ฃ รู้ทั้งรู้ว่าการขัดราชโองการอาจมีโทษถึงตาย แต่ก็ยังสั่งให้บุตรสาวเดินทางมาเมืองหลวงเพื่อจัดการรวบหัวรวบหางคุณชายรองเจียง
“แล้วเจ้ามาที่นี่มีอันใด” นางเอ่ยถามบุปผาที่รอบตัวมีแต่หนามพิษ ช่วงหนึ่งเดือนที่ไม่มีคนของเหลียงอ๋องมากวนใจช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขเสียจริง
“ท่านอ๋องฝากความมาบอกเจ้าว่า ‘ในเมื่อทำพลาดจนต้องแต่งเข้าจวนโหวแล้ว จงใช้ความเป็นฮูหยินน้อยจวนโหวให้เป็นประโยชน์ หลวนฮูหยินเป็นสหายสนิทของฮองเฮา สานสัมพันธ์เอาไว้ให้ดี อีกไม่นานคงจะได้ใช้งาน”
‘ทำตัวเป็นดั่งมารดาข้าเช่นนี้ คงหมายปองตำแหน่งฮองเฮา หากเหลียงอ๋องก่อกบฏสำเร็จสินะ’ เหลียงจิ่วเม่ยคิด
“จงจำไว้ว่าชีวิตเจ้าเป็นของท่านอ๋อง อย่าได้คิดทรยศหรือหักหลังเขา หากไม่อยากมีจุดจบเช่นมารดาของเจ้า”
“...” นางไม่ตอบ
“หึ!” อีม่านแค่นเสียงในลำคอแล้วมองนางด้วยสายตาเหยียดหยามก่อนจะกลับออกไปทางหน้าต่าง
‘ข้าช่างเป็นนางร้ายที่น่าสงสารที่สุด’ ไม่ว่าจะเลือกทางใดก็ล้วนพบเจอความตาย
‘ชีวิตเจ้าซับซ้อนเช่นนี้ แล้วข้าจะใช้ชีวิตของเจ้าให้ดีได้อย่างไร’ หากเป็นเช่นนี้ นางต้องทำเช่นไรถึงจะมีชีวิตรอดจนได้เจอเพื่อนรัก ไม่ต้องกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนไปเสียก่อน
ชะตาชีวิตของเหลียงจิ่วเม่ยช่างริบหรี่ยิ่งนัก...
แผลจากการโดนโบยยังไม่ทันสมานดีนางก็ต้องสวมชุดเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวไปจวนโหว ไร้พิธีการหรือขบวนเจ้าสาวที่สมเกียรติ ส่วนสินสอดที่จวนโหวส่งมาตามธรรมเนียมน่ะหรือ ก็เป็นการส่งมาแบบขอไปที
แต่เอาเถิดนางก็ไม่ได้คาดหวังเรื่องนี้ตั้งแต่แรก อย่างไรพิธีกราบไหว้ฟ้าดินครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะราชโองการบังคับมา
“ท่านหญิง ระวังเท้านะเจ้าคะ” เป็นซิวเหยาที่เข้ามาช่วยประคองนางลงจากเกี้ยวเจ้าสาว ซึ่งแตกต่างจากในนิยายที่นางเคยอ่านมากนัก ว่าคนที่ประคองเจ้าสาวลงจากเกี้ยวอย่างทะนุถนอมต้องเป็นเจ้าบ่าว
“อืม” นางตอบรับสั้น ๆ และก้าวเท้าอย่างระวัง
“...” เมื่อเห็นพิธีกราบไหว้ฟ้าดินของผู้เป็นนาย ซิวเหยาอยากเอ่ยวาจาตำหนิออกไป แต่ทว่าด้วยฐานะของตนก็ไม่อาจเปิดปากได้ มิเช่นนั้นจะพานทำให้ท่านหญิงของตนเดือดร้อนไปด้วย
แม้จะถูกบังคับให้รับผิดชอบชื่อเสียงของท่านหญิงด้วยสมรสพระราชทานแต่การจัดพิธีกราบไหว้ฟ้าดินเรียบง่ายเยี่ยงชาวบ้านเช่นนี้มิใช่จงใจหยาบเกียรติเสี้ยนจู่แห่งแดนเหนือหรือ
