นางเจิ้งโบกมือให้ฉินเย่ว์ฉู่อย่างมีความสุข “เย่ว์ฉู่ ลุงกับป้าก็มีเงินปีใหม่ให้เจ้าเช่นกัน”ฉินเย่ว์ฉู่มองนางเจิ้งอย่างไม่กล้าเดินเข้ามา“ท่านป้าให้ เจ้าก็รับไว้เถอะ”ทันทีที่เฉินฝานพูดจบ ฉินเย่ว์ฉู่ก็วิ่งเตาะแตะเข้ามา“ขอบคุณท่านป้าเจ้าค่ะ ปีใหม่นี้ขอให้ท่านลุงกับท่านป้าสุขภาพแข็งแรง ทุกสิ่งสมปรารถนา ร่ำรวยเงินทองเจ้าค่ะ!”“ท่านแม่ ทำไมถึงมอบให้แต่พี่เย่ว์ฉู่ล่ะเจ้าคะ ไม่มีของข้าหรือเจ้าคะ?” เอ้อร์ยาทำหน้าบูดบึ้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ยัยเด็กคนนี้ จะไม่มีของเจ้าได้อย่างไรเล่า” นางเจิ้งหยิบเงินปีใหม่ออกมาอีกสองอันจากกระเป๋าเสื้อ “อ่ะ นี่คือของพ่อและแม่……”นางเจิ้งยังพูดไม่จบ เงินปีใหม่ในมือถูกเอ้อร์ยาเอาไปเรียบร้อย “ขอบคุณท่านพ่อ ขอบคุณท่านแม่!”“ต้ายา มีของเจ้าเหมือนกันนะ”“ขอบคุณท่านพ่อ ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ!” เฉินต้ายาแสดงสีหน้าเขินอาย“อย่ามัวแต่ขอบคุณพวกเราอีกเลย พวกเจ้าสองพี่น้องควรขอบคุณพี่เสี่ยวฝานมากที่สุด หากไม่มีพี่เสี่ยวฝานของเจ้า พวกเราจะมีเงินปีใหม่มอบให้พวกเจ้าได้อย่างไร?”“เสี่ยวฝาน ขอบคุณนะ!” เฉิงผิงที่เงียบมาตลอด กล่าวขอบคุณเฉินฝานด้วยใบหน้าซาบซึ้งใจอ
วันนี้ลมแรงและหนาวเป็นพิเศษเฉินฝานยกมือขึ้นปัดผมที่กระจัดกระจายบนใบหน้าของฉินเย่ว์เจียวออกไปทันใดนั้นใบหน้าแดงก่ำของฉินเย่ว์เจียวก็แสดงขึ้นต่อหน้าเฉินฝานไม่ได้หน้าแดง แต่แดงเพราะความเย็นเฉินฝานมองแล้วเอ็นดูมาก เขาจึงถอดหมวกออกแล้วสวมให้ฉินเย่ว์เจียวขณะที่จัดหมวกบนหัวของฉินเย่ว์เจียว เขาพลางสั่ง “วันนี้หนาวเกินไป เจ้าไม่ต้องรออยู่ที่นี่ กลับไปก่อนแล้วกลับมาอีกทีหลังเลิกเรียนนะ”“อืม ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะนายท่าน”ฉินเย่ว์เจียวผู้มีกล่องเสียงใหญ่ เสียงพูดในเวลานี้เบาดุจเสียงลูกแมวแม้ว่าปกตินางดูเป็นคนเรื่อยเฉื่อย แต่ในเรื่องของชายหญิง นางมีความเขินอายมากกว่าฉินเย่ว์โหรวอีกมีภรรยาของปัญญาชนมากมายอยู่ใกล้ ๆ และพวกเขากำลังมองมา“อันธพาลมาร่ำเรียน ก็ยังเป็นอันธพาลไม่เปลี่ยน ไม่รู้จักกาลเทศะเอาซะเลย”“ต่อหน้าสาธารณชน ทำตัวหนุงหนิงอย่างนั้น ช่างหน้าไม่อายเสียจริง”“มันไร้ยางอายจริง ๆ เห็นว่าตนเองมีรูปลักษณ์ที่ดีหน่อยงั้นรึ? ไม่มองสักหน่อยเลยหรือว่าที่นี่คือที่ไหน”“ใช่ นางคิดว่านางมีความสุขนั้นหรือ นั่นขัดต่อศีลธรรมต่างหาก”ผู้หญิงเหล่านั้นภายนอกเหมือนดูถูก แต่ความจริงในใจนั
