เฉินฝานมุมปากกระตุกเล็กน้อย เขาจ้องจ้าวรุ่ยแล้วแสยะยิ้ม“ยอมจำนน คุกเข่าขอร้อง คนนั้นควรเป็นเจ้ากระมัง!”“เจ้าอย่าเหิมเกริมนักเลย ข้ามีทหารสองแสนนาย” จ้าวรุ่ยกัดฟันแน่น“อ๋องจ้าว ท่านมีทหารสองแสนนายก็จริง แต่ตอนนี้พวกเขาออกไปตามหาข้ากันหมดแล้ว เวลานี้น้ำไกลไม่อาจดับไฟใกล้ได้”“เฉินฝานอยู่ในค่ายทหารรักษาพระองค์หลายวัน เขาส่งจดหมายท้าทายไปหาจ้าวรุ่ยเพราะต้องการให้ทหารสองแสนนายแยกตัวออกไป“เจ้า...เจ้าช่างร้ายกาจยิ่งนัก!”เวลานี้ จ้าวรุ่ยเข้าใจแผนล่อเสือออกจากถ้ำของเฉินฝานแล้ว”“เฮ้อ ทหารไม่ชิงชังกลอุบาย!”“เจ้าอย่าลำพองใจให้มากนัก แม้ทหารสองแสนนายไม่อาจกลับมาในตอนนี้ได้ ในวังหลวงก็ยังมีทหารอีกหมื่นกว่านาย แม้เจ้าจะมีอาวุธสีดำในมือ เจ้าก็ไม่อาจมีชีวิตรอดออกไปได้เช่นเดียวกัน”“ลำพังเพียงข้าคนเดียวย่อมไม่อาจออกไปได้ แต่ว่า หากอ๋องจ้าวออกไปพร้อมกับข้า ท่านว่าข้าจะออกไปได้หรือไม่?”ขณะพูด เท้าของเฉินฝานเคลื่อนไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วอีกครั้ง“ขวางเขาเอาไว้ ขวางเขาเอาไว้!”จ้าวรุ่ยถอยหลังเข้าไปในตำหนักด้วยความกระวนกระวายจ้าวกังและทหารรักษาพระองค์ล้วนอยากขวางเฉินฝาน แต่ว่าระยะห่างร
อ๋องตวนวิ่งเข้ามา ถ่มน้ำลายใส่จ้าวรุ่ย “ถุย! เจ้าคนชั่ว คนอย่างเจ้าคู่ควรเรียกลูกเขยแสนดีของข้าว่าน้องรักหรือ?”เฉินฝานหัวเราะ “อ๋องจ้าว ท่านเห็นหรือไม่ ไม่ใช่ข้าไม่อยากเป็นน้องชายของท่าน แต่ผู้ปกครองของข้าไม่อนุญาต!”“ผู้ปกครอง!”สรรพนามนี้ อ๋องตวนได้ยินเป็นครั้งแรก ถึงแม้จะไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ให้ความรู้สึกสนิทสนม“เสี่ยวฝาน ลูกเขยแสนดีของข้า พวกเราไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ”“ทำตามที่ผู้ปกครองว่าขอรับ”เมื่อเห็นเฉินฝานพยักหน้า อ๋องตวนยกเท้าของตนขึ้น เตะสะโพกของจ้าวรุ่ยแรงๆ หนึ่งที “ไปเร็วเข้า!”เฉินฝานและอ๋องตวน นับตั้งแต่บุกเข้าตำหนักจนจับตัวจ้าวรุ่ยต่อหน้าทหารรักษาพระองค์ พวกเขาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามจ้าวรุ่ยถูกชาวต้าชิ่งจับตัวไปสองครั้งแล้วครั้งก่อนคือถูกอ๋องหนึ่งคนและทหารหนึ่งร้อยนายจับตัวครั้งนี้ ถูกอ๋องหนึ่งคนและเสนาบดีหนึ่งคนจับตัวครั้งก่อน จ้าวรุ่ยรู้สึกขายหน้ามากแล้ว ครั้งนี้...จ้าวรุ่ยกัดฟันแน่น คนที่เขาแค้นที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่เฉินฝานและอ๋องตวน แต่เป็นจ้าวกังทหารรักษาพระองค์หมื่นกว่าคน กลับไม่อาจต้านทานเสนาบดีหนึ่งคนและอ๋องหนึ่งคนได้ หลังจากนี้ ทุกคนต้องห
