“คุณปู่คะ!” เฉินชิงเสวี่ยเข้ามาประชิดแล้วตระโกนเสียงดัง “เฉินมู่! แกทำอะไรของแกเนี่ย!”เฉินมู่ยกขาถีบอีกฝ่ายออกไป “เรียกรถพยาบาลสิ! เธออยากให้ปู่ตายวันนี้หรือไงกันห๊ะ?”เฉินชิงเสวี่ยไม่ได้โต้แย้งกลับมาเหมือนตอนปกติ เธอเรียกรถพยาบาลอย่างตื่นตระหนก ทุกคนในบ้านต่างรีบร้อนตามไปที่โรงพยาบาลด้านนอกห้องฉุกเฉิน สมาชิกครอบครัวเฉินล้วนเฝ้ารอผลอย่างใจจดใจจ่อ เฉินมู่เองก็ไม่ต่างกัน ความผูกพันทางสายเลือดที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวเธอมันร้องเตือนเธอว่านี่คือปู่แท้ ๆ ของเธอเฉินลี้ซานสาวเท้าอย่างเร็วไปหยุดตรงหน้าของเฉินมู่และฟาดฝ่ามือตบลงบนหน้าลูกสาว!เฉินมู่ถูกตบจนเซ ร่างบางใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มเบา ๆ เพื่อบรรเทาความเจ็บอยู่พักหนึ่ง ก่อนมองไปยังเฉินลี้ซาน “เห็นแก่สายเลือด หนูจะไม่ตอบโต้ก็แล้วกัน พ่อก็อย่าให้มันมากเกินไปนัก!”“แกยังกล้าจะตอบโต้อีกเหรอ?” เฉินลี้ซานยกมือขึ้นเตรียมฟาดลงมาอีกครั้ง “แกทำให้บ้านมีแต่เรื่องร้าย ๆ! คนเป็นพ่ออย่างฉันไม่สามารถสอนแกได้อีกแล้วใช่ไหม?”ซู่หรูหลานค่อย ๆ ดึงเฉินลี้ซานพลางพูดเสียงนุ่มนวล “ที่รัก อย่าตีเลย เสี่ยวมู่ไม่ได้ตั้งใจ”หล่อนยิ้มเยาะมองใบหน้าบวมแดงครึ่งหนึ่
ฮั่วหยุนเซียวใส่ยาให้เธอและทำแผลตรงนิ้วให้ด้วย แต่พอเห็นว่าหญิงสาวกำลังสับสน อีกทั้งมีท่าทางที่ลำบากใจ เขาจึงยกมือขึ้นลูบผมของเธอเบา ๆ “เอาเถอะ พูดไม่ออกก็ไม่ต้องพูดแล้ว”เฉินมู่ที่เหมือนได้รับการให้อภัยก็รีบข้ามหัวข้อสนทนานี้ทันที “คุณชายฮั่วคะ คุณมาหาคุณหมอโอวที่โรงหยาบาลเหรอคะ?”ฮั่วหยุนเซียวส่ายหน้า “ผมมาหาคุณ”เฉินมู่ชะงักไป “มาหาฉันทำไม?”แต่พอเธอนึกถึงตอนเจอหน้ากันที่ห้องทำงานของโอวจินเมื่อวานนี้แล้ว ก็ดันรู้สึกไม่มีความสุขขึ้นมาไม่ว่าใครก็ตามที่ใช้ชีวิตผ่านวันเหล่านั้นมาอย่างยากลำบาก หลังจากที่พยายามมาอย่างหนักแต่สิ่งที่ได้รับมากลับเป็นแค่สูตรตำราอาหารพิลึกยากที่จะเข้าใจเล่มหนึ่ง ก็คงจะไม่มีความสุขกันทั้งนั้นแหละฮั่วหยุนเซียวดึงเธอให้ลุกขึ้น แล้วพาเดินออกจากโรงพยาบาล “ไปกับผม”เฉินมู่ถูกฮั่วหยุนเซียวพาขึ้นมาบนรถเพื่อตรงไปยังอพาร์ทเมนท์เธอเดินตามชายหนุ่มเข้าประตูไปพร้อมความสงสัย “คุณชายฮั่วคะ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”ร่างบางเปลี่ยนรองเท้าพลางเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น สักพักก็ได้กลิ่นหอมโชยมาปะทะหน้า เฉินมู่ตกตะลึง “มีคนอยู่ในครัวเหรอคะ?”เธออ้อมไปทางห้องครัวแล้วหยุดที่ห
