เฉินฝานปาดเหงื่อที่ยังคงไหลอาบหน้า หันกลับไปดูว่าสองพี่น้องฉินเป็นอย่างไรบ้าง แต่พบว่าสองพี่น้องทะเลาะกันอีกแล้ว“น้องสี่ ถ้าเจ้าอยากไป ข้าจะเป็นคนไปเอง ร่างกายของข้าก็ดีกว่าของเจ้า”“พี่สาม ในสัญญาเป็นชื่อของข้า ก็ต้องเป็นข้าที่ไปสิเจ้าคะ”“ไม่ได้ ร่างกายของเจ้า...”เฉินฝานส่ายหัวจนใจ เด็กหญิงสองคนนี้แสร้งทำเป็นว่าเขาไม่มีตัวตนอีกต่อไป“หยุดเถียงได้แล้วน่า! พวกเจ้าไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ไปทั้งนั้น ข้าจะหาเงินเอง ข้าจะแก้ปัญหาเอง”ฉินเย่ว์เจียวตอบคำพูดของเฉินฝานด้วยความโกรธ “ท่านรู้แน่ชัดแล้วใช่หรือไม่ว่ามันเป็นเงินสิบตำลึง ไม่ใช่หนึ่งร้อยอีแปะ”“ข้าไม่ได้ตาบอดหูหนวก ข้ารู้ว่ามันเป็นเงินสิบตำลึง”“ดีเจ้าค่ะ เช่นนั้นก็บอกข้าหน่อยสิ ภายในสองวันท่านจะหาเงินสิบตำลึงได้ที่ใด”“ข้าขอคิดดูก่อน ต้องมีทางแก้ไขมากกว่าปัญหาอยู่แล้ว”“มีทางแก้ไขมากกว่าปัญหา? ฮ่า!” ความโกรธบนใบหน้าของฉินเย่ว์เจียวค่อย ๆ ลดลง และในที่สุดก็กลายเป็นไร้ความรู้สึก ไร้ความรู้สึกหลังจากโกรธและผิดหวังอย่างมากนางหยิบธนูและลูกธนูขึ้นมาก่อนจะดินออกไปฉินเย่ว์โหรวคว้าแขนเสื้อของฉินเย่ว์เจียวไว้ทันที “พี่สาม ท่านจะ
นางไม่รู้จริง ๆ ว่าต้องทำอย่างไรหรือนางจะต้องดูน้องสาวของตนจากไปอีกครั้งหรือไม่ตั้งแต่ครั้งแรกที่นางพบกับฉินเย่ว์เจียว ไม่ว่าจะพบเจออะไรก็ตาม ฉินเย่ว์เจียวก็เป็นเหมือนพริกเม็ดเล็ก ทั้งดุร้ายและหยิ่งยโส กระทั่งมีหนามบนร่างกายตอนนี้เป็นครั้งแรกที่เฉินฝานได้เห็นท่าทางไร้ชีวิตชีวาเช่นนี้รู้สึกสงสารและรักใคร่ในใจ“เด็กโง่งม!” เฉินฝานยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของฉินเย่ว์เจียว “สบายใจได้ ได้ไหม พวกเจ้ามีข้านะ”“ข-ข้าไม่ได้โง่งม!”ฉินเย่ว์เจียวหันมาอย่างรวดเร็วแม้ว่านางจะแต่งงานกับเฉินฝานมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว แต่ในอดีต เฉินฝานมักจะทุบตีและด่าทอนาง ให้นางออกไปทำงานหาเงินไม่ได้หยุดพักนางไม่เคยรู้สึกถึงความรักและความเสน่หาจากชายผู้นี้เลย เมื่อมือของเฉินฝานสัมผัสใบหน้าของนาง ก็พบว่าเขาอบอุ่นมากและหัวใจก็เต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้ใบหน้ารู้สึกร้อนยิ่งขึ้น ใบหน้าที่เมื่อครู่เพิ่งถูกเฉินฝานสัมผัสกลายเป็นสีแดงก่ำสะท้อนน้ำตาบนใบหน้าแพรวพราว ราวกับดอกกุหลาบที่กำลังเบ่งบาน ซึ่งดูสดใสและทำให้ผู้คนหวั่นไหวเฉินฝานมองเห็นมันแล้วก็สูญเสียสติไปคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าฉินเย่ว์เจียวซึ่งปกติแล้วจะ
