หลี่ชิงปรากฏตัวขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ด้านข้างฉู่เฉินรับเครื่องดื่มที่หลี่ชิงยื่นมาให้ แล้วถามอย่างส่งๆ “ก่อนหน้านี้ไม่เป็นไรใช่ไหม ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า”ฉู่เฉินไม่รู้เลยว่าหลี่ชิงคิดขนาดไหนในระหว่างทางมา“ไม่เป็นไร แค่สูญเสียลมปราณที่แท้จริงมากเกินไปน้อย แต่ขอบคุณชู่ซวนหวู่ที่ช่วยฉันเอาไว้ได้ทันเวลา ฉันไม่มีทางตอบแทนคุณได้ นอกจากทำงานหนักรับใช้คุณเยี่ยงวัวเยี่ยงควาย” หลี่ชิงพูดเบาๆ“โอ้ งั้นก็ดี แต่เด็กผู้หญิงน่าจะไม่มีอะไรมาตอบแทนได้ หรือใช้ร่างกายตอบแทนดีไหม?”ฉู่เฉินหัวเราะเบาๆ ส่งหินพลังวิญญาณอย่างรวดเร็วให้เธออย่างสบายๆ เพื่อช่วยให้เธอฟื้นฟูลมปราณที่แท้จริงได้เร็วขึ้น“ได้”เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่เฉิน หลี่ชิงก็ตอบตกลงทันทีและเงยหน้าขึ้นมามองฉู่เฉินทั้งสองคนจ้องหน้ากันชั่วขณะ หลี่ชิงไม่ถอยหนีหลังหนี แววตาตาเต็มไปด้วยประกายของความมุ่งมั่น“ล้อเล่น”เป็นฉู่เฉินที่ยอมแพ้ก่อน เขาล้อเล่นและก่อนหน้านี้เธอก็ไม่ได้รังเกียจเขาไม่ใช่เหรอ ทำไมคราวนี้ผลลัพธ์กลับแตกต่างจากที่ตัวเองคิดเอาไว้“เอาล่ะ หม่าเซียงอวี้เป็นยังไง? สาหัสไหม”ฉู่เฉินไม่ค่อยสนใจคนอื่นสักเท่าไหร่ แค่สถานกา
“ฉู่เฉินน่ากลัวอย่างที่พวกนายพูดเลยเหรอ?”มีคนประหลาดใจอย่างมาก จึงแทรกตัวมาจากช่องว่างที่ฝูงชนแหวกออกนี่คือพลังของคนแข็งแกร่ง ซึ่งไม่จำเป็นต้องแสดงอะไรออกมาด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะไปที่ไหน ผู้คนก็จะหลีกทางให้เขาโดยสัญชาตญาณระหว่างทาง มีคนบางส่วนที่ได้เห็นฉู่เฉินทักทายเขาอย่างอบอุ่น และฉู่เฉินก็พยักหน้าตอบรับพร้อมกับหลี่ชิง ได้เดินขึ้นไปที่ชั้นสองของอาคารในโถงสมุนไพรและเข้าไปในห้องด้านใน ซึ่งเห็นหม่าเซียงอวี้นอนอยู่บนเตียง ดูอ่อนแอและแทบจะไม่ได้สติ“คุณชายหม่า ฉันพาฉู่เฉินมาพบคุณ" หลี่ชิงเรียกหม่าเซียงอวี้ที่นอนอยู่บนเตียงเบาๆหม่าเซียงอวี้ลืมตาที่ปิดอยู่ และมองเห็นหลี่ชิง“คุณหนูหลี่ชิง เป็นคุณเอง ผู้ท้าชิงเป็นอย่างไรบ้าง เขาได้ยึดสนามของพวกเราหรือเปล่า” ถามขณะพยายามลุกขึ้นนั่ง“ไม่ต้องกังวลไป คุณชายหม่า ผู้ท้าชิงพ่ายแพ้ให้กับคุณชายฉู่ไปแล้ว ตอนนี้ให้พักผ่อนและรักษาตัวก่อนเถอะ” หลี่ชิงพูดขณะที่เธอค่อยๆ ช่วยเขานอนลง“ฉู่เฉิน ฉันทำให้คุณขายขี้หน้าแล้ว แข็งแกร่งไม่เพียงพอและไม่สามารถป้องกันสนามประลองได้ ต้องไว้วานคุณอีก”เมื่อได้ยินหลี่ชิงพูดว่า ฉู่เฉินเอาชนะผู้ท้าชิงได้แล้ว หม่าเ
