ในกลุ่มฝูงชน มีอีกคนคนหนึ่งลุกขึ้นมา“ฉันก็ขอยอมแพ้เหมือนกัน!”ไม่ต้องคิด ก็รู้เลยว่าเป็นผู้ท้าชิงอีกคน ที่เดิมทีต้องการท้าดวลกับฉู่เฉิน แต่เมื่อเห็นว่า หลี่เฉินหยางพ่ายแพ้ก็ตัดสินใจถอนตัวออกไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นเช่นนี้ หลี่ซ่างก็ตกใจเช่นกัน“ก็เพิ่งบอกไปว่าให้แจ้งฉันล่วงหน้าไม่ใช่เหรอ? งั้นฉันคงต้องถามตรงๆ แล้วล่ะ”หลี่ซ่างมองไปที่หวังฮวา ซึ่งนั่งอยู่ในกลุ่มฝูงชน“หวังฮวาจะยอมแพ้ด้วยไหม?”ทันทีที่หลี่ซ่างพูดจบความสนใจของฝูงชน ต่างก็จับจ้องไปที่หวังฮวาทันที“หวังฮวา! นั่นเขา! ไม่เชื่อเลยว่าเขามาที่นี่เพื่อท้าดวลกับฉู่เฉินด้วย ถ้าเป็นเขาคงจะไม่ขอยอมแพ้หรอก!” “หวังฮวา! หวังฮวาจากกองกำลังพยัคฆ์ขาว เป็นเขาแน่ๆ ว่ากันว่าเขาเป็นหนึ่งในหัวกะทิของกองกำลังพยัคฆ์ขาวและในกองกำลังพยัคฆ์ขาวทั้งหมด เว้นแต่พยัคฆ์ขาวที่สามารถสั่งการเขาได้ เขาไม่ฟังคำสั่งของใครเลย ฉันไม่เคยคิดเลยว่า คนของพยัคฆ์ขาวจะมาท้าดวลกับฉู่เฉินด้วย”“ใช่แล้ว ในฐานะองค์กรปกป้องชาติของต้าเซี่ย พยัคฆ์ขาวกับซวนหวู่ควรจะเป็นฝ่ายเดียวกันไม่ใช่เหรอ”“ยิ่งไปกว่านั้น ในทางเทคนิคแล้ว ฉู่เฉินเป็นผู้บังคับบัญชาของเขาอีกด้วย
ในที่สุดหวังฮวาก็ยอมแพ้ที่จะลงมือ และเลือกที่จะสละสิทธิ์แม้ว่าจะส่งผลให้ฝูงชนโห่ร้องใส่ก็ตาม“อะไรกัน? ไม่ได้พูดว่าจะดูการแข่งขันสามนัดเหรอ เพิ่งดวลไปแค่นัดเดียว ก็จบแล้ว ตั๋วนี้ไม่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปเลย”“นี่ไม่ใช่ความผิดของฉู่เฉินสักทีเดียว ก่อนการต่อสู้ครั้งนี้ ใครจะคิดว่าผู้ท้าชิงสองคนที่เหลือจะเลือกที่จะขอยอมแพ้หลังจากเห็นการต่อสู้ของฉู่เฉินแล้ว จึงกลัวจนหายจุกตูด ไม่กล้าขึ้นไปบนลานประลอง”“ก็จริง คิดว่าหวังฮวาจากกองกำลังพยัคฆ์ขาวจะเลือกที่จะสู้ แต่ไม่คาดคิดว่าแม้แต่หวังฮวาก็ยังกลัวฉู่เฉิน!”คำพูดของทุกคนเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยและเสียดสีหวังฮวาไม่สนใจ และเดินก้มหน้าออกจากโถงสมุนไพรหวังซิงเดินตามหลังหวังฮวาไประหว่างทาง หวังซิงยังคงพูดพล่ามไม่หยุดหย่อน“หวังฮวา ทำไมเมื่อกี้นายถึงยอมแพ้ หากนายตัดสินใจที่จะเลือกสู้ และเมื่อนายแสดงความสามารถที่แท้จริงของนายออกมา นายอาจจะไม่แพ้ก็ได้!”“นายยังพูดออกมาได้ว่า ความแข็งแกร่งของฉู่เฉินนั้นอยู่ในขั้นกลางๆ ดังนั้นฉันเลยมาที่นี่เพื่อท้าดวลกับเขาเพื่อนาย ตอนนี้ เห็นได้ชัดนายประเมินความแข็งแกร่งของฉู่เฉินต่ำเกินไป ซึ่งทำให้นำไปสู่ผ
