ต้วนอี้หวู่ตัดสินใจทำเรื่องที่ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจ จู่ๆ ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเคลื่อนไหว จากนั้น จึงหลังกลับเพื่อวิ่งหนีออกไปจากสนามประลอง“ต้วนอี้หวู่ นาย!“ ชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธมาก เมื่อเห็นต้วนอี้หวู่ทิ้งตัวเองและวิ่งหนีไปคนเดียว แต่เธอมีเวลาพูดเพียงคำเดียว เพราะการโจมตีของฉู่เฉินใกล้เข้ามาถึงแล้ว เธอใช้หมัดตอบโต้กรงเล็บมังกรทั้งสองข้างของฉู่เฉิน พร้อมกับคิดว่าคงไม่มีวิธีไหนดีไปกว่านี้แล้วทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าเจ้าของกรงเล็บมังกรอย่าง ฉู่เฉินกำลังยิ้มให้ตัวเอง ราวกับว่ากำลังมองดูศพชิงหลิงรีบร้อนและต้องการหลบหนีอย่างรวดเร็ว จึงถอยหลังไปยังพื้นที่ปลอดภัยเห็นเพียงกรงเล็บมังกรทั้งสองข้างของฉู่เฉินจับมือทั้งสองข้างของตนเองเอาไว้ ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของฉู่เฉินที่พุ่งออกมา กรงเล็บได้เจาะลึกเข้าไปในเนื้อที่หลังมือของเธอ และจากการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จากนั้นฉู่เฉินก็เตะขาเหวี่ยงออกไป ชิงหลิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับการโจมตีของขาข้างนี้ ทำให้เกิดเสียงกระแทกดังสนั่นลัง ซึ่งขาของเธอทั้งสองข้างหักทันทีและจากกรงเล็บของเขาที่ยังคงจับมือของเธออยู่ ฉู่เฉินก็เตะอย่างรุนแรงอีกครั้
จากการโบกฝ่ามือ ร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาที่สนามประลองอย่างกะทันหัน และสกัดฝ่ามือที่กำลังจะทำลายวรยุทธของชิงหลิงจากนั้นแสงกับเงาสลายหายไป ปรากฏร่างหนึ่งขึ้นในสนาม ซึ่งเป็นผู้อาวุโสแห่งนิกายแห่งความว่างเปล่าที่เจอกันมาก่อน“ฉู่เฉิน พอแล้ว การต่อสู้จบลงแล้ว ตำแหน่งนี้เป็นของนาย” ผู้อาวุโสปัดฝ่ามือของฉู่เฉินออกไป และพูดตัดบท“คารวะผู้อาวุโสของนิกายแห่งความว่างเปล่า แต่คนในสนามประลองเป็นผู้มีสิทธิ์ชี้ขาด พวกเขาทั้งสองคนยังไม่เอ่ยปากยอมแพ้เลยนะ”เห็นได้ชัดว่าฉู่เฉินไม่ต้องการปล่อยไปทั้ง ๆ แบบนี้ และเมื่อเขาเห็นผู้อาวุโสของนิกายแห่งความว่างเปล่าปราฏกตัวออกมา เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีอ่อนแอ เห็นอยู่ว่า พวกเขาทั้งสองคนหายใจพะงาบ ๆ แค่หายใจยังจะยากเลย แล้วจะพวกเขาจะยังยอมรับความพ่ายแพ้ได้อย่างไรต้วนอี้หวู่โดนจัดการจนเป็นผักไปแล้ว แต่ชิงหลิงยังพอรักษาได้ ตราบใดที่เธอรักษาอาการบาดเจ็บและดูแลตัวเองให้ดี เธอก็ยังคงเป็นอัจฉริยะของนิกายแห่งความว่างเปล่า ซึ่งแน่นอนว่าต้องปกป้องเอาไว้ฉู่เฉินเห็นว่า ผู้อาวุโสของนิกายแห่งความว่างเปล่าไม่ตอบอะไรกลับ ดังนั้นเขาจึงรีบยื่นมือไปหาชิงหลิงที่นอนอยู่บนขอบลานปร