“อีกอย่าง พี่หม่า คุณรู้ไหมว่าทำไมคนจากนิกายแห่งความว่างเปล่าถึงมาโจมตีสนามประลองของโถงสมุนไพร?” ฉู่เฉินถามต่อ“ฉันเองก็ไม่รู้ จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่สนามประลอง ฉันคิดว่าเขาเป็นเพียงผู้ท้าชิง แต่ฉันไม่คิดว่าชิงมู่จะแข็งแกร่งขนาดนี้!” หม่าเซียงอวี้เกาหัวเมื่อเห็นว่าหม่าเซียงอวี้ไม่อะไรเลย ฉู่เฉินก็ทำเพียงปลอบใจเขา“เอาล่ะ พี่หม่ากำลังฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ ดังนั้นพวกเราอย่าไปรบกวนเขา คุณชายหม่า คุณควรจะปรับความเสถียรของระดับวรยุทธของคุณ และควรพักผ่อนโดยเร็ว ส่วนเรื่องสนามประลอง คุณไม่ต้องกังวล ฉันจะทำให้พวกเขาชดใช้สองเท่า“ ฉู่เฉินพูดพร้อมกับอำลาหม่าเซียงอวี้“คุณหนูหลี่ชิง โปรดออกไปบอกผู้ชมข้างนอกเหล่านั้นได้ไหมว่า ฉัน ฉู่เฉิน จะท้าดวลสนามประลองนิกายแห่งความว่างเปล่าในอีกครึ่งชั่วโมง”หลังจากออกจากประตูโถงสมุนไพรแล้ว ฉู่เฉินก็พูดกับหลี่ชิงที่อยู่ข้างๆ “คุณชายฉู่ อย่าเพิ่งใจร้อน นิกายแห่งความว่างเปล่าเป็นนิกายที่ทรงพลังที่สุดจากทั้งสี่นิกาย”หลี่ชิงพูดด้วยความกังวล และพยามเตือนสติ“คุณหนูหลี่ชิงอย่ากังวลไปเลย ทำตามที่ฉันบอกก็พอ” ฉู่เฉินไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม“ตกลง”เหม
แม้จะคำนวณมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่คาดคิดว่าพละกำลัง 80% ในขั้นเก้าของจอมยุทธ จะถูกฉู่เฉินซัดลอยออกไป พร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปากเป็นไปได้ยังไง!ต้วนอี้หวู่ตกใจมาก!ในสถานการณ์ที่ตัวเองมีระดับวรยุทธสูงกว่า กลับโดนโจมตี จนได้รับบาดเจ็บอย่างไม่ทันตั้งตัวตั้งแต่เผชิญหน้าครั้งแรก ถึงแม้ว่า ต้วนอี้หวู่ถูกต่อยจนตายไป ก็ยังทำใจเชื่อไม่ได้ แต่ความจริงนั้น ได้ปรากฏออกมาตรงหน้าเขา และเขาจะไม่เชื่อได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าฉู่เฉินกำลังจะลงมืออีกครั้ง ต้วนอี้หวู่มองการโจมตีออก และถอยหลบกลืนเลือดคาวๆ ในปาก และยอมรับความพ่ายแพ้ออกมาอย่างเสียงดัง"ฉันยอมแพ้"เมื่อเห็นเช่นนี้ ฉู่เฉินไม่ต้องการใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้เพื่อทำร้ายผู้อื่น จึงไม่โจมตีและหยุดเท้าลง"เอาล่ะ งั้นฉันขอท้าดวลคนต่อไป"“ได้ ฉันจะรีบไปเรียกมาให้ แต่ช่วยบอกชื่อแซ่ของคุณให้ฉันรู้หน่อยได้ไหม”เห็นได้ชัดว่า แม้ว่าต้วนอี้หวู่จะยอมรับความพ่ายแพ้ แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่พอใจ คิดว่าตัวเองแค่ประมาทและถามชื่อของคนที่ทำให้การประลองยุติลง"ฉู่เฉิน" ฉู่เฉินตอบชื่อตัวเองไปอย่างเย็นชา“โอเค รอสักครู่ ฉันจะเรียกคนป้องกันตำแหน่งคนต่อ