เฉินฝานหันกลับไปพบว่าเป็นเฉียนหย่งเหนียน“คำพูดพวกนั้น เจ้าอย่าเอามาใส่เลยนะ”“พี่หย่งเหนียนไม่ต้องกังวล ข้าไม่เก็บใส่ใจหรอก ปากอยู่บนตัวผู้อื่น ข้าคงปิดปากพวกเขาไม่ได้หรอก”“เจ้าคิดแบบนี้ก็ดีแล้ว”ขณะที่เฉียนหยงเหนียนพูด เขาพลางหยิบพู่กันด้ามใหม่ออกมาจากกระเป๋าไม้ไผ่แล้วมอบให้เฉินฝาน “อ่ะ นี่คือของขวัญปีใหม่สำหรับเจ้า”เฉินฝานรีบผลักมือของเฉียนหย่งเหนียนออกไป “พี่หย่งเหนียน วันก่อนพี่ก็ให้ของขวัญมากมายแก่ข้าแล้ว ข้ารับไม่ได้แล้วจริง ๆ”“สองสามวันก่อนนั่นพ่อข้าเป็นคนเตรียมให้เจ้า ตอนนี้เป็นของที่ข้าให้เจ้า”“พี่หย่ง......”“รับไปเถอะ อาจารย์มาแล้ว”ทันทีที่อาจารย์เฉียนมาถึง สถานศึกษาที่คึกคักในตอนแรกพลันเงียบลงทันใดเช่นเดียวกับทุกปีที่ผ่านมา วันแรกของการเปิดเรียน คือการคุกเข่านมัสการนักบุญหลีหลังจากบูชานักบุญเสร็จ อาจารย์เฉียนก็ประกาศเรื่องหนึ่งต่อทันทีนายอำเภอเพิ่งออกคำสั่งหนึ่งฉบับ ปัญญาชนที่อยู่ในรายชื่อปีนี้ทุกคนต้องเข้ารับการสอบขุนนางเหตุผลก็คือจำนวนผู้เข้ารับการสอบขุนนางในอำเภอผิงอัน ต่ำกว่ามาตรฐานอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอำเภออื่นต้องการเข้าร่วมการสอบ แต่จ
เฉินเจียงในวันนี้แต่งกายด้วยชุดชิงจินตัวใหม่ ชุดของเขาช่วยทำให้เขาดูสง่างามมากเป็นพิเศษเขาเดินมาตรงหน้าของเฉินฝานด้วยท่าทีอ่อนโยนและมีเมตตาเหมือนกับที่เขาแสดงกับท่านอา“เสี่ยวฝาน หากเจ้ายังมีสิ่งใดไม่เข้าใจหรือไม่รู้คำไหน เจ้ามาถามข้าที่บ้านได้ ข้าจะบอกทุกอย่างที่ข้ารู้กับเจ้า”“นี่เป็นการสอบครั้งแรกของเจ้า หากสอบไม่ผ่านย่อมเป็นเรื่องปกติ เจ้าเพิ่งศึกษาได้ไม่นาน สอบได้ที่สุดท้ายก็ย่อมเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นเจ้าอย่าได้กดดันตัวเองมากเกินไป”การสอบยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ เฉินเจียงกลับเอ่ยปลอบใจแล้วเขาคิดว่าเฉินฝานคงสอบไม่ผ่าน และคงจะรั้งท้ายของห้อง“เสี่ยวฝาน!”เฉียนหย่งเหนียนเดินมาตรงหน้าของเฉินฝาน “อย่ากลัว!ในห้องเรียนยังมีอีกหลายคนที่เหมือนกับเจ้า ทุกคนต่างก็สอบกันเป็นครั้งแรก แม้แต่เฉินเจียงอาของเจ้าก็ยังสอบเป็นครั้งแรก”เฉินเจียงสะบัดแขนเสื้อ เอามือไพล่หลัง และกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ข้าไม่เหมือนกับคนอื่น การสอบในฤดูใบไม้ผลิ สำหรับข้ามันเป็นเรื่องง่าย”“ข้าเองก็คิดว่าเฉินเจียงทำได้”“ใช่ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนพระคัมภีร์หรือถามตอบ เฉินเจียงโดดเด่นมากอยู่แล้ว”“ส่วนตัวข้าคิดว่าเฉินเจ