“ย่อม……ย่อมได้อยู่แล้ว!”เฉินฝานกินคำใหญ่เพราะเขารู้สึกประหลาดใจมากแม้สองวันที่ผ่านมา เขาพูดกับฉินเย่ว์โหรวตลอดเวลาว่าต่อจากนี้ไปจะไม่ทุบตีนางอีกแต่เวลาฉินเย่ว์โหรวเจอหน้าเขา นางยังกลัวเขาเหมือนเวลาหนูเจอแมวเหมือนเดิมยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสัมผัสทางร่างกายตอนนี้จู่ ๆ ก็เสนอว่าจะนอนข้างตนผิดปกติเล็กน้อย!ฉินเย่ว์เจียวก็รู้สึกเหมือนกันว่าฉินเย่ว์โหรวไม่ปกติ แต่ก็พูดไม่ออกว่าเพราะอะไรฉินเย่ว์โหรวกลับไปนอนที่เมื่อคืน นางอุ้มผ้าห่มขาดรุ่งริ่งและบางผืนนั้นกลับไปข้าง ๆ เฉินฝานและนอนตามเฉินฝานนางนอนลงแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพวกนางสองพี่น้องมีผ้าห่มเพียงผืนเดียว จึงลุกขึ้นนั่งแล้วกวักมือเรียกฉินเย่ว์เจียว“พี่สาม พี่มาตรงนี้ด้วยเถอะ”“……”เฉินฝานพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ทั้งสามคนจึงนอนเรียงกัน……แฮ่ะ ๆคนโบราณสมัยนี้ปล่อยตามอำเภอใจเพียงนี้เชียวรึ!แต่ทว่าเขาชอบ!หมอกจะหนาในยามดึก ผ้าห่มของสองพี่น้องบางเกินไปจริง ๆ เฉินฝานอยากแลกกับ... แต่สองพี่น้องไม่ยอมถ้าพวกนางห่มผืนดี ให้เฉินฝานห่มผืนขาดรุ่งริ่ง พวกนางจะถูกผู้อื่นด่าว่าเป็นคนไม่ดีไม่มีศีลธรรมเมื่อเถียงสองพี่น้องไม่สำเร็จ เฉ
“อื้อ……”คางเล็กกะทัดรัดของฉินเย่ว์โหรวถูกเฉินฝานกดทับครอบครองไว้อย่างแน่นหนาลมหายใจสั่นเล็ก ๆ ความจั๊กกะจี้และชาที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน วาบขึ้นตั้งแต่ใบหูไปจนถึงกระดูกไขสันหลังริมฝีปากที่นุ่มลุ่มลื่นกับร่างกายที่อ่อนปวกเปียกราวกับไร้กระดูกประกอบกับกลิ่นหอมที่ลอยอยู่ทั่วตัว กำลังโจมตีเขตป้อมปราการของเฉินฝานทีละน้อยไม่ ไม่ได้นะไม่ใช่เวลาตอนนี้ สุขภาพนางไม่ได้เฉินฝานปล่อยฉินเย่ว์โหรวอย่างแรงโดยมีมือข้างหนึ่งชันกำแพง“ยังจะหนีอีกหรือไม่”เขาพยามยามควบคุมถึงขีดสุดแล้ว แต่เสียงของเฉินฝานยังคงฟังออกว่ามีลมหายใจไม่คงที่ดวงตาลุกวาวดังดวงดาวของฉินเย่ว์โหรวหมุนเป็นพันรอบหมื่นรอบ มีความอ่อนโยนแต่มีความโกรธมากกว่า“ปึก!”ฉินเย่ว์โหรวซุกอ้อมอกของเฉินฝานอย่างแรง หมัดเล็ก ๆ ต่อยเฉินฝานไม่หยุดน้ำตาไหลรินลงที่เสื้อของเฉินฝานพร้อมกับคำหนิคำแล้วคำเล่า“ทำไม ทำไม ข้ารอท่านมาหนึ่งปีกว่า ทำไมท่านถึงไม่เปลี่ยนเร็วกว่านี้ ทำไมต้องถึงคราวที่แก้ไขไม่ได้แล้วค่อยเปลี่ยน!”“มันแก้ไขไม่ได้อย่างไร ข้าพูดแล้วไม่ใช่หรือว่าข้ามีวิธี!”ฉินเย่ว์โหรวร้องไห้ต่อราวกับไม่ได้ยินที่เฉินฝานกล่าวนางรู้สึกว่