‘ดูเหมือนจวนโหวจะมีน้ำหนักในใจฮ่องเต้ไม่น้อย มิเช่นนั้นมีหรือจะกล้าจัดพิธีแบบขอไปทีเช่นนี้ได้’ นางคิดหลังจากเห็นการจัดการของจวนโหวผ่านผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวผืนบาง
ช่างเถิด...นางก็ไม่ได้คาดหวังอันใดตั้งแต่แรกทั้งยังคาดเดาเอาไว้ว่าราชโองการที่ระบุให้นางเป็นฮูหยินของโหวซื่อจื่อนั้น ไม่ได้บอกว่าเป็นฮูหยินเอกหรือฮูหยินรอง มิเท่ากับว่าฮ่องเต้เหลือทางรอดเอาให้โหวซื่อจื่อหรือ
หากให้นางเป็นฮูหยินรองก็ดีเช่นกันไม่ต้องรับผิดชอบสิ่งใดให้มาก ทั้งยังส่งผลดีต่อข้อเสนอที่นางจะตกลงกับเขา
ในเมื่อไม่ว่านางจะเลือกทางไหน คนผู้นั้นก็ล้วนต้องการผลประโยชน์จากเหลียงจิ่วเม่ย เช่นนั้นนางก็จะเลือกหนทางที่น่าจะทำให้นางมีชีวิตรอดได้มากที่สุด
‘หวังว่าข้าจะเลือกถูกต้อง’ นางไตร่ตรองมาแล้วหลายวัน คิดทบทวนไปมาหลายรอบกว่าจะได้หนทางที่น่าจะปลอดภัยที่สุด นางจึงคิดอยากจะเดิมพันดูสักครั้ง
แม้พิธีกราบไหว้นี้จะเกิดขึ้นจากสมรสพระราชทาน แต่ทว่าบรรดาขุนนางต่างรู้ดีว่าที่มาที่ไปคืออันใดพวกเขาจึงไม่ได้ให้ความสำคัญในการเข้าร่วมแสดงความยินดีทำให้คนตระกูลหลวนไม่ต้องต้อนรับแขกเหรื่อให้เหน็ดเหนื่อย
หลังจากกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จแล้ว นางก็ถูกพาไปที่เรือนหลังหนึ่งซึ่งอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากเรือนหลัก
“ท่านหญิง พวกเขาช่างใจร้ายกับท่านเสียจริง”
“ช่างเถิด ข้าก็ไม่ได้คาดหวังอันใดกับการแต่งงานครั้งนี้ เจ้านำของที่ข้าสั่งมาครบถ้วนดีหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
“เมื่อผ่านพ้นพิธียกน้ำชาแล้วก็คงจะไม่มีใครสนใจข้าอีก เมื่อนั้นค่อยจัดการเรื่องของเรา” ก็อย่างที่บอกว่าเมื่อนางได้ตกลงเลือกเส้นทางให้ตนแล้ว นางจึงให้ซิวเหยานำเครื่องประดับของมีค่าไม่เว้นแม้แต่ผ้าไหมและแจกันหายากไปขายเปลี่ยนให้เป็นตั๋วเงินให้หมด เหลือไว้เพียงปิ่นปักผมสองสามอันที่ไม่ได้มีค่าอันใดมาก
“โถ่! ท่านหญิงของบ่าว” สาวใช้ที่แม้จะไม่ได้อยู่ข้างกายผู้เป็นนายตั้งแต่เด็ก แต่ทว่าหลายปีมานี้ก็อยู่เคียงข้างมาโดยตลอดจึงทราบว่าที่ท่านหญิงต้องทำตนร้ายกาจเพียงเพราะให้บิดาพอใจ
“ซิวเหยา เจ้าจงจำเอาไว้ว่าการพึ่งพาที่ดีที่สุดคือการพึ่งพาตนเอง”
“เจ้าค่ะท่านหญิง”
“หมั่นโถวที่ข้าให้เจ้าเตรียมอยู่ที่ใด”
“นี่เจ้าค่ะ” สาวใช้หยิบหมั่นโถวออกมาจากอกเสื้อ
เหลียงจิ่วเม่ยเปิดผ้าคลุมหน้าออกแล้วคว้าห่อหมั่นโถวในมือของสาวใช้มาก่อนจะแบ่งมันออกเป็นสองส่วนขนาดใกล้เคียงกัน
“ท่านหญิงเปิดผ้าคลุมหน้าออกเช่นนั้นไม่ได้นะเจ้าคะ...”
“ช่างเถิด เจ้าอย่าได้สนใจ อ่ะ...ข้าแบ่งให้เจ้า” นางส่งหมั่นโถวในมือให้สาวใช้
“ช่างเถิด เจ้าอย่าได้สนใจ อ่ะ...ข้าแบ่งให้เจ้า” นางส่งหมั่นโถวในมือให้สาวใช้ “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านหญิง แต่หากท่านกินหมั่นโถวไปก่อน ท่านเขยจะไม่...” “เขาไม่มาเข้าหอหรอกเชื่อข้าเถิด ส่วนของที่อยู่บนโต๊ะพวกนั้นจะไว้ใจได้มากเท่าใดกัน ข้าไม่เอาชีวิตของตนไปเสี่ยงหรอก รีบกินหมั่นโถวเสียเถิด พรุ่งนี้ค่อยมาดูกันว่าจะต้องจัดแจงสิ่งใดบ้าง” “เจ้าค่ะ” ซิวเหยารู้สึกซาบซึ้งยิ่งนักที่ผู้เป็นนายมีใจแบ่งหมั่นโถวให้สาวใช้เช่นตน “ประเดี๋ยวกินหมั่นโถวเสร็จแล้ว เจ้าช่วยเตรียมน้ำให้ข้าเสร็จแล้วค่อยมาช่วยข้าถอดชุดพวกนี้” “เจ้าค่ะ” ยามนี้ซิวเหยารู้สึกสงสารท่านหญิงของตนยิ่งนัก ใครจะคิดว่าชีวิตของเสี้ยนจู่ผู้สูงศักดิ์แท้จริงจะอัปยศอดสูเช่นนี้ อยู่ในจวนอ๋องก็ถูกบิดามองเป็นเพียงเครื่องมือ ยามแต่งเข้าจวนโหวก็ถูกมองข้าม “ขอบคุณที่เจ้าไม่ทิ้งข้านะซิวเหยา” นางสัญญาว่าจะตอบแทนสาวใช้ผู้นี้ให้ดี “โถ่! ท่านหญิงของบ่าว” สาวใช้รู้สึกสงสารผู้เป็นนายจับใจ เมื่อกินหมั่นโถวในมือหมดซิวเหยาก็ไปเตรียมน้ำร้อนให้ท่านหญิงของตนด้ว
“อ่า...ไม่นั่ง” เช่นนั้นก็ยืนให้เมื่อยขาต่อไปเถิด ขาของเขาหาใช่ขาของนาง เหลียงจิ่วเม่ยไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองเผลอเบ้ปากกลอกตามองบนคล้ายหมั่นไส้ออกมาก่อนจะรีบเก็บสีหน้าเมื่อเห็นสายตาดุที่มองมา ชิ้ง! นัยน์ตาคมปราบมองสตรีที่มีท่าทางไม่สำรวม ‘หากสายตาของเขาเป็นมีด ป่านนี้ข้าคงนอนจมกองเลือดไปแล้วกระมัง’ นางคิดพลางนึกภาวนาให้คนของเขารีบกลับมารายงาน นางจะได้เสนอข้อต่อรองที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์แก่เขาเสียที แล้วจะได้รีบเชิญอีกฝ่ายออกจากห้องหอไป ผ่านไปเกือบครึ่งเค่อกว่าหลี่เฉิงจะกลับมา แต่เนื่องจากเป็นห้องหอของโหวซื่อจื่อคนสนิทจึงได้แต่ส่งเสียงบอกที่นอกห้อง ‘ทุกอย่างเรียบร้อย กำแพงไร้หู วางใจได้ขอรับ’ “อืม” เขารับคำลูกน้องก่อนจะหันมามองสตรีที่นั่งคุกเข่าอยู่บนเตียง ชิ้ง! นัยน์ตาคมปราบที่จับจ้องอีกฝ่ายเย็นชาไร้อารมณ์ แต่กลับแฝงกลิ่นอายบางอย่างเอาไว้คล้ายกับว่าหากนางเอ่ยวาจาไม่เข้าหู เขาสามารถดึงดาบออกมาปาดคอนางได้ทันที “ข้าเพียงมีเรื่องอยากจะตกลงกับท่าน” “...” เมื่อเห็นเขาเงียบไม่เอ่ยวาจา