“ไอหยา!” ชาวบ้านเหล่านั้นต่างพากันปรบมือและกระทืบเท้า “ข้าวิ่งมาตรงหน้าของพวกเจ้าขนาดนี้แล้ว นั่นหมายความคนที่กำลังทะเลาะกันอยู่จะต้องเป็นภรรยาของพวกเจ้าแน่นอน”“ว่าอย่างไรนะ? นังแพศยาของพวกข้าทะเลาะกันเองอย่างนั้นหรือ? สหายข้า สายตาของเจ้าไม่ได้มีปัญหาใช่หรือไม่ เจ้าไม่ได้ดูผิดไปใช่หรือไม่?”สวีจื่อหมิงเอ่ยขึ้น เขาเหมือนกับเฉินเจียง พวกเขาสองคนเป็นคนหน้าซื่อใจคดอย่างยิ่งต่อหน้าคนข้างนอก พวกเขามักจะเป็นคนสุภาพและมีเมตตาแต่สิ่งเดียวที่เขามักจะขอกับภรรยาของเขานั้นก็คือ อย่าทำลายภาพลักษณ์ของเขาหากเขารู้สึกว่าภรรยากำลังทำลายภาพลักษณ์ของเขา เขายินดีทิ้งนางทันทีเพราะเหตุผลนี้ ภายในระยะเวลาสามปี เขาทิ้งภรรยาคนเก่าไปแล้วห้าคนหลังจากทิ้งแล้ว เขาก็ตรงไปรับภรรยาคนใหม่จากที่ว่าการทันทีความจริงแล้วเขาตั้งใจทำเช่นนี้ เพราะเขาสามารถหาภรรยาคนใหม่ได้จากที่ว่าการคนที่เขาพามาวันนี้คือภรรยาที่เขาเพิ่งไปพาตัวกลับมาจากที่ว่าการเมื่อปลายปีที่แล้ว และเข้ามาในบ้านของเขาไม่ถึงสามเดือน “ใช่ เจ้าคงจะมองผิดไป ภรรยาของพวกเราจะทะเลาะกันได้อย่างไร พวกนางไม่ใช่หญิงสาวธรรมดา”เหล่าปัญญาชนทยอยกันค
เฉินฝานอธิบายขณะดึงผมของตัวเอง “พวกนางเอ่ยไม่เข้าหู พวกนางด่าเยว์เจียวกับเสียวฉู่ ด่าว่าพวกนางเป็นนังแพศยาทั้งคู่ อีกอย่างพวกนางยังกล่าวหาข้าเป็นคนไม่เอาไหน”“แล้วทำไมถึงไม่บอกข้า? เจ้าจะเรียกเสียวฉู่กลับมาก็ควรบอกข้าสักคำ” น้ำเสียงของฉินเย่ว์โหรวดังขึ้น“บอกเจ้าไป เจ้าก็คงห้ามพวกนางไม่ให้สู้กลับนะสิ” เฉินฝานอธิบายด้วยเสียงเบา ๆ “ใครบอก หากบอกข้า ข้าก็จะสู้ด้วย!” ฉินเย่ว์โหรวเปลี่ยนจากท่าทีที่ดูอ่อนโยนมาเป็นแข็งกร้าว นางกำหมัดแน่นจนตัวสั่น“......?”“ไปกันเถอะ!” ฉินเย่ว์โหรวคว้ามือของเฉินฝานพร้อมกับเอ่ยเรื่อยเปื่อย“กล้าดีอย่างไรมากล่าวหานายท่านของข้าเป็นคนไม่เอาไหน พวกนางสมควรตาย”ตอนที่ได้ยินว่าฉินเยว์เจียวและฉินเยว่ฉู่โดนด่าว่าเป็นนังแพศยา ฉินเยว์โหรวยังไม่โกรธเท่าไหร่ แต่พอได้ยินว่าเฉินฝานโดนกล่าวหาว่าเป็นคนไม่เอาไหน ในสายตาของฉินเย่ว์โหรวก็ร้อนผ่าวด้วยความฉุนโกรธพี่น้องตระกูลฉินปกป้องสามียิ่งกว่าใคร“อ๊าก!เจ้ากัดข้า?”“ข้ากัดเจ้าแล้วอย่างไร หน้าของเจ้าสวยน้อยกว่าข้าอีก ทำมาเป็นหยิ่งยโส ข้าหมั่นไส้เจ้ามานานแล้ว....อ๊าก เจ้ากัดคอข้าอย่างนั้นหรือ?”“ก็เจ้ากัดข้าได้ ข้ากั
“....นายท่าน นั้นเสียงของเสียวฉู่ใช่หรือไม่”“เหมือนจะใช่”ทั้งสองคนหันไปมองกลุ่มของชาวบ้านที่กำลังโห่ร้องฉินเย่ว์เจียวและฉินเย่ว์ฉู่สองพี่น้องคู่นั้นยืนสูงกว่าคนอื่น เสียงที่กำลังตะโกนยุยงให้พวกหญิงสาวที่อยู่ด้านล่างทะเลาะกันนั้นดังที่สุดเมื่อเห็นสองพี่น้อง หัวใจของเฉินฝานถึงกับหล่นฮวบลงทันทีในตอนที่เฉินฝานได้ยินเสียงร้องเรียกที่ฟังดูน่าเวทนา เขาถึงกับเป็นกังวลว่าฉินเย่ว์เจียวอาจจะลงมือกับพวกนางหนักเกินไป