“ขอบพระทัยท่านจักรพรรดินี!”เหล่าขุนนางกอดหยกสมปรารถนาพลางลุกขึ้นแม้จะเตรียมใจไว้แล้ว ทว่าตอนที่ลุกขึ้นมองเห็นฉินเย่ว์เหมย สีหน้าของเหล่าเสนาบดีถือว่าพลันดูมีชีวิตชีวาขึ้นมามีทั้งคนที่ประหลาดใจ มีคนที่รู้สึกไม่เคยชิน แน่นอนว่าก็มีคนไม่เต็มใจยอมรับเช่นกันประหลาดใจเพราะว่าฉินเย่ว์เหมยแต่งกายแตกต่างจากเดิมหมวกบนศีรษะก็ยังคงมีแผงม่านลูกปัดสีทองประดับอยู่ บนเรือนร่างก็คงสวมใส่ชุดมังกรสีของจักรพรรดิ ทว่าการประทินโฉมแตกต่างออกไปสิ้นเชิงแต่งแต้มแป้งทาแก้มสีชาดด้วยเฉดสีที่เหมาะสมลงบนใบหน้าที่ขาวเผือก ดูแล้วสุขภาพแข็งแรงและงดงาม ริมฝีปากที่เดิมสีคล้ำก็เปล่งประกายเป็นสีแดง ลวดลายดอกโบตั๋นสีทองบนหน้าผากเมื่อกระทบกับแสงแล้วเปล่งประกายวาววับฉินเย่ว์เหมยในแต่งกายดั่งสตรีงดงามจนตกตะลึงยิ่งกว่าตอนแต่งกายเป็นชายเสียอีก นางตัวตรงอยู่บนบัลลังก์ มองเหล่าเสนาบดีด้วยท่าทีเคร่งขรึมทว่าสง่างามขุนนางส่วนใหญ่ล้วนลอบชื่นชมอยู่ในใจ นี่เป็นท่าทางสูงศักดิ์ที่จักรพรรดิต้าชิ่งควรมี เป็นลางบอกเหตุล่วงหน้าว่าต้าชิ่งจะกลับสู่ความรุ่งโรจน์ดั่งเมื่อก่อนได้แล้วความประหลาดใจของเหล่าเสนาบดีมากจากการแต่งกาย
หลังจากที่โอวหยางน่าหลันกราบลาฉินเย่ว์เหมยแล้ว ก็พาลูกแฝดชายสี่คนเดินทางกลับแคว้นหลู่ เฉินฝานไปส่งนาง เมื่อถึงชายแดนก็ให้เฉินฝานกลับไปทันที“ทำไมล่ะ? ตอนนี้มีลูกชายแล้ว ไม่ต้องการพ่อคนนี้แล้วงั้นรึ?” เฉินฝานพูดหยอกล้อเมื่อก่อนทุกครั้งที่ต้องแยกจากโอวหยางน่าหลัน นางมักจะเกาะติดเขาแน่น หากไม่ใช่นางมาส่งเขา นางก็จะให้เขามาส่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าการออกเดินทางครั้งนี้ เฉินฝานได้เตรียมใจไว้ หากยังไม่ยอมจากเขาไป เขาก็จะไปส่งโอวหยางน่าหลันและลูกชายสี่ถึงที่แคว้นหลู่ หากถึงแคว้นหลู่แล้วโอวหยางน่าหลันยังไม่ยอมให้เขาจากไป เขาก็สามารถอยู่ที่นั้นได้ในระยะเวลาสั้น ๆอย่างไรเสียนางก็เพิ่งจะคลอดลูกสี่คนให้เขา ย่อมต้องอยู่เป็นเพื่อนเสียหน่อยไฉนเลยจะรู้ว่าความจริงจะตรงข้ามกับสิ่งที่เฉินฝานคิด เพิ่งจะมาถึงชายแดนโอวหยางน่าหลันก็ให้เขากลับไปทันที“พูดอะไรของพี่หนะ?” โอวหยางน่าหลันทุบอกเฉินฝานเบา ๆ นางที่เพิ่งคลอดลูกได้ไม่นาน ใบหน้ามีความอ่อนโยนมากมายที่ไม่เคยมีมาก่อน เสริมให้นางดูพราวเสน่ห์มากขึ้น หากไม่ใช่รอบข้างมีคนอยู่เยอะ เฉินฝานคงอยากจะจุมพิตนางสักครั้งโอวหยางน่าหลันกล่าวต่อ “ข้าจะไม่ต้องการท่
