ฉู่เฉินซึ่งเดิมทีไม่ได้ให้ความสำคัญกับงานเลี้ยงนี้มากนัก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะระมัดระวังงานเลี้ยงแบบไหนกัน ที่จะทำให้นักสู้ผู้แข็งแกร่งในระดับมหากาฬมายืนเฝ้าที่หน้าประตูและตัวตนเช่นนี้ แม้แต่ในเมืองหลวงเอง ก็มักจะได้รับการปฏิบัติเหมือนแขกผู้มีเกียรติจากตระกูลที่มั่งคั่ง เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะมาเป็นยามเฝ้าประตู“พวกเรามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยง”ฉู่เฉินพูดอย่างสบายๆโดยไม่คาดคิด ชายคนนั้นไม่ได้ปล่อยพวกเขาเข้าไป แต่กลับถามคำถามแทน“โปรดแสดงบัตรเชิญคุณให้ฉันเห็นด้วย”เมื่อเห็นเช่นนี้ ฉู่เฉินก็ล้วงกระเป๋าและหยิบบัตรเชิญออกมา“ตอนนี้ พวกเราเข้าไปกันได้หรือยัง?”เขาโบกบัตรเชิญต่อหน้าชายคนนั้นชายคนนั้นก้าวหลบไปข้างๆ ทันทีและเปิดประตูห้องโถงให้พวกเขา ปล่อยให้พวกเขาเดินผ่านไปสถานที่จัดงานด้านในไม่ใหญ่นัก แต่ก็ไม่รู้สึกว่าแออัด การที่ฉู่เฉินเข้ามาพร้อมกับผู้หญิงสองคนไม่ได้ดึงดูดความสนใจมากนัก แต่เมื่อเขาเหลือบมองไปรอบๆ เขาก็สังเกตเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยสองสามคนแต่นี่ไม่ใช่เวลาสำหรับการทักทาย“พี่สาม อาจารย์ของคุณบอกไหมว่าคุณต้องไปพบใครที่นี่” ฉู่เฉินถามเฉียวหานอวี้เนื่องจาก
หานปิงพูดด้วยรอยยิ้ม คิดว่าฉู่เฉินจะมาเอาใจตนหลังจากที่รู้ว่าเขาเป็นคนในตระกูลหาน“แนะนำพวกเธอสองคนเหรอ? ไม่ต้องรีบร้อน ฉันขอถามอะไรนายหน่อย เมื่อฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะบอกนาย”ฉู่เฉินพูดอีกครั้งด้วยรอยยิ้มที่อธิบายไม่ถูกบนใบหน้าแม้ว่าหานปิงจะสับสน แต่เขาก็ไม่ได้คิดมากเกินไปและคิดไปเองว่าฉู่เฉินต้องการใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เพื่อเรียกร้องผลประโยชน์“ตระกูลหานควรซ่อนตัวอยู่ไม่ใช่เหรอ? ทำไมนายถึงมาที่นี่ได้?”“ไร้สาระ ซ่อนตัวหมายความอะไร นั่นคือการเก็บตัว การเก็บตัวฝึกฝนอย่างสันโดษเข้าใจไหม?”หานปิงราวกับว่าถูกบีบคอ น้ำเสียงของเขาก็สูงขึ้นเล็กน้อยอย่างกะทันหัน จะพูดถึงมันขึ้นมาทำไม ถ้ามีใครกล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขาที่อื่น เขาคงต้องสั่งสอนบทเรียนให้อีกฝ่ายแล้วเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของหานปิง ก็ดึงดูดความสนใจของใครบางคนไปแล้ว“โอเค เก็บตัว เมื่อนายพูดว่าการเก็บตัวอย่างสันโดษ มันหมายถึงการสันโดษ แล้วตอนนี้นายไปเก็บตัวที่ไหน?”ฉู่เฉินพูดต่อตามคำพูดของหานปิง“แน่นอน ตระกูลหานของเราทั้งหมดอยู่ในที่เก็บตัวอย่างสันโดษที่….”หานปิงตอบตามสัญชาตญาณ เพราะยังไงเขาก็เป็นนักสู้ระดับมหากาฬ แม้เข