กลัวว่าเหรียญที่มีอยู่บ้านจะไม่พอสำหรับชดใช้เยี่ยมเฉินฝานแสดงสีหน้าชื่นชมเห็นได้ชัดว่าฉากทะเลาะกันอย่างรุนแรงในหุบเขานั้นเป็นฝีมือยุยงของฉินเย่ว์เจียวและฉินเย่ว์ฉู่ ดูเหมือนว่าสองพี่น้องคู่นี้จะฉลาดกว่าที่เขาคาดคิดไว้ยุยงให้พวกนางทะเลากันเอง ดีกว่าไปตบตีกับพวกนางเองให้อับอาย“นายท่าน!” จางเหลียนฮวาที่อุ้มเด็กน้อยอยู่ในอ้อมกอดได้ขยับเข้ามาตรงหน้าของเฉินฝานนางมองไปยังกลุ่มหญิงสาวที่กำลังตบตีกันอย่างรุนแรง และทำเป็นกล่าวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ไอหยา นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”“มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันไม่ได้หรือ?”ประโยคสุดท้ายของจางเหลียนฮวาแสดงถึงคนมีการศึกษา นางกำ
“มันมากเกินไปหน่อยไหม....” เฉินเจียงแสดงสีหน้าลำบากใจ“ตามนี้แหละ พี่เจียง ข้าจะให้เงินยี่สิบเหรียญกับพี่สะใภ้ทุกเดือน ให้ภรรยาของข้าช่วยพี่สะใภ้ทำงานบ้าน ให้พี่สะใภ้อบรมสั่งสอนนาง”มีคนแนะนำ คนที่เข้าเรียนในสำนักศึกษาได้ สถานะทางการเงินของพวกเขาย่อมดีไม่น้อยพวกเขาร่ำเรียนตำราก็เพื่อสอบเข้าขุนนางและนำมาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูลตอนนี้พวกเขาเป็นปัญญาชนแล้ว แต่ภรรยาของพวกเขากับทะเลาะกันเสียเอง มีแต่จะสร้างความอับอายเท่านั้น หากวันหนึ่ง พวกเขาได้รับเลือก ต่อให้จะเป็นขุนนางระดับเก้าหรือระดับสิบ หากภรรยาสร้างปัญหาเช่นนี้ นี่คงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกเขาบางทีหมวกขุนนางสีดำบนศีรษะพวกเขาอาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้“ใช่ ข้าจะให้เงินกับพี่สะใภ้เดือนละยี่สิบเหรียญ”ฐานะทางบ้านของสวีจื่อหมิงและหย่งเหนียนไม่ต่างกันมากนัก“ไม่ดีหรอก ข้าจะเก็บเงินจากปัญญาชนได้อย่างไร?” เฉินเจียงปฎิเสธ“พี่เจียง ข้าบอกอยู่ว่าข้าให้ ก็คือให้พวกท่าน อีกอย่างข้าไม่ได้ให้พวกท่านโดยเปล่าประโยชน์ การได้เรียนกับพวกท่านนับว่าเป็นประโยชน์ของพวกนาง”“นั่นนะสิ เจ้าคงไม่รู้ การเชิญนางกำนัลอาวุโสมาสอน ราคาของนา
ตวนซินอ๋องมิอยากเชื่อสายตาของตนเอง เขายกกำปั้นไปด้านหน้าเฉินฝานทันที หลังนั้นก็ชูสามนิ้วออกไปชูสามนิ้วแล้วตะโกนพูดขึ้นหนึ่งประโยค“หนึ่งกฎเกณฑ์ สองสตรี สามเงินเหวิน!”เมื่อตะโกนจบก็จ้องไปที่เฉินฝาน สื่อความหมายว่าถึงตาเจ้าแล้วเฉินฝานรู้สึกหมดคำพูดอีกครั้ง ถูกพลทหารหนึ่งพันปิดล้อมมิสำคัญ จวนจะถูกตัดหัวประหารก็มิสำคัญเช่นกันสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...เฉินฝานก็ยกกำปั้นขึ้นมาชูนิ้วยื่นไปด้านหน้าตวนซินอ๋องเช่นกัน“สี่ฤดูกาล ห้าปรมาจารย์ หกที่นั่ง!”