ต้วนเซี่ยเฉิงเห็นว่าคู่ต่อสู้หยิ่งยโสมาก และจึงไม่ป้องกันอะไรเลย จึงคิดอยากจะจัดการฉู่เฉินเดิมทีแข็งแกร่งมาก แถมยังมีระดับที่ที่เหนือกว่าอีกสองขั้น จึงพยายามเอาชนะผู้ท้าชิงด้วยฝ่ามือเดียว"โดนแล้ว ตีโดนแล้ว"ตีโดนอย่างจังๆ ทำให้ต้วนเซี่ยเฉิงประหลาดใจอย่างยินดีคนที่ชื่อว่าฉู่เฉินนี้ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษเลย!ทันทีที่ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของเขา จู่ๆ สมองก็ส่งสัญาญเตือนภัยก็อย่างกะทันหัน เมื่อบำเพ็ญเพียรมาถึงระดับนี้แล้ว ก็จะมีคำเตือนทางจิตวิญญาณของตนเอง ซึ่งก็คือสิ่งที่เรียกว่าสัมผัสที่หกไม่มีภาพของฉู่เฉินที่กระอักเลือด และกระเด็นปลิวไป หลังรับถูกฝ่ามือเขาตีลงไปก่อนที่ความผันผวนของลมปราณที่แท้จริงจะสลายหายไปอย่างสมบูรณ์ เห็นแสงกับเงาที่อยู่ตรงข้ามคว้าฝ่ามือที่เขาตบลงไป พร้อมกับเสียงเยาะเย้ยจากฉู่เฉินแย่แล้ว จบสิ้นแล้ว ณ จุดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ต้วนเซี่ยเฉิงจะหลบหนีได้ สิ่งที่ทำให้ต้วนเซี่ยเฉิงไม่เข้าใจก็คือ ฝ่ามือของเขาที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ และไม่เห็นฉู่เฉินได้รับบาดแผลในขณะนั้น มือซ้ายของฉู่เฉินจับเข้ากับมือของที่ต้วนเซี่ยเฉิง และมืออีกข้างยกขึ้นและกำหมัด จากนั้นโจมต
“รีบมาดูเร็ว เย่ชิงชานกำลังจะต่อสู้กับฉู่เฉินแล้ว เธอเป็นอัจฉริยะจากสำนักกระบี่ซวนเทียนเลยนะ ถ้าเธอลงมือ ฉันสงสัยว่าฉู่เฉินจะเอาชนะได้ไหม!”“นั่นศิษย์ของสำนักกระบี่เชียวนะ ฉู่เฉินตกที่นั่งรำบากแล้ว”ฝูงชนที่เฝ้าดูกำลังถกเถียงกันอย่างโกลาหล เมื่อเห็นว่าเย่ชิงชานซึ่งเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ชักดาบออกมา หรือระเบิดพลังออกมา กลับเดินตรงเข้าหาฉู่เฉินหลายคนก็เริ่มตั้งคำถามถึงการกระทำของเธอ“แม้ว่าเย่ชิงชานจะเป็นอัจฉริยะของสำนักกระบี่ อีกฝ่ายเป็นถึงฉู่เฉิน ก็ไม่ควรประมาทขนาดนั้น ไม่แม้แต่จะดึงดาบออกมาจากฟักได้ยังไง!”“ใช่แล้ว นี่มันเย่อหยิ่งเกินไปแล้ว อีกสักครู่ ฉู่เฉินจะต้องสั่งสอนเธอแน่นอน ใครจะสนใจว่าเธอมาจากสำนักชั้นนำอย่างสำนักกระบี่ก็ตาม ฉู่เฉิน แสดงให้เธอเห็นว่านายทำอะไรได้บ้าง!”ขณะที่ฝูงชนกำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่นั้นเย่ชิงชานเข้าไปในอ้อมแขนของฉู่เฉินฝูงชนถึงกับอ้าปากค้างไปตามๆ กัน“กะ….เกิดอะไรขึ้นที่นี่? ในสนามประลอง ฉู่เฉินและเย่ชิงชานกอดกันจริงๆ”“เกิดอะไรขึ้น? ไม่ เป็นไปไม่ได้ เย่ชิงชานคือเทพธิดาของฉัน เทพธิดาจะทำแบบนั้นได้ยังไง? ฉันไม่เชื่อ”“เป็นไปไ
