บทที่ 133 ใต้ร่มพระบารมีของฮ่องเต้ผู้ทรงเมตตาตรงลานกว้างตอนนี้ถูกจัดให้เป็นที่ตั้งโต๊ะสำหรับวางอาหารถึงห้าร้อยโต๊ะเรียงรายจนสุดลูกหูลูกตา เสียงแม่ครัวและนายทหารขะมักเขม้นตระเตรียมหม้อโจ๊กขนาดใหญ่ กลิ่นของข้าวตุ๋นที่เดือดปุด ๆ ส่งไอร้อนฉุยขึ้นสู่ยอดผ้าใบกันแดด จนใครที่เดินผ่านก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ ขณะเดียวกัน กลิ่นร้อนกรุ่นของซาลาเปาหอม ๆ ก็ลอยอบอวลกระตุ้นความหิวโหยในหัวใจผู้คนหลายพันชีวิตที่รอต่อคิวอยู่ ทั้งเด็กตัวน้อยที่มีตาโหลลึก และคนเฒ่าคนแก่ที่นั่งพิงไม้เท้า ต่างพากันขยี้ตาเพราะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป ซาลาเปาเป็นพันเป็นหมื่นลูกจะมีจริง ๆ หรือ!เหนือศีรษะ หลักไม้ถูกตั้งเรียงเป็นแนวค้ำผ้าใบขนาดใหญ่เพื่อกันแดด แต่ก็ทำได้เพียงบรรเทาความร้อนแผดเผาลงมาเล็กน้อย บางคนมีเหงื่อไหลอาบจนเสื้อผ้าติดเนื้อ บ้างหน้ามืดแสบตาเพราะไม่ได้กินข้าวมาหลายมื้อ แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดทนต่อแถวอย่างเป็นระเบียบเพื่อหวังจะได้รับเสบียงอาหารอันล้ำค่านี้องค์ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง ประทับยืนอยู่ด้านหน้าสุด ตรงโต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่ทีมงานใช้เป็นจุดศูนย์กลางในการแจกจ่ายเสบียง พระองค์ฉลองพระองค์อย่างเรียบง่ายในโทนสีอ่อน แฝงไว้ด
บทที่ 134 ประหาร / เนรเทศในขณะที่ ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง กำลังทรงงานหนักในการแจกข้าวสารอาหารแห้งให้แก่ประชาชนในแคว้นต้าหมิง เพื่อบรรเทาความอดอยากที่โหมกระหน่ำทั่วแผ่นดินนั้น—อีกฟากหนึ่งของยุทธภพ ณ เมืองหลวงของ แคว้นต้าโจว กลับเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกี่ยวข้องกับคนที่สองพี่น้องตระกูลเฟิงรู้จักดีเฟิงหย่าเสวี่ย และ เฟิงหยวนเจี๋ย เดินทางกลับมาถึง เมืองหลวงแคว้นต้าโจว หลังผ่านการผจญภัยทั้งร้อนและหนาว พวกเขาคิดว่าจะได้พักผ่อนสักระยะ ทว่าเมื่อก้าวเข้าประตูเมืองได้เพียงไม่นาน สองพี่น้องกลับพบเห็นภาพขบวนเชลยที่กำลังถูกคุมตัวไปยัง ลานประหาร โดยมีฝูงชนเบียดเสียดมุงดูอยู่รายรอบ ใบหน้าของผู้คนเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและสาปแช่งเสียงแหลม สายตาของสองพี่น้องกวาดไปยังเหล่านักโทษในชุดผ้าขาดรุ่ยสกปรก มีทั้งขุนนางเก่าและบ่าวไพร่ที่ทรยศแผ่นดิน ทั้งหมดถูกตีตรวนตรึงมือไพล่หลังไว้แน่นเสียงโซ่ตรวนดังกรุ๋งกริ๋งบนถนนหลวง เมื่อขบวนนักโทษทรยศถูกนำตัวมุ่งหน้าสู่ลานประหาร แดดยามสายแผดเผาไร้ความปรานี เหงื่อไหลอาบใบหน้าของเหล่านักโทษแผ่นดินที่เดินตามกันไปสู่ลานประหารทว่ามีร่างหนึ่งที่ทั้งเฟิงหยวนเจี๋ยและเฟิงหย่าเ
