นางไม่รู้จริง ๆ ว่าต้องทำอย่างไรหรือนางจะต้องดูน้องสาวของตนจากไปอีกครั้งหรือไม่ตั้งแต่ครั้งแรกที่นางพบกับฉินเย่ว์เจียว ไม่ว่าจะพบเจออะไรก็ตาม ฉินเย่ว์เจียวก็เป็นเหมือนพริกเม็ดเล็ก ทั้งดุร้ายและหยิ่งยโส กระทั่งมีหนามบนร่างกายตอนนี้เป็นครั้งแรกที่เฉินฝานได้เห็นท่าทางไร้ชีวิตชีวาเช่นนี้รู้สึกสงสารและรักใคร่ในใจ“เด็กโง่งม!” เฉินฝานยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของฉินเย่ว์เจียว “สบายใจได้ ได้ไหม พวกเจ้ามีข้านะ”“ข-ข้าไม่ได้โง่งม!”ฉินเย่ว์เจียวหันมาอย่างรวดเร็วแม้ว่านางจะแต่งงานกับเฉินฝานมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว แต่ในอดีต เฉินฝานมักจะทุบตีและด่าทอนาง ให้นางออกไปทำงานหาเงินไม่ได้หยุดพักนางไม่เคยรู้สึกถึงความรักและความเสน่หาจากชายผู้นี้เลย เมื่อมือของเฉินฝานสัมผัสใบหน้าของนาง ก็พบว่าเขาอบอุ่นมากและหัวใจก็เต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้ใบหน้ารู้สึกร้อนยิ่งขึ้น ใบหน้าที่เมื่อครู่เพิ่งถูกเฉินฝานสัมผัสกลายเป็นสีแดงก่ำสะท้อนน้ำตาบนใบหน้าแพรวพราว ราวกับดอกกุหลาบที่กำลังเบ่งบาน ซึ่งดูสดใสและทำให้ผู้คนหวั่นไหวเฉินฝานมองเห็นมันแล้วก็สูญเสียสติไปคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าฉินเย่ว์เจียวซึ่งปกติแล้วจะ
“ย่อม……ย่อมได้อยู่แล้ว!”เฉินฝานกินคำใหญ่เพราะเขารู้สึกประหลาดใจมากแม้สองวันที่ผ่านมา เขาพูดกับฉินเย่ว์โหรวตลอดเวลาว่าต่อจากนี้ไปจะไม่ทุบตีนางอีกแต่เวลาฉินเย่ว์โหรวเจอหน้าเขา นางยังกลัวเขาเหมือนเวลาหนูเจอแมวเหมือนเดิมยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสัมผัสทางร่างกายตอนนี้จู่ ๆ ก็เสนอว่าจะนอนข้างตนผิดปกติเล็กน้อย!ฉินเย่ว์เจียวก็รู้สึกเหมือนกันว่าฉินเย่ว์โหรวไม่ปกติ แต่ก็พูดไม่ออกว่าเพราะอะไรฉินเย่ว์โหรวกลับไปนอนที่เมื่อคืน นางอุ้มผ้าห่มขาดรุ่งริ่งและบางผืนนั้นกลับไปข้าง ๆ เฉินฝานและนอนตามเฉินฝานนางนอนลงแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพวกนางสองพี่น้องมีผ้าห่มเพียงผืนเดียว จึงลุกขึ้นนั่งแล้วกวักมือเรียกฉินเย่ว์เจียว“พี่สาม พี่มาตรงนี้ด้วยเถอะ”“……”เฉินฝานพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ทั้งสามคนจึงนอนเรียงกัน……แฮ่ะ ๆคนโบราณสมัยนี้ปล่อยตามอำเภอใจเพียงนี้เชียวรึ!แต่ทว่าเขาชอบ!หมอกจะหนาในยามดึก ผ้าห่มของสองพี่น้องบางเกินไปจริง ๆ เฉินฝานอยากแลกกับ... แต่สองพี่น้องไม่ยอมถ้าพวกนางห่มผืนดี ให้เฉินฝานห่มผืนขาดรุ่งริ่ง พวกนางจะถูกผู้อื่นด่าว่าเป็นคนไม่ดีไม่มีศีลธรรมเมื่อเถียงสองพี่น้องไม่สำเร็จ เฉ