“เข้าเมือง!”ฉินเย่ว์เจียวหยุดเดินกะทันหัน “เราไม่ได้ไปหาเงินคืนอี๋ชุนย่วนหรอกรึ!”“อืม! เราจะไปหาเงินกันตอนนี้นี่แหละ มีเพียงในเมืองเท่านั้นที่จะมีเงินมากพอให้พวกเราหา”พูดจบ เฉินฝานก็เดินต่อหมู่บ้านซานเหออยู่ห่างจากตัวเมืองไกลมาก ถ้ายังไม่เดินต่อคงไปไม่ทันก่อนบ่ายแน่เดินอยู่ไม่นานฉินเย่ว์โหรวก็ตื่นขึ้น แต่เฉินฝานรู้สึกนางเดินช้าจึงไม่ได้ปล่อยนางลงเขาแบกนางเดินต่อ สมัยอยู่ในค่ายทหาร การแบกของหนักวิ่งเป็นการฝึกขั้นพื้นฐาน ฉินเย่ว์โหรวตัวเบากว่าของที่เขาแบกในยุคปัจจุบันอีกเพียงแค่เจ้าของร่างเดิมขี้เกียจ ขาดการออกกำลังกาย ร่างกายแข็งแรงไม่มากพอ ระหว่างทางเฉินฝานให้เฉินเย่ว์เจียวช่วยอยู่พักหนึ่งและทั้งสองคนก็สลับกันไปมาเมื่อข้ามภูเขามาแล้วสองลูกจนมาถึงทางหลวง ทางเดินก็เดินง่ายขึ้นมากยังไม่ถึงเที่ยงวัน พวกเฉินฝานทั้งสามก็มาถึงตัวเมืองผิงอันเรียบร้อยเฉินฝานเงยหน้าขึ้นมองตัวหนังสือผิงอันสองตัวใหญ่บนประตูเมือง “เย่ว์เจียว เจ้าเคยเข้าตัวเมืองมาก่อนหรือไม่”“เคย เคยเจ้าค่ะ!”เฉินฝานไม่ทันสังเกตดวงตาตื่นเต้นที่วาบผ่านไปอย่างรวดเร็วของฉินเย่ว์เจียวนางไม่เพียงแต่เคยไป เมื่อก่อ
หลี่ซานวิ่งออกจากด้านหลัง เมื่อเขาเห็นผู้ก่อความวุ่นวายชัดแจ้งแล้วรู้สึกโล่งทันทีเมื่อครู่นี้เขายังคิดว่าเป็นโจรในช่วงเวลาที่สถานการณ์คับขัน โจรป่าจัดการยากกว่าเจ้าหน้าที่ทางการอีก“ข้าก็นึกว่าใคร! ที่แท้ก็ไอ้เศษสวะนี่เอง!” หลี่ซานกินเมล็ดทานตะวันพร้อมแสดงสีหน้าเหยียดหยามเมื่อวานเขาประมาทเกินไป วันนี้……มาถึงถิ่นของเขาก็ต้องให้ไอ้เศษสวะนี่ชดใช้ด้วยเลือด!“มาเองถึงที่ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่เสียเวลาข้า”ทันทีที่หลี่ซานทิ้งเปลือกเมล็ดทานตะวันลงพื้น “มาตรงนี้!”เมื่อเสียงดับลง นักสู้ร่างใหญ่ตัวสูงสิบกว่าคนพุ่งเข้ามาห้องโถงทันที พวกเขาปิดล้อมหลี่ซานไว้อย่างมิดชิด“ไอ้หนุ่ม ถ้าเจ้าคุกเข่าขอร้องข้าตอนนี้แล้วเรียกข้าท่านปู่สักคำ ข้าจะมอบความเมตตาให้พวกมันเบามือกับเจ้าสักเล็กน้อย!”“ที่แท้ไม่มีเงินคืนเลยวิ่งมาก่อเรื่อง”“เพียงแต่ว่า เขากลัวตัวเองตายไม่อนาถมากพอหรือถึงกล้ามาก่อกวนที่นี่”“ได้ยินว่าเจ้าหนุ่มนั่นมีความสามารถอยู่บ้าง คงคิดว่าตัวเองไหวเลยมา!”“น่าขำสิ้นดี เขาไม่รู้บ้างหรือว่าที่นี่คือที่ไหน! หอนางโลมอี๋ชุนย่วน สถานที่ ๆ นายอำเภอเมืองยังต้องยอมหลีกทางให้”“วันนี้ข้ามอ
เมื่อเห็นแรงอาฆาตบนใบหน้าของหลี่ซาน เฉินฝานพลางกระดกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “อืม รู้เล็กน้อยน่ะ”พูดจบ เขาหันขวดฝั่งที่มีตัวหนังสือไปทางหลี่ซานแล้วถาม “ตัวสุดท้ายคือคำว่ายาหรือไม่”“อ่อ!”เฉินฝานไม่รอหลี่ซานตอบ เขาแสดงสีหน้าราวกับค้นพบเรื่องใหญ่และมองหลี่ซานกล่าว “ข้ารู้แล้วว่าทำไมอี๋ชุนย่วนของท่านถึงทำมาค้าขายดีเช่นนี้ พวกท่านแอบใส่ของต้องห้ามในเหล้าของแขกแน่ ๆ กฎหมายของต้าชิ่งมีกำหนดไว้ว่า……”รัชสมัยต้าชิ่งตั้งแต่สมัยเกาจู่มีกำหนดว่าห้ามหอ/ซ่องใช้ยาประเภทปลุกเพื่อดึงดูดแขกเป็นอันขาดผู้ที่ฝ่าฝืน โทษเบาคือสั่งปิด โทษหนักคือยึดทรัพย์สินประโยคหลังที่เฉินฝานพูด หลี่ซานไม่มีอารมณ์ฟังแต่อย่างใดไอ้หมอนี่ไม่เพียงแค่รู้จักตัวหนังสือแต่ยังเข้าใจกฎหมายอีกด้วย!