บทที่ 135 ปลอบใจข้าหน่อยข้าขวัญหายเพราะพี่สาวของเจ้า..ในค่ำคืนที่บรรยากาศเงียบสงบ รอบนอกจวนแม่ทัพซู่หลิงมีเพียงเสียงแมลงกลางคืนและสายลมบาง ๆ พัดโชย แสงจันทร์ขับให้น้ำค้างบนใบไม้ทอประกายวิบวับ ดูเหมาะแก่การพักผ่อนยิ่งนักแม่ทัพซู่หลิง ที่สวมเสื้อคลุมหลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จกลับนั่งอย่างกระสับกระส่ายอยู่ตรงห้องนอน สีหน้าเขาฉายแววเหมือนคนเพิ่งผ่านศึกสำคัญมา แต่ไม่ใช่ศึกกลางสนามรบ หากเป็น “ศึก” ที่มี พี่สาวภรรยา เป็นตัวการ"อวี้เออร์… ค่ำมืดแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังไม่มาปลอบข้าอีก” มีเขาผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถเรียกจวงหลิวอวี้ว่าอวี้เออร์เขาพึมพำแผ่วเบาด้วยความเฝ้ารอ พลางยกชาอุ่นขึ้นจิบครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ารสชาติของชาในปากกลับจืดชืด ไม่อาจบรรเทาจิตใจให้สงบลงได้ หลังจากที่โดน จวงหลิวเฟิง พี่สาวของภรรยาระเบิดรูปปั้นสิงโตใส่ไปสองตัว ด้วยโทสะเมื่อช่วงกลางวัน ความหวาดกลัวปนความอายก็เล่นงานแม่ทัพหนุ่มไม่เลิก และเขาก็คิดว่านี่คือความผิดของภรรยาของเขานางจะต้องมาปลอบใจปลอบขวัญเขาเพราะว่าพี่สาวของนางทำให้เขาขวัญกระเจิงหมด..ใช่แล้วความผิดของหญิงชราของเขา นางต้องรับผิดชอบบบ!!! ความคิดของแม่ทัพซู่หล
บทที่ 136 ปรับความเข้าใจในเวลาเดียวกันที่วังหย่งเฮ่า องค์หญิงเฟยเหยาเองก็ต้องเผชิญกับความจริงที่น่าผิดหวังเกี่ยวกับตระกูลของราชครูหลิ่ว ซึ่งเป็นตระกูลฝั่งมารดาของนาง ซึ่งนางเคยเคารพและเชื่อฟังเป็นอย่างมากมาตลอดหลายปี เมื่อนางได้รู้ว่าตระกูลของราชครูหลิ่วได้คิดกบฏและขายชาติ ความรู้สึกผิดหวังและเสียใจถาโถมเข้ามาในจิตใจของนาง แม้ในเวลาที่ตระกูลหลิ่วกำลังจะถูกเนรเทศ ท่านยายของนางยังให้บ่าวคนสนิทมาหานางเพื่อขอความช่วยเหลือ“องค์หญิงเพคะ ท่านยายฝากให้หม่อมฉันนำจดหมายนี้มาให้องค์หญิง…” บ่าวคนสนิทคุกเข่าต่อหน้าองค์หญิงพร้อมยื่นจดหมาย นางลังเลเล็กน้อยก่อนจะเปิดอ่าน เมื่ออ่านข้อความจบลง นางถอนหายใจยาว“บอกท่านยายเถิด ข้าไม่อาจช่วยอะไรได้ คดีของพวกเขาหนักหนานัก แม้แต่ข้าก็ไม่อาจฝืนกฎหมายของบ้านเมือง…” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ก่อนจะเรียกนางกำนัลคนสนิทเข้ามา“เจ้าจงนำตั๋วเงินสามพันตำลึงไปมอบให้ท่านยาย บอกนางว่าเก็บไว้ให้ดี อย่าได้แสดงออกมาให้ใครเห็นในระหว่างเดินทาง เข้าใจหรือไม่?” องค์หญิงเฟยเหยาสั่งอย่างเด็ดขาด แม้จะรู้สึกสะเทือนใจ แต่สิ่งเดียวที่นางทำได้คือช่วยให้พวกเขามีทุนในการดำรงชีวิตร
บทที่ 1 ความอัปยศณ คฤหาสน์ตระกูลเจียงอันยิ่งใหญ่แห่งแคว้นต้าจงค่ำคืนที่เงียบสงบกลับกลายเป็นค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความโกลาหล ท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนบ่งบอกถึงชะตากรรมอันเลวร้ายของคนในตระกูลเจียง ภายในจวนใหญ่ของตระกูลเจียง ผู้คนต่างมารวมตัวกันอย่างแน่นหนา เสียงซุบซิบและการพูดคุยกันเบาๆ ของเหล่าคนในตระกูลและบ่าวไพร่ดังขึ้นทั่วบริเวณ สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังศาลาที่ใช้สำหรับตัดสินความผิด ศาลาที่เคยสงบเงียบกลับเต็มไปด้วยความอึดอัดและแรงกดดันเจียงซิ่วเหยา ฮูหยินใหญ่ของเสนาบดีเจียงเฉินนั่งคุกเข่าอยู่ตรงกลางศาลา ใบหน้าของนางซีดเผือด ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ น้ำตาหยดลงบนพื้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นางพยายามปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ถูกยัดเยียดอย่างไม่เป็นธรรม แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครฟังนางเลย ทุกคนต่างมองนางด้วยสายตาเย้ยหยันและรังเกียจ แต่ทว่าแม้นางจะอยู่ในสภาพที่อ่อนแอและสิ้นหวัง แต่ความงดงามของนางยังคงโดดเด่นราวกับดอกสาลี่ที่ต้องสายฝนกระหน่ำ ใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของนางกลับทำให้คนมองรู้สึกทั้งสงสารและริษยาในความงามพิลาศที่สวรรค์ลำเอียงให้นางมามากมาย ความงามอันอ่อนหวานนั้นเป็นที่ริษยาของบรรดาฮูหยินรองและอี้เห
บทที่ 2 เผชิญโลกภายนอก / ของขวัญวันเกิดภาพสุดท้ายที่เหล่าบ่าวรับใช้ของตระกูลเจียงเห็นและกลับไปรายงานให้กับเจ้านายของพวกเขาแต่ละคนก็คือ ภาพของหญิงสาวที่มีสภาพไม่ต่างจากดอกไม้กลีบบอบบางที่โดยฝนกระหน่ำจนบอบช้ำแต่ทว่ายังแข็งใจเดินออกมา มือหนึ่งจูงลูกสาว อีกมือจูงมือลูกชาย และมีบ่าว 4 คนที่หอบข้าวของพะรุงพะรังเดินตามถนนของเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย"เจี๋ยเออร์ เสวี่ยเออร์ ไม่ต้องกลัวนะลูก แม่ยังอยู่กับพวกเจ้าเสมอ"นางพูดกับลูกๆ ของนางเบาๆ เจียงหย่าเสวี่ยที่ร้องไห้เสียงสั่น "ท่านแม่...เราจะไปไหนกันหรือเจ้าคะ? ทำไมท่านพ่อถึง..."เจียงซิ่วเหยาพยายามยิ้มอย่างเข้มแข็งไปที่ลูกสาว "ไม่เป็นไรนะลูก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่จะพาพวกเจ้าไปในที่ที่ปลอดภัย เราจะเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรเลย"ป้าจวงหันมาพูดกับเจียงซิ่วเหมย"ฮูหยินเจ้าคะ เราแวะพักที่โรงเตี้ยมข้างหน้านั้นก่อนดีไหมเจ้าคะ? ดูเหมือนคุณหนูทั้งสองจะเหนื่อยกันมากแล้ว"เจียงซิ่วเหยา "คุณหนู!! ต่อไปป้าจวงเรียกข้าว่าคุณหนูเถอะ..ตอนนี้ไม่มีฮูหยินอีกแล้ว เอาตามที่เจ้าว่าเถอะ เจี๋ยเออร์กับเสวี่ยเออร์คงจะหิวแล้วจริงไหมลูก?"เจียงเจ
บทที่ 3 เจ็บแล้วจำคือคน....ท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่เบื้องบน เมฆลอยละล่องพลิ้วไหวเป็นระลอกคลื่น รถม้าสองคันแล่นตามกันออกจากเมืองหลวงที่คึกคักสู่ชนบทที่ห่างไกล สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้ากว้างขวาง ต้นไม้สูงชะลูดและอาคารแบบทรงนิยมในเมืองหลวง ที่อยู่เบื้องหลังดูเหมือนจะเลือนรางและห่างไกลออกไปทุกที บรรยากาศที่เคยครึกครื้นในเมืองหลวงกลับถูกแทนที่ด้วยความเงียบสงบและเดียวดาย มีเพียงเสียงล้อรถม้าที่กระทบกับถนนกรวดดังเบา