“ซิวหลัวจื่อ ช่วยฉันด้วย!”หานปิงไม่สนใจในโอกาสและหน้าตาของตัวเอง ตะโกนขอความช่วยเหลือเสียงดังซิวหลัวจื่อและหวังซิง ซึ่งแต่เดิมกำลังดูเรื่องตลกนี้อย่างลับๆ ต่างมองหน้ากันโดยเฉพาะอย่างยิ่งซิวหลัวจื่อ เมื่อได้ยินหานปิงเรียกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสถบออกมาคิดถึงว่าหานปิงไร้ความสามารถ แต่ไม่รู้ว่า จะเกินเยี่ยวยาขนาดนี้นับตั้งแต่หานเล่ยตายไป ก็ไม่มีรุ่นเยาว์คนใดในตระกูลหานที่พอมีความสามารถไม่เห็นลูกไม้อะไรจากซิวหลัวจื่อ จากนั้นร่างก็กระพริบ และปรากฏตัวขึ้นไม่ไกลจากฉู่เฉิน“พี่ฉู่เฉิน ถ้าเขาอยู่ที่นี่ เขาก็ถือเป็นแขกของฉัน ได้โปรดปล่อยเขาไปเถอะ”ซิวหลัวจื่อปรากฏตัวต่อหน้าฉู่เฉินอย่างกะทันหันโดยไม่ได้ทำอะไร แต่เพียงพูดเบาๆ เท่านั้น“แล้วนายเป็นใคร?”“คุณมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยง และคุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันเป็นใคร?”“ขอโทษที ฉันไม่รู้จริงๆ ว่านายเป็นใคร ฉันหวังว่านายจะแนะนำตัวได้”ฉู่เฉินพูดตามความจริง ไม่ว่าจะเป็นหมอเทวดาหลี่ซางหรือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ไม่มีใครเคยบอกว่าใครเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงนี้ ฉู่เฉินไม่มีความสามารถในการทำนายล่วงหน้า ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงถามคำถามเท่านั้นแ
ขณะที่หวังซิงเดินเข้าไปหา ฉู่เฉินก็เหลือบมองอย่างเฉยเมย แต่กลับรู้สึกแปลกๆ ในใจของเขาราวกับว่ามีบางอย่างบนร่างของหวังซิงกำลังดึงดูดเขาแปลกมาก ก่อนหน้านี้เคยเจอหวังซิงที่โถงสมุนไพรมาก่อน และต่อมาก็เจอกับเขาที่คฤหาสน์ของตระกูลหยานผ่านกำแพงอีก แล้วทำไมตอนนั้นถึงไม่รู้สึกแบบนี้ตอนนี้ความรู้สึกนี้ปรากฏขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูก จะพูดยังไงดี?ฉู่เฉินมีสมมติฐานขึ้นมา แต่ก็ยังต้องกลับไปตรวจสอบกับหมอเทวดาหลี่ซางฉู่เฉินระงับความรู้สึกแปลกๆ ชั่วคราว และไม่ได้ตั้งใจจะยุ่งกับหวังซิงอย่างไรก็ตาม หวังซิงกลับไม่มีเจตนาที่จะปล่อยเรื่องนี้ไป“ฉู่เฉิน ฉันต้องบอกว่าฉันชื่นชมความกล้าหาญของแก แม้จะรู้ว่าตระกูลหวังกำลังตามล่าแกอยู่ แกก็ยังกล้าที่จะกลับมาเมืองหลวง แกรู้ไหมว่านักสู้ทุกคนในเมืองหลวงกำลังตามหาแกอยู่”“ตามหาฉัน? ล้อเล่นน่ะ ฉันคือซวนหวู่แห่งต้าเซี่ย และตระกูลหวังของแกสามารถออกตามล่าฉันตามใจชอบได้งั้นเหรอ แกยังเห็นต้าเซี่ยอยู่ในสายตาของแกอยู่ไหม”ฉู่เฉินก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สงบและสบายๆ“นี่เป็นเรื่องระหว่างพวกเราชาวนักสู้ แกคิดจริงๆ เหรอว่าต้าเซี่ยจะปกป้องแกได้? ล้อเล่นหรือเปล่า ถ้ามัน