ดูจากความความมุ่งมั่นทุ่มเทของฉินเย่ว์เหมย เฉินฝานคงจะปลีกตัวออกมาไม่ได้แม้แต่วันเดียว เขาเพิ่งจะลงจากเตียงแต่งตัวเรียบร้อยได้ไม่นาน ก็มีคนมาเตะประตูห้องกระจุยกระจายอย่างรุนแรงเฉินฝานกำลังจะโวยวาย ร่างเงาสีครามเคลื่อนผ่านสายตาของเขาไป ตอนที่เห็นชัดเจนแล้วว่าเป็นผู้ใด เฉินฝานยิ้มหน้าแป้นแล้นทันที“แม่นางหวง ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง!”หวงหวั่นเอ๋อร์ไม่สนใจเฉินฝาน เดินตรงดิ่งเข้าไปในห้องทันที“ปึก!” หวงหวั่นเอ๋อร์นำกระบี่วางกระแทกบนโต๊ะ เทชาดื่มหนึ่งจอกในอึดใจเดียว จากนั้นจึงเงยหน้ามองเฉินฝานอย่างโหดเหี้ยม“น่ากลัวยิ่งนัก!” เฉินฝานจงใจทำเป็นหวาดกลัว “เจ้าสวะคนใดทำให้แม่นางหวงของพวกเราไม่พอใจเช่นนี้ นี่เป็นการรนหาที่ตายไม่ใช่หรือกระไร?”เมื่อครู่หวงหวั่นเอ๋อร์เพียงแค่แววตาขุ่นเคืองเท่านั้น ตอนนี้ความขุ่นเคืองพรวดพุ่งขึ้นมาทันที “หากรู้ว่าต้องตาย ไฉนเจ้ายังไม่รีบอีก คิดที่จะเล่นตุกติกงั้นรึ?”เฉินฝานยังไม่ทันมีการตอบสนองใด ไฉนหวงหวั่นเอ๋อร์จึงกล่าวว่าเขาคิดจะเล่นตุกติก หวงหวั่นเอ๋อร์สะบัดเสื้อแขนสีคราม...เฉินฝานรู้สึกเพียงลมโชยมา ผมที่เขาเพิ่งรวบเสร็จเมื่อครู่สยายออกมาทันที“เค
“ไป!”หวงหวั่นเอ๋อร์ฟาดแส้ม้าทันทีก๊อบ ๆ เฉินฝานนั่งอยู่บนม้าที่วิ่งไปด้านหน้าอย่างบ้าคลั่ง เสียงลมที่มากระทบโสตประสาททำให้เฉินฝานหูอื้อ ถูกลมบาดใบหน้าจนรู้สึกเจ็บ เขาเอนไปด้านหลังตามสัญชาตญาณ...ภายใต้ผ้าสีคราม เรือนร่างของหวงหวั่นเอ๋อร์อบอุ่นนุ่มนิ่ม มีกลิ่นสดชื่นที่ใกล้เคียงกับกลิ่นดอกมะลิบนเรือนร่างของนางโชยเข้ามาแตะจมูกของเฉินฝานกลิ่นหอมยิ่งนัก! เฉินฝานสูดกลิ่นหอมบนเรือนร่างหวงหวั่นเอ๋อร์อย่างห้ามใจไม่อยู่ตอนที่เฉินฝานโน้มตัวพิงมา หวงหวั่นเอ๋อร์ตัวแข็งทื่อทันทีตอนที่อยู่ศูนย์บรรเทาทุกข์ นางเคยถูกเฉินฝานอุ้มมาจุมพิตแล้ว ทว่าไม่เหมือนกับตอนนี้ ตอนนั้นนางอยู่ในอ้อมอกของเฉินฝาน แต่ตอนนี้เฉินฝานอยู่ในอ้อมอกของนางแทนดูแล้วเขาคงจะหนาวเหน็บอย่างมากเหล่าชายทั้งหลายล้วนหลงคิดไปว่า สตรีชื่นชอบการอยู่ในอ้อมอกบุรุษเท่านั้น ความจริงแล้วตอนที่บุรุษเอนตัวเข้าไปในอ้อมอกของสตรี เหล่าสตรีไม่ได้รู้สึกไม่ชอบใจ กลับรู้สึกเติมเต็มเพราะเป็นที่ต้องการพวกนางอาจจะไม่เก่งกาจจนสามารถปกป้องบุรุษได้ทุกเรื่อง ทว่าอย่างน้อยก็สามารถเป็นที่พักพิงชั่วคราวได้ราวกับมีผีผลัก มือซ้ายที่ว่างอยู่ของหวง
เฉินฝานไม่รู้ตัวว่าตนเองนอนหลับไปและนานเพียงใด ตอนที่เขารู้สึกตัวอีกรอบเส้นยึดรู้สึกไม่สบายตัว เป็นผลเนื่องจากอยู่ในท่าเดิมนานเกินไป เฉินฝานที่เพิ่งตื่นขึ้นมายังคงสะลืมสะลือ คิดไม่ออกว่าตอนนี้เขาอยู่หลังม้าหรืออยู่ในอ้อมอกของหวงหวั่นเอ๋อร์ไม่สบายตัวอย่างมาก เฉินฝานอยากจะพลิกตัว หน้าของเขาก็ไปชนเข้ากับของที่นุ่มเด้งไปมามือของหวงหวั่นเอ๋อร์ที่กำลังฟาดแส้ม้าหยุดชะงักทันที นางกำลังอยู่ในวัยกำลังโต หน้าอกก็กำลังเติบโตเช่นกัน ตรงนั้นเดิมทีก็ปูดบวมจนรู้สึกเจ็บปวดอยู่แล้ว เฉินฝานมาคลอเคลียเช่นนี้...