ๆ และเสียงลมพัดผ่านเท่านั้น รถม้าคันหนึ่งเป็นที่นั่งของเจียงซิ่วเหยากับลูก ๆ และป้าจวงบ่าวคนสนิท อีกคันเป็นที่นั่งของบ่าวรับใช้สามคนและสัมภาระทั้งหมดที่นำติดตัวมา แม้จะมีคนอยู่ข้างกัน แต่ความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งและไร้ที่พึ่งก็ยังคงครอบงำหัวใจของพวกเขาเจียงซิ่วเหยานั่งอยู่ในรถม้า ป้าจวงบ่าวคนสนิทนั่งอยู่ข้าง ๆ ทั้งสองกำลังปรึกษากันเกี่ยวกับแผนการในอนาคต นางมองออกไปยังทิวทัศน์ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ นางรู้สึกทั้งกังวลและทุกข์ใจในเวลาเดียวกัน จุดหมายปลายทางของนางคือเมืองที่เรียกว่าอวี้ไห่ เมืองชนบทห่างไกลที่อยู่ริมทะเล ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านเกิดของท่านแม่ของนาง นางจำได้ว่าครั้ง
บทที่ 4 การสูญเสียและการเริ่มต้นใหม่การเดินทางที่ยาวนานและแสนเหน็ดเหนื่อยจากเมืองหลวงมายังเมืองอวี้ไห่ได้ผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน ท้องฟ้าที่เปลี่ยนแปลงจากแดดร้อนจัดสลับกับฝนตกอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นศัตรูที่ทำให้เจียงหย่าเสวี่ย ลูกสาวคนโตของเจียงซิ่วเหยาต้องป่วยไข้ตั้งแต่เริ่มการเดินทาง แม้นางจะเป็นเด็กที่แข็งแรงและมีความอดทนมากแค่ไหน แต่เมื่อเผชิญกับการเดินทางที่เหนื่อยล้าและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย นางก็ไม่อาจต้านทานความเจ็บป่วยที่เข้ามากล้ำกลายได้ในระหว่างการเดินทาง คนขับรถม้าและผู้คุ้มกันก็มักจะพูดคุยกันถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างไม่คาดคิด"เฮ้อ วันนี้ร้อนจัดจนเหงื่อท่วมตัว แต่พอพ้นเที่ยงไปฝนก็เทลงมาเหมือนฟ้ารั่ว นี่มันอะไรกันนักหนา"คนขับรถม้าบ่นออกมา ขณะที่มือของเขากุมบังเหียนแน่นเพื่อควบคุมม้าไม่ให้วิ่งเร็วเกินไปบนถนนที่ลื่นจากฝน"ข้าเองก็ไม่เคยเห็นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน" ผู้คุ้มกันที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยตอบ"มันทำให้การเดินทางลำบากขึ้นเยอะจริง ๆ นายหญิงและคุณหนูก็ต้องลำบากไปด้วย ข้าหวังว่าเราจะไปถึงเมืองต่อไปโดยไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก""ใช่ ข้าก็หวังเช
บทที่ 136 ปรับความเข้าใจในเวลาเดียวกันที่วังหย่งเฮ่า องค์หญิงเฟยเหยาเองก็ต้องเผชิญกับความจริงที่น่าผิดหวังเกี่ยวกับตระกูลของราชครูหลิ่ว ซึ่งเป็นตระกูลฝั่งมารดาของนาง ซึ่งนางเคยเคารพและเชื่อฟังเป็นอย่างมากมาตลอดหลายปี เมื่อนางได้รู้ว่าตระกูลของราชครูหลิ่วได้คิดกบฏและขายชาติ ความรู้สึกผิดหวังและเสียใจถาโถมเข้ามาในจิตใจของนาง แม้ในเวลาที่ตระกูลหลิ่วกำลังจะถูกเนรเทศ ท่านยายของนางยังให้บ่าวคนสนิทมาหานางเพื่อขอความช่วยเหลือ“องค์หญิงเพคะ ท่านยายฝากให้หม่อมฉันนำจดหมายนี้มาให้องค์หญิง…” บ่าวคนสนิทคุกเข่าต่อหน้าองค์หญิงพร้อมยื่นจดหมาย