จ้าวรุ่ยหลับตาปี๋ ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของอ๋องตวน“หูหนวกหรือไง?”อ๋องตวนแหย่จ้าวรุ่ยอีกครั้ง อีกทั้งครั้งนี้ยังออกแรงมากกว่าเดิมเล็กน้อย ที่เรียกว่าออกแรงมากขึ้นเล็กน้อยของเขา เท่ากับใช้ไม้ทิ่มอย่างแรงของผู้อื่น“โอ๊ย!”จ้าวรุ่ยเจ็บจนกัดฟันแน่น“รีบบอกคนด้านล่างเร็ว เจ้าเป็นใคร?”“...” จ้าวรุ่ยปิดปากแน่นอีกครั้ง“หึ! ดูไม่ออกจริงๆ ครั้งก่อนถูกข้าต่อย ถึงขั้นฉี่ราด ครั้งนี้ กลับนิ่งเฉยเช่นนี้หรือ?”ยิ่งจ้าวรุ่ยแสดงความนิ่งเฉย อ๋องตวนก็ยิ่งได้ใจ เขาทิ่มจ้าวรุ่ยอีกสองสามครั้ง จ้าวรุ่ยไม่กล้าส่งเสียงดัง กัดฟันแน่น อดทนกับความเจ็บปวดจนหน้าแดงก่ำ เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก เหงื่อเม็ดโตรินไหลลงมา ดวงตาแดงก่ำ ถลึงตามองอ๋องตวนและเฉินฝาน“อย่าใช้สายตาเช่นนั้นมองพวกข้า!” สีหน้าอ๋องตวนคล้ายถูกเข้าใจผิดเต็มประตู“เดิมทีพวกข้าก็ไม่คิดจะแขวนเจ้าไว้ที่นี่ แต่เจ้าเป็นคนคิดขึ้นเอง”จุดประสงค์ในการมาเยือนเมืองเฟิ่งหวงของเฉินฝานและอ๋องตวนนั้นชัดเจน ก็คือเพียงอยากจับตัวจ้าวรุ่ย บีบให้เขาเอาทหารกลับไปแต่จ้าวรุ่ยเอาแต่พูดไม่หยุดว่า หลังจากจับตัวเฉินฝานและอ๋องตวนได้แล้ว ตนจะแขวนพวกเขาไว้ที่กำแพงเมือง ใ
ด้านล่างกำแพงเมือง ประจวบเหมาะกับที่เวลานี้ จ้าวกังกำลังพาคนมานอกกำแพงเมืองทหารจ้าวสองแสนนายกำลังเร่งเดินทางมาเห็นจ้าวรุ่ยที่ถูกแขวนบนกำแพงเมือง ขุนนางและแม่ทัพทั้งหมดของแคว้นจ้าว ต่างตกใจอย่างมากจักรพรรดิของแคว้น ถูกแขวนไว้ที่กำแพงเมือง เป็นเรื่องที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน นี่เป็นการหยามเกียรติอย่างมาก“ฝ่าบาท! รีบไปช่วยฝ่าบาท!”ขุนนางและทหารทั้งในและนอกกำแพงเมืองต่างชุลมุนวุ่นวายแม่ทัพแคว้นจ้าวนำทหารมุ่งหน้าไปที่กำแพงเมืองมือธนูขึ้นสายเตรียมความพร้อมเฉินฝานเอาปากกระบอกปืนจ่อศีรษะของจ้าวรุ่ย “ควรทำอย่างไร? ข้าคงไม่ต้องสอนท่านกระมัง”“กรึก!”เสียงขึ้นลำปืนดังขึ้น“ถอยไป!”“ถอยกลับไปให้หมด!”จ้าวรุ่ยกรีดร้องสุดเสียงเมื่อคืนตอนออกจากตำหนัก มีทหารรักษาพระองค์คนหนึ่งอยากเสี่ยงตายไปช่วยจ้าวรุ่ย แต่ถูกเฉินฝานยิงตายปืนนัดนั้น ยิงไปที่ท้ายทอยของเขาจุดที่ถูกยิงทั้งใหญ่และลึก เพียงครู่หนึ่ง เลือดพวยพุ่งออกมา ทหารรักษาพระองค์คนนั้นกระตุกไม่หยุด จากนั้นไม่นาน เขาก็สิ้นใจเห็นภาพเหตุการณ์การตายอันน่าสยดสยองของทหารรักษาพระองค์ในระยะใกล้ด้วยตาตนเอง กระทั่งเวลานี้จ้าวรุ่ยก็ยังก