“อื้อ……”คางเล็กกะทัดรัดของฉินเย่ว์โหรวถูกเฉินฝานกดทับครอบครองไว้อย่างแน่นหนาลมหายใจสั่นเล็ก ๆ ความจั๊กกะจี้และชาที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน วาบขึ้นตั้งแต่ใบหูไปจนถึงกระดูกไขสันหลังริมฝีปากที่นุ่มลุ่มลื่นกับร่างกายที่อ่อนปวกเปียกราวกับไร้กระดูกประกอบกับกลิ่นหอมที่ลอยอยู่ทั่วตัว กำลังโจมตีเขตป้อมปราการของเฉินฝานทีละน้อยไม่ ไม่ได้นะไม่ใช่เวลาตอนนี้ สุขภาพนางไม่ได้เฉินฝานปล่อยฉินเย่ว์โหรวอย่างแรงโดยมีมือข้างหนึ่งชันกำแพง“ยังจะหนีอีกหรือไม่”เขาพยามยามควบคุมถึงขีดสุดแล้ว แต่เสียงของเฉินฝานยังคงฟังออกว่ามีลมหายใจไม่คงที่ดวงตาลุกวาวดังดวงดาวของฉินเย่ว์โหรวหมุนเป็นพันรอบหมื่นรอบ มีความอ่อนโยนแต่มีความโกรธมากกว่า“ปึก!”ฉินเย่ว์โหรวซุกอ้อมอกของเฉินฝานอย่างแรง หมัดเล็ก ๆ ต่อยเฉินฝานไม่หยุดน้ำตาไหลรินลงที่เสื้อของเฉินฝานพร้อมกับคำหนิคำแล้วคำเล่า“ทำไม ทำไม ข้ารอท่านมาหนึ่งปีกว่า ทำไมท่านถึงไม่เปลี่ยนเร็วกว่านี้ ทำไมต้องถึงคราวที่แก้ไขไม่ได้แล้วค่อยเปลี่ยน!”“มันแก้ไขไม่ได้อย่างไร ข้าพูดแล้วไม่ใช่หรือว่าข้ามีวิธี!”ฉินเย่ว์โหรวร้องไห้ต่อราวกับไม่ได้ยินที่เฉินฝานกล่าวนางรู้สึกว่
“เข้าเมือง!”ฉินเย่ว์เจียวหยุดเดินกะทันหัน “เราไม่ได้ไปหาเงินคืนอี๋ชุนย่วนหรอกรึ!”“อืม! เราจะไปหาเงินกันตอนนี้นี่แหละ มีเพียงในเมืองเท่านั้นที่จะมีเงินมากพอให้พวกเราหา”พูดจบ เฉินฝานก็เดินต่อหมู่บ้านซานเหออยู่ห่างจากตัวเมืองไกลมาก ถ้ายังไม่เดินต่อคงไปไม่ทันก่อนบ่ายแน่เดินอยู่ไม่นานฉินเย่ว์โหรวก็ตื่นขึ้น แต่เฉินฝานรู้สึกนางเดินช้าจึงไม่ได้ปล่อยนางลงเขาแบกนางเดินต่อ สมัยอยู่ในค่ายทหาร การแบกของหนักวิ่งเป็นการฝึกขั้นพื้นฐาน ฉินเย่ว์โหรวตัวเบากว่าของที่เขาแบกในยุคปัจจุบันอีกเพียงแค่เจ้าของร่างเดิมขี้เกียจ ขาดการออกกำลังกาย ร่างกายแข็งแรงไม่มากพอ ระหว่างทางเฉินฝานให้เฉินเย่ว์เจียวช่วยอยู่พักหนึ่งและทั้งสองคนก็สลับกันไปมาเมื่อข้ามภูเขามาแล้วสองลูกจนมาถึงทางหลวง ทางเดินก็เดินง่ายขึ้นมากยังไม่ถึงเที่ยงวัน พวกเฉินฝานทั้งสามก็มาถึงตัวเมืองผิงอันเรียบร้อยเฉินฝานเงยหน้าขึ้นมองตัวหนังสือผิงอันสองตัวใหญ่บนประตูเมือง “เย่ว์เจียว เจ้าเคยเข้าตัวเมืองมาก่อนหรือไม่”“เคย เคยเจ้าค่ะ!”เฉินฝานไม่ทันสังเกตดวงตาตื่นเต้นที่วาบผ่านไปอย่างรวดเร็วของฉินเย่ว์เจียวนางไม่เพียงแต่เคยไป เมื่อก่อ
หลี่ซานวิ่งออกจากด้านหลัง เมื่อเขาเห็นผู้ก่อความวุ่นวายชัดแจ้งแล้วรู้สึกโล่งทันทีเมื่อครู่นี้เขายังคิดว่าเป็นโจรในช่วงเวลาที่สถานการณ์คับขัน โจรป่าจัดการยากกว่าเจ้าหน้าที่ทางการอีก“ข้าก็นึกว่าใคร! ที่แท้ก็ไอ้เศษสวะนี่เอง!” หลี่ซานกินเมล็ดทานตะวันพร้อมแสดงสีหน้าเหยียดหยามเมื่อวานเขาประมาทเกินไป วันนี้……มาถึงถิ่นของเขาก็ต้องให้ไอ้เศษสวะนี่ชดใช้ด้วยเลือด!“มาเองถึงที่ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่เสียเวลาข้า”ทันทีที่หลี่ซานทิ้งเปลือกเมล็ดทานตะวันลงพื้น “มาตรงนี้!”