นางลังเลเล็กน้อยก่อนจะเปิดอ่าน เมื่ออ่านข้อความจบลง นางถอนหายใจยาว“บอกท่านยายเถิด ข้าไม่อาจช่วยอะไรได้ คดีของพวกเขาหนักหนานัก แม้แต่ข้าก็ไม่อาจฝืนกฎหมายของบ้านเมือง…” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ก่อนจะเรียกนางกำนัลคนสนิทเข้ามา“เจ้าจงนำตั๋วเงินสามพันตำลึงไปมอบให้ท่านยาย บอกนางว่าเก็บไว้ให้ดี อย่าได้แสดงออกมาให้ใครเห็นในระหว่างเดินทาง เข้าใจหรือไม่?” องค์หญิงเฟยเหยาสั่งอย่างเด็ดขาด แม้จะรู้สึกสะเทือนใจ แต่สิ่งเดียวที่นางทำได้คือช่วยให้พวกเขามีทุนในการดำรงชีวิตร
บทที่ 135 ปลอบใจข้าหน่อยข้าขวัญหายเพราะพี่สาวของเจ้า..ในค่ำคืนที่บรรยากาศเงียบสงบ รอบนอกจวนแม่ทัพซู่หลิงมีเพียงเสียงแมลงกลางคืนและสายลมบาง ๆ พัดโชย แสงจันทร์ขับให้น้ำค้างบนใบไม้ทอประกายวิบวับ ดูเหมาะแก่การพักผ่อนยิ่งนักแม่ทัพซู่หลิง ที่สวมเสื้อคลุมหลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จกลับนั่งอย่างกระสับกระส่ายอยู่ตรงห้องนอน สีหน้าเขาฉายแววเหมือนคนเพิ่งผ่านศึกสำคัญมา แต่ไม่ใช่ศึกกลางสนามรบ หากเป็น “ศึก” ที่มี พี่สาวภรรยา เป็นตัวการ"อวี้เออร์… ค่ำมืดแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังไม่มาปลอบข้าอีก” มีเขาผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถเรียกจวงหลิวอวี้ว่าอวี้เออร์เขาพึมพำแผ่วเบาด้วยความเฝ้ารอ พลางยกชาอุ่นขึ้นจิบครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ารสชาติของชาในปากกลับจืดชืด ไม่อาจบรรเทาจิตใจให้สงบลงได้ หลังจากที่โดน จวงหลิวเฟิง พี่สาวของภรรยาระเบิดรูปปั้นสิงโตใส่ไปสองตัว ด้วยโทสะเมื่อช่วงกลางวัน ความหวาดกลัวปนความอายก็เล่นงานแม่ทัพหนุ่มไม่เลิก และเขาก็คิดว่านี่คือความผิดของภรรยาของเขานางจะต้องมาปลอบใจปลอบขวัญเขาเพราะว่าพี่สาวของนางทำให้เขาขวัญกระเจิงหมด..ใช่แล้วความผิดของหญิงชราของเขา นางต้องรับผิดชอบบบ!!! ความคิดของแม่ทัพซู่หล
บทที่ 134 ประหาร / เนรเทศในขณะที่ ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง กำลังทรงงานหนักในการแจกข้าวสารอาหารแห้งให้แก่ประชาชนในแคว้นต้าหมิง เพื่อบรรเทาความอดอยากที่โหมกระหน่ำทั่วแผ่นดินนั้น—อีกฟากหนึ่งของยุทธภพ ณ เมืองหลวงของ แคว้นต้าโจว กลับเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกี่ยวข้องกับคนที่สองพี่น้องตระกูลเฟิงรู้จักดีเฟิงหย่าเสวี่ย และ เฟิงหยวนเจี๋ย เดินทางกลับมาถึง เมืองหลวงแคว้นต้าโจว หลังผ่านการผจญภัยทั้งร้อนและหนาว พวกเขาคิดว่าจะได้พักผ่อนสักระยะ ทว่าเมื่อก้าวเข้าประตูเมืองได้เพียงไม่นาน สองพี่น้องกลับพบเห็นภาพขบวนเชลยที่กำลังถูกคุมตัวไปยัง ลานประหาร โดยมีฝูงชนเบียดเสียดมุงดูอยู่รายรอบ ใบหน้าของผู้คนเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและสาปแช่งเสียงแหลม สายตาของสองพี่น้องกวาดไปยังเหล่านักโทษในชุดผ้าขาดรุ่ยสกปรก มีทั้งขุนนางเก่าและบ่าวไพร่ที่ทรยศแผ่นดิน ทั้งหมดถูกตีตรวนตรึงมือไพล่หลังไว้แน่นเสียงโซ่ตรวนดังกรุ๋งกริ๋งบนถนนหลวง เมื่อขบวนนักโทษทรยศถูกนำตัวมุ่งหน้าสู่ลานประหาร แดดยามสายแผดเผาไร้ความปรานี เหงื่อไหลอาบใบหน้าของเหล่านักโทษแผ่นดินที่เดินตามกันไปสู่ลานประหารทว่ามีร่างหนึ่งที่ทั้งเฟิงหยวนเจี๋ยและเฟิงหย่าเ