ครั้งที่มาพร้อมจูต้าอันไม่ใช่เช่นนี้นี่ ถ้าเขารู้จักตัวหนังสือ เขาจะกล้าพิมพ์ลายนิ้วมือบนหนังสือสัญญาแบบนั้นได้อย่างไร“ไอ้หนุ่ม หมายความว่าครั้งที่แล้วเจ้าแกล้งไม่รู้จักตัวหนังสือหรอกรึ!”วันนั้นหลี่ซานเพิ่งนำเข้าของสิ่งนั้นกลับมา เพราะว่าเปลี่ยนผู้จัดหาของ เขาไม่วางใจจึงนำของสิ่งนั้นมาหาพ่อบ้านลุงหลีที่ท้ายเรือนเพื่อให้เขาช่วยดูว
ทันทีที่ประตูหอนางโลมด้านทิศตะวันตกถูกเจ้าหน้าที่ทำลาย หลี่ซานก็ออกมาและเห็นหัวหน้าของเจ้าหน้าที่ หลี่ซานรีบวิ่งเข้าไปหาเขาทันทีและโค้งคำนับตรงหน้าเขแล้วเอ่ยขึ้น“มือปราบเหอ ที่นี่ทำการค้าอย่างถูกกฎหมาย ไม่ได้กระทำความผิดเลย”มือปราบเหอพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว "ข้ารู้ดีว่านายน้อยหลี่อยู่ในกฎเกณฑ์ตลอด แต่วันนี้มีคนมาฟ้องร้องว่าท่านถูกปล้น ข้างนอกเกิดความวุ่นวาย พวกลูกค้าบอกว่าเห็นขโมย คนรับใช้ของท่านก็ยังมาแจ้งข้าด้วยว่า มีขโมยเข้ามาที่หอนางโลมนี้”“เฮ้อ!” หลี่ซานโค้งคำนับมือปราบเหออีกครั้งแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เข้าใจผิด เข้าใจผิดแล้ว! คน ๆ นั้นคือลูกพี่ลูกน้องห่าง ๆ ของข้า วันนี้เขาดื่มมากเกินไปและมารบกวนข้า ตอนนี้เขาสร่างเมาแล้ว กลับไปแล้ว!"“แค่นี้เองหรือ”“เพียงแค่นี้ ถ้าเขาเป็นขโมยจริง จะรอให้ท่านมือปราบเหอมาด้วยตัวเองได้อย่างไร ข้าคงส่งเขาไปที่นั่นนานแล้ว”“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว!” มือปราบเหอหันกลับและตะโกนดังลั่น “กลับหน่วย!”“การมาครั้งนี้ลำบากมือปราบเหอแล้ว ไม่เช่นนั้นก็ให้ทุกคนพักที่นี่สักพัก ข้ามีสุราและเนื้อดี ๆ อยู่ และนักขับร้องหญิงคนใหม่ก็เสียงไม่เลว”“นี่คือสิ่งที่เราควรทำ ข
“ใต้เท้า ท่านสบายดีหรือไม่?” หลูเฉิงกวงถูมือด้วยความตื่นเต้นอยู่นาน จึงพูดประโยคนี้ออกมาอย่างทุลักทุเล“ข้าสบายดี!” เมื่อเจอคนสนิท เฉินฝานก็ยินดีมากเช่นกันหลิงอวี้พากลุ่มแม่ชีสำนักชีชิงเมี่ยวมาคุกเข่าต่อหน้าเหล่าขุนนางเมืองหรงตูเฉินฝานเดิมอ้อมมา คนด้านข้างจึงยังไม่มีผู้ใดเห็นเขา“พี่หญิงใหญ่ ท่านดูสิ” ชิงผิงตาดี เพียงครู่เดียวก็สังเกตเห็นได้ว่าหลูเฉิงกวงวิ่งมาด้านหน้าเฉินฝานคงจิ้งมองตาม นางขมวดคิ้ว “นั้นคือนายกองหลูเฉิงกวงไม่ใช่รึ?”“คิดว่าใช่นะเจ้าคะ พี่หญิงใหญ่ นายกองเคารพนอบน้อมให้ชายผู้นั้นตลอด ชายผู้นั้นคงจะไม่ใช่สามัญชนแล้วกระมัง?”