วันนี้ผู้ชายคนนี้ต้องตั้งใจเตรียมการแน่ ๆ เฉินมู่ถึงรู้สึกได้ว่ารูปร่างหน้าตาของเขามันดูดีเหลือเกิน เธอพยักหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก “อื้ม อื้ม สำเร็จแล้ว”ฮั่วหยุนเซียวยกยิ้มมุมปาก “งั้นทานข้าว”เฉินมู่นั่งลง พลางคีบปีกไก่เข้าปาก สายตาคมดูตื่นเต้นเพราะได้ลิ้มลองอาหารรสเลิศ เธอเลิกคิ้วและจ้องไปยังฮั่วหยุนเซียว “คุณเอากระดูกออกจากปีกไก่ด้วยเหรอคะเนี่ย?!”ฮั่วหยุนเซียวหยักหน้า “ในอินเตอร์เน็ตบอกว่า ผู้หญิงไม่ชอบแทะกระดูก”เฉินมู่วางตะเกียบลงอย่างเงียบ ๆ เธอเอามือปิดหน้าแล้วหมอบกับโต๊ะอยู่พักใหญ่โรงละครสีชมพูพิลึกนี่มันคืออะไรกันนะ!! เธอโตมาตั้งขนาดนี้ยังไม่เคยได้กินปีกไก่ไม่มีกระดูกมาก่อนเลย!คุณนึกภาพที่ฮั่วหยุนเซียวพับแขนเสื้อขึ้นแล้วเลาะกระดูกออกหรือเปล่า? สมองของเฉินมู่หมุนไปแปดร้อยรอบ ปรากฎว่านึกยังไงก็นึกไม่ออก “เฉินมู่?” ฮั่วหยุนเซียวเรียกเธอเฉินมู่เงยหน้าขึ้น “คะ?”“น้ำลายยืดแล้ว”เฉินมู่รีบเช็ดมุมปาก ไม่เห็นจะมีน้ำลายอยู่เลย แต่กลับกลายเป็นการทำให้ฮั่วหยุนเซียวขำออกมาอาหารมื้อนี้ เฉินมู่รู้สึกว่าเป็นการกินที่น่าพึงพอใจมาก เธอเอนตัวพิงเก้าอี้แล้วลูบพุงเบา ๆ ก่อนเร
เฉินมู่ส่ายหน้าทันที “ไม่ใช่นะคะ! แต่ก่อนฉันเคยตามแม่เลี้ยงไปโรงพยาบาลหลาย ๆ แห่งและพบหมอมาแล้วตั้งหลายคน ทุกคนล้วนบอกว่าแผลลึกเกินไป รอยแผลเป็นนี้ไม่สามารถลบออกได้”แววตาของฮั่วหยุนเซียวเข้มขึ้น เขาขมวดคิ้วแล้วมองไปยังเฉินมู่ “ถึงแม้ว่าโอวจินจะเป็นบุคคลอัจฉริยะในวงการแพทย์เหมือนแพทย์ชำนาญการหลาย ๆ คน แต่เขาก็พูดอย่างชัดเจน แผลเป็นนี้ไม่ใช่โรคร้ายที่รักษาไม่หาย ดังนั้น บางทีหมอที่คุณไปพบคงจะมีความชำนาญในการรักษาไม่เพียงพอ หรือ...”เฉินมู่พูดต่อประโยคอย่างเนิบนาบ “หรือว่า แม่เลี้ยงผู้เพียบพร้อมของฉันคนนี้อาจจะไม่ได้อยากให้ฉันหายดีตั้งแต่แรก...”เธอเข้าใจขึ้นมาในทันที ความรักและความแค้นของตระกูลเฉินมันไม่ได้หยุดลงที่การกลั่นแกล้งแบบง่าย ๆอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน รอยแผลเป็นที่รักษาไม่หายมานาน สิ่งที่ทำลายชีวิตทั้งชีวิตของเฉินมู่แต่คนที่ประสบความสำเร็จกลับเป็นซู่หรูหลานที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่เลี้ยงผู้ใจบุญ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เฉินชิงเสวี่ยก็ได้โดดเด่นขึ้นในเมืองปินไห่เธอกำหมัดแน่น พลางพ่นลมหายใจออกมาแล้วยิ้มเยาะ “เป็นผู้หญิงที่จิตใจชั่วช้ามาก! ฉันตาสว่างแล้วจริ