เมื่อผู้อาวุโสพูดขึ้น ลมหายใจของก็ฟุ้งกระจายออกมา ราวกับวัตถุโบราณที่ปลุกให้ตื่น“ข้าน้อยเป็นลูกหลานของตระกูลฉู่จริงๆ ผู้อาวุโสคือใคร?”เมื่อเห็นผู้อาวุโสพูดออกมาในที่สุด ฉู่เฉินก็หยุดเท้าทันที“เจ้า... เรียกข้าว่าผู้อาวุโสเย่ก็ได้!” ผู้อาวุโสเหมือนจะแนะนำตัว แต่ก็เปลี่ยนใจอย่างกะทันหันฉู่เฉินไม่ได้ถามซักไซ้ต่อไป ฟังคำพูดของผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม“ผู้อาวุโสเย่ ไม่ทราบว่าหยุดฉันไว้ทำไม?”ฉู่เฉินรู้มานานแล้วว่า ผู้อาวุโสได้ตื่นขึ้นแล้ว แต่อีกฝ่ายเพียงเมินเขามามาโดยตลอด ก็คงเป็นไม่อยากพูดคุยกับตัวเขาเท่านั้น ขณะที่กำลังจะจากไป อีกฝ่ายกลับหยุดเขาเอาไว้ และแน่นอนต้องมีบางอย่างผิดปกติ“เจ้าเพิ่งต่อสู้กับใครบางคนมาอย่างนั้นรึ?” ผู้อาวุโสเย่ไม่ตอบ เพียงแต่ถามกลับฉู่เฉินพยักหน้า ซึ่งไม่ได้ปฏิเสธ“คู่ต่อสู้มีระดับวรยุทธขั้นไหน?” ผู้อาวุโสเย่พูดต่อ โดยมองไปที่คราบเลือดบนร่างกายของฉู่เฉิน“จอมยุทธขั้นเก้า”ฉู่เฉินพูดอย่างภาคภูมิใจ“ขยะเปียกนั้น ทำร้ายเจ้าจนมีสภาพแบบนี้เหรอ? “คำพูดของผู้อาวุโสเย่เต็มไปด้วยความดูถูก“ผู้อาวุโสเย่ นั่นคือขั้นสูงสุดของจอมยุทธ ส่วนฉันอยู่แค่ขั้นเจ็ดของจอม
“ข้าจะลดระดับวรยุทธให้อยู่ในช่วงเริ่มต้นของจอมยุทธ แต่อย่าคิดว่า ตัวเจ้าอยู่ในช่วงปลายของจอมยุทธ แล้วเจ้าจะทำแบบส่งๆ ได้ ต่อไปข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่า ความแตกต่างระหว่างระดับเล็กๆ นั้น สามารถมองข้ามได้ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่แปลกประหลาดบางอย่างภายในตัวเจ้า ดังนั้นข้าจึงจะไม่ออมมือ ทุกการโจมตีของข้านั้น จะแรงถึงขนาดคร่าชีวิตได้ จากนี้ไป เจ้าควรระวังตัวให้มาก เพราะข้าสามารถโจมตีได้ทุกเมื่อ”“เอาล่ะ ตอนนี้มาทดสอบความแข็งแกร่งของเจ้าก่อนดีกว่า ทุ่มพลังมาสุดตัวเลย สู้ให้ตายไปกันข้างหนึ่ง หากเจ้าสามารถทำให้ชายแก่คนนี้ขยับได้ครึ่งก้าว วันนี้ ถือว่าเจ้าชนะ!”เมื่อได้ยินคำพูดดูถูกเหยียดหยามของผู้อาวุโสเย่ ฉู่เฉินก็อดลังเลไม่ได้เขาไม่เข้าใจสถานการณ์เลย จากคำพูดที่หาเหตุและผลไม่ได้ของผู้อาวุโสเย่ บอกว่าตัวเองรู้จักพ่อของเขา จากนั้นก็ตัดบทมา กลายเป็นจะสอนวิชาขั้นสูงให้ และตอนนี้ขอให้ฉู่เฉินโจมตีใส่เขาแบบใส่ไม่ยั้ง นี่มันอะไรกันแน่ ชายชราคนนี้สมองมีปัญหารึเปล่าผู้อาวุโสเย่พูดอย่างไม่พอใจ“นิสัยของเจ้าช่างน่าเบื่อหน่ายนัก ข้าบอกให้โจมตีข้า แล้วทำไมยังมัวคิดมากอะไรอีก”