เมื่อฟังคำพูดของชิงผิงแล้ว ใจของคงจิ้งตึงเครียดทันทีชายผู้นี้ที่เถียนเสี่ยวอวี่พามา เป็นเสนาบดีใหญ่จริงหรือ?ทางเฉินฝาน“ใต้เท้า ข้าจะรายงานท่านเจ้าเมืองจางให้ทราบว่าท่านอยู่ที่นี้” หลูเฉิงกวงกำลังจะไปแจ้งข่าวเจ้าเมืองหรงตูด้วยความยินดี“ตอนนี้ยังไม่ต้อง!” เฉินฝานโบกมือ เขารีบก้าวเท้าฉับเดินไปทางมุมซ้ายของพระอุโบสถมีคนที่เขาอยากเจออย่างมากอยู่ที่นั่น“พี่ฝาน”เป็นต้ายาและสามีของนางโจวถง“ท่านพี่ เร็วเข้าสิ รีบมาคารวะใต้เท้า” ต้ายาท
“เจ้าอาวาส เหล่าท่านผู้ว่าการมณฑลมาเจ้าค่ะ” คงจิ้งตอบกลับหลิงอวี้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภูไม่ใจและหยิ่งผยอง“ท่านผู้ว่าการมณฑลมางั้นรึ?” หลิงอวี้ตกตะลึงทันที ความหดหู่และความรังเกียจเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะจากนั้นก็จางหายไป ฝีเท้าที่เร่งรีบเมื่อครู่จึงเริ่มผ่อนความเร็วลงหลิงอวี้ไม่ชอบผู้ว่าการมณฑลคนนี้อย่างมาก คงจิ้งอาศัยการที่อาของนางเป็นผู้ว่าการมณฑล มาโอ้อวดอำนาจตัวเองที่สำนักชี ทำให้บรรยากาศในสำนักชีชิงเมี่ยวอึมครึมยิ่งนักหลิงอวี้ป่วยหนักไร้ทางรักษาอยู่ก่อนแล้ว นางพยายามยื้อชีวิตไว้ เพราะไม่อยากให้ตัวเองจากไปเร็วนัก ไม่อยากให้สำนักชีชิงเมี่ยวตกไปเป็นของคงจิ้งเช่นนี้หลิงอวี้คิดว่าเรื่องที่ตนเองทำผิดมหันต์ที่สุดในชีวิตนี้คือการให้คงจิ้งเข้ามาในสำนักชีชิงเมี่ยวคงจิ้งหน้าตาสะสวย ภูไม่หลังครอบครัวดี กลับไม่มีผู้ใดมาสู่ขอ แม่ของนางกลับส่งนางมาที่สำนักชีชิงเมี่ยว แต่ไม่ได้ให้อยากให้คงจิ้งถือศีลกินเจแต่อย่างใด เป้าหมายที่แท้จริงคือ...เมื่อคิดถึงกลุ่มคนวิปริตเหล่านั้น แววตาที่เมตตาอ่อนโยนทอประกาย พลันปรากฏความเดือดดาลทันทีเพื่อจะเติมเต็มความต้องการที่เพิ่มขึ้นทุกวันไม่มีสิ้นสุดขอ
“ช่างเป็นพวกที่ชอบรนหาที่ตายเสียจริง!” เสียงเดือดดาลดังขึ้น ชิงหนิงผ่อนฝีเท้าลงเล็กน้อย นางทะยานตัวบินไปด้านนอกบ้าน ฝูงชนไม่ทันมีการตอบสนองใด นางก็บินกลับมาแล้ว ตอนที่กลับมา นางก็ถือแส้หนังหนึ่งเส้นมาด้วยชิงหนิงยกมือขึ้นสะบัดแส้หนังออกไป“เพียะ!”เสียงกังวานดังขึ้นจากพื้นที่ถูกแส้หนังฟาดลงไป“อ้าก!”คงจิ้งส่งเสียงแล้วจึงล้มลงไป นางจับหน้าตนเองกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นด้วยความเจ็บปวด“โถ่เว้ย...”คงจิ้งยังคิดที่จะออกคำสั่งให้แม่ชีเหล่านั้นใช้กำลังบีบบังคับชิงหนิง ปรากฏว่านางเพิ่งจะปริปาก ก็มีเสียงฟาดแส้หนังลงมาอีกหลายครั้ง“อ้าก ๆ ๆ ๆ!”แม่ชีสิบกว่าคนส่งเสียงแล้วจึงล้มลงไป พวกนางล้มลงกลิ้งตัวไปมาด้วยความเจ็บปวดอยู่ข้าง ๆ คงจิ้ง ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้ว่า วรยุทธ์ของชิงหนิงไม่ธรรมดาหลังจากที่โกนหัวบวชชีแล้ว ชิงหนิงก็เชื่อฟังคำพูดเถียนเสี่ยวอวี่มาโดยตลอด ละทิ้งอาวุธ ละทิ้งความคิดฟุ้งซ่าน ละทิ้งความแค้น ตั้งใจศึกษาพระธรรมด้วยจิตใจแน่วแน่หากไม่ใช่เพราะคงจิ้งยั่วโมโหเช่นนี้ ทั้งชีวิตนี้ชิงหนิงคงไม่คิดจะแตะต้องแส้หนังของนางอีก“ชิงหยวน เจ้าจงรีบไปในเมืองเดี๋ยวนี้ ไปบอกท่านอาข้า