“สมกับที่เป็นฉู่เฉินจริง ๆ ฉันประเมินแกต่ำไป แกชอบท้าทายคนอื่นมากนักใช่ไหม งั้นขอดูให้ชัด ๆ ว่าแกแข็งแกร่งแค่ไหน"ผู้อาวุโสของนิกายแห่งความว่างเปล่าโกรธมากกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น จึงเพิกเฉยต่อกฎของสนามประลอง และพยายามยึดสนามประลองนิกายแห่งความว่างเปล่าคืนมาเอง“อะไรนะ ผู้อาวุโสนิกายแห่งความว่างเปล่ากำลังจะลงมือ งั้นฉู่เฉินก็น่าสงสารเกินไปแล้ว”ผู้ชมรอบสนามประลองอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เมื่อรู้ว่าผู้อาวุโสกำลังจะลงมือนี่ไม่ใช่เรื่องของความแข็งแกร่ง แต่เป็นเรื่องของฐานะของผู้อาวุโสนิกายแห่งความว่างเปล่าที่ฝังรากลึกอยู่ในใจของผู้คนทุกคนรู้ว่าการจะขึ้นเป็นผู้อาวุโสของนิกายได้นั้น ต้องเป็นอัจฉริยะของนิกายมาตั้งแต่ยังเด็ก“ฉู่เฉิน แกมีคำพูดสั่งเสียที่จะพูดไหม? ” ผู้อาวุโสซ่งตัดสินใจลงมือ และก่อนจะลงมือ ก็ได้ถามคำถามออกมาอย่างส่ง ๆเห็นได้ชัดว่าในขณะนี้ ซ่งชางเหลายังคงเชื่อว่าสามารถจับฉู่เฉินได้อย่างง่ายดาย และไม่ต้องการจะจับเป็นต้องการฆ่าเท่านั้น“ผู้อาวุโสซ่งมีความมั่นใจมาก ฉันต้องขอชื่นชม”หลังจากที่ฉู่เฉินพูดจบ ก็ได้กางอาณาเขตของตัวเอง และช่วงชิงกับอาณาเขตของผู้อาวุโสซ่ง เพื่อแย่
"จะเอาชนะได้หรือไม่แล้วยังไง ฉันคิดว่าฉู่เฉินอาจจะเอาชนะผู้อาวุโสซ่งได้! แม้ว่าเขาจะเป็นผู้อาวุโส แต่ส่วนใหญ่ก็อยู่แค่จุดสูงสุดของจอมยุทธเท่านั้นเอง ส่วนฉู่เฉินนั้น เขาน่าจะเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ชั้นนำในยุคแล้วนะ!"บางคนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน“เป็นไปได้อย่างไร ฉู่เฉินยังเด็กมาก เป็นไปไม่ได้ ยังไงก็เป็นไปไม่ได้”ยังมีบางคนที่สนับสนุนนิกายแห่งความว่างเปล่าอยู่ จึงไม่สามารถยอมรับความคิดที่แตกต่างได้“แม้ว่าจะเอาชนะผู้อาวุโสซ่งไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็อยู่ในระดับเดียวกับผู้อาวุโสซ่ง” คนคนนี้ยึดมั่นในความเชื่อของตัวเองอย่างไม่หวั่นไหว"โลกยุทธภพกำลังจะเปลี่ยนแปลง และการเติบโตของฉู่เฉินนั้นไม่อาจหยุดยั้งได้"บางคนก็ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแล้วไม่ต้องพูดถึงวิพากษ์วิจารณ์อย่างถึงพริกถึงขิงในหมู่ผู้ชม ฉู่เฉินมองการเคลื่อนไหวนับร้อยครั้งเกิดขึ้นและทั้งสองก็เข้าสู่ทางตันคิดว่าจะใช้อาณาเขตที่สาม เพื่อยุติการต่อสู้ดีหรือไม่เมื่อกี้นี้ ตัวเขาได้ใส่อาณาเขตเพชฌฆาตกับอาณาเขตแมกม่าเข้าด้วยเพื่อเพิ่มพลังโจมตีแล้ว แม้ว่าผู้อาวุโสเย่จะเน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาไม่สามารถเปิดเผยความลับออกมามากเกินไป