ทหารหลวงที่ปิดล้อมเฉินฝานและตวนซินอ๋องไว้มึนงงในบัดดลแม้กระทั่งหลี่ชิ่งที่เป็นหัวหน้าของพวกเขายังกวาดสายตามองไปรอบข้าง เขากำลังสงสัยว่านี้เป็นสัญญาณลับระหว่างเฉินฝานและตวนซินอ๋องหรือไม่“ถูกต้องทั้งหมด ๆ!”ตวนซินอ๋องดีใจออกนอกหน้าเดินไปกอดเฉินฝาน “เจ้าพูดรหัสลับของการเล่นทายตัวเลขถูกทั้งหมด เจ้าเป็นลูกเขยที่แสนดีของข้าจริงๆด้วย เจ้ายังมีชีวิตดังคาดสินะ”กำปั้นแห่งความปีติของตวนซินอ๋อง ทุบไปหลังเฉินฝานครั้งแล้วครั้งเล่าเฉินฝานรู้สึกวิงเวียนศีรษะ เขาจวนจะถูกพ่อตาของตนเองตบหลังจนแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว“ชาวบ้านใจกล้า ก่อความวุ่
“ตุ้บ!”หลี่ชิ่งที่แต่เดิมกำลังพยุงหลิวเกาจัวปล่อยมือออกทันทีหลิวเกาจัวที่หกล้มหน้าคะมำตะโกนร้องโอดโอย เห็นว่ามีเท้าสองข้างอยู่ด้านหน้าจึงคิดที่จะใช้เพื่อยันตัวลุกขึ้นปรากฏว่าเมื่อเขาสัมผัสเท้านั้น เจ้าของฝ่าเท้านั้นก็จงใจยกขึ้น จึงทำให้เขาลื่นล้มลงกับพื้นอีกครั้ง“บัณฑิตหลิว กลางวันแสกๆเช่นนี้ นักพรตชิงเฟิงก็กำลังทำพิธีอยู่ที่แห่งนี้ จะมีภูตผีตนใดกล้าออกมากัน?”ผู้ที่ถีบหลิวเกาจัวคือเลขาธิการกรมโยธาธิการหยางอวิ๋นหู่ เดิมทีหยางอวิ๋นหู่เป็นผู้เก่งกาจในการประจบประแจงคนหนึ่ง ก่อนที่หลิวเกาจัวจะทรยศซูซิวฉี เสิ่นหมิงหยวนให้ความสนใจกับหยางอวิ๋นหู่เป็นอย่างมาก ปรากฏว่าเมื่อหลิวเกาจัวปรากฏตัวขึ้นมา หยางอวิ๋นหู่ก็เทียบเคียงหลิวเกาจัวมิได้แม้แต่น้อยครั้งนี้สามารถทำให้เฉินฝานติดอยู่ในเมืองเซียนตูได้ เดิมทีก็เป็นความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหยางอวิ๋นหู่ แต่เพราะสาเหตุที่ว่าเรือนเซียนผาสุกมิสามารถปิดตายเฉินฝานได้อย่างสมบูรณ์ หลิวเกาจัวก็คอยใส่สีตีไข่อยู่เสมอ หยางอวิ๋นหู่มิเพียงแต่มิได้รับรางวัลจากเสิ่นหมิงหยวนเท่านั้น กลับถูกตำหนิอย่างรุนแรงอีกด้วย“ใต้เท้าหยางพูดถูก ต่อให้เป็นกลางวั
เฉินฝานเดินออกมาจากห้องตั้งดวงวิญญาณ ก่อนจะเดินไปยังแท่นบูชาบนแท่นบูชายังมีคนกำลังทำพิธีอยู่นอกจากนี้คนบนแท่นบูชาผู้นี้แต่งกายงดงามกว่าหมอผีที่อยู่ในห้องตั้งดวงวิญญาณ เครื่องมืออุปกรณ์ก็ดูอลังการมากกว่าว้าวเฉินฝานอดลอบอุทานไม่ได้เสิ่นหมิงหยวนลงทุนสำหรับงานศพนี้ของเขาไปไม่น้อยเลยตรงพื้นที่เปิดโล่งใต้แท่นบูชา มีขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊คุกเข่ากันเต็มไปหมดหิมะเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งเฉินฝานมองแวบเดียวก็เห็นอ๋องตวนที่ยืนอยู่หน้าขุนนางทั้งหมด อ๋องตวนไม่มีท่าทางเมามายเหมือนก่อนหน้านี้แล้วผมที่เดิมทีขาวแค่ครึ่งเดียว ตอนนี้ขาวโพลนไปหมดแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าลูกเขยจากไปแล้วท่ามกลางเพลิงไหม้อย่างรุนแรงเมื่อไม่กี่วันก่อน