ฉู่เฉินนอนราบลงบนพื้นผิวเรียบของเมืองลับแลมังกร ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงเพื่อฟื้นฟูพลังกลับขึ้นมา จากนั้นถึงจะลุกขึ้นมายืนได้ ด้วยความคิด เขาออกจากเมืองลับแลและปรากฏตัวอีกครั้งในโถงสมุนไพร ซึ่งได้พบกับจางเทาที่พาเหล่าพี่ๆ น้องๆ ของซวนหวู่มา“จางเทา ไปเรียกหมอเทวดาหลี่ซ่างมาสิ " ฉู่เฉินพูดอย่างอ่อนแรง หลับตาลง และไม่ต้องการขยับตัว“ไม่ต้องเรียกฉัน ฉันอยู่ที่นี่ เกิดอะไรขึ้นกับนาย ทำไมนายถึงดูน่วมมากขนาดนี้?”หลี่ซ่างมองฉู่เฉินตรงหน้าด้วยท่าทางประหลาดใจ และด้วยทักษะทางการแพทย์ของเขา ก็ไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าฉู่เฉินเพิ่งโดนต่อยมาฉู่เฉินไม่ได้อธิบาย แค่ถามหลี่ซ่างว่ามียาจิตวิญญาณ ที่สำหรับฟื้นฟูและบำรุงร่างกายได้หรือไม่“ฉันมีพวกนั้นเยอะ แต่ทำไมนายถึงต้องการมัน นายได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับหลี่เฉินหยางงั้นเหรอ?”หลี่ซ่างถามอย่างอยากรู้อยากเห็น“ใช่ นิดหน่อย แต่ฉันต้องการยา เพื่อใช้สำหรับการฝึกฝน” ฉู่เฉินตอบกลับคำตอบสั้นๆ นี้ว ทำให้หนิงชิงเสว่รีบวิ่งมาจากที่ไกลๆ “เสี่ยวซือโถว นายบาดเจ็บตรงไหน?”หนิงชิงเสว่จับตัวฉู่เฉินโดยไม่ลังเล เพื่อตรวจสอบว่าเขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่เมื่อเ
ฉู่เฉินนั่งเหยียดตัวอย่างขี้เกียจอยู่ตรงหน้าจางเทากับหนิงชิงเสว่ แล้วค่อยๆ ดื่มทีละจิบ โดยมองดูใบหน้าที่เป็นกังวลของหนิงชิงเสว่และจางเทา แล้วพูดขึ้นมา"ไม่เป็นไร ฉันสบายดีจริงๆ ความแข็งแกร่งของฉันพัฒนาอย่างก้าวกระโดด"เมื่อได้ยินแบบนี้นี้ จางเทากับหนิงชิงเสว่มองหน้ากัน เพราะคิดว่าฉู่เฉินอาจจะถูกทุบตี จนสมองได้รับการกระทบกระเทือนเมื่อรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ฉู่เฉินจึงส่งจางเทากลับไป จางเทาช่วยงานที่โถงสมุนไพรในตอนกลางวันเท่านั้น และยังต้องกลับฐานในตอนกลางคืน โชคดีที่การฝึกฝนของจางเทาราบรื่น และระยะทางนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาวันรุ่งขึ้น หลังจากได้รู้จากหลี่ซ่างว่า ไม่มีใครมาขอท้าดวลในวันนี้ ฉู่เฉินเข้าสู่เมืองลับแลมังกรเพื่อฝึกฝน ก่อนที่จะฝึกฝน ฉู่เฉินถามไปว่า เขาจำเป็นต้องฝึกวิชาจำพวกกระบี่กระบองด้วยหรือไม่ผลก็คือผู้อาวุโสเย่โกรธจัด บอกว่าเดินยังไม่ได้กลับคิดที่จะวิ่งเสียแล้ว หลังจากนั้น ก็ใช้การต่อสู้ เพื่อทดสอบความก้าวหน้าของเขา และเกือบจะทุบฉู่เฉินจนร้องไห้หาพ่อแก้วแม่แก้ว หากเขายังมีพ่อแม่อยู่ฉู่เฉินนอนลงบนพื้นเหมือนตายอย่างเขียดหลายครั้งที่ฉู่เฉินเข้าใจว่า ตัวเองต้องตายจริงๆผู