ผู้อาวุโสซ่งเห็นหลี่ซ่างขวางทางเขาเอาไว้ จึงพูดพร้อมกับโยนหมวกใบใหญ่ทิ้ง“ตาแก่สวี่พูดแล้วกัน ฉันจะจัดการกับฉู่เฉินเอง" หลี่ซ่างไม่สนใจผู้อาวุโสซ่งจากนิกายแห่งความว่างเปล่าเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ซ่าง ชายชราก็เหลือบมองฉู่เฉินและบินไปหาผู้อาวุโสซ่ง ซึ่งทั้งสองคนได้คุยกันเป็นการส่วนตัว"ไอ้เด็กเวร นายนี่มันเอาแต่ก่อปัญหาจริง ๆ ช่วยทำให้ชายชราคนนี้สงบสติอารมณ์บ้างไม่ได้หรือไง” หลี่ซ่างหัวเราะและดุฉู่เฉิน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ตำหนิเขาจริง ๆ“เอาล่ะ บอกฉันมาว่าเกิดอะไรขึ้น นายไปต่อสู้กับตาเฒ่านั่นได้ยังไง”“ไม่มีอะไรมาก แค่พวกเขานิกายแห่งความว่างเปล่ามาที่สนามประลองโถงสมุนไพร เพื่อสร้างความวุ่นวายก่อน ฉันมาแก้แค้นแต่ผู้ปกป้องตำแหน่งบางคนไม่สามารถสู้ได้ และฉันก็จัดการพวกเขาได้อย่าง่ายดาย แต่เมื่อเอาชนะพวกเขาได้ ผู้อาวุโสไม่ยอมรับในความพ่ายแพ้ จึงลงมือ “ฉู่เฉินอธิบายเรื่องราวทั้งหมด”“อืม เข้าใจแล้ว โอเค เข้าใจแล้ว อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ ปล่อยให้ฉันจัดการส่วนที่เหลือเอง”หลังจากฟังแล้ว หลี่ซ่างก็รู้สึกพอใจ ความจริงที่ว่าโถงสมุนไพรสามารถเชิดหน้าชูตาได้ ทำให้เขามีความสุขอย่างปฏิเสธไม่ได้
“อืม เข้าใจแล้วผู้อาวุโส”ฉู่เฉินรู้ว่าคนแก่พวกนี้ไม่ธรรมดา แต่ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ยั่วยุเขาต่อไป เขาก็จะไม่ถือโทษโกรธ ถ้าอีกฝ่ายยังต้องการยั่วยุเขาอีก ก็เจอดีกันอีกสักตั้ง เพราะยังไง เขาก็ใช้พลังไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น“ใช่แล้ว ผู้อาวุโส ที่นี่ยกหน้าที่ให้ผู้อาวุโสจัดการแล้วกัน ไปดูคุณหนูหลี่ชิงกับคนอื่น ๆ ก่อน”เดิมที ฉู่เฉินวางแผนที่จะหน้าที่ให้ทหารซวนหวู่ แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์แล้ว ด้วยพละกำลังของจางเทา ถึงจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าร่วมแข่งขันในระดับนี้ได้การให้มอบเรื่องให้นี้ให้เขาจัดการ ก็มีแต่จะทำร้ายเขา ดังนั้นให้หลี่ซ่างจัดการเรื่องนี้จะดีกว่า“โอเค ไม่มีปัญหา งั้นฉันไปล่ะ”หลี่ซ่างตอบขณะที่กำลังจะจากไป ก็หยุดชะงักเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วพูดว่า“เอาล่ะ ใครที่กำลังดูอยู่ตอนนี้ แยกย้ายกันได้แล้ว ส่วนตาแก่สองคนนั่น อย่ามัวแต่แอบดู ชายชราคนนี้จะ”หลังจากพูดจบ หลี่ซ่างก็หายตัวไปฉู่เฉินรู้สึกสับสนเล็กตาแก่สองคนเหรอ? ยังมีใครเฝ้าดูพวกเขาอยู่เหรอ? อย่างเพิ่งไปสนใจเลย ตัวเองควรถอนตัวไปก่อนเพราะไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็เปิดเผยความแข็งแกร่งบางส่วนออกมาแล้ว จ