อีกทั้งยังสูญเสียบุตรีไปอีกสองคนนี่ก็คือคนผมขาวส่งศพคนผมดำสินะเฉินฝานเห็นแล้วรู้สึกประทับใจเล็กน้อยแม้ว่าพ่อตาที่โผล่มาตอนครึ่งทางผู้นี้ของเขา ปกติจะชอบดื่มเหล้า และเป็นคนที่ดูไม่น่าเชื่อถืออย่างมาก แต่ก็ปฏิบัติกับเขาดีมากจริง ๆ จนไม่มีอะไรจะพูด อีกไม่นาน อีกไม่นาน เขาก็ไม่ต้องเสียใจแล้วส่วนบนพระที่นั่งมังกรที่อยู่ไกล ๆ... ว่างเปล่าไม่
“วันที่แปดแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้าย นายท่าน คนข้างนอกพวกนั้นด่าท่านมาแปดวันแล้ว ท่านยังอารมณ์ดีทนได้ แต่ข้าทนไม่ไหวแล้วนะเจ้าคะ”ฉินเย่ว์เจียวรู้สึกน้อยอกน้อยใจ นางกำหมัดแน่นมาหลายวันแล้ว แต่เฉินฝานสั่งให้เย่ว์หนูคอยดูแลนาง นางจึงทำได้เพียงงอนอยู่ที่บ้าน“เจ้าลดเสียงหน่อย จินเป่าเพิ่งจะหลับไปนะ!”เฉินฝานวางจินเป่าที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะกล่อมให้นอนหลับลงบนเตียง จากนั้นก็เดินไปที่ริมหน้าต่าง ฟังเสียงด่าทอจากข้างนอกเสิ่นหมิงหยวนตั้งใจปล่อยให้ชาวบ้านในเซียนตูก่นด่าเฉินฝาน อยากจะทำให้เฉินฝานชื่อเสียงฉาวโฉ่เฉินฝานฟังชาวบ้านในเซียนตูด่าทอตนเอง เพื่อให้พวกเสิ่นหมิงหยวนสูญเสียความระแวดระวัง ชาวบ้านยิ่งด่ารุนแรงและยิ่งด่านานเท่าไร ความระแวดระวังของเสิ่นหมิงหยวนก็จะยิ่งหย่อนยานลง เชื่อว่าเขาตายไปแล้วจริง ๆแววตาของเฉินฝานเย็นชาขึ้นมาทีละนิด“พรุ่งนี้ข้าก็จะ ‘ถูกฝัง’ ได้แล้ว” พรุ่งนี้...ทุกอย่างจะกลับคืนสู่ที่ของมัน ไม่สิควรพูดว่าพรุ่งนี้เขาจะกลายเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายของต้าชิ่งอย่างเป็นทางการหลังจากอยู่ในเมืองหลวงมาหนึ่งปีกว่า ในที่สุดเขาก็ได้ยืนอยู่บนตำแหน่งเดิมของซูซิว
“วันนั้นไฟไหม้ลานบ้านรุนแรงมากถึงเพียงนั้น รอบด้านถูกเราพวกเราห้อมล้อมไว้เป็นชั้น ๆ อย่าว่าแต่คนตายเลย ต่อให้เป็นมดสักตัวก็ไม่สามารถหนีออกมาจากลานบ้านนั้นได้ หรือว่าจู่ ๆ เฉินฝานจะกลายเป็นถู่สิงซุนขุดดินหนีออกไปแล้ว”“พรืด!” เลขาธิการกรมพิธีการหลิวเกาจัวที่ยืนอย่างเชื่อฟังอยู่ทางด้านข้างเหมือนกับสุนัขพลันอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เมื่อเสิ่นหมิงหยวนกับเสิ่นหยวนเลี่ยงมองมาทางเขา เขาก็รีบอธิบาย “ข้าน้อยคิดว่าต่อให้เฉินฝานกลายเป็นถู่สิงซุนขุดลงไปใต้ดิน เช่นนั้นก็คงโดนเผาจนสุกอยู่ดี ตอนนี้น่าจะเปลี่ยนจากถู่สิงซุนไปเป็นหนูสุกแล้วขอรับ” หลิวเกาจัวพูดประจบมากมายขนาดนั้น ในที่สุดครั้งนี้เขาก็ประจบถูกจุดแล้วเมื่อได้ยินคำพูดของหลิวเกาจัว เสิ่นหมิงหยวนก็อารมณ์ดีขึ้นในพริบตาใช่แล้ว ไฟไม้แรงขนาดนั้น ต่อให้เฉินฝานสามารถขุดลงไปใต้ดินได้ก็คงโดนเผาจนสุกไปแล้ว“เจ้าไปเถิด!” เสิ่นหมิงหยวนที่อารมณ์ดีมากยกมือขึ้นมาโบกทีหนึ่งแล้วพูดกับหลิวเกาจัวว่า “รัฐพิธีศพของท่านอัครมหาเสนาบดีเบื้องซ้ายจะหยุดไม่ได้ เจ้าไปเชิญนักพรตที่ดีที่สุดในเซียนตูมา จะต้องทำพิธีอุทิศส่วนกุศลดี ๆ ให้ท่านอัครมหาเสนาบดีเบื้องซ้