เมื่อเสียงดับลง นักสู้ร่างใหญ่ตัวสูงสิบกว่าคนพุ่งเข้ามาห้องโถงทันที พวกเขาปิดล้อมหลี่ซานไว้อย่างมิดชิด“ไอ้หนุ่ม ถ้าเจ้าคุกเข่าขอร้องข้าตอนนี้แล้วเรียกข้าท่านปู่สักคำ ข้าจะมอบความเมตตาให้พวกมันเบามือกับเจ้าสักเล็กน้อย!”“ที่แท้ไม่มีเงินคืนเลยวิ่งมาก่อเรื่อง”“เพียงแต่ว่า เขากลัวตัวเองตายไม่อนาถมากพอหรือถึงกล้ามาก่อกวนที่นี่”“ได้ยินว่าเจ้าหนุ่มนั่นมีความสามารถอยู่บ้าง คงคิดว่าตัวเองไหวเลยมา!”“น่าขำสิ้นดี เขาไม่รู้บ้างหรือว่าที่นี่คือที่ไหน! หอนางโลมอี๋ชุนย่วน สถานที่ ๆ นายอำเภอเมืองยังต้องยอมหลีกทางให้”“วันนี้ข้ามอ
เมื่อเห็นแรงอาฆาตบนใบหน้าของหลี่ซาน เฉินฝานพลางกระดกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “อืม รู้เล็กน้อยน่ะ”พูดจบ เขาหันขวดฝั่งที่มีตัวหนังสือไปทางหลี่ซานแล้วถาม “ตัวสุดท้ายคือคำว่ายาหรือไม่”“อ่อ!”เฉินฝานไม่รอหลี่ซานตอบ เขาแสดงสีหน้าราวกับค้นพบเรื่องใหญ่และมองหลี่ซานกล่าว “ข้ารู้แล้วว่าทำไมอี๋ชุนย่วนของท่านถึงทำมาค้าขายดีเช่นนี้ พวกท่านแอบใส่ของต้องห้ามในเหล้าของแขกแน่ ๆ กฎหมายของต้าชิ่งมีกำหนดไว้ว่า……”รัชสมัยต้าชิ่งตั้งแต่สมัยเกาจู่มีกำหนดว่าห้ามหอ/ซ่องใช้ยาประเภทปลุกเพื่อดึงดูดแขกเป็นอันขาดผู้ที่ฝ่าฝืน โทษเบาคือสั่งปิด โทษหนักคือยึดทรัพย์สินประโยคหลังที่เฉินฝานพูด หลี่ซานไม่มีอารมณ์ฟังแต่อย่างใดไอ้หมอนี่ไม่เพียงแค่รู้จักตัวหนังสือแต่ยังเข้าใจกฎหมายอีกด้วย!ครั้งที่มาพร้อมจูต้าอันไม่ใช่เช่นนี้นี่ ถ้าเขารู้จักตัวหนังสือ เขาจะกล้าพิมพ์ลายนิ้วมือบนหนังสือสัญญาแบบนั้นได้อย่างไร“ไอ้หนุ่ม หมายความว่าครั้งที่แล้วเจ้าแกล้งไม่รู้จักตัวหนังสือหรอกรึ!”วันนั้นหลี่ซานเพิ่งนำเข้าของสิ่งนั้นกลับมา เพราะว่าเปลี่ยนผู้จัดหาของ เขาไม่วางใจจึงนำของสิ่งนั้นมาหาพ่อบ้านลุงหลีที่ท้ายเรือนเพื่อให้เขาช่วยดูว
ทันทีที่ประตูหอนางโลมด้านทิศตะวันตกถูกเจ้าหน้าที่ทำลาย หลี่ซานก็ออกมาและเห็นหัวหน้าของเจ้าหน้าที่ หลี่ซานรีบวิ่งเข้าไปหาเขาทันทีและโค้งคำนับตรงหน้าเขแล้วเอ่ยขึ้น“มือปราบเหอ ที่นี่ทำการค้าอย่างถูกกฎหมาย ไม่ได้กระทำความผิดเลย”มือปราบเหอพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว "ข้ารู้ดีว่านายน้อยหลี่อยู่ในกฎเกณฑ์ตลอด แต่วันนี้มีคนมาฟ้องร้องว่าท่านถูกปล้น ข้างนอกเกิดความวุ่นวาย พวกลูกค้าบอกว่าเห็นขโมย คนรับใช้ของท่านก็ยังมาแจ้งข้าด้วยว่า มีขโมยเข้ามาที่หอนางโลมนี้”“เฮ้อ!” หลี่ซานโค้งคำนับมือปราบเหออีกครั้งแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เข้าใจผิด เข้าใจผิดแล้ว! คน ๆ นั้นคือลูกพี่ลูกน้องห่าง ๆ ของข้า วันนี้เขาดื่มมากเกินไปและมารบกวนข้า ตอนนี้เขาสร่างเมาแล้ว กลับไปแล้ว!"“แค่นี้เองหรือ”“เพียงแค่นี้ ถ้าเขาเป็นขโมยจริง จะรอให้ท่านมือปราบเหอมาด้วยตัวเองได้อย่างไร ข้าคงส่งเขาไปที่นั่นนานแล้ว”“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว!” มือปราบเหอหันกลับและตะโกนดังลั่น “กลับหน่วย!”“การมาครั้งนี้ลำบากมือปราบเหอแล้ว ไม่เช่นนั้นก็ให้ทุกคนพักที่นี่สักพัก ข้ามีสุราและเนื้อดี ๆ อยู่ และนักขับร้องหญิงคนใหม่ก็เสียงไม่เลว”“นี่คือสิ่งที่เราควรทำ ข