“แหะๆ!” อ๋องตวนหัวเราะแห้งๆ “ไม่อาจปิดบังเจ้าได้สักเรื่องจริงๆ”“ว่าแต่ เสี่ยวฝาน เมื่อวานเจ้าเป่ายิ้งฉุบได้เยี่ยมยอดจริงๆ ข้าไม่คิดเลยว่าจะเป่ายิ้งฉุบเช่นนี้ก็ได้ เวลานั้นเจ้า...”ขณะพูด อ๋องตวนเริ่มทำไม้ทำมือมือซ้ายคือเฉินฝาน มือขวาคือตัวเขาเองจ้าวรุ่ยไม่เข้าใจ นึกว่าอ๋องตวนกำลังพูดความลับบางอย่าง ดังนั้นจึงเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ทั้งยังท่องจำเงียบๆเฉินฝาน "“..”“เช่นนั้นท่านก็เดาอยู่ที่นี่เถอะ รอท่านเดาออกแล้ว ข้าค่อยกลับมาเจรจากับจ้าวรุ่ย!”เฉินฝานขยับตัวหาท่านั่งที่สบาย“โอ๊ยๆ ไม่เดาแล้ว ข้าไม่เอาแล้ว!” อ๋องตวนรีบคว้าตัวเฉินฝาน แต่เฉินฝานไม่สนใจเขา หาที่ที่มีลมโกรก แล้วนอนพักผ่อน ไม่ว่าอ๋องตวนจะอ้อนวอนขอร้องเขาอย่างไร เขาก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน“เจ้าดูเจ้าสิ ดูเจ้าสิ ทำเสียงเรื่องหมดแล้ว!” จ้าวรุ่ยตำหนิอ๋องตวน“เฮ้อ ทุกครั้งที่ข้าอยากเล่นเป่ายิ้งฉุบ ก็ไม่อาจหยุดตนเองได้”“ชิๆๆ ไม่แปลกที่จักรพรรดิต้าชิ่งคนก่อนกล่าวว่าเจ้าไม่อาจประสบความสำเร็จ ทั้งยังสร้างปัญหาเก่ง วันนี้เห็นกับตาท่าจะเป็นเรื่องจริง”“ใช่ๆๆ!” อ๋องตวนพยักหน้า “ต่อไปนี้ข้า...”จู่ๆ อ๋องตวนก็หยุดลง หันไปม
“ใช่ ๆ เมื่อไม่กี่วันก่อน ทูตของเจ้าพูดจายกตนข่มท่านในพระราชวังต้าชิ่งของข้า บอกว่าหลังจากตะวันลับฟ้าอะไรนั่นยังตกลงกันไม่ได้ ก็จะให้ต้าชิ่งของข้าชดใช้เงินสามสิบล้านตำลึงให้กับพวกเจ้า”“นี่เป็นสิ่งที่เจ้าสั่งสอนมาใช่หรือไม่? คนต่ำช้าเจ้าเล่ห์!”“ปัง!”อ๋องตวนต่อยไปที่ศีรษะของจ้าวรุ่ยอีกครั้ง “ใครใช้ให้เจ้าตั้งเงื่อนไขส่งเดชเล่า ตอนนี้ก็รับกรรมที่ก่อไว้เสียเถิด เอาตามเงื่อนไขของเสี่ยวฝาน ให้กองทัพสองแสนนายกับทหารรักษาพระองค์อีกหมื่นนายถอยกลับไปที่แคว้นจ้าวของพวกเจ้าก่อนตะวันตกดิน เงินสามสิบล้านตำลึงก็ต้องส่งมาถึงก่อนตะวันตกดินด้วยเช่นกัน” “เจ้าไม่ยอมหรือ...”อ๋องตวนยกกำปั้นขึ้นมาอีกครั้ง“เดี๋ยวก่อน!”แม้ว่าหมัดของอ๋องตวนจะไม่น่ากลัวเท่าปืนในมือเฉินฝาน แต่ก็ค่อนข้างน่าสะพรึงกลัวอยู่เหมือนกัน บัดนี้จ้าวรุ่ยถูกอัดจนจมูกเขียวหน้าบวมช้ำแล้วสุภาษิตกล่าวไว้ว่า หากเขาเขียวยังคงดำรงอยู่ ย่อมมิกลัวขาดฟืนต่อไปเขาจะต้องหาโอกาสล้างความอัปยศในวันนี้ได้อย่างแน่นอนจ้าวรุ่ยกัดฟัน “ได้! ข้า...รับปากพวกเจ้า!”“แต่ว่า ดีหรือร้ายอย่างไรข้าก็เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของแคว้นหนึ่ง พวกเจ้ามิอาจให