“ถ้าฉันบอกว่าจะถอนตัว คือก็ถอนตัว ทำไมนิกายเธอกล้าที่จะตัดความสัมพันธ์กับสำนักกระบี่ของฉันเหรอ?”เย่ชิงชานยืนอยู่บนลานประลองด้วยท่าทางมั่นใจ มองลงมาที่ชิงหลิงขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา“เธอ!”ชิงหลิงไม่คาดคิดว่าเย่ชิงชานจะก้าวร้าวขนาดนั้น ยังต้องการที่จะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่ต้องระงับความโกรธไว้ก่อน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเย่ชิงชานมาจากสำนักกระบี่ซวนเทียนแม้ว่านิกายแพทย์ซวนเทียนและสำนักกระบี่ซวนเทียนจะเป็นนิกายชั้นนำ แต่ทุกคนก็รู้ถึงความแตกต่างระหว่างทั้งสองสำนัก นิกายแพทย์รักษาความสัมพันธ์กับนิกายอื่น ๆ ด้วยยา แต่สำนักกระบี่นั้นแตกต่างออกไป พวกเขาอาศัยความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตน เพื่อเอาชนะสำนักอื่นๆ ถึงแม้สำนักอื่นจะทำในยอมรับไม่ได้ก็ได้ชิงหลิงยังคงลังเลอยู่ และเตรียมจะพูดบางอย่างเพื่อรักษาหน้าเอาไว้ในขณะนี้ ฉู่เฉินสังเกตเห็นว่า ต้วนอี้หวู่ซึ่งตอนแรกถูกตัวเองจัดการท่าไม้ตายเอาไว้ได้ ประจวบเหมาะที่เพิ่งมาถึงขอบลานประลอง โดยยืนอยู่ด้านหลังชิงหลิงฉู่เฉินยั่วยุอีกครั้ง“ชิงหลิง ในฐานะผู้ชนะแล้ว เธอไม่มีความกล้าที่จะต่อสู้กับฉันเลยหรือ? ถ้าเธอทำไม่ได้ ทำไมเธอกับต้วนอี้หวู่ไม่เข้าม
ต้วนอี้หวู่ตัดสินใจทำเรื่องที่ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจ จู่ๆ ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเคลื่อนไหว จากนั้น จึงหลังกลับเพื่อวิ่งหนีออกไปจากสนามประลอง“ต้วนอี้หวู่ นาย!“ ชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธมาก เมื่อเห็นต้วนอี้หวู่ทิ้งตัวเองและวิ่งหนีไปคนเดียว แต่เธอมีเวลาพูดเพียงคำเดียว เพราะการโจมตีของฉู่เฉินใกล้เข้ามาถึงแล้ว เธอใช้หมัดตอบโต้กรงเล็บมังกรทั้งสองข้างของฉู่เฉิน พร้อมกับคิดว่าคงไม่มีวิธีไหนดีไปกว่านี้แล้วทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าเจ้าของกรงเล็บมังกรอย่าง ฉู่เฉินกำลังยิ้มให้ตัวเอง ราวกับว่ากำลังมองดูศพชิงหลิงรีบร้อนและต้องการหลบหนีอย่างรวดเร็ว จึงถอยหลังไปยังพื้นที่ปลอดภัยเห็นเพียงกรงเล็บมังกรทั้งสองข้างของฉู่เฉินจับมือทั้งสองข้างของตนเองเอาไว้ ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของฉู่เฉินที่พุ่งออกมา กรงเล็บได้เจาะลึกเข้าไปในเนื้อที่หลังมือของเธอ และจากการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จากนั้นฉู่เฉินก็เตะขาเหวี่ยงออกไป ชิงหลิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับการโจมตีของขาข้างนี้ ทำให้เกิดเสียงกระแทกดังสนั่นลัง ซึ่งขาของเธอทั้งสองข้างหักทันทีและจากกรงเล็บของเขาที่ยังคงจับมือของเธออยู่ ฉู่เฉินก็เตะอย่างรุนแรงอีกครั้