ใบหน้ายลโฉมของหวงหวั่นเอ๋อร์ภายใต้หมวกสีครามขึ้นสีทันทีในตอนนี้นางรู้สึกเจ็บปวดและอับอายยิ่งนักเฉินฝานในตอนนี้กำลังกลัดกลุ้มว่าของนุ่มเด้งสิ่งนี้คือสิ่งใด ตอนที่เขาขยี้ตาสะลืมสะลือลืมตามองให้ชัดเจน...“อ้าก!”เขาสูญเสียการทรงตัว เขายังไม่ทันได้มีการตอบสนองอันใด ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ก้นอย่างรุนแรงเฉินฝานคิ้วขมวดเป็นปมโถ่เว้ย!เจ็บยิ่งนัก ผู้ใดบังอาจรนหาที่ตาย...เฉินฝานกำลังเงยใบหน้าขุ่นเคืองของเขาขึ้นไปมอง เพิ่งจะเงยหน้ามาได้ไม่นาน ก็เห็นม้าเหงื่อโลหิตตัวหนึ่งเดินผ่านเขาไป ม้าตัวน
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นชายอกสามศอก เมื่อคืนถูกฉินเย่ว์เจียวแบกแล้วทุ่มลงบนเตียง ตอนนี้ก็ยังถูกหวงหวั่นเอ๋อร์กอดแน่น ทำราวกับเขา...เฮ้อ!เฉินฝานที่ตอนแรกอยากจะลุกขึ้นสุดท้ายก็อยู่ที่เดิม เขาซบอยู่ในอ้อมกอดของหวงหวั่นเอ๋อร์ร่างอรชรของหญิงสาวนุ่มนิ่ม มีกลิ่นหอมอ่อนๆอื้ม ดีจริงๆ!เฉินฝานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ช่างเป็นความรู้สึกที่ผ่อนคลายยิ่งนักเฉินฝานพักสายตาอีกครั้งพวกเสิ่นหมิงหยวนตายแล้ว ทว่าทุกเรื่องของแคว้นล้วนเป็นเรื่องใหญ่ หลังจากกลับไปถึงเมืองหลวง มีงานราชงานหลวงมากมายรอเขาอยู่ฉวยโอกาสระยะเวลาสั้นๆ นี้ พักผ่อนให้เต็มอิ่ม“ใต้เท้า?”เฉินฝานหลับตาไปได้ไม่นาน ได้ยินเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นดีใจ เขาลืมตาขึ้นพบหวงหวั่นเอ๋อร์ขี่ม้าจากตรอกซอยเล็กๆ ไปยังถนนเส้นหลักแล้วห่างจากพวกเขาไม่ไกลเท่าใดนัก มีรถม้าหนึ่งคน เสียงร้องเรียกใต้เท้าเมื่อครู่ดังมาจากรถม้าคันนั้น“ใต้เท้าจริงๆ ด้วย สารถีจอดเดี๋ยวนี้!”สารถีเพิ่งจอดรถม้า หญิงสาวคนหนึ่งกระโดดลงจากรถม้าทันทีนางสวมชุดสีขาว ตัวเล็กร่างบาง แลดูคล่องแคล่วมีเสน่ห์ ความงดงามนี้เป็นเอกลักษณ์ของหญิงสาวเฉินฝานตะลึงเล็กน้อยเขาจำไม่ได้ว่
“ข้ารักษาที่อื่นดีกว่า บาดแผลแค่นี้ไม่อาจคร่าชีวิตข้าได้”เฉินฝานครุ่นคิด บาดแผลของเขาอยู่ที่สะโพก ถึงเวลาค่อยให้ใครสักคนทายาให้ อาศรมแม่ชีล้วนมีเพียงแม่ชี แม้เขาไม่ถือสา แต่พวกแม่ชีก็อาจลำบากใจสุดท้ายคาดไม่ถึง เฉินฝานเพิ่งพูดจบหวงหวั่นเอ๋อร์ก็รีบพูดขึ้นมาทันที “มีที่ให้รักษาก็ดีมากแล้วเจ้าค่ะ ยังจะเลือกนั่นที่นี่อีก”หวงหวั่นเอ๋อร์ไม่รอเฉินฝานตอบ พูดจบก็ช้อนตัวเฉินฝานขึ้น จากนั้นกระโดดลงจากหลังม้า เดินไปถึงรถม้าของเถียนเสี่ยวอวี่ด้วยความรวดเร็ว นางยัดตัวเฉินฝานเข้าไปในรถม้า แล้วกลับไปที่ม้าของตนเอง“ท่านแม่ชี พวกท่านก็รีบขึ้นรถม้าเถอะ ข้าไม่รู้ว่าอาศรมของพวกท่านอยู่ที่ใด?” หวงหวั่นเอ๋อร์คว้าเชือกก้มหน้าพูดกับเถียนเสี่ยวอวี่“ได้ๆ” เถียนเสี่ยวอวี่หันไปพูดกับเหอเสี่ยวเยี่ยน “ชิงหนิง พวกเรารีบขึ้นรถม้าเถอะ บาดแผลของใต้เท้าเป็นเรื่องสำคัญต้องรีบรักษา”“ไปกันเถอะ!”เถียนเสี่ยวอวี่และเหอเสี่ยวเยี่ยนเพิ่งขึ้นรถม้า หวงหวั่นเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหน้าฟาดแส้ไปที่ม้าอย่างแรง ม้าตกใจจึงวิ่งด้วยความเร็ว“อ๊าย!” เถียนเสี่ยวอวี่ที่ยังไม่ได้นั่ง ล้มทับเฉินฝานเฉินฝานรับเถียนเสี่ยวอวี่เอาไว้พร้อมก
ผ่านไปสามปีแล้ว เด็กสาวใสซื่อในวันนั้นกลายเป็นหญิงสาวแล้วเอ่อ คล้ายจะไม่ค่อยถูกต้องเท่าใดนัก กลายเป็นแม่ชีแล้วนิ่งสงบ ไม่แต่งแต้มด้วยเครื่องประทินผิวใดๆ ทว่ากลับงดงามเหนือธรรมชาติ เถียนเสี่ยวอวี่ในเวลานี้ทำให้เฉินฝานนึกถึงกลอนบทหนึ่งงดงามเป็นธรรมชาติ ไร้เครื่องประทินผิว เฝ้ารอดวงอาทิตย์รับวันใหม่ โต๊ะหนังสือริมหน้าต่างแย้มรอยน้ำหมึกดำเถียนเสี่ยวอวี่คือความสดใสของความงามแบบโบราณ นางสดใสราวกับแสงแดดยามเช้า สดใสและนิ่งสงบ คิ้วเรียงตัวราวภูเขา ไกลจากความเศร้าโศก ดวงตากลมโตใสดั่งทะเลสาบ เฉินฝานมองเห็นเงาสะท้อนของตนผ่านดวงตาคู่นั้น“ใต้เท้า ใต้เท้า ใต้เท้า”เถียนเสี่ยวอวี่ร้องเรียกถึงสามครั้ง กว่าเฉินฝานจะดึงสติกลับมา“ใต้เท้า ท่านลุกเดินได้หรือไม่เจ้าคะ?” ดวงตากลมโต ถามด้วยความจริงใจ“ห๊า? เดิน เดินอะไรหรือ?” เฉินฝานไม่เข้าใจเมื่อได้ยินเฉินฝานพูดเช่นนี้ เถียนเสี่ยวอวี่ชะงักเล็กน้อย “ใต้เท้า พวกเราถึงแล้วเจ้าค่ะ”“ถึง ถึงแล้ว อ่อ อ่อ” เฉินฝานรีบลุกขึ้น สีหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความประหม่าตั้งแต่หมู่บ้านจวบจนราชสำนัก อาศัยอยู่ในบ้านกระเบื้องกระทั่งวังหลัง ตั้งแต่แคว้นต้าชิ่งไป
“ใต้เท้า ท่านสบายดีหรือไม่?” หลูเฉิงกวงถูมือด้วยความตื่นเต้นอยู่นาน จึงพูดประโยคนี้ออกมาอย่างทุลักทุเล“ข้าสบายดี!” เมื่อเจอคนสนิท เฉินฝานก็ยินดีมากเช่นกันหลิงอวี้พากลุ่มแม่ชีสำนักชีชิงเมี่ยวมาคุกเข่าต่อหน้าเหล่าขุนนางเมืองหรงตูเฉินฝานเดิมอ้อมมา คนด้านข้างจึงยังไม่มีผู้ใดเห็นเขา“พี่หญิงใหญ่ ท่านดูสิ” ชิงผิงตาดี เพียงครู่เดียวก็สังเกตเห็นได้ว่าหลูเฉิงกวงวิ่งมาด้านหน้าเฉินฝานคงจิ้งมองตาม นางขมวดคิ้ว “นั้นคือนายกองหลูเฉิงกวงไม่ใช่รึ?”“คิดว่าใช่นะเจ้าคะ พี่หญิงใหญ่ นายกองเคารพนอบน้อมให้ชายผู้นั้นตลอด ชายผู้นั้นคงจะไม่ใช่สามัญชนแล้วกระมัง?”เมื่อฟังคำพูดของชิงผิงแล้ว ใจของคงจิ้งตึงเครียดทันทีชายผู้นี้ที่เถียนเสี่ยวอวี่พามา เป็นเสนาบดีใหญ่จริงหรือ?