“ก็จริง ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดต้องเป็นอัจฉริยะของนิกายหลัก หรืออย่างน้อยก็เป็น นายน้อยจากตระกูลเศรษฐี ไม่มีทางเป็นพวกเราหรอก แต่นั่นคือสนาประลองสุดท้าย จะรีบร้อนตอนนี้ไปทำไมก่อน? พวกเรายังต้องจับตาดูสถานการณ์ปัจจุบันกันก่อนดีกว่า ตัดสินใจว่าจะเดิมพันกับผู้แข่งขันคนไหน แล้วหาเงินไปเป็นค่าขนม”"ถูกต้อง ฉันจะได้ยินมาว่าสำนักข่าวต้าเซี่ยวางแผนที่จะเปลี่ยนงานนี้ให้เป็นการแข่งขันศิลปะการต่อสู้สมัยใหม่ ไม่เพียงแค่นั้น พวกเขายังร่วมมือกับสองนิกาย สี่ตำหนัก และตระกูลใหญ่แปดตระกูลของเมืองหลวง เพื่อเป็นเจ้าภาพจัดงาน และยังได้เตรียมรางวัลมากมายให้กับนักสู้สามอันดับแรกอีกด้วย มีข่าวลือว่าผู้เข้าแข่งขันที่แข็งแกร่งที่สุดจะได้รับสมบัติเทพเจ้า!"“สมบัติเทพเจ้า! สมบัติแบบนั้นมีอยู่จริงในโลกเหรอ!”……การสนทนานี้สามารถพบเจอได้ตามทุกซอกทุกมุมของท้องถนนในเมืองหลวง แม้แต่คนธรรมดาที่ไม่ใช่นักสู้ก็ยังรู้เรื่องข่าวนี้ด้วยแม้ว่าคนธรรมดาทั่วไปจะไม่ได้สนใจเท่าไหร่ โดยคิดว่าเป็นเพียงการโฆษณาเกินจริงที่สนามประลองอีกสามแห่ง จะมีผู้ท้าดวลขึ้นไปท้าประลองเป็นครั้งคราว ในขณะเดียวกัน ณ โถงสมุนไพร ฉู่เฉินกำลัง "ฝึ
เรื่องที่ยากและมีค่าที่สุดของการฝึกนี้คือ ทัศนคิของผู้อาวุโสเย่ที่มีต่อมุมานะศึกษาของฉู่เฉิน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทรมานอย่างดุเดือดเพียงใด ฉู่เฉินก็ไม่เคยยอมแพ้ การฝึกสอนนี้ไม่เพียงแต่ฝึกความเชี่ยวชาญเท่านั้น แต่ยังฝึกความเพียรพยายามอีกด้วยเมื่อพูดถึงการถ่ายถอดวิชา ปรมาจารย์ที่เก่งกว่าปรมาจารย์นั้น คือปรมาจารย์ผู้รอบรู้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้อาวุโสเย่เป็นปรมาจารย์ผู้รอบรู้ที่ยอดเยี่ยมมาก แม้ว่าจะไม่เคยอธิบายหรือแนะนำอะไรกับฉู่เฉินโดยตรงเลยก็ตาม แต่การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ โดยที่ไม่รู้ตัว และมีส่งผลกระทบอย่างละเอียดอ่อนเหตุผลที่ฉู่เฉินยอมทนการปฏิบัติที่รุนแรงของผู้อาวุโสเย่ ด้วยความเต็มใจนั้นส่วนหนึ่งมาจากการปรึกษาอย่างจริงจังกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซวนหวู่ หลังจากที่เขาถูกทุบตีครั้งแรก ซวนหวู่บอกเขาว่า เขาสามารถวางใจได้และปฏิบัติตามคำสอนของผู้อาวุโสเย่ได้อย่างเชื่อฟัง ยิ่งไปกว่านั้น ยังแนะนำให้เขาลดความแข็งแกร่งของตัวเองให้ต่ำกว่าระดับจอมยุทธ และฝึกฝนในรูปแบบไม่เคยได้รับมาก่อน นอกจากนี้ยังเตือนฉู่เฉินไม่ให้รีบเร่งในการใช้อาณาเขตอะไรพวกนั้นด้วย เมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงจ