เวลานี้ รอบตัวของมัคนายกรายล้อมไปด้วยปัญญาชนและนักเรียนที่จะเข้าร่วมการสอบในวันพรุ่งนี้ไม่รู้ว่าเพราะไม่อยากบั่นทอนความมั่นใจของเหล่าปัญญาชนในการสอบหรือเพราะอยากได้บริจาคปัจจัยอุปถัมภ์วัด เซียมซีที่คนส่วนใหญ่ได้คือดีหรือดีเลิศ แทบไม่มีปานกลางและไม่ดีอาจมีทั้งสองอย่างกระมังวัดได้ปัจจัยอุปถัมภ์วัด ปัญญาชนมั่นใจมากขึ้นเมื่อได้เซียมซีดีหรือดีเลิศโจวอวี่ทำอุบายเฆี่ยนอุยกาย คนหนึ่งยอมเฆี่ยน อีกคนยอมให้เฆี่ยนเฉินเจียงซึ่งมักดูสุภาพเรียบร้อย พลันเปลี่ยนเป็นคนเก่งมากเป็นพิเศษ เวลาครู่เดียว เขาก็เบียดตัวเองไปอยู่ตรงหน้ามัคนายก“ดีเลิศ!”“ครั้งนี้ผู้บริจาคปัจจัยอุปถัมภ์วัด จะสอบผ่านและได้สิทธิการสอบถงเซิงอย่างแน่นอน!”ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ต่างมองเฉินเจียงด้วยสายตาอิจฉาแม้จะได้เซียมซีดีหรือดีเลิศ แต่มัคนายกอย่างมากก็บอกเพียงว่า ดีเลิศ การสอบฤดูใบไม้ผลินี้จะดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่ได้พูดดั่งคำที่ว่าจะสอบผ่านและได้สิทธิการสอบถงเซิง“ขอบคุณมัคนายก ขอบคุณมัคนายก!”เฉินเจียงขอบคุณมัคนายกอย่างล้นหลามและบริจาคปัจจัยอุปถัมภ์วัดจำนวนสามร้อยเหวินในคราวเดียว“นายท่าน!”ฉินเย่ว์เจียวหันมาหาเฉิ
“ท่าน!”มัคนายกพลันลุกขึ้นแล้วโน้มไปทางเฉินฝานเล็กน้อย“......โอ้สวรรค์! เกิดอะไรขึ้น? มัคนายกลุกขึ้นยืนงั้นรึ?”“ข้ามาที่วัดนักปราชญ์หลีแห่งนี้เป็นเวลาสิบปี ไม่เคยเห็นมัคนายกลุกขึ้นเลย”“ท่านยังโน้มตัวให้กับพี่ชายคนนั้นด้วย คงไม่ใช่เซียมซีดีเลิศในปฐพีหรอกกระมัง?”“อาจเป็นไปได้”“พี่ชายคนนี้เป็นใคร? มาจากหมู่บ้านอะไร?”ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชน มัคนายกก็กล่าว “เซียมซีของท่าน…...”“นี่ พวกท่านอย่าส่งเสียงดัง มัคนายกจะพูดแล้ว”ห้องโถงทำนายที่เสียงดังโหวกเหวกในเดิมทีพลันเงียบสงบในทันใด แต่ละคนกลั้นหายใจและเงี่ยหูฟังมัคนายกคืนป้ายให้เฉินฝาน “ข้าขออภัย เซียมซีนี้ข้าไม่อาจทำนายได้”“……”“!!!”“???”ทุกคนในห้องโถงทำนายไม่มีใครไม่มองหน้ากันด้วยสีหน้าว่างเปล่า ล้วนกลัวว่าหูของตัวเองผิดปกติและฟังผิด“เจ้าได้ยินหรือไม่? มัคนายกบอกว่าเขาทำนายไม่ได้”“ข้า เหมือนได้ยินเหมือนกัน”หลายปีมานี้ ผู้คนเคยได้ยินแต่เป็นคำทำนายดีเลิศในปฐพีกับไม่ดีมาก พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าทำนายไม่ได้สิ่งสำคัญคือมัคนายกอ่านทำนายที่นี่มาแล้วหลายทศวรรษ แล้วมีเซียมซีแบบใดที่เขาไม่อาจทำนายได้อีก
“เขาเป็นใคร?”สายตาของคนเหล่านั้นมองกลับมาที่เฉินฝานอีกครั้ง“ข้ามองแล้วรู้สึกว่าเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีอะไรพิเศษ!”“อ้อ ข้าจำเขาได้แล้วเหมือนกัน เขาคือเฉินฝานจากหมู่บ้านซานเหอ”“อ่อ เขานั่นเอง!”หลายคนทำหน้าเหมือนเข้าใจแน่นอนว่า มีคนอีกจำนวนมากที่ไม่เข้าใจและพากันเอ่ยถามคนที่รู้จักเฉินฝาน “เฉินฝานผู้นี้คือใครรึ ดูเหมือนว่ามีชื่อเสียงมาก”“เขามีชื่อเสียงจริง ๆ…...”ผู้คนเริ่มแข่งกันพูดถึงการกระทำของเฉินฝานในสถานศึกษาอย่างกลัวจะน้อยหน้าคนอื่น“ฮ่า ๆ นั่นกลอนคู่อะไรกัน?”“ฮ่า ๆ ๆ”ภายในห้องอธิบายคำทำนาย มีเสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นพัก ๆ“เมื่อครู่นี้พวกเราเข้าใจผิดมัคนายกแล้วจริง ๆ เซียมซีของคนเช่นนี้ จะอธิบายอย่างไรได้”“ใช่ หากเป็นเซียมซีดีเลิศ เมื่อมีการประกาศอันดับของเขาออกมา เขาก็ต้องมาต่อว่ามัคนายกที่โกหกเขาน่ะสิ หากเป็นเซียมซีไม่ดี ก็ทำร้ายจิตใจมากเกินไป”“มัคนายกมีเจตนาดีจริง ๆ เขาเป็นมัคนายกที่ดีคนหนึ่ง”ภายในห้องอธิบายคำทำนายมีภาพแห่งความสันติเกิดขึ้น ปัญญาชนเหล่านี้รู้สึกสบายใจขึ้นพวกเขามีความคิดแบบเดียวกับปัญญาชนของอาจารย์เฉียนมีคนช่วยอยู่อันดับล่างแทนพว
เมื่อท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีขาว ทั้งอำเภอผิงอันก็คึกคักขึ้นมาวันนี้เป็นวันเริ่มต้นของการสอบฤดูใบไม้ผลิประจำปียังมีเวลาอีกพักหนึ่งก่อนที่การสอบจะเริ่มขึ้น เรือนแขกสำราญสุขตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่สอบ จึงไม่จำเป็นต้องรีบเร่งเขานั่งจิบชาพักผ่อนอยู่บนม้านั่งริมหน้าต่าง จิบชาได้เพียงครึ่งแก้ว เขาสุดจะทนจึงวางถ้วยชาแล้วเอ่ยถาม“พู่กันก็มีอยู่สามแท่ง แท่นหมึกหนึ่งอันกับหมึกอีกหนึ่งกล่อง ทำไมเจ้านับมันซ้ำแล้วซ้ำอีก นับซ้ำหลายครั้งจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นงั้นรึ?”ถ้าเขาจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งที่หกที่ฉินเย่ว์เจียวนับของในตะกร้าไม้ไผ่ระหว่างที่เฉินฝานเอ่ยถาม ฉินเย่ว์เจียวเทของในตะกร้าไม้ไผ่ออกมาแล้วนับอีกครั้งพร้อมกับพึมพำกับตนเอง “ตอนออกเดินทาง พี่สี่บอกว่าข้าเป็นคนความจำไม่ดีและทำชอบของหาย เพราะฉะนั้นให้นับยืนยันหลาย ๆ ครั้ง จะได้ไม่ลืมของเจ้าค่ะ”เพิ่งใส่กลับเข้าไปในตะกร้าไม้ไผ่ จากนั้นนางก็เทออกมาอีกครั้งเฉินฝานทนดูไม่ไหวต่อไป จึงลุกขึ้นแล้วเดินไปอยู่ข้างฉินเย่ว์เจียวพร้อมกับจับมือนาง “ตรงนี้ ให้ข้าจัดเก็บเองเถอะ เจ้าไปเตรียมผ้าห่ม น้ำหนึ่งกา ผลไม้และของว่างให้ข้ารองท้องหน่อย”การสอบขุนนางขอ
เหลือเวลาเข้าสนามสอบอีกเพียงเวลาธูปครึ่งก้านข้างนอกสนามสอบยืนเต็มไปด้วยปัญญาชนที่มาสอบนี่เป็นการสอบที่ส่งผลถึงชะตากรรมที่เหลือของชีวิต บางคนตื่นเต้น บางคนวิตกกังวล บางคนมั่นใจบางคนยังถือหนังสือและท่องจำ บางคนพนมมือและพึมพำในปาก ได้โปรดนักปราชญ์หลีช่วยคุ้มครองด้วย ดาวเหวินฉวี่ซิง[footnoteRef:1] บนฟ้าโปรดช่วยคุ้มครองด้วย [1: ดาวเหวินฉวี่ซิง คือ ชื่อของดวงดาวอันดับที่สี่ในกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ (กลุ่มดาวจระเข้) เชื่อว่าเป็นดวงดาวแห่งการศึกษา สติปัญญา] เมื่อเวลาเข้าสนามสอบใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เฉินฝานสังเกตเห็นร่างกายของฉินเย่ว์เจียวที่อยู่ข้างๆ สั่นรุนแรงตอนที่อยู่ข้างบนภูเขาหัวเสือ เมื่อเห็นเสือแต่ไม่เห็นนางตัวสั่น“ใจเย็นนะ ๆ!” เฉินฝานใช้มือบีบไหล่ของนาง“นายท่าน ข้าเพียงแค่ควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ มันสั่นไปหมดเจ้าค่ะ” ฉินเย่ว์เจียวประสานมือเข้าด้วยกันแน่น พยายามสงบสติอารมณ์ให้นิ่งแต่ยิ่งพยายามสงบสติอารมณ์เท่าไรก็ยิ่งสงบสติอารมณ์ยากขึ้นเท่านั้น“เจ้ากำลังตื่นเต้น อย่าตื่นเต้นเลยนะ คนที่เข้าไปในสนามสอบคือข้าไม่ใช่เจ้า”“ข้ารู้ แต่ข้าตื่นเต้นนี่”“ถ้าเจ้ายังตื่นเต้นเช่นนี้มัน
ในสนามสอบของทุกวันจะมีผู้คุมสอบคอยเรียกชื่อ อุปกรณ์การเข้าสอบของผู้สอบจะมีแค่ตะกร้าสานไม้ไผ่เพราะตะกร้าสานไม้ไผ่เป็นสิ่งของที่ฉ้อโกงได้ยากที่สุดแล้วในตะกร้าสานนั้นนอกจากอุปกรณ์เครื่องเขียนแล้ว ก็ยังมีประวัติส่วนตัว การลงนามในเอกสารราชการและการลงนามร่วมกันประวัติส่วนตัวจะประกอบไปด้วยชื่อ อายุ ภูมิลำเนา เป็นต้นการลงนามร่วมจะประกอบไปด้วยผู้เข้าสอบจำนวนห้าคน ใบรับประกันของผู้เขียนข้อสอบจำนวนห้าฉบับ และพวกสิบแปดมงกุฎจำนวนห้าคนมานั่งด้วยกัน เงื่อนไขนี้มีไว้เพื่อป้องกันการทุจริต หากเจ้ากล้าทุจริต สี่คนที่เหลือก็จบเห่ไปด้วยการลงนามในเอกสารราชการก็คือหนังสือรับรองของผู้ค้ำประกัน โดยปกติแล้วผู้ค้ำประกันจะมีสองคน นั้นก็คือผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านและอาจารย์ในสำนักศึกษาเนื่องจากนักเรียนทั้งอำเภอต่างพากันลงสอบในปีนี้ จำนวนคนจึงค่อนข้างเยอะ จำเป็นต้องจัดการล่วงหน้า โดยแบ่งเป็นแถว แถวละสิบคน ในลานกว้างจะมีโคมไฟกระดาษแขวนอยู่ ง่ายต้องการมองเห็น พวกเขาจะทยอยกันเขียนชื่อและลงสนามปากทางเข้า จะมีขุนนางคอยตรวจสอบตะกร้าสานของผู้เข้าสอบ รวมถึงสิ่งของที่จะนำเข้าไปการตรวจสอบค่อนข้างเข้มงวด เสื้อผ้า
การสอบระดับอำเภอจะใช้เวลาในการสอบหกชั่วโมง ในระหว่างนี้ไม่อนุญาตให้ออกจากห้องสอบ หากอยากเข้าห้องน้ำ ก็แค่ยกมือส่งสัญญาณ จะมีขุนนางที่คุมสอบเดินไปด้วยไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เฉินฝานก็เขียนเสร็จไปเกินครึ่งแล้วหากไม่ใช่เพราะต้องใช้พู่กันที่ไม่ถนัดมือ เขาคงเขียนคำตอบเสร็จตั้งแต่ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยามการสอบครั้งนี้ไม่มีความท้ายเลยสักนิด ระหว่างที่เฉินฝานกำลังเขียนคำตอบนั้น เปลือกตาของเขาเริ่มหนักคล้ายกับทองคำหนึ่งพันเหรียญ อยากจะฝืนแต่ก็ฝืนไม่ไหวเริ่มสอบวันนี้ แต่ฉินเย่ว์เจียวตื่นเต้นตั้งแต่เมื่อคืน นางนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนพื้นข้างเตียง เสียงดังจนเขานอนไม่หลับช่างเถอะเฉินฝานวางพู่กันลงบนโต๊ะ จากนั้นก็หยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวฝืนไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน นอนสักตื่นละกันเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็พบว่ายังเหลือเวลาอีกสองชั่วยามถึงจะหมดเวลาสอบเฉินฝานมองไปรอบ ๆ ตัว เหล่านักศึกษาข้างกายเขาต่างก็เริ่มพากันขมวดคิ้วและเกาหัวเมื่อนักศึกษาที่ขมวดคิ้วและเกาหัวเหล่านั้นเห็นเฉินฝานมองมาที่พวกเขาก็พากันแสดงสีหน้าโล่งใจคำถามนั้นยากมาก ทั้งยังยากกว่าคำถามของพวกเขาด้วยซ้ำ หลังจากสอบไปได้ไม่นาน เขา
เฉินฝานที่กำลังหลงไหลอยู่กับแผ่นหลังที่งดงามของฉินเย่ว์เจียว จึงไม่ได้ป้องกันตัวทันใดนั้นเสียง ‘ตุ๊บ’ ก็ดังขึ้น ใบหน้าของเฉินฝานเต็มไปด้วยเศษหญ้าสิ่งที่ฟาดหน้าของเฉินฝานเมื่อครู่คือเศษหญ้าถุงใหญ่“นายท่าน!”ฉินเย่ว์เจียวรีบเข้ามาปัดเศษหญ้าบนหน้าของเฉินฝานทันที นางปัดออกอย่างฉุนเฉียว ก่อนจะหันกลับไปถลึงตาใส่คนที่ใช้ถุงเศษหญ้าฟาดหน้าเฉินฝาน “พวกเจ้าทำอะไร? นายท่านของข้าเดินมาอยู่ดี ๆ เขาไปรุกรานพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?”“ไร้การศึกษาสิ้นดี! เป็นสาวเป็นนางต่อหน้าบุรุษเจ้าพูดแทรกเช่นนี้ได้อย่างไร?”คนที่สั่งสอนฉินเย่ว์เจียวคือสวีจื่อหมิง และคนที่ใช้ถุงเศษหญ้าโยนใส่เฉินฝานเมื่อครู่ก็คือสวีจื่อหมิงนักศึกษาในสำนักศึกษาของหมู่บ้านซานเหอที่เขาพาเข้ามาได้ยืนล้อมรอบเฉินฝานอยู่ในห้องโถงกลางของเรือนแขก“พวกเจ้าใช่สิ่งนี้โยนใส่หน้าของนายท่านก่อน”“นังผู้หญิงไร้การศึกษา หากเจ้ายังปากมากอีก ก็อย่ามาหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ!”“ข้ากลัวพวกเจ้าตายล่ะ!”ใบหน้าเรียวเล็กละคนคมเข้มของฉินเย่ว์เจียวแดงระเรื่อด้วยความโกรธ จากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบคันธนู“เย่ว์เจียว ถอยไป!”เฉินฝานดุฉินเย่ว์เจียว กฎระเบียบ
เหอกังนิ่งเงียบไปเพียงหนึ่งวินาที“ทหารทั้งหมดจงฟังคำสั่ง!” เหอกังยกป้ายสั่งการทหารขึ้นสูง “ถอยทัพกลับลำไปทางเดิม!”ระหว่างที่ถอยกลับทางเดิม เฉินฝานยังให้เหอกังออกคำสั่งอีกสองเรื่องคำสั่งแรก นายทหารทุกคนถอดชุดเกราะเครื่องหัวออก ก็คือให้ทุกคนถอดหมวกเหล็กบนหัวออก นำเสื้อผ้าห่อไว้ มัดไว้ที่เอวกองกำลังยุคโบราณ เพื่อที่แยกมิตรและศัตรู ชุดเกราะเครื่องหัวจะมีสัญลักษณ์สัญลักษณ์บนชุดเกราะเครื่องหัวของกองกำลังลาดตระเวนคือพู่ระย้าสีแดงสีแดงสะดุดตาเกินไป ไม่สะดวกในการหลบหลีกคำสั่งที่สอง ทุกคนต้องเก็บกิ่งที่มีใบไม้มาสองสามชิ้น มัดรวมให้เป็นวงกลม สวมไว้บนศีรษะตอนที่ออกคำสั่งทั้งสองนี้ เหอกังก็ตัดหัวนายทหารไปอีกหนึ่งคนเพราะสองคำสั่งนี้ ก็ไม่ต่างอันใดกับการล่าถอยกลับทางเดิม เหลวไหลสิ้นดีไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าหรือลูกน้องในกองกำลังลาดตระเวนทั้งหมด คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจที่คาดหัวใบไม้หนึ่งชิ้น จะสามารถรักษาชีวิตได้กว่าชุดเกราะเครื่องหัวที่ทำจากเหล็กงั้นหรือ?เฉินฝานไม่ได้ผิดปกติจริงๆใช่หรือไม่?กลับไปถึงสถานที่กวาดล้างพลทหารม้าสามพันคนของเหยียนอิง เฉินฝานออกคำสั่งให้หยุดเคลื่อนทัพในขณ
เฉินฝานอมยิ้มพลางพยักหน้า “ถูกต้อง หากไม่ยั่วโมโหอ๋องเจิ้งหนาน หลี่เทียนจะออกมาได้อย่างไร”“ทว่า ทำเช่นนี้เป็นการทำให้พวกเราเข้าสู่สภาวะจนตรอกมิใช่หรือ?”“ท่านแม่ทัพ ทำเช่นนี้ สามารถทำให้พวกเรามีชีวิตต่อไปได้!”“เช่นนี้พวกเราจึงสามารถมีชีวิตต่อไปได้งั้นหรือ? ใต้เท้าเฉิน...”เหอกังที่อยู่ด้านข้างหยุดพูดไปครู่หนึ่ง “เจ้าต้องการล่อกองกำลังเมืองเตียนที่เมืองฝูตูให้ออกมา หลังจากนั้นพวกเราก็กลับลำไปยึดโจมตีเมืองฝูตูงั้นหรือ?”“ปิดบังท่านแม่ทัพไม่ได้จริงๆ ข้าน้อยก็มีความประสงค์เช่นนี้ มีเพียงการทำเช่นนี้ เมืองหรงตูและพวกเราจึงยังมีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่”“น้องฝาน วิธีนี้น่าอัศจรรย์ก็จริง ทว่า...” สีหน้าของเหอจื่อหลินเปลี่ยนจากสดใสเป็นหม่นหมอง “กองกำลังสามหมื่นคนของหลี่เทียนนั้น ห่างจากพวกเราไม่ถึงห้าสิบลี้แล้ว อิงจากความเร็วของกองกำลังเตียนตู ต้านทานไว้ครึ่งชั่วยาม ก็จะไล่ตามพวกเราทัน พวกเราต้องการโจมตีโต้กลับเมืองฝูตู ก็ต้องหลบหลีกพวกเขาก่อน”“กองกำลังลาดตระเวนมีสองหมื่นเจ็ดพันกว่าคน และมีม้าสงครามที่ไปยึดครองมาเมื่อครู่สามพันตัว เป้าหมายยิ่งใหญ่เช่นนี้ ความยากในหลบหลีกหลี่เทียนยากยิ่งนั
“ข่าวที่ข้าได้รับมาเมื่อครู่ กองกำลังเมืองเตียนตูหนึ่งแสนคนที่เหยียนเชียงนำทัพไม่ได้ข้ามฝั่งมา”“ไม่ได้ข้ามฝั่งรึ?” เหอกังตกใจอย่างมาก กล่าวด้วยความโมโหทันที “เวลาครึ่งก้านธูปที่แล้วพลส่งข่าวมารายงานว่ากองกำลังหนึ่งแสนคนนั้นของเหยียนเชียงเริ่มข้ามฝั่งแล้วมิใช่หรือ? พลส่งข่าวของเจ้าเป็นอันใดไป จึงรายงานไม่แม่นยำเช่นนี้!”“ท่านพ่อ เมื่อครู่กองกำลังเมืองเตียนข้ามฝั่งจริงๆ ทว่าผ่านไปไม่นานพวกเขาทั้งหมดก็กลับลำ ตอนนี้เดินทางมุ่งสู่เมืองหรงตูแล้ว”“กล่าวเช่นนี้...” สีหน้าของเหอกังเปลี่ยนเป็นเข้มงวด “กองกำลังเตียนตูไม่คิดที่จะสนใจพวกเรา ทว่ามุ่งตรงไปบุกโจมตีเมืองหรงตู หากสูญเสียเมืองหรงตูไป เช่นนั้นพวกเรา...”เช่นนั้นกองกำลังลาดตระเวนก็เหมือนกับเด็กกำพร้าไร้บ้านหากไปเยือนหรงตูมิได้ พวกเขาก็เป็นทหารเร่ร่อนกลุ่มหนึ่งที่ไม่กำลังสนับสนุนใดๆจากแนวหลัง“เร็วเข้า พวกเราต้องเร่งฝีเท้าในการเคลื่อนทัพ” เหอกังกล่าวเสียงดัง “แผนการเดียวในตอนนี้ พวกเราทำได้เพียงแข่งความเร็วกับเหยียนเชียง”“ข้าว่าวิธีนี้ก็ไร้ผล” เย่ว์หนูที่อยู่ด้านข้างเฉินฝานส่ายหน้ากล่าวเสียงเบา “พละกำลังของกองกำลังเมืองเตียนตูมีม
เฉินฝานเดินอยู่ด้านหน้า ฉินเย่ว์เจียวลากศพของเหยียนอิง สองคนเรียงรายเดินออกจากกระโจมไปสถานการณ์รบด้านนอกจวนจะเข้าใกล้จุดสิ้นสุดแล้วห่าธนูในคราเดียว กองกำลังเมืองเตียนตูสามพันกว่าคนนี้ ทุกคนล้วนถูกลูกธนูของกองกำลังลาดตระเวนปักราวกับเม่นเหอจื่อหลินพาคนไปตรวจสอบว่ามีกองกำลังเมืองเตียนตูที่ยังตายไม่สนิทหรือไม่ ดังนั้นจึงเกิดเสียงการแทงซ้ำและเสียงโอดครวญเป็นครั้งคราว“ถวายบังคมใต้เท้าเฉิน!”“ถวายบังคมใต้เท้าเฉิน!”เมื่อเห็นเฉินฝานแล้ว เหล่านายทหารพากันคุกเข่าเฉินฝานลนลานรีบทำท่าขอให้ลุกขึ้น “ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี รีบลุกขึ้นเถอะ”นายทหารเหล่านั้นโน้มศีรษะติดกับพื้นจึงยอมลุกขึ้นยืนนับตั้งแต่ที่เข้ากระโจมจนมาถึงตอนที่ออกจากกระโจมมา ห่างกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เหล่ากองกำลังลาดตระเวนด้านหน้าเฉินฝาน ทุกคนล้วนมีชีวิตชีวาพวกเขาทหารผู้ดีทหารไร้ประโยชน์ที่ถูกฝูงชนหัวเราะเยาะ ในเวลาสั้นๆครึ่งชั่วโมง สามารถกำจัดพลทหารม้าของกองกำลังเมืองเตียนตูหนึ่งกลุ่มได้ทั้งหมดต่อจากนี้ จะคอยดูว่าผู้ใดจะกล้ากล่าวว่าพวกเขาไร้ประโยชน์ได้อีก!เหล่าทหารเพิ่งจะลุกขึ้นยืน เหอกังรีบรุดหน้าเข้ามาทันที สีหน
เหยียนอิงถูกฉินเย่ว์เจียวนำน้ำเย็นหนึ่งถังราดใส่จนตื่น“อ้าก!”“ใครกัน? ชาติชั่วผู้ใดรนหาที่ตาย บังอาจใช้น้ำราดใส่ข้า!”เหยียนอิงที่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยความตกใจเด้งตัวกระโดดลงจากเตียง คว้าดาบใหญ่ข้างกายขึ้นมา ต้องการจะฟันออกไปตอนที่เขาเห็นชัดเจนว่าคนที่ยืนข้างเตียงเขาคือฉินแย่ว์เจียว วางดาบลงทันที พลันปรากฏรอยยิ้มสัปดน“เจ้าหนุ่มหน้าปลาเก๋านั้น สามารถจัดการเรื่องต่างๆ เพราะถวิลหาสาวน้อยที่งดงามเช่นนี้ ข้าก็แปลกใจหรอก”“แม่สาวน้อย เจ้าจะมาด้วยตนเองหรือต้องการให้ข้าช่วย!”“ข้าว่าข้าช่วยเจ้าดีกว่า เจ้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อย”เหยียนอิงหัวเราะร่าลุกขึ้นยืน กำลังจะโถมตัวใส่ร่างของฉินเย่ว์เจียว“ปึก!”จอกสุราหนึ่ง ลอยมาจากด้านหลังฉินเย่ว์เจียว ชนเข้ากับใบหน้าของเหยียนอิงอย่างรุนแรง“อ้าก!”เหยียนอิงที่ได้รับบาดเจ็บตะโกนลั่น ยื่นมือออกไปคิดที่จะคว้าดาบใหญ่ของเขาอีกครั้ง“ปึก!”มีวัตถุหนึ่งชิ้นลอยมาจากด้านหลังฉินเย่ว์เจียวอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่จอกสุรา ทว่าเป็นเกาทัณฑ์ดอกเหมยหนึ่งลูกนี่เป็นหนึ่งในอาวุธลับมากมายที่ฉินเย่ว์เหมยมอบให้เฉินฝาน เกาทัณฑ์ดอกเหมยใช้งานง่ายที่สุด วันที่สองข
ฉกฉวยโอกาสยามราตรี กองกำลังลาดตระเวนสองหมื่นนาย สามารถข้ามแม่น้ำลวี่สุ่ยครั้งที่สองได้แล้วคนมากมายเพียงนี้ กล่าวไม่มีลาดเลาอันใดแม้แต่น้อย นั้นเป็นเรื่องโกหกตอนที่กองกำลังลาดตระเวนข้ามฝั่ง ทำให้กองกำลังเมืองเตียนตูที่ลาดตระเวนผู้หนึ่งพบเห็น“คน มีคนจำนวนมากกำลังข้ามฝั่ง” กองกำลังเมืองเตียนตูผู้นั้นกล่าวกับสหายร่วมรบของตนคำพูดของกองกำลังเมืองเตียนตูผู้นั้น ไม่เพียงไม่ได้รับความใส่ใจจากสหายร่วมรบเท่านั้น ยังถูกสหายร่วมเขกกะโหลกหนึ่งที“เป็นเพราะไม่นอน ตาพร่ามัวไปแล้วหรือ ข้ามฝั่งอันใดกัน?” สหายร่วมรบชี้ไปที่แม่น้ำ “ดูสิ ด้านบนมีเรือหรือไม่? ไม่มีเรือจะข้ามฝั่งมาได้เยี่ยงไร”“ทว่า...”กองกำลังเมืองเตียนตูผู้นั้นหันกลับไปชำเลืองมองอีกครั้ง “ข้าเห็นจริงๆ เหมือนว่าพวกเขาไม่ได้นั่งเรือข้ามมา ทว่าเดินบนผิวน้ำมา”สะพานลอยไม่โผล่ขึ้นมาผิวน้ำทั้งหมด ดูแล้วก็เหมือนกับคนกำลังเดินผิวน้ำจริงๆกองกำลังเมืองเตียนตูผู้นั้นถูกสหายร่วมรบของตนเขกกะโหลกอีกครั้ง “เดินบนผิวน้ำ? นับถือที่เจ้าพูดเช่นนี้ออกมาได้ ที่เจ้าเห็นมิใช่คน แต่เจ้าเห็นผีแล้วต่างหาก!”“ที่ข้าเห็นเป็นผีงั้นรึ?”“จะไม่ใช่ได้อย่
“สร้างสะพานลอยเช่นนี้ กองกำลังเมืองเตียนตูฝั่งตรงข้ามคงไม่ให้พวกเราสร้างได้อย่างสบายๆหรอกกระมัง”“พวกเจ้าพูดถูก” เฉินฝานกล่าว “กองกำลังเมืองเตียนตูคงไม่ให้พวกเราสร้างได้อย่างสบายๆ ดังนั้นที่พวกเราสามารถสร้างได้เป็นสะพานลอยใต้น้ำ”เฉินฝานนำแผนที่ออกมา มือวางไว้ที่แม่น้ำลวี่สุ่ย “ตรงส่วนนี้ พื้นที่แม่น้ำค่อนข้างแคบ สายน้ำก็ค่อนข้างไหลเชี่ยวเช่นกัน กองกำลังเมืองเตียนตูจะต้องคาดไม่ถึงว่าพวกเราจะกลับมาบุกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวเป็นแน่ ดังนั้นช่วงนี้การลาดตระเวนของกองกำลังเตียนตูต้องไม่เข้มงวดเพียงนั้นเป็นแน่ ความสามารถทางน้ำของกองกำลังหญิงยอดเยี่ยม พวกนางสามารถฉกฉวยโอกาสยามราตรี ดำน้ำลงไปในแม่น้ำสร้างสะพาน”ในตอนแรกที่ฝึกกองกำลังหญิง ตามปกติแล้วก็ฝึกตามที่หน่วยรบพิเศษฝึกฝน ดังนั้นการดำน้ำสร้างสะพานประเภทนี้ชำนาญเป็นธรรมดาอยู่แล้ว“สหายกองกำลังลาดตระเวน เพียงแค่ตระเตรียมเถาวัลย์และกิ่งไม้ให้พร้อมก็ใช้ได้แล้ว”ขั้นตอนในการสร้างสะพาน เป็นดังที่เฉินฝานคาดการณ์ไว้ กองกำลังเมืองเตียนตูคาดไม่ถึงว่าพวกเฉินฝานจะกลับมาบุกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว และสิ่งที่คาดไม่ถึง คิดเหนือชั้นไปอีก คือพวกเฉินฝ
“ใต้เท้าเฉิน ไยเจ้ายังคิดที่จะล้อเล่นอีก!” เหอกังสีหน้าจริงจัง เขาออกคำสั่งกับเหอจื่อหลิน “จื่อหลิน เจ้าปกป้องใต้เท้าเฉินให้ออกจากป่าไปในคืนนี้ มุ่งหน้าสู่หรงตู”“ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้า...”“ใต้เท้าเฉิน ข้ารู้ว่าเจ้าอยากอยู่ ทว่าพวกเราไม่สามารถเสี่ยงอันตรายเรื่องนี้ได้ หากสูญเสียเจ้าไป ต้าชิ่งของพวกเราก็ถึงจุดจบจริงๆแล้ว”เหอกังพูดขัดคำพูดเฉินฝานก่อนที่จะออกเดินทางครั้งนี้ ฉินเย่ว์เหมยลอบนัดพบพ่อลูกตระกูลเหอลับๆ ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นให้พ่อลูกตระกูลเหอต้องปกป้องชีวิตของเฉินฝานไว้กล่าวว่า หากไร้ซึ่งเฉินฝาน ต้าชิ่งก็สูญสลายเช่นกันคำพูดของฉินเย่ว์เหมย เหอกังเห็นด้วยทั้งหมดตอนนี้ต้าชิ่งมีทั้งศึกภายในและภายนอก ขุนนางทุจริตกุมอำนาจ หากไม่มีเฉินฝาน ก็มิมีใครสามารถต่อกรกับเสิ่นหมิงหยวนได้“ท่านแม่ทัพใหญ่!” เฉินฝานทำมือเคารพให้เหอกัง “ขอบคุณความไว้วางใจของท่านแม่ทัพใหญ่ที่มีต่อข้าน้อย ในเมื่อท่านแม่ทัพคิดว่าข้าน้อยสามารถช่วยต้าชิ่งให้รอดพ้นได้ เช่นนั้นไยไม่เชื่อมั่นให้ข้าน้อยทำให้กองกำลังเมืองเตียนตูพ่ายแพ้กันล่ะ?”“ใต้เท้าเฉิน ข้าเชื่อมั่นว่าท่านมีความสามารถเช่นนั้นอยู่แล้ว ทว่าการจะหล
ระเบิดดินที่ฝังไว้ จวนจะได้แผลงฤทธิ์แล้ว ม้าและพลทหารที่ถูกระเบิดจนลอยขึ้นจะบรรเทาการปิดล้อมของกองกำลังเมืองเตียนตูได้ชั่วคราวผ่านไปไม่นานนัก ท้องฟ้าก็มืดสนิทเมื่อท้องฟ้ามืดแล้ว เหล่าทหารลาดตระเวนล้วนถอนหายใจอย่างโล่งอกพวกเขาปลอดภัยชั่วคราวแล้วต่อให้กองกำลังเมืองเตียนตูจะเก่งกาจเพียงใด ก็ไม่สามารถจะหาญกล้าบุกโจมตีเข้ามาในป่าตอนกลางคืนเหยียนเชียงที่เป็นผู้นำกองกำลังหนึ่งแสนคนของเมืองเตียนอันก็ไม่ได้รีบร้อน ตอนที่ฟ้ายังไม่ทันมืด เขาก็ออกคำสั่งให้คนไปตั้งค่ายทหารแล้ว“ท่านเจ้านครฝ่ายขวา เส้นทางที่จะระเบิด จวนจะไม่มีแล้ว กองทัพของข้าสามารถโจมตีตามไปได้ จัดการพวกเขาให้หมด เพื่อขจัดอุปสรรคในการเข้าเมืองหลวงของท่านอ๋อง”แม่ทัพสองสามคนเป็นฝ่ายขอออกทัพกับเหยียนเชียงก่อนปัญญาชนหน้าใสเฉินฝานอยู่ในป่า จับเป็นเขาได้สามารถได้เงินห้าหมื่นตำลึงทองการบุกเข้าป่ายามราตรีเรื่องต้องห้ามเช่นนี้ กองทัพเมืองเตียนตูมิได้หวาดกลัวอย่างไรเสียก็เป็นเงินห้าหมื่นตำลึงทองเชียวนะใครจะไม่อยากได้กันเหยียนเชียงจ้องแม่ทัพที่มาขอออกรบก่อนเหล่านั้น “เรื่องที่ว่าจะขจัดอุปสรรคทางไปเมืองหลวงให้ท่านอ๋องอะไ