พอเฉินลี้ซานได้ยินคำพูดนี้ เขาจึงกวาดตามองเฉินมู่ ก่อนจะลุกขึ้นและเดินจากไปเฉินมู่หันกลับสนใจปู่ตัวเองอีกครั้ง “แม่ของหนูเหรอคะ? ยังไงเหรอคะ?”ชายชราเผยรอยยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก “เป็นลูกสะใภ้ที่ดี ฉลาดและสวยงาม เก่งเรื่องการบริหารครัวเรือน หลานโตมาเหมือนเธอมาก ๆ”เฉินมู่ยิ้มออกมาจาง ๆ “ขอบคุณที่ชมค่ะ คุณปู่”ชายชรายื่นมือออกไปเรียกเธอ “เสี่ยวมู่ ฟังให้ดี ๆ นะ ไม่ต้องไปถือสาเรื่องเล็ก ๆ กับคนพวกนั้นหรอก พ่อของหลานลำเอียงจนชินไปแล้ว คิดเล็กคิดน้อยไปก็ไร้ประโยชน์”เฉินมู่ยกยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรชายชราปิดตาลงพักสายตาครู่หนึ่งถึงได้พูดออกมาอีกว่า “พอแล้วล่ะ ยังไงหลานก็ไม่ฟังอยู่ดี เพียงแค่อย่าทำเรื่องไม่เหมาะสมก็พอ จะทำตระกูลเฉินขายหน้าไม่ได้นะ”เฉินมู่ไม่ได้อยู่ต่อนานกว่านี้ เธอหมุนตัวเดินไปทางประตู พลันชะงักฝีเท้าไปครู่หนึ่ง “ปู่คะ บางทีการถือสาหรือไม่ถือสาก็อาจจะไม่ใช่แค่หนูที่พูดด้วยแล้วเรื่องจะจบ หากมีมดมาขวางทาง ยังจะต้องให้ช้างเดินอ้อมมันอีกเหรอคะ?”พูดจบเธอก็ปิดประตูอย่างเบามือ ไม่ได้เห็นภาพที่ชายชราในห้องค่อย ๆ ลืมตาขึ้นพลางถอนหายใจ เสียงแหบแห้งพูดออกมาประโยคหนึ่ง “สมแล้วที่เ
ซู่หรูหลานพูดอย่างจริงจังหนักแน่นว่า “ชิงเสวี่ย ลูกจะต้องแย่งทุกอย่างของเฉินมู่มาให้แม่ให้ได้ ส่วนผู้หญิงคนนั้น หล่อนตายไปตั้งหลายปีแล้ว ของของหล่อนก็คือของของเรา ชื่อเสียงเกียรติยศอะไรที่เป็นของหล่อน ตราบใดที่ลูกหยิบมันมาไว้ในมือ ทุกอย่างก็ล้วนเป็นของลูก!”เฉินชิงเสวี่ยพยักหน้า “แม่คะ แม่วางใจได้เลย โอกาสนี้มันเป็นของหนู หนูจะไม่มีวันยอมมอบให้นังเฉินมู่แน่!”พอคิดถึงตรงนี้ เฉินชิงเสวี่ยก็ดีใจไม่น้อย ครั้งนี้เธอต้องได้ไปงานเลี้ยงกองทุนเทียนสื่อเพื่อเฉิดฉายความสำเร็จอันโดดเด่น ทำให้คุณปู่และคนทั้งตระกูลเฉินมองด้วยสายตาที่อึ้งทึ่งกันเลยทีเดียว!เฉินชิงเสวี่ยวิ่งเหยาะ ๆ ขึ้นไปเก็บสัมภาระ เธอไม่เชื่อหรอก แค่นังเฉินมู่คนเดียวทำไมจะเอาไม่อยู่?เช้าวันรุ่งขึ้น เฉินมู่กับเฉินชิงเสวี่ยอาศัยคนขับรถของตระกูลไปส่งที่ค่ายอบรมเพราะเป็นการเรียนรู้แบบปิด ดังนั้นคนทั้งสิบสองคนในชั้นเรียนจะต้องอาศัยอยู่ในคฤหาสน์สไตล์ตะวันตก สี่คนใช้หนึ่งห้องเป็นหอพัก ทว่าเฉินมู่ดันบังเอิญได้พักห้องเดียวกับเฉินชิงเสวี่ยเฉินชิงเสวี่ยรีบบิดเอวเล็ก ๆ ของเธอและพุ่งเข้าไปยึดเตียงที่อยู่ติดกับระเบียงพร้อมส่งสายตายั่วยุ
สาวผมสั้นดูอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด เธอมองเฉินมู่อย่างกระอักกระอ่วนแล้วกระซิบเสียงเบาว่า “ขอโทษนะ...”เฉินมู่เองก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เธอหันไปรอบ ๆ พลันพิงหัวเตียงเลื่อนโทรศัพท์เล่นไปมา สัญญาณของเครื่องติดตามยังคงไม่แสดงผลสัปดาห์นี้เธอไม่สามารถไปที่ฐานลับได้ ทำได้เพียงแค่ดูความคืบหน้าบนมือถือเท่านั้นหญิงสาวผมสั้นสงบสติอารมณ์ลง ก่อนเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ขอโทษค่ะ คุณช่วยฉันย้ายกล่องหน่อยได้ไหมคะ? ฉันย้ายไม่ไหว...”