จากการโบกฝ่ามือ ร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาที่สนามประลองอย่างกะทันหัน และสกัดฝ่ามือที่กำลังจะทำลายวรยุทธของชิงหลิงจากนั้นแสงกับเงาสลายหายไป ปรากฏร่างหนึ่งขึ้นในสนาม ซึ่งเป็นผู้อาวุโสแห่งนิกายแห่งความว่างเปล่าที่เจอกันมาก่อน“ฉู่เฉิน พอแล้ว การต่อสู้จบลงแล้ว ตำแหน่งนี้เป็นของนาย” ผู้อาวุโสปัดฝ่ามือของฉู่เฉินออกไป และพูดตัดบท“คารวะผู้อาวุโสของนิกายแห่งความว่างเปล่า แต่คนในสนามประลองเป็นผู้มีสิทธิ์ชี้ขาด พวกเขาทั้งสองคนยังไม่เอ่ยปากยอมแพ้เลยนะ”เห็นได้ชัดว่าฉู่เฉินไม่ต้องการปล่อยไปทั้ง ๆ แบบนี้ และเมื่อเขาเห็นผู้อาวุโสของนิกายแห่งความว่างเปล่าปราฏกตัวออกมา เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีอ่อนแอ เห็นอยู่ว่า พวกเขาทั้งสองคนหายใจพะงาบ ๆ แค่หายใจยังจะยากเลย แล้วจะพวกเขาจะยังยอมรับความพ่ายแพ้ได้อย่างไรต้วนอี้หวู่โดนจัดการจนเป็นผักไปแล้ว แต่ชิงหลิงยังพอรักษาได้ ตราบใดที่เธอรักษาอาการบาดเจ็บและดูแลตัวเองให้ดี เธอก็ยังคงเป็นอัจฉริยะของนิกายแห่งความว่างเปล่า ซึ่งแน่นอนว่าต้องปกป้องเอาไว้ฉู่เฉินเห็นว่า ผู้อาวุโสของนิกายแห่งความว่างเปล่าไม่ตอบอะไรกลับ ดังนั้นเขาจึงรีบยื่นมือไปหาชิงหลิงที่นอนอยู่บนขอบลานปร
“สมกับที่เป็นฉู่เฉินจริง ๆ ฉันประเมินแกต่ำไป แกชอบท้าทายคนอื่นมากนักใช่ไหม งั้นขอดูให้ชัด ๆ ว่าแกแข็งแกร่งแค่ไหน"ผู้อาวุโสของนิกายแห่งความว่างเปล่าโกรธมากกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น จึงเพิกเฉยต่อกฎของสนามประลอง และพยายามยึดสนามประลองนิกายแห่งความว่างเปล่าคืนมาเอง“อะไรนะ ผู้อาวุโสนิกายแห่งความว่างเปล่ากำลังจะลงมือ งั้นฉู่เฉินก็น่าสงสารเกินไปแล้ว”ผู้ชมรอบสนามประลองอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เมื่อรู้ว่าผู้อาวุโสกำลังจะลงมือนี่ไม่ใช่เรื่องของความแข็งแกร่ง แต่เป็นเรื่องของฐานะของผู้อาวุโสนิกายแห่งความว่างเปล่าที่ฝังรากลึกอยู่ในใจของผู้คนทุกคนรู้ว่าการจะขึ้นเป็นผู้อาวุโสของนิกายได้นั้น ต้องเป็นอัจฉริยะของนิกายมาตั้งแต่ยังเด็ก“ฉู่เฉิน แกมีคำพูดสั่งเสียที่จะพูดไหม? ” ผู้อาวุโสซ่งตัดสินใจลงมือ และก่อนจะลงมือ ก็ได้ถามคำถามออกมาอย่างส่ง ๆเห็นได้ชัดว่าในขณะนี้ ซ่งชางเหลายังคงเชื่อว่าสามารถจับฉู่เฉินได้อย่างง่ายดาย และไม่ต้องการจะจับเป็นต้องการฆ่าเท่านั้น“ผู้อาวุโสซ่งมีความมั่นใจมาก ฉันต้องขอชื่นชม”หลังจากที่ฉู่เฉินพูดจบ ก็ได้กางอาณาเขตของตัวเอง และช่วงชิงกับอาณาเขตของผู้อาวุโสซ่ง เพื่อแย่