...เฉินฝานไม่ทันได้รับคำตอบจากเมี่ยวอวี่ เขาก็รู้สึกว่ามีวัตถุร่วงลงมาบนฝ่ามือ จี้หยกในมือเมี่ยวอวี่หล่นลงมาบนฝ่ามือของเฉินฝาน“เมี่ยวอวี่ เมี่ยวอวี่!” ไม่ว่าเฉินฝานจะเรียกอย่างไร โฉมงามในอ้อมแขนก็ไม่มีการตอบสนองเลยตั้งแต่ต้นจนจบนางหลับตา มุมปากยังคงยกยิ้มเล็กน้อยราวกับเจ้าหญิงที่หลับใหลไปพร้อมกับความฝันอันงดงามในหนังสือนิทาน...“คุณหนู!” แม่นมชางร้องไห้พลางโผเข้ามา คุกเข่าอยู่ข้างกายเฉินฝาน ปากก็พึมพำซ้ำ ๆ ว่า “ท่านสาบานตั้งแต่เด็กว่าอยากจะสังหารบุรุษใน ใต้หล้าให้หมด สุดท้ายกลับยังคงตายเพื่อบุรุษ”จากคำพูดของแม่นมชาง เฉินฝานค่อย ๆ เข้าใจแล้วว่าตำหนักเซียวเหยาเป็นองค์กรที่สังหารบุรุษโดยเฉพาะ เดิมทีเฉินฝานอยากจับแม่นมชางเพื่อมาสอบสวน ผลปรากฏว่าแม่นมชางกินยาพิษฆ่าตัวตายไปก่อนแล้วตอนที่ขุดหลุมฝังศพเมี่ยวอวี่ เฉินฝานพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้“เจี้ยนหวง?” เฉินฝานหันหน้าไปถามเซียนเจี้ยนหวงที่อนู่ทางด้านข้าง “ท่านรู้เรื่องตำหนักเซียวเหยา และรู้ว่าตำหนักเซียวเหยาอยู่ที่ใดใช่หรือไม่?” “ขะ ข้า...” เซียนเจี้ยนหวงดึงรากหญ้าออกจากมุมปาก “ตำหนักเซียวเหยานั้นออกจะลึกลับ ข้าจะไ
“นายท่าน...ถอดผ้าคลุมหน้า...ของข้าเถิด” เมี่ยวอวี่นอนอยู่ในอ้อมกอดของเฉินฝาน อ่อนแรงจนกระทั่งไม่มีแรงที่จะลืมตาแล้วแต่ดูออกได้จากแววตาที่ส่องประกายวิบวับ นางแทบจะรอไม่ไหวแล้ว ร้อนใจอยากจะเป็นภรรยาของเฉินฝานนางเคยคิดว่าบนโลกใบนี้นางคงจะหาบุรุษที่ถอดผ้าคลุมหน้าของนางไม่ได้แล้ว พระเจ้าช่วย สุดท้ายเขาก็ยังไม่ใจร้ายกับนางมากเกินไปนางรอคอยจนได้เจอกับบุรุษที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเฉินฝานถอนหายใจ “ถ้าเกิดโลกนี้มีการเวียนว่ายตายเกิดจริง ๆ หากชาติหน้ามีจริง เจ้าเจอข้าแล้วอย่าได้โง่งมแบบนี้อีก เข้าใจหรือไม่?” ในฐานะที่เป็นคนยุคปัจจุบัน เติบโตมาพร้อมกับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียุคปัจจุบัน เฉินฝานคิดว่าคำพูดนี้ของตัวเองน่าขันมากแต่ส่วนลึกภายในใจยังคงหวังว่าวิทยาศาสตร์จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ทุกสิ่ง หวังว่าจะมีการกลับชาติมาเกิดใหม่ “ได้!” เมี่ยวอวี่พยักหน้าอย่างว่าง่าย เฉินฝานเอามือวางไว้ที่ด้านหลังหูของเมี่ยวอวี่ จากนั้นก็กระตุกเชือกสีแดงบนหูเบา ๆ ผ้าสีแดงที่ปกปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งของเมี่ยวอวี่ก็เลื่อนหลุดลงมาสิ่งแรกที่ปรากฏเข้ามาในสายตาของเฉินฝานคือ ปลายจมูกอันงดงาม ดั