เฉินฝานสีหน้าถมึงทึงทันที ปกติแล้วหากเป็นเรื่องเล็กน้อยเขาย่อมไม่ถือสา ทว่าทำให้เสบียงอาหารได้รับเสียหาย เช่นนั้นก็...“เพียะๆ!”เฉินฝานกำลังเตรียมจะยกเท้าถีบออกไป ก็มีเสียงดังกังวานสองครั้งดังขึ้น“เจ้าคนไร้ประโยชน์!”ตามมาด้วยเสียงเดือดดาลของชิงหนิง ชิงผิงล้มลงต่อหน้านางด้วยความเร็วประดุจแสง“โอ๊ย!” ชิงผิงที่ล้มลงไปอย่างรุนแรง โอดครวญด้วยความเจ็บปวดทันที“ชิงหนิง!” ชิงผิงลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ชี้นิ้วกัดฟันกรอดด่าทอชิงหนิง “เจ้ากล้าเตะข้ารึ ข้าจะไปฟ้องศิษย์พี่หญิงของเจ้า”ชิงหนิงกวาดสายตามองชิงผิง “ไปสิ เจ้าให้คงจิ้งมาด้วย ข้าจะได้จัดการพร้อมกันทีเดียว!”ชิงผิงตวาดด้วยความโมโห “เจ้ากล้างั้นรึ?”ชิงหนิงยกยิ้มมุมปาก “ไฉนข้าจะไม่กล้า? เจ้าไม่กล้าไปเรียกเองล่ะสิ หรือจะบอกว่านางไม่กล้ามาดีล่ะ?”“หึ ช่างปากดียิ่งนัก อยู่กับคนที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีผู้นั้น จึงกลายเป็นคนไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเหมือนกันไปแล้ว”คงจิ้งมาพร้อมกับแม่ชีสิบกว่าคนอย่างยิ่งใหญ่อลังการตอนที่เดินผ่านชิงผิง คงจิ้งหยุดฝีเท้ากล่าวถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”“พี่หญิงใหญ่ พวกเขา...” ชิงผิงมองไปที่เฉินฝานและชิงหนิง ค
“...แม่นางหวง?”เฉินฝานที่พลิกตัวลุกขึ้นมานั่ง มองไปยังข้างเตียงที่ว่างเปล่าไม่มีใครสักคนอย่างตะลึงงันถ้าไม่ใช่เพราะม่านประตูส่ายไหว เฉินฝานยังนึกว่าเมื่อครู่นี้เขาตาฝาดไปเฉินฝานเหลือบมองม่านประตูที่สั่นไหว แล้วแย้มยิ้ม “ก็แค่สาวน้อยปากแข็ง”ไม่สนนางแล้ว เฉินฝานดึงเสื้อผ้าท่อนล่างขึ้นมา แล้วล้มตัวลงไปนอนต่อนอนเร็วก็เลยตื่นเช้าฟ้าเพิ่งสว่าง เฉินฝานก็ตื่นแล้ว เมื่อเขาพลิกตัวขึ้นมา เฉินฝานรู้สึกว่าความเจ็บที่บั้นท้ายหายไปมากกว่าครึ่งแล้ว เฉินฝานพอใจมาก ยาสมุนไพรของสำนักชีชิงเมี่ยวนี้มีประสิทธิภาพมากเลย วันนี้ก็ออกเดินทางกลับเมืองหลวงเถิดหวงหวั่นเอ๋อร์รีบร้อนไปเมืองหลวง เขาเองก็รีบเช่นกันแคว้นต้าฉิ่งเป็นแคว้นที่บุรุษสูงส่งสตรีต่ำต้อยอย่างยิ่ง ยามนี้ฉินเย่ว์เหมยเพิ่งขึ้นเป็นฮ่องเต้หญิงอีกครั้ง ขุนนางเหล่านั้นจะต้องลอบกัดนางทั้งในที่ลับและที่แจ้งอย่างแน่นอนอย่างไรก็ตาม...แววตาของเฉินฝานดูลุ่มลึกเย็นชา เขาต้องจัดการเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่จะจากไปขณะที่สวมเสื้อผ้า ก็มีเสียงคนเคาะประตูห้อง“เข้ามาสิ”“เสี่ยวอวี่เจ้ามาได้เวลาพอดี รีบมาช่วยข้าหน่อยเถิด” เฉินฝานเอ่ยกับค
ตกกลางคืน เฉินฝานนอนคว่ำอยู่บนเตียงด้วยความเบื่อหน่ายเล็กน้อย เถียนเสี่ยวอวี่เพิ่งจะทายาตรงบั้นท้ายให้เขา ตอนนี้เขาไม่อาจเคลื่อนไหวมั่วซั่วชั่วคราว ยาที่เถียนเสี่ยวอวี่ทาไม่เพียงบรรเทาความเจ็บปวด ยังรู้สึกเย็นอีกด้วยผ่านไปไม่นานเฉินฝานที่เบื่อหน่ายก็เริ่มง่วงงุน ในเมื่อง่วงแล้ว เช่นนั้นก็หลับไปเลยดีกว่าเฉินฝานคิดในใจเช่นนี้ และทำเช่นนี้แล้ว เขาหลับดึงผ้าห่มข้างกายมาคลุมตัว??!!ผ้าห่มที่เฉินฝานเพิ่งจะคลุมตัวโดนแรงจากภายนอกกระชากออกอย่างป่าเถื่อน ความโกรธเกรี้ยวคืบคลานมาเต็มดวงหน้าของเฉินฝาน เขาลืมตา ลุกขึ้นมาอยากดูว่าใครช่างบังอาจถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่ง จะยันตัวขึ้นมาก็โดนกดกลับไปอีกครั้ง “อย่าขยับ ให้ข้าดูแผลของเจ้าหน่อย”เสียงที่แฝงไปด้วยความชั่วร้ายแต่ว่าไพเราะอ่อนหวานดังมาจากด้านหลังเฉินฝานยิ้มอย่างจนปัญญา เขาคุ้นเคยกับเสียงหวานชั่วร้ายนี้มากเหลือเกินจริง ๆ“แม่นางหวง เหตุใดดึกขนาดนี้ยังไม่...”เฉินฝานยังไม่ทันเอ่ยคำว่านอนออกมาจากปาก หวงหวั่นเอ๋อร์ก็กดศีรษะของเฉินฝานลงไปอีกครั้ง “บอกว่าอย่าขยับ เจ้าขยับไปขยับมา ข้าจะดูบาดแผลของเจ้าได้อย่างไร?” หวงหวั่นเอ
เสียงหัวเราะเยาะของแม่ชีเหล่านั้นช่างกำเริบเสิบสาน แม้แต่เถียนเสี่ยวอวี่กับชิงหนิงที่อยู่ในเรือนก็ได้ยินกันหมด เถียนเสี่ยวอวี่ลุกพรวดขึ้นมา ไม่สนใจบาดแผลบนขาของตนเอง ก้าวเท้าพุ่งออกมาขวางทางคงจิ้งอย่างรวดเร็ว แล้วด่าทอทันทีว่า “ปากสกปรกเช่นนี้ เจ้าเพิ่งกินอุจจาระมาหรือไร?” “จะ เจ้า...” พอโดนเถียนเสี่ยวอวี่ด่า คงจิ้งไม่รู้ว่าจะโต้กลับอย่างไรไปชั่วขณะ เนื่องจากนางไม่เคยเห็นเถียนเสี่ยวอวี่เป็นเช่นนี้มาก่อน นางขี้ขลาดมากไม่ใช่หรือ? นางพูดจาไม่เก่งไม่ใช่หรือไร?ชิงหนิงเดินตามเถียนเสี่ยวอวี่ออกมา นางตั้งใจว่าเถียนเสี่ยวอวี่โดนรังแกแล้วนางจะเข้าไปช่วยพูด ผลคือคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้การตอบโต้ของเถียนเสี่ยวอวี่ ชิงหนิงไม่ได้รู้สึกว่าไม่เหมาะสมเลย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกชื่นชมว่าสมควรทำเช่นนี้ เฉินฝานมองอยู่ทางด้านข้าง และอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้ เขารู้สึกขบขันกับท่าทางของเถียนเสี่ยวอวี่ เถียนเสี่ยวอวี่ที่กำหมัดน้อย ๆ แน่น ใบหน้าแดงก่ำไปหมด ทำท่าวางตนเหนือกว่านั้นดูน่ารักนิดหน่อยจริง ๆ “เจ้าบ้า หากไม่ ไสหัวไปอีก ข้าจะฉีกปากของเจ้าให้เละ” “บ้าไปแล้วหรือไร!” คงจิ้งโดนเถียนเสี่ย