บทที่ 133 ใต้ร่มพระบารมีของฮ่องเต้ผู้ทรงเมตตาตรงลานกว้างตอนนี้ถูกจัดให้เป็นที่ตั้งโต๊ะสำหรับวางอาหารถึงห้าร้อยโต๊ะเรียงรายจนสุดลูกหูลูกตา เสียงแม่ครัวและนายทหารขะมักเขม้นตระเตรียมหม้อโจ๊กขนาดใหญ่ กลิ่นของข้าวตุ๋นที่เดือดปุด ๆ ส่งไอร้อนฉุยขึ้นสู่ยอดผ้าใบกันแดด จนใครที่เดินผ่านก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ ขณะเดียวกัน กลิ่นร้อนกรุ่นของซาลาเปาหอม ๆ ก็ลอยอบอวลกระตุ้นความหิวโหยในหัวใจผู้คนหลายพันชีวิตที่รอต่อคิวอยู่ ทั้งเด็กตัวน้อยที่มีตาโหลลึก และคนเฒ่าคนแก่ที่นั่งพิงไม้เท้า ต่างพากันขยี้ตาเพราะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป ซาลาเปาเป็นพันเป็นหมื่นลูกจะมีจริง ๆ หรือ!เหนือศีรษะ หลักไม้ถูกตั้งเรียงเป็นแนวค้ำผ้าใบขนาดใหญ่เพื่อกันแดด แต่ก็ทำได้เพียงบรรเทาความร้อนแผดเผาลงมาเล็กน้อย บางคนมีเหงื่อไหลอาบจนเสื้อผ้าติดเนื้อ บ้างหน้ามืดแสบตาเพราะไม่ได้กินข้าวมาหลายมื้อ แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดทนต่อแถวอย่างเป็นระเบียบเพื่อหวังจะได้รับเสบียงอาหารอันล้ำค่านี้องค์ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง ประทับยืนอยู่ด้านหน้าสุด ตรงโต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่ทีมงานใช้เป็นจุดศูนย์กลางในการแจกจ่ายเสบียง พระองค์ฉลองพระองค์อย่างเรียบง่ายในโทนสีอ่อน แฝงไว้ด
บทที่ 132 พระราชามาแจกอาหารยามอรุณรุ่ง แสงสีทองบางเบาแตะแต้มผืนฟ้าเหนือค่ายพักแรม เหล่าทหารและขุนนางของแคว้นต้าหมิงเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ สายลมอ่อนโยนพัดผ่านพุ่มไม้และผืนหญ้า ส่งกลิ่นดินชื้นหลังการต่อสู้มาเหนื่อยหนักหลายคืน เมื่อยามราตรีถูกแทนที่ด้วยแสงของอรุณ วันใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น โดยมีร่องรอยของอดีตเป็นเครื่องเตือนว่าการฟื้นฟูแคว้นนี้ยังอีกยาวไกลท่ามกลางลานกว้างในค่ายพักแรม ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงยืนอยู่เบื้องหน้า สายพระเนตรจับจ้องไปยังสองพี่น้องตระกูลเฟิงที่ยืนสงบนิ่งเบื้องพระพักตร์ พวกเขาเป็นแขกผู้มาเยือนจากแคว้นต้าโจว แต่กลับต้องต่อสู้ร่วมกันเพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์ จากอำนาจอันโหดร้ายของอดีตฮองเฮาเหวินลี่หรงและเหล่าบริวารที่กดขี่ราษฎรมานานแสนนาน หลังจากที่สองพี่น้องตระกูลเฟิงได้ช่วยเหลือฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงจัดการกับเหวินเทียนหลงและจัดการระเบิดถ้ำแห่งนั้นแล้วทั้งสองก็จะกลับมาแคว้นต้าโจวก่อนจากกันเฟิงหย่าเสวี่ยและเฟิงหยวนเจี๋ยยืนอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง ท่ามกลางสายลมยามเช้าที่พัดโชยเฟิงหยวนเจี๋ยและเฟิงหย่าเสวี่ยสวมเสื้อผ้าเดินทางอย่างเรียบง่าย ทว่าท่วงท่าของทั้งคู่เต็ม