เหอจื้อเฟย ขุนนางของเมืองเฟิ่งหวงคุกเข่าลงกับพื้นดังตุบ “ท่านอ๋อง! ใต้เท้า! ต่อให้ข้าน้อยมีความกล้าอีกสิบเท่า ก็ไม่กล้าทำเช่นนี้หรอกขอรับ!”“เจ้ามิได้กระทำ เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่มีผู้ใดมารับเงินเล่า?”“เรื่องนี้...” เหอจื้อเฟยทำสีหน้าลำบากใจ “ข้าน้อยก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นขอรับ”“เจ้าไม่รู้ แล้วเป็นขุนนางเมืองนี้ได้อย่างไร?” อ๋องตวนที่อารมณ์ร้อนและไม่มีความอดทนอะไรกวัดแกว่งกำปั้นขึ้นมาหมายจะอัดคน“ท่านอ๋อง!” เฉินฝานรีบห้ามเขาทันที “ลุกขึ้นเถิด!” เฉินฝานกล่าวกับเหอจื้อเฟย“ขอบคุณขอรับใต้เท้า”เหอจื้อเฟยลุกขึ้นมาแล้ว แต่ท่าทางยังคงสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว พยายามยืนห่างจากอ๋องตวนเล็กน้อย“เจ้าออกไปเถิด พานักการในศาลาว่าการไปประกาศอีกครั้ง บางทีชาวบ้านจำนวนมากอาจยังไม่ทราบก็ได้”“ขอรับ ใต้เท้า!”เหอจื้อเฟยวิ่งออกไปราวกับหนีตายอ๋องตวนจ้องมองร่างของเหอจื้อเฟยที่จากไปอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวว่า “เฉินฝาน แค่เห็นเหอจื้อเฟยคนนั้นก็รู้ว่าพูดโกหกอยู่ เจ้าปล่อยเขาไปเช่นนี้ได้อย่างไร?”“ปล่อยเขาไป หากให้เขาอยู่ที่นี่ ท่านคิดว่าเขาจะพูดหรือ?”“อัดสักยกสิ!” อ๋องตวนชูกำปั้นขนาดใหญ่ของต
“ใต้เท้า ซาลาเปาของข้าไม่ได้แพงเช่นนั้น หาได้มีราคาสูงถึงหนึ่งตำลึงไม่!”สตรีวัยกลางคนตอบไม่ตรงคำถาม นางห่อซาลาเปาบนแผงทั้งหมดให้เฉินฝาน เฉินฝานนึกว่าสตรีวัยกลางคนได้ยินคำพูดของตนไม่ชัด จึงคิดจะพูดอีกครั้งปรากฏว่าเขายังไม่ทันเอ่ยปาก สตรีวัยกลางคนก็เอ่ยขึ้นมาอีกทันที“อันที่จริงแล้วซาลาเปาพวกนี้ก็มิได้มีราคาสูงถึงหนึ่งตำลึงเช่นกัน! พ่อหนุ่ม วันนี้ข้าไม่ได้ทำมาเยอะขนาดนั้น!” สตรีวัยกลางคนพลันเอ่ยเสียงดัง “หากท่านยังต้องการ เช่นนั้นท่านก็รอสักครู่เถิด ข้าจะกลับไปทำเพิ่มให้ท่านอีกหนึ่งเข่ง ท่านรอไม่ไหว? เช่นนั้นรบกวนท่านไปกับข้าแล้ว”เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ เฉินฝานก็เข้าใจในพริบตา สตรีวัยกลางคนทราบถึงเหตุผล แต่ตอนนี้นางไม่กล้าเอ่ยออกมาตรง ๆเฉินฝานติดตามสตรีวัยกลางคน เดินเลี้ยวเจ็ดแปดครั้งไม่นานก็มาถึงย่านทิศเหนือของเมืองย่านทิศเหนือของเมืองแร้นแค้น ผู้คนที่อาศัยอยู่ล้วนเป็นผู้ที่ยากจนที่สุดในเมืองนี้บ้านของสตรีวัยกลางคนสร้างด้วยฟางหญ้า เสาไม้ที่ค้ำกระท่อมฟางหญ้าผุกร่อนจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว แค่ลมพัดทีเดียวก็ดูอันตรายเต็มที ผุพังยิ่งกว่าบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านซานเหอหลังนั้นเมื่อตอนท
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