"จะเอาชนะได้หรือไม่แล้วยังไง ฉันคิดว่าฉู่เฉินอาจจะเอาชนะผู้อาวุโสซ่งได้! แม้ว่าเขาจะเป็นผู้อาวุโส แต่ส่วนใหญ่ก็อยู่แค่จุดสูงสุดของจอมยุทธเท่านั้นเอง ส่วนฉู่เฉินนั้น เขาน่าจะเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ชั้นนำในยุคแล้วนะ!"บางคนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน“เป็นไปได้อย่างไร ฉู่เฉินยังเด็กมาก เป็นไปไม่ได้ ยังไงก็เป็นไปไม่ได้”ยังมีบางคนที่สนับสนุนนิกายแห่งความว่างเปล่าอยู่ จึงไม่สามารถยอมรับความคิดที่แตกต่างได้“แม้ว่าจะเอาชนะผู้อาวุโสซ่งไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็อยู่ในระดับเดียวกับผู้อาวุโสซ่ง” คนคนนี้ยึดมั่นในความเชื่อของตัวเองอย่างไม่หวั่นไหว"โลกยุทธภพกำลังจะเปลี่ยนแปลง และการเติบโตของฉู่เฉินนั้นไม่อาจหยุดยั้งได้"บางคนก็ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแล้วไม่ต้องพูดถึงวิพากษ์วิจารณ์อย่างถึงพริกถึงขิงในหมู่ผู้ชม ฉู่เฉินมองการเคลื่อนไหวนับร้อยครั้งเกิดขึ้นและทั้งสองก็เข้าสู่ทางตันคิดว่าจะใช้อาณาเขตที่สาม เพื่อยุติการต่อสู้ดีหรือไม่เมื่อกี้นี้ ตัวเขาได้ใส่อาณาเขตเพชฌฆาตกับอาณาเขตแมกม่าเข้าด้วยเพื่อเพิ่มพลังโจมตีแล้ว แม้ว่าผู้อาวุโสเย่จะเน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาไม่สามารถเปิดเผยความลับออกมามากเกินไป
ผู้อาวุโสซ่งเห็นหลี่ซ่างขวางทางเขาเอาไว้ จึงพูดพร้อมกับโยนหมวกใบใหญ่ทิ้ง“ตาแก่สวี่พูดแล้วกัน ฉันจะจัดการกับฉู่เฉินเอง" หลี่ซ่างไม่สนใจผู้อาวุโสซ่งจากนิกายแห่งความว่างเปล่าเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ซ่าง ชายชราก็เหลือบมองฉู่เฉินและบินไปหาผู้อาวุโสซ่ง ซึ่งทั้งสองคนได้คุยกันเป็นการส่วนตัว"ไอ้เด็กเวร นายนี่มันเอาแต่ก่อปัญหาจริง ๆ ช่วยทำให้ชายชราคนนี้สงบสติอารมณ์บ้างไม่ได้หรือไง” หลี่ซ่างหัวเราะและดุฉู่เฉิน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ตำหนิเขาจริง ๆ“เอาล่ะ บอกฉันมาว่าเกิดอะไรขึ้น นายไปต่อสู้กับตาเฒ่านั่นได้ยังไง”“ไม่มีอะไรมาก แค่พวกเขานิกายแห่งความว่างเปล่ามาที่สนามประลองโถงสมุนไพร เพื่อสร้างความวุ่นวายก่อน ฉันมาแก้แค้นแต่ผู้ปกป้องตำแหน่งบางคนไม่สามารถสู้ได้ และฉันก็จัดการพวกเขาได้อย่าง่ายดาย แต่เมื่อเอาชนะพวกเขาได้ ผู้อาวุโสไม่ยอมรับในความพ่ายแพ้ จึงลงมือ “ฉู่เฉินอธิบายเรื่องราวทั้งหมด”“อืม เข้าใจแล้ว โอเค เข้าใจแล้ว อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ ปล่อยให้ฉันจัดการส่วนที่เหลือเอง”หลังจากฟังแล้ว หลี่ซ่างก็รู้สึกพอใจ ความจริงที่ว่าโถงสมุนไพรสามารถเชิดหน้าชูตาได้ ทำให้เขามีความสุขอย่างปฏิเสธไม่ได้