บทที่ 131 ผู้ถือครองพู่กันมังกรดำคนใหม่ / ป้ายทองเว้นโทษตายพู่กันมังกรดำส่องประกายวูบวาบ ก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและมุ่งหน้าตรงไปที่แคว้นต้าโจวมันพุ่งอย่างเร็วและแรงเลยผ่านหลายเมืองของแคว้นต้าโจวไม่ว่าจะเป็นดินแดนทางเหนือเลยผ่านเมืองหลวง และมุ่งหน้าลงใต้และในที่สุดมันก็สิ้นสุดลงที่่เมืองอวี้ไห่จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลเฟิงที่ตอนนี้มีผู้ที่อยู่ที่นั่นมีเพียงแค่หลินเหมยและเฟิงซินซินลูกสาวตัวน้อยของนางนั้นเองในห้องที่อบอุ่นของคฤหาสน์ตระกูลเฟิง เฟิงซินซินน้อยเพิ่งดื่มนมมารดาเสร็จ ดวงตากลมโตเริ่มหรี่ลงด้วยความง่วง ริมฝีปากน้อยๆ ยังเปื้อนรอยนม หลินเหมยได้อุ้มลูกน้อยไปนอนในเปลและเมื่อเห็นว่าลูกน้อยหลับนางจึงได้ออกจากห้องไปแต่แล้วลมเย็นก็พัดผ่านเข้ามาในห้อง พู่กันมังกรดำลอยเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มันวนเวียนอยู่เหนือเปลเด็ก ปลายพู่กันแตะเบาๆ ที่ปลายจมูกเล็กๆ ของเฟิงซินซินเด็กน้อยขยับตัว มือป้อมๆ ยกขึ้นปัดราวกับกำลังขับไล่แมลงหรือสิ่งก่อกวนที่ไม่พึงปรารถนาแต่แค่มือเล็กนุ่มนิ่มของนางปัดเบาๆ ของเด็กน้อยคราวนี้กลับสัมผัสเข้ากับด้ามพู่กันที่เย็นเยียบเป็นพู่กันมังกรดำโบราณท
บทที่ 130 การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของมังกรทองเสียงหยดน้ำที่กระทบพื้นหินดังสะท้อนก้องภายในถ้ำมืดมิดราวกับโถงใต้พิภพที่ไร้จุดสิ้นสุด บรรยากาศชวนให้หัวใจเต้นระส่ำราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดอยู่รอบคอ ทุกคนค่อยๆ ก้าวลึกเข้าไปทีละน้อยอย่างระแวดระวัง เสียงสวดที่ดังก้องอยู่รอบข้างฟังดูเหมือนเสียงครวญครางของวิญญาณซึ่งโหยหาการปลดปล่อย เสียงหอบหายใจของเหล่าทหารและคนในคณะเดินทางประสานเข้ากับเสียงน้ำหยด ท่ามกลางความมืดที่สลัว แสงจากคบเพลิงสาดส่องให้เห็นภาพวาดโบราณบนผนังถ้ำ เป็นภาพของมังกรดำกำลังกลืนกินดวงจันทร์อย่างดุร้าย สะท้อนให้เห็นร่องรอยความน่าสะพรึงในอดีตที่เคยถูกผนึกไว้ในถ้ำแห่งนี้กลางโถงถ้ำกว้าง เหวินเทียนหลงผู้ถูกครอบงำด้วยพลังมืดแห่งพู่กันมังกรดำกำลังตกอยู่ในสภาพอันชวนขนลุก ร่างกายของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างครึ่งมังกร เกล็ดสีดำทะมึนขึ้นปกคลุมเนื้อหนัง ลามไปถึงใบหน้าจนเห็นเค้าโครงแทบไม่เหลือเค้าคนเดิม ดวงตาสีแดงฉานเบิกกว้างดุจสัตว์ร้ายที่กระหายเลือด เสียงหัวเราะของเขาแหลมสูงสะท้อนก้องราวกับภูตผีที่อาละวาดในคืนเดือนมืด"หยุดเดี๋ยวนี้!" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงตรัส "เจ้ากำลังทำลายชีวิตผู้บ