บทนำ ท่ามกลางไอร้อนที่พร่ามัวบุรุษที่นั่งแช่อยู่ในน้ำร้อนเริ่มรู้สึกแปลกไป ในคราแรกเขาคิดว่าอาจจะเป็นเพราะตนแช่น้ำเป็นเวลานานเกินไป จึงเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดร่างกายร้อนวูบวาบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งพยายามคงไว้ซึ่งสติเท่าใดมันยิ่งรางเลือนเท่านั้น แกร๊ก! เสียงประตูห้องเปิดออกก่อนจะที่ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น เนื่องจากระวังตัวอยู่แล้วเขาจึงรีบออกจากถังอาบน้ำก่อนจะรีบคว้าอาภรณ์ตัวในมาคลุมไว้ “อื้อ!” เสียงร้องของสตรีดังขึ้นก่อนจะได้ยินเสียงคนดิ้นพล่านบนเตียงไปมา “นั่นใคร?” เขาตะโกนถามเสียงดังพลางกัดฟันข่มความรู้สึกแปลกประหลาดของตน “อึก! กรอด...” เสียงที่ดังมายังคงมีเพียงเสียงดิ้นและเสียงคล้ายกำลังอดกลั้นบางสิ่งบางอย่าง โหวซื่อจื่อที่สวมใส่อาภรณ์ตัวนอกเรียบร้อยแล้วเดินออกมาหลังฉากกั้นด้วยท่าทางระแวดระวัง “ช่วย...ข้า” สตรีที่นอนดิ้นกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงส่งเสียงบอกด้วยท่าทีอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ “เจ้าเป็นใคร” เขาเ
1 แค่เริ่มต้นก็ผิดแล้ว ผู้อื่นอาจจะคิดว่านางใจกล้าอาจหาญ เอ่ยวาจาต่อรองรับสั่งของฮ่องเต้แต่แท้จริงนางเพียงกลัวตนเองจะทนพิษบาดแผลไม่ไหวแล้วตายกลายเป็นผีเร่ร่อนไปก่อน “โอ๊ย! เจ็บ” มือไม้หนักกันเสียจริง “ท่านหญิงเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ ให้บ่าวตามหมอหรือไม่” เป็นซิวเหยารีบถลันเข้ามาหาก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยอย่างแท้จริง “ไม่เป็นไร ข้าเพียงเผลอขยับตัวเล็กน้อย” “พวกเขาช่างกล้าลงมือกับท่าน ลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าท่านเป็นเสี้ยนจู่จากแดนเหนือ” แม้ท่านหญิงของนางจะร้ายกาจกับผู้อื่นแต่กับสาวใช้เช่นตน ท่านหญิงมีเมตตามาก “ซิวเหยากำแพงมีหู[1] พูดจาสิ่งใดให้ระวัง ที่นี่ไม่ใช่เป่ยเหลิ่ง” นางห้ามปรามสาวใช้คนสนิทให้ระวังตัว แม้นี่จะเป็นการถูกโบยสองไม้ในรอบที่สองหลังจากทำข้อตกลงกับฮ่องเต้แล้ว แต่นางก็ยังรู้สึกเจ็บปวดเพราะบาดแผลที่หลังเช่นเดิม เนื่อง
“อ่า...ไม่นั่ง” เช่นนั้นก็ยืนให้เมื่อยขาต่อไปเถิด ขาของเขาหาใช่ขาของนาง เหลียงจิ่วเม่ยไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองเผลอเบ้ปากกลอกตามองบนคล้ายหมั่นไส้ออกมาก่อนจะรีบเก็บสีหน้าเมื่อเห็นสายตาดุที่มองมา ชิ้ง! นัยน์ตาคมปราบมองสตรีที่มีท่าทางไม่สำรวม ‘หากสายตาของเขาเป็นมีด ป่านนี้ข้าคงนอนจมกองเลือดไปแล้วกระมัง’ นางคิดพลางนึกภาวนาให้คนของเขารีบกลับมารายงาน นางจะได้เสนอข้อต่อรองที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์แก่เขาเสียที แล้วจะได้รีบเชิญอีกฝ่ายออกจากห้องหอไป ผ่านไปเกือบครึ่งเค่อกว่าหลี่เฉิงจะกลับมา แต่เนื่องจากเป็นห้องหอของโหวซื่อจื่อคนสนิทจึงได้แต่ส่งเสียงบอกที่นอกห้อง ‘ทุกอย่างเรียบร้อย กำแพงไร้หู วางใจได้ขอรับ’ “อืม” เขารับคำลูกน้องก่อนจะหันมามองสตรีที่นั่งคุกเข่าอยู่บนเตียง ชิ้ง! นัยน์ตาคมปราบที่จับจ้องอีกฝ่ายเย็นชาไร้อารมณ์ แต่กลับแฝงกลิ่นอายบางอย่างเอาไว้คล้ายกับว่าหากนางเอ่ยวาจาไม่เข้าหู เขาสามารถดึงดาบออกมาปาดคอนางได้ทันที “ข้าเพียงมีเรื่องอยากจะตกลงกับท่าน” “...” เมื่อเห็นเขาเงียบไม่เอ่ยวาจา
“ช่างเถิด เจ้าอย่าได้สนใจ อ่ะ...ข้าแบ่งให้เจ้า” นางส่งหมั่นโถวในมือให้สาวใช้ “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านหญิง แต่หากท่านกินหมั่นโถวไปก่อน ท่านเขยจะไม่...” “เขาไม่มาเข้าหอหรอกเชื่อข้าเถิด ส่วนของที่อยู่บนโต๊ะพวกนั้นจะไว้ใจได้มากเท่าใดกัน ข้าไม่เอาชีวิตของตนไปเสี่ยงหรอก รีบกินหมั่นโถวเสียเถิด พรุ่งนี้ค่อยมาดูกันว่าจะต้องจัดแจงสิ่งใดบ้าง” “เจ้าค่ะ” ซิวเหยารู้สึกซาบซึ้งยิ่งนักที่ผู้เป็นนายมีใจแบ่งหมั่นโถวให้สาวใช้เช่นตน “ประเดี๋ยวกินหมั่นโถวเสร็จแล้ว เจ้าช่วยเตรียมน้ำให้ข้าเสร็จแล้วค่อยมาช่วยข้าถอดชุดพวกนี้” “เจ้าค่ะ” ยามนี้ซิวเหยารู้สึกสงสารท่านหญิงของตนยิ่งนัก ใครจะคิดว่าชีวิตของเสี้ยนจู่ผู้สูงศักดิ์แท้จริงจะอัปยศอดสูเช่นนี้ อยู่ในจวนอ๋องก็ถูกบิดามองเป็นเพียงเครื่องมือ ยามแต่งเข้าจวนโหวก็ถูกมองข้าม “ขอบคุณที่เจ้าไม่ทิ้งข้านะซิวเหยา” นางสัญญาว่าจะตอบแทนสาวใช้ผู้นี้ให้ดี “โถ่! ท่านหญิงของบ่าว” สาวใช้รู้สึกสงสารผู้เป็นนายจับใจ เมื่อกินหมั่นโถวในมือหมดซิวเหยาก็ไปเตรียมน้ำร้อนให้ท่านหญิงของตนด้ว
ฃ รู้ทั้งรู้ว่าการขัดราชโองการอาจมีโทษถึงตาย แต่ก็ยังสั่งให้บุตรสาวเดินทางมาเมืองหลวงเพื่อจัดการรวบหัวรวบหางคุณชายรองเจียง “แล้วเจ้ามาที่นี่มีอันใด” นางเอ่ยถามบุปผาที่รอบตัวมีแต่หนามพิษ ช่วงหนึ่งเดือนที่ไม่มีคนของเหลียงอ๋องมากวนใจช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขเสียจริง “ท่านอ๋องฝากความมาบอกเจ้าว่า ‘ในเมื่อทำพลาดจนต้องแต่งเข้าจวนโหวแล้ว จงใช้ความเป็นฮูหยินน้อยจวนโหวให้เป็นประโยชน์ หลวนฮูหยินเป็นสหายสนิทของฮองเฮา สานสัมพันธ์เอาไว้ให้ดี อีกไม่นานคงจะได้ใช้งาน” ‘ทำตัวเป็นดั่งมารดาข้าเช่นนี้ คงหมายปองตำแหน่งฮองเฮา หากเหลียงอ๋องก่อกบฏสำเร็จสินะ’ เหลียงจิ่วเม่ยคิด “จงจำไว้ว่าชีวิตเจ้าเป็นของท่านอ๋อง อย่าได้คิดทรยศหรือหักหลังเขา หากไม่อยากมีจุดจบเช่นมารดาของเจ้า” “...” นางไม่ตอบ “หึ!” อีม่านแค่นเสียงในลำคอแล้วมองนางด้วยสายตาเหยียดหยามก่อนจะกลับออกไปทางหน้าต่าง ‘ข้าช่างเป็นนางร้ายที่น่าสงสารที่สุด’ ไม่ว่าจะเลือกทางใดก็ล้วนพบเจอความตาย ‘ชีวิตเจ้าซับซ้อนเช่นนี้ แล้วข้าจะใช้ชีวิตของเจ้าให้ดีได้อย่