ต้วนเซี่ยเฉิงเห็นว่าคู่ต่อสู้หยิ่งยโสมาก และจึงไม่ป้องกันอะไรเลย จึงคิดอยากจะจัดการฉู่เฉินเดิมทีแข็งแกร่งมาก แถมยังมีระดับที่ที่เหนือกว่าอีกสองขั้น จึงพยายามเอาชนะผู้ท้าชิงด้วยฝ่ามือเดียว"โดนแล้ว ตีโดนแล้ว"ตีโดนอย่างจังๆ ทำให้ต้วนเซี่ยเฉิงประหลาดใจอย่างยินดีคนที่ชื่อว่าฉู่เฉินนี้ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษเลย!ทันทีที่ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของเขา จู่ๆ สมองก็ส่งสัญาญเตือนภัยก็อย่างกะทันหัน เมื่อบำเพ็ญเพียรมาถึงระดับนี้แล้ว ก็จะมีคำเตือนทางจิตวิญญาณของตนเอง ซึ่งก็คือสิ่งที่เรียกว่าสัมผัสที่หกไม่มีภาพของฉู่เฉินที่กระอักเลือด และกระเด็นปลิวไป หลังรับถูกฝ่ามือเขาตีลงไปก่อนที่ความผันผวนของลมปราณที่แท้จริงจะสลายหายไปอย่างสมบูรณ์ เห็นแสงกับเงาที่อยู่ตรงข้ามคว้าฝ่ามือที่เขาตบลงไป พร้อมกับเสียงเยาะเย้ยจากฉู่เฉินแย่แล้ว จบสิ้นแล้ว ณ จุดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ต้วนเซี่ยเฉิงจะหลบหนีได้ สิ่งที่ทำให้ต้วนเซี่ยเฉิงไม่เข้าใจก็คือ ฝ่ามือของเขาที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ และไม่เห็นฉู่เฉินได้รับบาดแผลในขณะนั้น มือซ้ายของฉู่เฉินจับเข้ากับมือของที่ต้วนเซี่ยเฉิง และมืออีกข้างยกขึ้นและกำหมัด จากนั้นโจมต
“รีบมาดูเร็ว เย่ชิงชานกำลังจะต่อสู้กับฉู่เฉินแล้ว เธอเป็นอัจฉริยะจากสำนักกระบี่ซวนเทียนเลยนะ ถ้าเธอลงมือ ฉันสงสัยว่าฉู่เฉินจะเอาชนะได้ไหม!”“นั่นศิษย์ของสำนักกระบี่เชียวนะ ฉู่เฉินตกที่นั่งรำบากแล้ว”ฝูงชนที่เฝ้าดูกำลังถกเถียงกันอย่างโกลาหล เมื่อเห็นว่าเย่ชิงชานซึ่งเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ชักดาบออกมา หรือระเบิดพลังออกมา กลับเดินตรงเข้าหาฉู่เฉินหลายคนก็เริ่มตั้งคำถามถึงการกระทำของเธอ“แม้ว่าเย่ชิงชานจะเป็นอัจฉริยะของสำนักกระบี่ อีกฝ่ายเป็นถึงฉู่เฉิน ก็ไม่ควรประมาทขนาดนั้น ไม่แม้แต่จะดึงดาบออกมาจากฟักได้ยังไง!”“ใช่แล้ว นี่มันเย่อหยิ่งเกินไปแล้ว อีกสักครู่ ฉู่เฉินจะต้องสั่งสอนเธอแน่นอน ใครจะสนใจว่าเธอมาจากสำนักชั้นนำอย่างสำนักกระบี่ก็ตาม ฉู่เฉิน แสดงให้เธอเห็นว่านายทำอะไรได้บ้าง!”ขณะที่ฝูงชนกำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่นั้นเย่ชิงชานเข้าไปในอ้อมแขนของฉู่เฉินฝูงชนถึงกับอ้าปากค้างไปตามๆ กัน“กะ….เกิดอะไรขึ้นที่นี่? ในสนามประลอง ฉู่เฉินและเย่ชิงชานกอดกันจริงๆ”“เกิดอะไรขึ้น? ไม่ เป็นไปไม่ได้ เย่ชิงชานคือเทพธิดาของฉัน เทพธิดาจะทำแบบนั้นได้ยังไง? ฉันไม่เชื่อ”“เป็นไปไ