“เหตุใดเจ้าถึงได้โง่เง่าเช่นนี้? อะไรคือข้ารอดแล้วเจ้าต้องตาย!” เฉินฝานด่าอย่างรุนแรงมากเฉินฝานรำคาญกฎเกณฑ์ที่ว่ามีเจ้าไม่มีข้าเช่นนี้มากเลย คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก็เพื่อที่จะฝืนเปลี่ยนชะตาชีวิตต่อให้สุดท้ายไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้จริง ๆ อย่างน้อยก็พยายามสู้ให้ถึงที่สุด ไม่ให้ตัวเองหลงเหลือความเสียใจเมี่ยวอวี่ผู้นี้ไม่มีแม้กระทั่งดิ้นรนต่อสู้เลยเขาโกรธมากจริง ๆหากเมี่ยวอวี่เชื่อใจเขาได้ บอกเรื่องราวทุกอย่างกับเขาตามความเป็นจริง นางจะเดินมาถึงเส้นทางนี้ได้อย่างไร ตั้งแต่ที่ติดอยู่ในกระท่อมหิมะ เขาก็ให้โอกาสนางสารภาพความจริงมาโดยตลอด แต่ไม่เคยคิดเลยว่านางจะเลือกเช่นนี้ตรงหน้าอกของเมี่ยวอวี่เป็นสีแดงเพลิง นั่นเป็นการย้อมจนเป็นสีแดงสด ผ้าแพรสีขาวที่ผูกไว้บนใบหน้าก็ถูกย้อมจนเป็นสีแดงเช่นเดียวกัน เลือดไหลออกมาจากในร่างกายเยอะมาก ซึมออกมาจากในปากของนางแล้ว ต้องเจ็บมากแน่ ๆ หางตาของเมี่ยวอวี่กลับยกขึ้นเล็กน้อย “อยู่ต่อหน้าเจ้า มีใครที่ไม่โง่ได้หรือ?”“แต่เจ้าก็ยังโง่ไม่พอ ภารกิจของเจ้าคือการลอบสังหารฆ่าไม่ใช่หรือ อยากจะฆ่าข้าให้ตายไม่ใช่หรือ? ฮึดสู้ขึ้นมาสิ!”เฉินฝา
“คุณหนู พวกเขา...”“นี่เป็นคำสั่ง!” เมี่ยวอวี่ตัดบทหญิงชราด้วยเสียงเฉียบขาด “เปิดเครือข่ายใต้ดินในเมืองเซียนตูเดี๋ยวนี้เลยนะ!”“ว้าว!”เซียนเจี้ยนหวงพุ่งปราดเข้าไป ถามเมี่ยวอวี่ด้วยความตื่นเต้นว่า “แม่หนูน้อย ในเมืองเซียนตูมีเครือข่ายใต้ดินตำหนักเซียวเหยาของพวกเจ้าจริง ๆ หรือ”ดวงตาของชายชราเปล่งประระยิบระยับ เขาเคยได้ยินมานานแล้วว่าตำหนักเซียวเหยามีเครือข่ายใต้ดินอยู่ในเมืองใหญ่มากมาย เขาสงสัยใคร่รู้มากจริง ๆ รีบร้อนอยากจะเห็นเมี่ยวอวี่ผงกศีรษะเล็กน้อย เสียงฟังดูล่องลอย “รบกวนท่านพาพวกเขาเข้ามาด้วย”“ได้เลย ๆ!”เซียนเจี้ยนหวงวิ่งไปหาเฉินฝานอย่างเบิกบานใจ “เจ้าหนู ยังจะอึ้งอยู่ทำไม? เมี่ยวอวี่จะเปิดเครือข่ายใต้ดินแล้ว พวกเรารอดแล้ว!” แม้ว่าในใจยังคงมีความสงสัย แต่ตอนนี้ไม่มีทางอื่นแล้ว เฉินฝานพาภรรยาและลูกตามหลังเซียนเจี้ยนหวงเข้าไปในห้องอีกครั้งหญิงชรากวาดตามองพวกเฉินฝาน ก่อนจะหันไปถามเมี่ยวอวี่อย่างจริงจังว่า “คุณหนู ท่านรู้ไหมว่าตอนนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”“ข้าจะทำอะไร?” เสียงของเมี่ยวอวี่ฟังดูคลุมเครือ แต่ว่ามีความเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง “ไม่ต้องให้แม่นมชางมาเตือนหรอ