“ศิษย์พี่ใหญ่ ทำเช่นนี้เกรงว่าจะไม่ค่อยดีกระมัง” ชิงหยวนที่ยืนอยู่ข้างคงจิ่งเอ่ยด้วยความกังวลเล็กน้อย“มีอันใดไม่ดี? นี่ก็ดีมากแล้ว ให้ข้าวกล้องนางก็นับว่าไม่เลวแล้ว”“เสบียงอาหารบางส่วนในห้องคลังนี้เป็นของที่ส่งมาจากอำเภอผิงอัน พวกนั้นล้วนเป็นของที่อยู่ภายใต้นามของคงอัน (เถียนเสี่ยวอวี่)” “อำเภอผิงอันส่งของมาเยอะกว่าตระกูลของข้าหรือ?” “ไม่ได้มากถึงเพียงนั้น”“เช่นนั้นก็พอแล้ว”“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าน้อยยังคิดว่า...” “คิดอันใดเล่า!” คงจิ้งทำหน้ารำคาญอย่างเต็มเปี่ยม ชิงหยวนรีบตอบว่า “ข้าเห็นคงอันเรียกบุรุษผู้นั้นว่าใต้เท้า ๆ ตลอด หากบุรุษผู้นั้นเป็นขุนนางใหญ่ราชสำนักจริง ๆ พวกเราจะเดือดร้อนได้นะ” “ฮ่า ๆ” เมื่อฟังคำพูดของชิงหยวนจบ คงจิ้งก็หัวเราะขึ้นมาทันที นางยกมุมปากยิ้มอย่างดูแคลนเต็มเปี่ยมบนใบหน้า “ฮึ บุตรสาวกำนันหมู่บ้านเล็ก ๆ อย่างคงอัน นางจะรู้จักขุนนางใหญ่อะไรได้? เกรงว่านายอำเภอขั้นเก้าก็เป็นขุนนางใหญ่สุดที่นางรู้จักได้แล้วกระมัง นอกจากนี้ข้ากล้ายืนยันได้เลยว่าใต้เท้าที่คงอันเรียกคงจะไม่ใช่นายอำเภอเลยด้วยซ้ำไป” นายอำเภอเดินทางออกจากบ้านจะมีสาวใช้ข้างกายแค่คนเดียว และไ
ในใจของชิงหนิง เถียนเสี่ยวอวี่คือผู้ดูแล และเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต และเป็นญาติพี่น้องของนางอีกด้วยนางโดนเสิ่นหยวนเลี่ยงใช้อุบายชั่วร้ายเช่นนั้นทอดทิ้ง หากไม่มีเถียนเสี่ยวอวี่เยียวยาจิตใจให้นาง นางคงไม่อาจมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ได้เลย เถียนเสี่ยวอวี่ไม่เพียงเยียวยาจิตใจที่เหี่ยวเฉา นางยังมอบความรักความห่วงใยดั่งญาติพี่น้องให้ด้วย ชิงหนิงที่ถูกฝึกฝนให้เป็นนักฆ่าชั้นยอดมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยสัมผัสความรักความห่วงใยของญาติสนิทที่แท้จริงมาก่อนเฉินฝานที่อยู่ด้านนอกเรือนพักได้ยินก็อึ้งไปชั่วขณะ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเถียนเสี่ยวอวี่ถึงใช้เวลาหนึ่งชั่วยามครึ่ง (เทียบเท่ากับสามชั่วโมงในปัจจุบัน) ในการทำอาหารหนึ่งมื้อ ที่แท้เห็ดปลวกกับผักกูดเหล่านั้นเป็นของที่นางตั้งใจวิ่งออกไปเก็บมาเมื่อครู่นี้เถียนเสี่ยวอวี่ช่วยปรับหมวกแม่ชีบนศีรษะของชิงหนิงให้ตรงพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ว่า “ชิงหนิง เจ้าพูดเกินไปแล้วนะ ข้าแค่ไปเก็บเห็ดปลวก จะตายได้อย่างไรกัน?”เมื่อเห็นเถียนเสี่ยวอวี่มีท่าทางเช่นนี้ ชิงหนิงก็โกรธมากยิ่งขึ้น “จุดที่เจ้าเพิ่งล้มจนได้รับบาดเจ็บเมื่อครู่นี้ หากไปข้างหน้า