ทางเฉินฝาน“ใต้เท้า ข้าจะรายงานท่านเจ้าเมืองจางให้ทราบว่าท่านอยู่ที่นี้” หลูเฉิงกวงกำลังจะไปแจ้งข่าวเจ้าเมืองหรงตูด้วยความยินดี“ตอนนี้ยังไม่ต้อง!” เฉินฝานโบกมือ เขารีบก้าวเท้าฉับเดินไปทางมุมซ้ายของพระอุโบสถมีคนที่เขาอยากเจออย่างมากอยู่ที่นั่น“พี่ฝาน”เป็นต้ายาและสามีของนางโจวถง“ท่านพี่ เร็วเข้าสิ รีบมาคารวะใต้เท้า” ต้ายาท
“เจ้าอาวาส เหล่าท่านผู้ว่าการมณฑลมาเจ้าค่ะ” คงจิ้งตอบกลับหลิงอวี้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภูไม่ใจและหยิ่งผยอง“ท่านผู้ว่าการมณฑลมางั้นรึ?” หลิงอวี้ตกตะลึงทันที ความหดหู่และความรังเกียจเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะจากนั้นก็จางหายไป ฝีเท้าที่เร่งรีบเมื่อครู่จึงเริ่มผ่อนความเร็วลงหลิงอวี้ไม่ชอบผู้ว่าการมณฑลคนนี้อย่างมาก คงจิ้งอาศัยการที่อาของนางเป็นผู้ว่าการมณฑล มาโอ้อวดอำนาจตัวเองที่สำนักชี ทำให้บรรยากาศในสำนักชีชิงเมี่ยวอึมครึมยิ่งนักหลิงอวี้ป่วยหนักไร้ทางรักษาอยู่ก่อนแล้ว นางพยายามยื้อชีวิตไว้ เพราะไม่อยากให้ตัวเองจากไปเร็วนัก ไม่อยากให้สำนักชีชิงเมี่ยวตกไปเป็นของคงจิ้งเช่นนี้หลิงอวี้คิดว่าเรื่องที่ตนเองทำผิดมหันต์ที่สุดในชีวิตนี้คือการให้คงจิ้งเข้ามาในสำนักชีชิงเมี่ยวคงจิ้งหน้าตาสะสวย ภูไม่หลังครอบครัวดี กลับไม่มีผู้ใดมาสู่ขอ แม่ของนางกลับส่งนางมาที่สำนักชีชิงเมี่ยว แต่ไม่ได้ให้อยากให้คงจิ้งถือศีลกินเจแต่อย่างใด เป้าหมายที่แท้จริงคือ...เมื่อคิดถึงกลุ่มคนวิปริตเหล่านั้น แววตาที่เมตตาอ่อนโยนทอประกาย พลันปรากฏความเดือดดาลทันทีเพื่อจะเติมเต็มความต้องการที่เพิ่มขึ้นทุกวันไม่มีสิ้นสุดขอ
“ช่างเป็นพวกที่ชอบรนหาที่ตายเสียจริง!” เสียงเดือดดาลดังขึ้น ชิงหนิงผ่อนฝีเท้าลงเล็กน้อย นางทะยานตัวบินไปด้านนอกบ้าน ฝูงชนไม่ทันมีการตอบสนองใด นางก็บินกลับมาแล้ว ตอนที่กลับมา นางก็ถือแส้หนังหนึ่งเส้นมาด้วยชิงหนิงยกมือขึ้นสะบัดแส้หนังออกไป“เพียะ!”เสียงกังวานดังขึ้นจากพื้นที่ถูกแส้หนังฟาดลงไป“อ้าก!”คงจิ้งส่งเสียงแล้วจึงล้มลงไป นางจับหน้าตนเองกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นด้วยความเจ็บปวด“โถ่เว้ย...”คงจิ้งยังคิดที่จะออกคำสั่งให้แม่ชีเหล่านั้นใช้กำลังบีบบังคับชิงหนิง ปรากฏว่านางเพิ่งจะปริปาก ก็มีเสียงฟาดแส้หนังลงมาอีกหลายครั้ง“อ้าก ๆ ๆ ๆ!”แม่ชีสิบกว่าคนส่งเสียงแล้วจึงล้มลงไป พวกนางล้มลงกลิ้งตัวไปมาด้วยความเจ็บปวดอยู่ข้าง ๆ คงจิ้ง ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้ว่า วรยุทธ์ของชิงหนิงไม่ธรรมดาหลังจากที่โกนหัวบวชชีแล้ว ชิงหนิงก็เชื่อฟังคำพูดเถียนเสี่ยวอวี่มาโดยตลอด ละทิ้งอาวุธ ละทิ้งความคิดฟุ้งซ่าน ละทิ้งความแค้น ตั้งใจศึกษาพระธรรมด้วยจิตใจแน่วแน่หากไม่ใช่เพราะคงจิ้งยั่วโมโหเช่นนี้ ทั้งชีวิตนี้ชิงหนิงคงไม่คิดจะแตะต้องแส้หนังของนางอีก“ชิงหยวน เจ้าจงรีบไปในเมืองเดี๋ยวนี้ ไปบอกท่านอาข้า