เฉินฝานพูดจบ เขาก็ดึงตัวฉินเย่ว์โหรวขึ้นมา จากนั้นจับมือของฉินเย่ว์เจียวและฉินเย่ว์โหรวเดินจากไป“นายท่าน!”ฉินเย่ว์เจียวและฉินเย่ว์โหรวพูดขึ้นพร้อมกัน คนทั้งคู่ไม่ได้เดินตามเฉินฝานไปเฉินฝานหันกลับมา “ทำไมไม่ไปล่ะ พวกเจ้าไม่หิวกันหรือ”"นี่คือถนนนะเจ้าคะ!"เสียงแผ่วเบาของฉินเย่ว์โหรวดังมา เฉินฝานมองนาง นางก็ก้มหน้าลงทันที ดูขัดเขินและอับอายฉินเย่ว์เจียวที่อยู่ข้างนางไม่ได้ดีไปกว่านี้มากนัก นางแสร้งทำเป็นไม่เป็นไร แต่จริง ๆ แล้วนางรู้สึกอึดอัดใจมากมือของเขาอบอุ่นปานนี้อยู่เสมอ ซึ่งทำให้นาง...“บนถนนแล้วเป็นอย่างไร?”“ท่านปล่อยมือ!” ดวงตาที่สวยงามของฉินเย่ว์โหรวมองเฉินฝานกึ่งโกรธและกึ่งเขินอาย “คนอื่นกำลังมองอยู่”“เช่นนั้นก็ให้พวกเขาดูไปเถอะ” เฉินฝานกระชับมือของสองพี่น้องให้แน่นขึ้น “ข้าจับมือภรรยาของข้า และไม่ได้ละเมิดกฎต้าชิ่ง”"..."สองพี่น้องพูดไม่ออกหลังจากที่เฉินฝานตื่นขึ้นมาหลังจากตกลงไปในหุบเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทุบตีหรือดุพวกเขานางอีกต่อไป แต่บางครั้งเขาก็ทำตัวเหมือนคนบ้าตัณหาในบางครั้งเขาก็เคลื่อนไหวเพื่อหยอกล้อพวกนางเป็นครั้งคราว และยังต้อนเย่ว์โหรวเข้ามุมแล
“ผู้จัดสรร มิสามารถแบ่งให้คนนอกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”“ถูกต้องแล้ว แบ่งให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามิได้!”คนรับใช้สองสามคนข้างกายเหลยหย่งอัน พูดเสริมทันที“เช่นนั้นนายน้อยเหลยคิดว่าผู้ใดเป็นผู้จัดสรรจึงจะเหมาะสม?”มีคนตะโกนถามท่ามกลางผู้เหลือรอดเหลยหย่งอันเลิกคิ้วขึ้นทันที ประโยคที่เขารอก็คือประโยคนี้ผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวจบ เหลยหย่งอันก็ส่งสายตาไปที่คนรับใช้ข้างกายทันที“ร้านค้าตระกูลเหลยมากมายมหาศาล นายน้อยของพวกเราก็มีส่วนร่วมดูแล ไปตรวจสอบที่ร้านค้าทุกเดือน”ตรวจสอบแบบใดกัน ไปเกี้ยวพาราสีสตรีในร้านเสียมากกว่าเรื่องนี้ทุกคนในเมืองเซียนตูทราบดี เพียงแต่มิอยากให้เหลยหย่งอันมิพอใจ จึงมิมีผู้ใดกล้าพูดเปิดโปง“ดังนั้น...” คนใช้ผู้นั้นกล่าวต่อ “ผู้จัดสรรนี้ นายน้อยของข้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด “ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเจ้า...” เหลยหย่งอันยกมือขึ้นทำท่าทางแบกรับรับความผิดชอบไว้เพียงผู้เดียว “คนที่ร่วมทุกข์กับข้าทุกคน ขอเพียงแค่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ก็สามารถไปรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้ที่ตระกูลเหลยของพวกเรา”เพื่อที่จะได้ตำแหน่งผู้จัดสรรนี้ เหลยห
“ต่อให้เสบียงอาหารทั้งหมดต้องถูกจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียม เช่นนั้นไฉนอำนาจในการจัดการจัดแบ่งต้องเป็นเจ้าคนเดียวงั้นหรือ? เจ้าเป็นใครกัน?”ชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมอย่างดี ศีรษะสวมหมวกสีทองประดับด้วยไข่มุกเดินเข้ามากล่าวถามเฉินฝานด้วยท่าทีโอหังบุคคลนี้คือลูกชายคนโตของตระกูลเหลยเก่าแก่อันดับหนึ่งของเมืองเซียนตู เหลยหย่งอันด้วยความที่ชาติตระกูลมีเงินและอำนาจ เหลยหย่งอันได้รับสมญานามให้เป็นอันธพาลอันดับหนึ่งในเมืองเซียนตู ปกติก็มักจะรังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง กระทำชั่วทุกรูปแบบสำหรับวีรกรรมของเหลยหย่งอันแล้ว เจ้าเมืองซื่อต้าเผิงต้องยอมปล่อยผ่านไปเหลยหย่งอันรู้สึกว่ามิถูกชะตาเฉินฝานอยู่ก่อนแล้วเรือนเซียนผาสุกมีกฎว่านอกจากผู้ฟังโชคดี่ถูกเมี่ยวอวี่สุ่มเลือกมา บุคคลที่ให้เงินรางวัลจำนวนมากที่สุด เมี่ยวอวี่ก็จะบรรเลงพิณเป็นการส่วนตัวเช่นกันทว่า ทุกปีจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นต้นปีเหลยหย่งอันก็เริ่มให้เงินรางวัลจำนวนมหาศาล ในที่สุดเมื่อมาถึงเดือนท้ายปีก็ได้ลำดับที่หนึ่งมาครองเห็นว่าตนเองสามารถเข้าไปในกระท่อมหิมะพบกับเมี่ยวอวี่ ได้ฟังพิณที่นางบรรเลงให้ตนเองโดยเฉพาะ กลับคาดมิถึงว่าอย
เรือนเซียนผาสุกมีชื่อเสียงเงินทองมหาศาลดังคาด จำนวนเสบียงที่กักตุนไว้ตอนฤดูหนาว มากกว่าเสบียงครึ่งปีของครอบครัวสามัญชนเสียอีกตรงข้ามกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น เฉินฝานยิ่งฟัง คิ้วยิ่งขมวดหนักขึ้นเรื่อย ๆน้อยไป น้อยเกินไปแล้วคนสามร้อยกว่าคน ต่อให้กินอาหารวันละหนึ่งมื้อ เสบียงอาหารเหล่านี้ก็หมดเกลี้ยงเพียงในพริบตาเดียว“เสบียงอาหารของกระท่อมหิมะนำออกมาไว้ที่แห่งนี้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” เฉินฝานหันหน้ากล่าวถามเมี่ยวอวี่“กระท่อมหิมะแห่งนี้ของข้ามิได้ใหญ่โตเสียหน่อย ตุนไว้จำนวนมากเพียงนั้น ยังมินับว่าเยอะอีกหรือ?” เมี่ยวอวี่ย้อนถามเฉินฝาน“ก็จริง” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเองในส่วนลึกของหัวใจ หวังว่าจะมีเยอะกว่านี้“ตอนนี้นับเสบียงเรียบร้อยแล้ว รีบแบ่งให้ทุกคนเถอะ”มีคนเร่งเร้าหิวจนทนมิไหวแล้วจริง ๆ“แบ่งมิได้!” เฉินฝานกล่าว“มิแบ่งงั้นหรือ?”สายตาสามร้อยกว่าคนจับจ้องไปที่เฉินฝานอย่างพร้อมเพียงมิเข้าใจ มิเชื่อเสบียงอาหารทั้งหมดถูกขนย้ายออกมานับจำนวนแล้ว ไม่เพียงแต่จำนวนเสบียงเท่านั้น จำนวนคนก็นับแล้วเช่นกันทำถึงเพียงนี้แล้ว เฉินฝานกลับกล่าวว่ามิแบ่งแล้ว“เจ้าหมายความว่าอย
เขายืนกรานไม่ยอมนำเสบียงออกมามิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ต้องการเอาออกมา และยังต้องนำออกมาทั้งหมดอีกด้วยเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?“ทำไมล่ะ? แม่นางเมี่ยวอวี่มิเห็นด้วยงั้นหรือ?” เฉินฝานกล่าวถาม“โอ้ ไม่ใช่หรอก!” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างรีบร้อน “แน่นอนว่าข้าต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว เจ้ารีบพาคนไปนำเสบียงอาหารในคลังออกมาทั้งหมด”“ช้าก่อน!” เฉินฝานเรียกยายจ้าวไว้ “เพื่อให้มั่นใจว่าเสบียงอาหารทั้งหมดจะถูกขนย้ายออกมา เย่ว์เจียวเจ้าไปตามยายจ้าวไปด้วย พวกเจ้า... ”เฉินฝานหันไปกล่าวกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น “ก็ส่งหนึ่งคนตามไปด้วย”ผ่านไปครู่เดียว เสบียงอาหารทั้งหมดในกระท่อมหิมะถูกขนมาไว้ด้านหน้าฝูงชนเฉินฝานมองดูเสบียงอาหารที่กองเป็นพะเนินด้านหน้า กล่าวอย่างเนิบนาบ “โอ้ จำนวนมิน้อยเลยนะเนี่ย”“อากาศเย็น คร้านออกไปจับจ่าย ดังนั้นจึงซื้อจำนวนมากในคราวเดียว” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างมิใส่ใจมากนักเสบียงอาหารเหล่านั้นมีจำนวนมากก็จริงทว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนจำนวนมากเพียงนี้อยู่รอด!ท้ายที่สุด ก็ยังคงต้องตายอยู่ดีเหล่าผู้เหลือรอด มิได้มองการณ์ไกลเช่นนั้น พวกเขาที่หิวมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว มองเสบียงอาห
เมื่อมีคนเปิดประเด็นแล้วคนอื่นก็พากันทำตาม คนกลุ่มใหญ่จำนวนมหาศาลคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานเฉินฝานมิได้กล่าวอันใด เมี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านข้างชิงพูดก่อน“เหอะ!” เมี่ยวอวี่เยาะเย้ยออกมาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช่างเป็นชายที่ใจดำอำมหิตเสียจริง คิดว่าตนเองมีผู้มากฝีมือที่เก่งกาจอยู่ข้างกาย ก็สามารถมิสนใจชีวิตของผู้คนรอบตัว แม้กระทั่งเด็กและคนชราก็ยังมิยอมช่วย”เมี่ยวอวี่จงใจกล่าวเช่นนี้จงใจที่พัดความโมโหของฝูงชนให้ลุกฮือดังคาด...“เขาใจดำอำมหิตเพียงนั้น แม้กระทั่งเด็กน้อยคนแก่ก็ยังมิยอมให้อาหารกินแม้แต่น้อย เช่นนั้นเรายังต้องกลัวสิ่งใดอีก?”เมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม“ถูกต้อง อย่างไรเสียก็ถูกขังจนตายอยู่ที่นี้อยู่ดี ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ทุกคนต้องได้กินให้อิ่มท้อง!”“พวกเรามิต้องมาอ้อนวอนอยู่ตรงนี้และ ไปสืบเสาะ ไปค้นหา กระท่อมหิมะอาจจะใหญ่ไปเสียหน่อย แต่พวกเรามีจำนวนคนเยอะจะหาที่ซ่อนของเสบียงอาหารมิได้เชียวหรือ?”กลุ่มคนจำนวนมหาศาลในกระท่อมแต่เดิม รีบออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำลงของมหาสมุทร“เจี้ยนฮวง!” เฉินฝานกล่าวเกรงว่าเซียนเจี้ยนหวงจะเข้าใจผิด เฉินฝานจึงพูดเสริมอีกห
เซียนเจี้ยนหวงมิลงมือทำร้ายสามัญชน ชายรอยบาดแผลคิดว่าชื่อเสียงของเซียนเจี้ยนหวงเป็นสิ่งจอมปลอม และเขาคิดว่าตนเองมีจำนวนมากมาย ต่อให้เซียนเจี้ยนหวงจะเก่งกาจเพียงใดก็มิสามารถลุยเดี่ยวกับคนหนึ่งร้อยคนได้และเฉินฝานก็ดูจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดังนั้นชายรอยบาดแผลมิได้รู้สึกเกรงกลัวอันใด ท่าทียโสโอหังยิ่งเขาต้องการเสบียงอาหารในกระท่อมหิมะทั้งหมด และประสงค์ที่จะคุมชะตาคนหลายคนไว้ในกำมือ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยเมี่ยวอวี่ให้หลุดพ้นได้ด้วยอำนาจ สาวงาม เสบียงอาหารเขาต้องการทั้งหมดเฉินฝานเงยหน้าขึ้น เหลือบมองชายรอยบาดแผลอย่างเรียบนิ่ง “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เจ้าเก่งกาจมากสินะ”“เยี่ยนหลิ่งผู้ยิ่งใหญ่!” ชายรอยบาดแผลวางท่าทีใหญ่โต“ว้าว!” เฉินฝานยกนิ้วโป้ง “ชื่อนี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง!”สุดยอด!เซียนเจี้ยนหวงต้องเก็บอาการอยู่ด้านข้างนี่คงจะเป็นความสนุกเพียงอย่างเดียวตอนที่ถูกกักขังอยู่ที่แห่งนี้ดูคนโง่ ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก“เพียงแต่...” เฉินฝานเปลี่ยนเรื่องทันที “มิทราบว่าชื่อที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จะชำนาญในการต่อสู้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานหันไปด้านข้างเล็กน้อย “
“ตุ้บ ๆ ๆ ๆ!”เสียงทุบประตูหน้าต่างด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ เซียนเจี้ยนหวงฝึกวรยุทธ์จนชำนาญแล้ว สถานการณ์ฝั่งเขานั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีฝั่งฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูนี้ค่อนข้างลำบาก“เย่ว์หนู เจ้ากันไว้ก่อน ข้าจะไปย้ายเตียงมากันไว้!”“มิจำเป็นหรอก!” เฉินฝานโบกมือเล็กน้อย เขาให้ฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูเปิดประตูออก“เปิดประตูงั้นหรือ?” ฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าทันที “ไม่ได้เจ้าค่ะ นายท่าน”คนด้านนอกทุกคนล้วนโกรธเฉินฝานจนกัดฟันกรอด ตะโกนอย่างดุเดือดเพื่อให้ต้องการพวกเขาผ่านเข้าไป เฉินฝานเสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว“พวกเจ้าสามารถกันไว้ได้หนึ่งชั่วยาม จะสามารถกันได้ถึงสองชั่วยามงั้นหรือ?”เมื่อคนตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย มิว่าสิ่งใดก็สามารถทำได้ความเลวทรามของมนุษย์ เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในโลกใบนี้“นายท่าน ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าก็จะยังคงกันต่อไปเรื่อย ๆ จะมิยอมให้คนด้านนอกเหล่านั้นทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเล็บ”ฉินเย่ว์เจียวกำหมัดไว้แน่นขนัดเฉินฝานมองท่าทีที่เศร้าสลดทว่าเข้มแข็งของฉินเย่ว์เจียว รู้สึกซาบซึ้งและหงุดหงิด“นายท่าน บ่าวก็เช่นกันเจ้าค่ะ”เย่ว์หนูเพิ่มแรงในการกันประต
