนได้ยินเรื่องตลกเข้า จึงหัวเราะออกมาทันที“ปรมาจารย์ฉู่? ฮ่าๆ แกคิดว่าทำไมถึงยังเก็บแกไว้จนวันนี้? นี่เป็นเพียงเพื่อล่อสัตว์ร้ายออกมาอย่างนั้นเหรอ ตราบใดที่สัตว์ร้ายตัวกล้าโผล่หน้าออกมาแล้ว ผู้อาวุโสของวิหารยุทธจะฆ่ามันทันทีและล้างแค้นให้ผู้นำซุน!”“ปรมาจารย์ฉู่ นั่นคือปรมาจารย์ฉู่จากหนานเจียงใช่ไหม?”ภายในคุกใต้ดิน จู่ๆ ก็มีผู้หญิงในชุดขาวพูดออกมาเมื่อได้ยินแบบนั้น หยานกวงหมิงก็หยุดชั่
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่