“ถ้าฉันบอกว่าจะถอนตัว คือก็ถอนตัว ทำไมนิกายเธอกล้าที่จะตัดความสัมพันธ์กับสำนักกระบี่ของฉันเหรอ?”เย่ชิงชานยืนอยู่บนลานประลองด้วยท่าทางมั่นใจ มองลงมาที่ชิงหลิงขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา“เธอ!”ชิงหลิงไม่คาดคิดว่าเย่ชิงชานจะก้าวร้าวขนาดนั้น ยังต้องการที่จะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่ต้องระงับความโกรธไว้ก่อน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเย่ชิงชานมาจากสำนักกระบี่ซวนเทียนแม้ว่านิกายแพทย์ซวนเทียนและสำนักกระบี่ซวนเทียนจะเป็นนิกายชั้นนำ แต่ทุกคนก็รู้ถึงความแตกต่างระหว่างทั้งสองสำนัก นิกายแพทย์รักษาความสัมพันธ์กับนิกายอื่น ๆ ด้วยยา แต่สำนักกระบี่นั้นแตกต่างออกไป พวกเขาอาศัยความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตน เพื่อเอาชนะสำนักอื่นๆ ถึงแม้สำนักอื่นจะทำในยอมรับไม่ได้ก็ได้ชิงหลิงยังคงลังเลอยู่ และเตรียมจะพูดบางอย่างเพื่อรักษาหน้าเอาไว้ในขณะนี้ ฉู่เฉินสังเกตเห็นว่า ต้วนอี้หวู่ซึ่งตอนแรกถูกตัวเองจัดการท่าไม้ตายเอาไว้ได้ ประจวบเหมาะที่เพิ่งมาถึงขอบลานประลอง โดยยืนอยู่ด้านหลังชิงหลิงฉู่เฉินยั่วยุอีกครั้ง“ชิงหลิง ในฐานะผู้ชนะแล้ว เธอไม่มีความกล้าที่จะต่อสู้กับฉันเลยหรือ? ถ้าเธอทำไม่ได้ ทำไมเธอกับต้วนอี้หวู่ไม่เข้าม
ต้วนอี้หวู่ตัดสินใจทำเรื่องที่ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจ จู่ๆ ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเคลื่อนไหว จากนั้น จึงหลังกลับเพื่อวิ่งหนีออกไปจากสนามประลอง“ต้วนอี้หวู่ นาย!“ ชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธมาก เมื่อเห็นต้วนอี้หวู่ทิ้งตัวเองและวิ่งหนีไปคนเดียว แต่เธอมีเวลาพูดเพียงคำเดียว เพราะการโจมตีของฉู่เฉินใกล้เข้ามาถึงแล้ว เธอใช้หมัดตอบโต้กรงเล็บมังกรทั้งสองข้างของฉู่เฉิน พร้อมกับคิดว่าคงไม่มีวิธีไหนดีไปกว่านี้แล้วทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าเจ้าของกรงเล็บมังกรอย่าง ฉู่เฉินกำลังยิ้มให้ตัวเอง ราวกับว่ากำลังมองดูศพชิงหลิงรีบร้อนและต้องการหลบหนีอย่างรวดเร็ว จึงถอยหลังไปยังพื้นที่ปลอดภัยเห็นเพียงกรงเล็บมังกรทั้งสองข้างของฉู่เฉินจับมือทั้งสองข้างของตนเองเอาไว้ ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของฉู่เฉินที่พุ่งออกมา กรงเล็บได้เจาะลึกเข้าไปในเนื้อที่หลังมือของเธอ และจากการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จากนั้นฉู่เฉินก็เตะขาเหวี่ยงออกไป ชิงหลิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับการโจมตีของขาข้างนี้ ทำให้เกิดเสียงกระแทกดังสนั่นลัง ซึ่งขาของเธอทั้งสองข้างหักทันทีและจากกรงเล็บของเขาที่ยังคงจับมือของเธออยู่ ฉู่เฉินก็เตะอย่างรุนแรงอีกครั้
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่