“เฉียวหานอวี้ อย่ามั่นหน้ามั่นโหนกเกินไปหน่อยนะ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าของอาจารย์เธออย่าง หมอเทวดาหลี่ซาง เธอก็คงไม่ได้มาอยู่ที่นี่!”ซิวหลัวจื่อขุ่นเคืองและพูดจาอย่างโกรธเกรี้ยว“ส่วนนาย ฉู่เฉิน แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่านายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แต่ทุกคนที่มารวมตัวกันที่นี่ล้วนเป็นนายน้อยจากหลายตระกูล หากนายมาที่นี่ นายก็ต้องปฏิบัติตามกฎที่นี่ ทำตัวดีๆ และปล่อยหานปิงไปซะ!”ขณะที่ซิวหลัวจื่อพูดออกมา ก็ได้ปลดปล่อยรัศมีรัศมีของจอมยุทธแผ่กระจายไปทั่วห้อง ทำให้ทั่วทั้งบริเวณเงียบไปชั่วขณะมั่นใจในพลังของตัวเอง และคิดว่าสามารถระงับสถานการณ์ได้อย่างง่ายดายฉู่เฉินกลับเผชิญหน้ากับพลังนี้โดยไม่แสดงสีหน้า และเปิดปากพูด“กฎอะไร กฎของนายเหรอ? ฉันคิดว่าพวกแกสองคนเป็นแมงสาบสองตัวที่จับกลุ่มรวมตัวกันอีก”สายตาของฉู่เฉินกวาดไปทั่วห้อง สังเกตเห็นว่าแทบทุกคน หลังจากสัมผัสได้ถึงรัศมีของซิวหลัวจื่อแล้ว ได้กำลังจ้องมองเขาอย่างจ้องที่จะทำร้าย"นายจะคิดแบบนั้นก็ได้!"แม้ว่าซิ่วหลัวจื่อจะประหลาดใจกับความแข็งแกร่งของฉู่เฉิน แต่มีข่าวลือว่าเด็กคนนี้เพิ่งทะลวงผ่านเป็นจอมยุทธ และยังอยู่ใต้แรงกดดันจากจอมยุท
เมื่อเห็นท่าทีอย่างนั้นของหวังซิง ฉู่เฉินก็ไม่ได้ทำอะไรเลย หากหานปิงซึ่งถูกฉู่เฉินจับตัวอยู่ก็พูดออกมาเองหรือบางทีอาจสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของฉู่เฉินที่มีต่อเขา แม้ว่าตอนนี้สายตาของฉู่เฉินจะไม่ได้จับจ้องมาที่เขาแล้ว แต่หานปิงก็ยังคงพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกลัว“หวังซิง หยุดพูดจาประชดประชันได้แล้ว”เมื่อถูกเรียกชื่อตรงๆ ดวงตาของหวังซิงก็หรี่ลง และเจตนาฆ่าก็เผยขึ้นมาในดวงตา แต่แววตานั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว“ไม่ต้องห่วง มีพวกเรามากมายขนาดนี้ เขาไม่กล้าที่จะฆ่านายหรอก”ราวกับจะยืนยันคำพูดของหวังซิง ซิวหลัวจื่อก็ถอนรัศมีของตัวเองกลับมา“ฉู่เฉิน ปล่อยเขาไปเถอะ ถ้านายตั้งใจจะพูดอะไร นายได้ทำไปแล้ว หานปิงกลัวจนแทบจะฉี่ราดแล้วนะ” ฉีอันปังก็พูดแทรกขึ้นมาจากด้านข้างทุกคนในที่นั้นเชื่อกันว่าฉู่เฉินจะไม่ฆ่าใครยกเว้นคนๆ หนึ่ง นั่นคือหนิงชิงเสว่ในฐานะพี่สาวของฉู่เฉิน หนิงชิงเสว่รู้ดีกว่าใครๆ ว่า ถ้าฉู่เฉินตัดสินใจแล้ว ก็จะไม่สนใจว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร“เสี่ยวเฉิน….”หนิงชิงเสว่กำลังจะพูดฉู่เฉินหันกลับมาและพูดบางอย่าง“พี่เจ็ด แม้แต่คุณก็ยังอยากเปลี่ยนใจฉันเหรอ?”“แน่นอนว่า
ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งซิวหลัวจื่อและหวังซิงต่างได้ระเบิดพลังออกมารัศมีหนึ่งจอมยุทธขั้นหกกับรัศมีหนึ่งจอมยุทธขั้นสี่ฉู่เฉินก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และได้ปลดปล่อยรัศมีของตัวเองออกมา เพื่อโจมตีตอบโต้“แค่พวกนายสองคนกล้าดียังไง? ไร้สาระ!”รัศมีของจอมยุทธขั้นหกปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณไม่เพียงแต่กดทับพลังของซิวหลัวจื่อเท่านั้น แต่ยังกดทับพลังของหวังซิงด้วยสำหรับฉีอันปังและคนอื่นๆ พวกเขาอ่อนแอเกินกว่าจะยืนหยัดได้เมื่อเผชิญกับรัศมีอันทรงพลังเช่นนี้ และถูกบังคับให้ถอยออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ฮึ่ม พวกเราอาจจะไม่สามารถล้มคุณคนเดียวได้ แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้อาวุโสของเราอยู่ที่นี่” ซิวหลัวจื่อพูดพร้อมกับต้านทานแรงกดดันของฉู่เฉิน“ฉู่เฉิน แกคิดจริงๆ เหรอว่าในฐานะทายาทของตระกูลใหญ่ พวกเราจะไม่พาปรมาจารย์ของตระกูลมาด้วย ลุงหวัง ออกมาจับผู้หลบหนีคนนี้!” หวังซิงพูดอย่างเย็นชา เมื่อคำพูดของเขาจบลง ประตูห้องโถงก็เปิดออกโดยไม่มีลมพัดชายชราสองคนยืนอยู่ที่ทางเข้า“ลุงหวัง”“ผู้อาวุโสสาม”หวังซิงและซิวหลัวจื่อพูดกัน เมื่อพวกเขาเห็นผู้อาวุโสแต่ละคนฉู่เฉินหันไปมองพวกเขาผู้อาวุโสสองคน คนหนึ่งสวมเสื้อคลุม
ฉู่เฉินยังคงไม่ตอบ“น่าเสียดาย สายเลือดสุดท้ายของตระกูลฉู่ จะต้องตายในเงื้อมมือของฉันวันนี้”ทันใดนั้น ชายชราก็กระโจนเข้าใส่ทันที แสงสีดำพุ่งออกมาจากร่างของเขา มุ่งตรงไปที่ฉู่เฉิน"พิโรธทมิฬ นี่คือวิชาอันโด่งดังของผู้อาวุโสสาม ว่ากันว่าเมื่อผู้อาวุโสสามใช้วิชานี้ แม้แต่ผู้ที่มีวรยทุธเท่าเขาเอง ก็ต้องดิ้นรน เพื่อเอาชีวิตรอด ฉู่เฉินอยู่แค่ขั้นหกของจอมยุทธ์เท่านั้น เขาไม่มีทางที่จะรอดจากกระบวนท่านี้ได้แน่นอน คราวนี้ได้ตายจริงๆ แล้ว"ซิวหลัวจื่อก็ประหลาดใจเช่นกัน เมื่อเห็นผู้อาวุโสทั้งสามใช้วิชานี้“ใช่ ฉู่เฉินดันไปหาเรื่องทำให้ซิวหลัวจื่อขุ่นเคืองเอาซะได้ ทุกคนก็รู้ว่าสถานะของนายในตำหนักอสูรนั้น ไม่มีใครทัดเทียมได้ และผู้อาวุโสก็มองว่า เขาเป็นผู้นำในอนาคตของตำหนักอสูรแล้ว”หวังซิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พูดจาประจบประแจง ซึ่งทำให้ซิวหลัวจื่อหน้าบานด้วยความพอใจลำแสงสีดำราวกับดาบคมพุ่งเข้าหาฉู่เฉินในพริบตา ขณะที่เขากำลังจะหลบหลีก จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ตอบสนองได้ชัดเจนลำแสงสีดำนี้ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ แม้ว่าตัวเองจะเร็วแค่ไหนก็ตาม มันจะติดตามไปเหมือนเงา และการถูกแทงก็เป็นสิ่งที่ ไม่อาจหลีก