ฉินเย่ว์เจียวง้างมือขึ้นทันที เดิมทีต้องการจะตบหน้าเมี่ยวอวี่เป็นครั้งที่สองพลันยั้งมือกะทันหันกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบของเมี่ยวอวี่ด้วยความกังวลเฉินฝานก็อดมิได้ที่จะเงี่ยหูฟังจะรู้ร่องรอยของเย่ว์ฉินแล้ว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หยกห้อยเอวชิ้นนี้...”“ตุ้บ!”อยู่ ๆ ก็มีก้อนหิมะลอยก้อนหนึ่งลอยทะลุหน้าต่างเข้ามา“โอ๊ย!”เมี่ยวอวี่อยู่ใกล้หน้าต่างอย่างมาก ก้อนหิมะขว้างโดนหัวหน้า ทำให้นางตกใจจึงร้องออกมาทันที“ตุ้บ”ครั้งนี้สิ่งที่ขว้างมาคือก้อนหิน“ระวัง!”เมี่ยวอวี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายทรงตัวมิอยู่ ตัวไปชนกับอ้อมอกที่ล่ำสันหัวสมองว่างเปล่าราวกับถูกจี้จุด เมี่ยวอวี่มองเฉินฝานด้วยความมึนงงดวงตากลมโตที่เปล่งประกายแวววับดังดวงดารา สภาพอารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วหาคำตอบมิได้ มิเชื่อ มิเข้าใจ“เจ้า...” เมี่ยวอวี่กลอกตาไปมา “ไยเจ้าจึงช่วยข้า?”หากมิใช่เฉินฝานดึงนางหลบได้ทัน ตอนนี้นางก็คงหัวแตกเลือดไหลนองไปนานแล้วเฉินฝานผลักเมี่ยวอวี่ในอ้อมอกออก เขาที่พลังภายในยังฟื้นฟูมิสมบูรณ์เอนตัวล้มพิงเรือนร่างของฉินเย่ว์เจียว น้ำเสียงเยือกเย็น “อย่าคิดเข้าตัวเอง ข้าทำไปตามสัญชาตญาณเท
ถึงแม้ในทุกวันนางมักจะรับคำเยินยอจากบุรุษเพศอยู่แล้ว ทว่าท่าทางที่รักใคร่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งราวภาพวาดนี้ นางมิเคยพบเห็นมาก่อนเมี่ยวอวี่ที่สงสัยว่าตัวเองมองผิดไป จึงตั้งใจหันกลับไปดูอีกครั้งภาพที่เฉินฝานช่วยปัดไรผมบนหน้าผากของฉินเย่ว์เจียวออก และฉินเย่ว์เจียวยิ้มตอบกลับให้เฉินฝานอย่างหวานหยาดเยิ้ม เมี่ยวอวี่เหลือบไปเห็นพอดีไม่จริงหรอก!เมี่ยวอวี่รีบหันหน้ากลับไปด้วยความรวดเร็ว ตีหน้าอกตนเองเบา ๆสองสามทีคาดมิถึงว่าจะเป็นเรื่องจริงใต้หล้านี้มีสามีภรรยาที่รักใคร่กันเช่นนี้จริงหรือ ? เป็นเรื่องจริงหรือว่าผู้ชายจะอ่อนโยนกับภรรยาตนเองได้เพียงนั้น?เฉินฝานเป็นชายที่เลวทรามต่ำช้ามิใช่หรือ?เย่ว์หนูชะเง้อมองมาจากทางเข้าเห็นว่าเฉินฝานตื่นแล้ว รีบวิ่งกลับไปที่ในห้อง ยกโจ๊กครึ่งชามที่วางไว้ในห้องไปอุ่นที่ห้องครัว หลังจากที่อุ่นจนร้อนแล้วก็วิ่งกลับมา“โจ๊กมาแล้วเจ้าค่ะ”“เอามาให้ข้า!” ฉินเย่ว์เจียวรับโจ๊กในมือเย่ว์หนูมาทันที“ลำบากเจ้าแล้ว” เฉินฝานหันไปพยักหน้ากับเย่ว์หนู“บ่าวมิลำบากเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงนายท่านหายดีก็เพียงพอแล้ว” เย่ว์หนูหน้าแดง ส่ายหน้าอย่างแรงกล่าวว่าตนเองมิลำ