เฉินฝานสีหน้าถมึงทึงทันที ปกติแล้วหากเป็นเรื่องเล็กน้อยเขาย่อมไม่ถือสา ทว่าทำให้เสบียงอาหารได้รับเสียหาย เช่นนั้นก็...“เพียะๆ!”เฉินฝานกำลังเตรียมจะยกเท้าถีบออกไป ก็มีเสียงดังกังวานสองครั้งดังขึ้น“เจ้าคนไร้ประโยชน์!”ตามมาด้วยเสียงเดือดดาลของชิงหนิง ชิงผิงล้มลงต่อหน้านางด้วยความเร็วประดุจแสง“โอ๊ย!” ชิงผิงที่ล้มลงไปอย่างรุนแรง โอดครวญด้วยความเจ็บปวดทันที“ชิงหนิง!” ชิงผิงลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ชี้นิ้วกัดฟันกรอดด่าทอชิงหนิง “เจ้ากล้าเตะข้ารึ ข้าจะไปฟ้องศิษย์พี่หญิงของเจ้า”ชิงหนิงกวาดสายตามองชิงผิง “ไปสิ เจ้าให้คงจิ้งมาด้วย ข้าจะได้จัดการพร้อมกันทีเดียว!”ชิงผิงตวาดด้วยความโมโห “เจ้ากล้างั้นรึ?”ชิงหนิงยกยิ้มมุมปาก “ไฉนข้าจะไม่กล้า? เจ้าไม่กล้าไปเรียกเองล่ะสิ หรือจะบอกว่านางไม่กล้ามาดีล่ะ?”“หึ ช่างปากดียิ่งนัก อยู่กับคนที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีผู้นั้น จึงกลายเป็นคนไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเหมือนกันไปแล้ว”คงจิ้งมาพร้อมกับแม่ชีสิบกว่าคนอย่างยิ่งใหญ่อลังการตอนที่เดินผ่านชิงผิง คงจิ้งหยุดฝีเท้ากล่าวถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”“พี่หญิงใหญ่ พวกเขา...” ชิงผิงมองไปที่เฉินฝานและชิงหนิง ค
“...แม่นางหวง?”เฉินฝานที่พลิกตัวลุกขึ้นมานั่ง มองไปยังข้างเตียงที่ว่างเปล่าไม่มีใครสักคนอย่างตะลึงงันถ้าไม่ใช่เพราะม่านประตูส่ายไหว เฉินฝานยังนึกว่าเมื่อครู่นี้เขาตาฝาดไปเฉินฝานเหลือบมองม่านประตูที่สั่นไหว แล้วแย้มยิ้ม “ก็แค่สาวน้อยปากแข็ง”ไม่สนนางแล้ว เฉินฝานดึงเสื้อผ้าท่อนล่างขึ้นมา แล้วล้มตัวลงไปนอนต่อนอนเร็วก็เลยตื่นเช้าฟ้าเพิ่งสว่าง เฉินฝานก็ตื่นแล้ว เมื่อเขาพลิกตัวขึ้นมา เฉินฝานรู้สึกว่าความเจ็บที่บั้นท้ายหายไปมากกว่าครึ่งแล้ว เฉินฝานพอใจมาก ยาสมุนไพรของสำนักชีชิงเมี่ยวนี้มีประสิทธิภาพมากเลย วันนี้ก็ออกเดินทางกลับเมืองหลวงเถิดหวงหวั่นเอ๋อร์รีบร้อนไปเมืองหลวง เขาเองก็รีบเช่นกันแคว้นต้าฉิ่งเป็นแคว้นที่บุรุษสูงส่งสตรีต่ำต้อยอย่างยิ่ง ยามนี้ฉินเย่ว์เหมยเพิ่งขึ้นเป็นฮ่องเต้หญิงอีกครั้ง ขุนนางเหล่านั้นจะต้องลอบกัดนางทั้งในที่ลับและที่แจ้งอย่างแน่นอนอย่างไรก็ตาม...แววตาของเฉินฝานดูลุ่มลึกเย็นชา เขาต้องจัดการเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่จะจากไปขณะที่สวมเสื้อผ้า ก็มีเสียงคนเคาะประตูห้อง“เข้ามาสิ”“เสี่ยวอวี่เจ้ามาได้เวลาพอดี รีบมาช่วยข้าหน่อยเถิด” เฉินฝานเอ่ยกับค
ตกกลางคืน เฉินฝานนอนคว่ำอยู่บนเตียงด้วยความเบื่อหน่ายเล็กน้อย เถียนเสี่ยวอวี่เพิ่งจะทายาตรงบั้นท้ายให้เขา ตอนนี้เขาไม่อาจเคลื่อนไหวมั่วซั่วชั่วคราว ยาที่เถียนเสี่ยวอวี่ทาไม่เพียงบรรเทาความเจ็บปวด ยังรู้สึกเย็นอีกด้วยผ่านไปไม่นานเฉินฝานที่เบื่อหน่ายก็เริ่มง่วงงุน ในเมื่อง่วงแล้ว เช่นนั้นก็หลับไปเลยดีกว่าเฉินฝานคิดในใจเช่นนี้ และทำเช่นนี้แล้ว เขาหลับดึงผ้าห่มข้างกายมาคลุมตัว??!!ผ้าห่มที่เฉินฝานเพิ่งจะคลุมตัวโดนแรงจากภายนอกกระชากออกอย่างป่าเถื่อน ความโกรธเกรี้ยวคืบคลานมาเต็มดวงหน้าของเฉินฝาน เขาลืมตา ลุกขึ้นมาอยากดูว่าใครช่างบังอาจถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่ง จะยันตัวขึ้นมาก็โดนกดกลับไปอีกครั้ง “อย่าขยับ ให้ข้าดูแผลของเจ้าหน่อย”เสียงที่แฝงไปด้วยความชั่วร้ายแต่ว่าไพเราะอ่อนหวานดังมาจากด้านหลังเฉินฝานยิ้มอย่างจนปัญญา เขาคุ้นเคยกับเสียงหวานชั่วร้ายนี้มากเหลือเกินจริง ๆ“แม่นางหวง เหตุใดดึกขนาดนี้ยังไม่...”เฉินฝานยังไม่ทันเอ่ยคำว่านอนออกมาจากปาก หวงหวั่นเอ๋อร์ก็กดศีรษะของเฉินฝานลงไปอีกครั้ง “บอกว่าอย่าขยับ เจ้าขยับไปขยับมา ข้าจะดูบาดแผลของเจ้าได้อย่างไร?” หวงหวั่นเอ
เสียงหัวเราะเยาะของแม่ชีเหล่านั้นช่างกำเริบเสิบสาน แม้แต่เถียนเสี่ยวอวี่กับชิงหนิงที่อยู่ในเรือนก็ได้ยินกันหมด เถียนเสี่ยวอวี่ลุกพรวดขึ้นมา ไม่สนใจบาดแผลบนขาของตนเอง ก้าวเท้าพุ่งออกมาขวางทางคงจิ้งอย่างรวดเร็ว แล้วด่าทอทันทีว่า “ปากสกปรกเช่นนี้ เจ้าเพิ่งกินอุจจาระมาหรือไร?” “จะ เจ้า...” พอโดนเถียนเสี่ยวอวี่ด่า คงจิ้งไม่รู้ว่าจะโต้กลับอย่างไรไปชั่วขณะ เนื่องจากนางไม่เคยเห็นเถียนเสี่ยวอวี่เป็นเช่นนี้มาก่อน นางขี้ขลาดมากไม่ใช่หรือ? นางพูดจาไม่เก่งไม่ใช่หรือไร?ชิงหนิงเดินตามเถียนเสี่ยวอวี่ออกมา นางตั้งใจว่าเถียนเสี่ยวอวี่โดนรังแกแล้วนางจะเข้าไปช่วยพูด ผลคือคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้การตอบโต้ของเถียนเสี่ยวอวี่ ชิงหนิงไม่ได้รู้สึกว่าไม่เหมาะสมเลย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกชื่นชมว่าสมควรทำเช่นนี้ เฉินฝานมองอยู่ทางด้านข้าง และอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้ เขารู้สึกขบขันกับท่าทางของเถียนเสี่ยวอวี่ เถียนเสี่ยวอวี่ที่กำหมัดน้อย ๆ แน่น ใบหน้าแดงก่ำไปหมด ทำท่าวางตนเหนือกว่านั้นดูน่ารักนิดหน่อยจริง ๆ “เจ้าบ้า หากไม่ ไสหัวไปอีก ข้าจะฉีกปากของเจ้าให้เละ” “บ้าไปแล้วหรือไร!” คงจิ้งโดนเถียนเสี่ย
“ศิษย์พี่ใหญ่ ทำเช่นนี้เกรงว่าจะไม่ค่อยดีกระมัง” ชิงหยวนที่ยืนอยู่ข้างคงจิ่งเอ่ยด้วยความกังวลเล็กน้อย“มีอันใดไม่ดี? นี่ก็ดีมากแล้ว ให้ข้าวกล้องนางก็นับว่าไม่เลวแล้ว”“เสบียงอาหารบางส่วนในห้องคลังนี้เป็นของที่ส่งมาจากอำเภอผิงอัน พวกนั้นล้วนเป็นของที่อยู่ภายใต้นามของคงอัน (เถียนเสี่ยวอวี่)” “อำเภอผิงอันส่งของมาเยอะกว่าตระกูลของข้าหรือ?” “ไม่ได้มากถึงเพียงนั้น”“เช่นนั้นก็พอแล้ว”“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าน้อยยังคิดว่า...” “คิดอันใดเล่า!” คงจิ้งทำหน้ารำคาญอย่างเต็มเปี่ยม ชิงหยวนรีบตอบว่า “ข้าเห็นคงอันเรียกบุรุษผู้นั้นว่าใต้เท้า ๆ ตลอด หากบุรุษผู้นั้นเป็นขุนนางใหญ่ราชสำนักจริง ๆ พวกเราจะเดือดร้อนได้นะ” “ฮ่า ๆ” เมื่อฟังคำพูดของชิงหยวนจบ คงจิ้งก็หัวเราะขึ้นมาทันที นางยกมุมปากยิ้มอย่างดูแคลนเต็มเปี่ยมบนใบหน้า “ฮึ บุตรสาวกำนันหมู่บ้านเล็ก ๆ อย่างคงอัน นางจะรู้จักขุนนางใหญ่อะไรได้? เกรงว่านายอำเภอขั้นเก้าก็เป็นขุนนางใหญ่สุดที่นางรู้จักได้แล้วกระมัง นอกจากนี้ข้ากล้ายืนยันได้เลยว่าใต้เท้าที่คงอันเรียกคงจะไม่ใช่นายอำเภอเลยด้วยซ้ำไป” นายอำเภอเดินทางออกจากบ้านจะมีสาวใช้ข้างกายแค่คนเดียว และไ
ในใจของชิงหนิง เถียนเสี่ยวอวี่คือผู้ดูแล และเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต และเป็นญาติพี่น้องของนางอีกด้วยนางโดนเสิ่นหยวนเลี่ยงใช้อุบายชั่วร้ายเช่นนั้นทอดทิ้ง หากไม่มีเถียนเสี่ยวอวี่เยียวยาจิตใจให้นาง นางคงไม่อาจมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ได้เลย เถียนเสี่ยวอวี่ไม่เพียงเยียวยาจิตใจที่เหี่ยวเฉา นางยังมอบความรักความห่วงใยดั่งญาติพี่น้องให้ด้วย ชิงหนิงที่ถูกฝึกฝนให้เป็นนักฆ่าชั้นยอดมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยสัมผัสความรักความห่วงใยของญาติสนิทที่แท้จริงมาก่อนเฉินฝานที่อยู่ด้านนอกเรือนพักได้ยินก็อึ้งไปชั่วขณะ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเถียนเสี่ยวอวี่ถึงใช้เวลาหนึ่งชั่วยามครึ่ง (เทียบเท่ากับสามชั่วโมงในปัจจุบัน) ในการทำอาหารหนึ่งมื้อ ที่แท้เห็ดปลวกกับผักกูดเหล่านั้นเป็นของที่นางตั้งใจวิ่งออกไปเก็บมาเมื่อครู่นี้เถียนเสี่ยวอวี่ช่วยปรับหมวกแม่ชีบนศีรษะของชิงหนิงให้ตรงพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ว่า “ชิงหนิง เจ้าพูดเกินไปแล้วนะ ข้าแค่ไปเก็บเห็ดปลวก จะตายได้อย่างไรกัน?”เมื่อเห็นเถียนเสี่ยวอวี่มีท่าทางเช่นนี้ ชิงหนิงก็โกรธมากยิ่งขึ้น “จุดที่เจ้าเพิ่งล้มจนได้รับบาดเจ็บเมื่อครู่นี้ หากไปข้างหน้า