บทที่ 129 ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ตระกูลเหวิน"เป็นแค่งู จะสู้มังกรได้อย่างไร? ชิงหลง!!"เฟิงหย่าเสวี่ยตะโกนขึ้นมายกพู่กันขึ้นตวัดวาดอักขระด้วยจังหวะที่สงบนิ่ง แต่เต็มไปด้วยพลังที่ซ่อนอยู่ แสงสีเงินเริ่มเปล่งประกายจากพู่กัน และทันใดนั้น เสียงคำรามแผ่วลึกก็ดังก้องไปทั่วป่า มังกรที่นางวาดคราวนี้ไม่ใช้มังกรทองแต่ทว่าเป็นมังกรเหล็กขนาดมหึมาปรากฏขึ้นจากแสงอักขระ ร่างของมันแวววาวด้วยเกล็ดโลหะคมกริบ ดวงตาสีแดงเพลิงจับจ้องไปยังงูยักษ์มังกรเหล็กพุ่งเข้าโจมตีอย่างดุเดือด กรงเล็บและหางของมันกวาดผ่านนางพญางูยักษ์ เกล็ดแข็งของงูไม่อาจต้านทานพลังอันมหาศาลนี้ได้ เสียงคำรามของงูดังสะท้อนป่า ขณะที่มังกรเหล็กใช้กรงเล็บจับงูไว้แน่น ก่อนที่มันจะอ้าปากพ่นไฟสีเงินบริสุทธิ์ที่ในเปลวไฟนั้นเป็นพิษที่เหมือนกับตะกั่วใส่ร่างของนางพญางูยักษ์ภายในพริบตา นางพญางูยักษ์ก็ถูกพิษตะกั่วลามไปทั่วทั้งร่างไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นมังกรเหล็กก็ใช้หางฟาดอย่างแรงไปที่ร่างของมันทำให้มันแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับกระจกแตกและในที่สุดก็สลายเป็นเถ้าถ่านกระจายไปในอากาศทันที เฟิงหยวนเจี๋ยลดพู่กันลง มังกรเหล็กยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้าจากนั้นก็ค่อยลด
บทที่ 128 ป่าพิษกับนางพญางูยักษ์คณะของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เดินทางมาเรื่อยๆ ระหว่างทาง เฟิงหย่าเสวี่ยสังเกตเห็นเมฆดำก่อตัวเหนือยอดเขาที่เป็นจุดหมายปลายทาง นางรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง... บางสิ่งที่ชั่วร้ายกำลังรอคอยพวกเขาอยู่...คณะเดินทางมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ปรากฏในแผนที่ เมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำ เฟิงหยวนเจี๋ยสังเกตเห็นสัญลักษณ์แปลกๆ สลักอยู่บนก้อนหินริมทาง"หยุดก่อน!" เขาร้องเตือน "ตรงนี้มีค่ายกลซ่อนอยู่"แม่ทัพเว่ยสิง เดินเข้าไปตรวจสอบสัญลักษณ์อย่างละเอียด “มันคล้ายกับค่ายกล” เขาเอ่ยขึ้นมา"เป็นค่ายกลนำทาง" เฟิงหย่าเสวี่ยกล่าว นางจ้องมองสัญลักษณ์บนก้อนหิน "ถ้าเราเดินผ่านไปโดยไม่ทำตามที่มันบอก จะเจอกับดัก"เฟิงหยวนเจี๋ยพยักหน้า "และดูเหมือนว่าจะมีคนผ่านมาที่นี่ไม่นานมานี้" เขาชี้ไปที่รอยเท้าบนพื้น "รอยเท้าเหล่านี้ยังใหม่มาก""เหวินเทียนหลงและพรรคพวก" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงกล่าว ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่รอยเท้า "พวกเขาต้องมุ่งหน้าไปที่ถ้ำแน่นอน""ทูลฝ่าบาท" ทหารนายหนึ่งชี้ไปที่เส้นทางข้างหน้า "มีควันลอยขึ้นมาจากทางนั้น"ทุกคนมองไปตามทิศทางที่ทหารชี้ เห็นควันบางๆ ลอยขึ้นมาจากป่าทึบ กลิ่น