ได้ยินว่าฉู่เฉินไม่ได้มีเจนตนามาที่นี่เพื่อท้าดวล ความหวาดกลัวในหัวใจของซ่งจื่อหมิงก็คลายลงไม่อย่างนั้น เขาคงไม่สามารถออกจากสนามประลองแบบครบสามสิบสอง เช่นเดียวกับเมื่อวานนี้ไม่ว่าฉู่เฉินจะไปที่ไหน ก็ถูกสายตาของคนรอบข้างจับตาทุกฝีก้าว นั่นทำให้ฉู่เฉินรู้สึกไม่สบายใจ และจึงตัดสินใจที่โถงสมุนไพรก่อนภายในโถงสมุนไพร หลังจากรู้ว่าพี่เจ็ดกับพี่สามอยู่ที่นี่ เย่ชิงชานก็ย้ายเข้าไปในกระท่อมเช่นกัน และหลี่ซ่างไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้เมื่อก้าวเข้าไปในโถงสมุนไพรด้วยเท้าหน้า ก็ชนเข้าคนสามคนที่เดินออกมาจากข้างใน จากนั้นจึงถามออกมา ถึงรู้ว่า พวกเธอทั้งสามคนกำลังวางแผนที่จะเที่ยวเล่นรอบ ๆ เมืองหลวงในวันนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉียวหานอวี้ พี่สาม ซึ่งต้องการเล่นบทบาทเจ้าบ้านผู้ใจดี และพาหนิงชิงเสว่กับเย่ชิงชานเที่ยวชมเมืองหลวงเมื่อเห็นฉู่เฉิน ก็ทำให้ประหลาดใจ“เสี่ยวซือโถวนี่ยุ่งตลอดเวลา ทำไมวันนี้ถึงมาโผล่ที่นี่ได้”เฉียวหานอวี้พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อยฉู่เฉินรู้ว่า ตัวเองเป็นกังวลเกี่ยวกับการต่อสู้ในช่วงนี้ และละเลยพี่สาวทั้งหลายเขาอดไม่ได้ที่จะพูดขอโทษ"พี่ ๆ อย่าล้อเลียนฉันเลยนะ วั
ก่อนจะถึงประตู ผู้หญิงคนหนึ่งที่ค่อนข้างใจกว้างเดินออกมาและเดินเข้ามาหาพวกเขาทั้งสี่คน“สวัสดีค่ะ พวกคุณทั้งสี่คนได้จองไหมคะ?”น้ำเสียงของผู้หญิงคนนี้แสดงถึงความเหย่อหยิ่ง“พวกเราช้อปปิ้งกันจนเหนื่อย เลยอยากจะมาทานอาหารที่นี่ จำเป็นต้องจองล่วงหน้าด้วยเหรอ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉียวหานอวี้ก็เขินอาย ไม่เคยคาดคิดว่า แค่จะไปร้านอาหารเพื่อนกินข้าว กลับต้องจองล่วงหน้า“พวกคุณทั้งสี่คนคิดร้านแฮมเบอร์เกอร์กับเฟรนฟรายคืออะไร ร้านอาหารเล็ก ๆ ริมถนนงั้นเหรอ? หากต้องการมาทานอาหารที่ร้านแฮมเบอร์เกอร์กับเฟรนฟราย คุณต้องจองล่วงหน้า แม้ว่าคุณจะจองล่วงหน้าก็ตาม หากไม่มีตัวตนที่ชัดเจน ทางร้านต้องขออนุญาตปฎิเสธ ดังนั้นได้โปรดออกไปตอนนี้ และกลับมาอีกครั้ง เมื่อได้ทำการจองมาล่วงหน้า”ตอนนี้ น้ำเสียงของผู้หญิงคนนี้ไม่เพียงแต่มั่นหน้ามั่นโหนก แต่ยังแฝงนัยถึงการถากถางกลุ่มฉู่เฉิน โดยคิดว่าพวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดา“บังอาจ เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร ก็แค่ร้านอาหารเล็ก ๆ กล้าที่จะเย่อหยิ่งขนาดนี้ได้ยังไง!”เฉียวหานอวี้ทนไม่ได้ในทันที ในฐานะลูกศิษย์ของหมอเทวดาหลี่ซ่าง เธอคุ้นเคยกับผู้คนนับไม่ถ้วนที่เข้ามาหาเธอ