1 แค่เริ่มต้นก็ผิดแล้ว ผู้อื่นอาจจะคิดว่านางใจกล้าอาจหาญ เอ่ยวาจาต่อรองรับสั่งของฮ่องเต้แต่แท้จริงนางเพียงกลัวตนเองจะทนพิษบาดแผลไม่ไหวแล้วตายกลายเป็นผีเร่ร่อนไปก่อน “โอ๊ย! เจ็บ” มือไม้หนักกันเสียจริง “ท่านหญิงเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ ให้บ่าวตามหมอหรือไม่” เป็นซิวเหยารีบถลันเข้ามาหาก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยอย่างแท้จริง “ไม่เป็นไร ข้าเพียงเผลอขยับตัวเล็กน้อย” “พวกเขาช่างกล้าลงมือกับท่าน ลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าท่านเป็นเสี้ยนจู่จากแดนเหนือ” แม้ท่านหญิงของนางจะร้ายกาจกับผู้อื่นแต่กับสาวใช้เช่นตน ท่านหญิงมีเมตตามาก “ซิวเหยากำแพงมีหู[1] พูดจาสิ่งใดให้ระวัง ที่นี่ไม่ใช่เป่ยเหลิ่ง” นางห้ามปรามสาวใช้คนสนิทให้ระวังตัว แม้นี่จะเป็นการถูกโบยสองไม้ในรอบที่สองหลังจากทำข้อตกลงกับฮ่องเต้แล้ว แต่นางก็ยังรู้สึกเจ็บปวดเพราะบาดแผลที่หลังเช่นเดิม เนื่อง
บทนำ ท่ามกลางไอร้อนที่พร่ามัวบุรุษที่นั่งแช่อยู่ในน้ำร้อนเริ่มรู้สึกแปลกไป ในคราแรกเขาคิดว่าอาจจะเป็นเพราะตนแช่น้ำเป็นเวลานานเกินไป จึงเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดร่างกายร้อนวูบวาบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งพยายามคงไว้ซึ่งสติเท่าใดมันยิ่งรางเลือนเท่านั้น แกร๊ก! เสียงประตูห้องเปิดออกก่อนจะที่ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น เนื่องจากระวังตัวอยู่แล้วเขาจึงรีบออกจากถังอาบน้ำก่อนจะรีบคว้าอาภรณ์ตัวในมาคลุมไว้ “อื้อ!” เสียงร้องของสตรีดังขึ้นก่อนจะได้ยินเสียงคนดิ้นพล่านบนเตียงไปมา “นั่นใคร?” เขาตะโกนถามเสียงดังพลางกัดฟันข่มความรู้สึกแปลกประหลาดของตน “อึก! กรอด...” เสียงที่ดังมายังคงมีเพียงเสียงดิ้นและเสียงคล้ายกำลังอดกลั้นบางสิ่งบางอย่าง โหวซื่อจื่อที่สวมใส่อาภรณ์ตัวนอกเรียบร้อยแล้วเดินออกมาหลังฉากกั้นด้วยท่าทางระแวดระวัง “ช่วย...ข้า” สตรีที่นอนดิ้นกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงส่งเสียงบอกด้วยท่าทีอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ “เจ้าเป็นใคร” เขาเ