เฉินมู่ไม่ได้ถือสาอะไร ร่างบางขยับกายลุกขึ้นเดินตามหญิงสาวไปแล้วช่วยขนกล่องกระดาษเข้ามาหญิงสาวคนนั้นอธิบายเสียงเบา “นี่คือหนังสือของฉันเอง ฉันเปลี่ยนวิชาเอกที่มหาวิทยาลัยน่ะ เลยจำเป็นต้องเรียนรู้วิชาใหม่ ๆ”เฉินมู่ตอบเพียง “อืม” พร้อมเตรียมตัวกลับไปที่ตำแหน่งของตัวเอง แต่หญิงสาวก็รั้งเธอไว้อีกรอบ “ฉันชื่อเฉินหยวนนะ เธอชื่ออะไรเหรอ?”“เฉินมู่”เฉินมู่พูดจบก็เตรียมเดินออกไป ทว่าหญิงสาวกลับตื้อถามไม่จบ “งั้น อีกสักพักฉันไปทานข้าวกับเธอได้ไหม?”เฉินมู่ขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายจนหญิงสาวก้มหน้าพูดเสียงเบา “ขอโทษนะ ฉันก็ไม่รู้จักใครเลย ฉันเห็นว่าเธอแตกต่างจากพวกนั้น ก็เลย...”พวกนั
แค่จ้าวหรงเอ๋อคิดก็มีความสุขแล้ว เฉินมู่จะอธิบายอย่างไรล่ะทีนี้?ชายหนุ่มผู้เป็นว่าที่สามีที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่วัยเยาว์? แต่ตอนนี้เขาไม่เอาเธอแล้ว และได้กลายเป็นแฟนของน้องสาวแท้ ๆ ของตัวเองอย่างนั้นเหรอ?“พูดสิเฉินมู่ พูดไม่ออกหรือไง?” จ้าวหรงเอ๋อยิ้มอย่างยั่วยุดังนั้นเฉินมู่จึงลุกขึ้นยืนแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “The shoes I don't want” (หมายความว่า “รองเท้าที่ฉันไม่ต้องการ”)เฉินชิงเสวี่ยหน้าแดงขึ้นมาทันที นังเฉินมู่หมายความว่าอย่างไรกัน! นี่หล่อนหมายความว่าเธอเก็บขยะที่คนอื่นไม่ต้องการแล้วมาใช้อย่างนั้นใช่ไหม?!ความรู้ภาษาอังกฤษของจ้าวหรงเอ๋อมีจำกัด จึงไร้ปฏิกิริยาไปครู่หนึ่งเฉินมู่ยืนพร้อมมองไปยังเฉินชิงเสวี่ย ร่างบางยกยิ้มมุมปากจาง ๆ “คำตอบนี้ มันน่าพอใจใช่ไหมล่ะ? Ragpicker?” (หมายความว่า “คนเก็บขยะ”)พูดจบเธอพาเฉินหยวนเดินออกไปไกลแล้ว แต่เฉินชิงเสวี่ยยังคงยืนโกรธจนมือสั่นอยู่ที่เดิม!จ้าวหรงเอ๋อเข้ามาดึงตัวเธอแล้วถามอย่างร้อนใจ “เมื่อกี้ที่หล่อนพูดมันหมายความว่าอะไรน่ะ?”เฉินชิงเสวี่ยขบกรามไปมาแล้วตอบ “ฉัน...ฉันไม่รู้...”จ้าวหรงเอ๋อไม่สบอารมณ์ หล่อนดึงแขนเฉินชิงเสวี่
ฮั่วหยุนเซียวไม่รู้ว่าควรจะสงสารสาวน้อยตรงหน้าดี หรือควรจะภูมิใจในความหนักแน่นในสถานการณ์ที่อันตรายของเธอดีเขายกมือพร้อมขมวดคิ้ว “ฮานเฉิง จัดการให้เรียบร้อย”“ครับ บอส”ฮานเฉิงยกโทรศัพย์อยู่หลายสาย และแล้วนักข่าวที่สมควรจะอยู่ที่นี่ต่อ กลับแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็วเฉิงหยวนกระพริบตา “ทำไมพวกเขาไปกันหมดแล้วล่ะ?”เมื่อฝูงชนสลายตัว สายตาเฉินมู่ก็สะดุดเข้ากับรถเบนท์ลีย์หรูที่จอดอยู่ข้างทาง“ปีศาจร้ายปรากฎตัวแล้ว” เธอกล่าวเฉิงหยวนถือถุงขนมของตัวเองตามไปและถามต่อ “อะไรนะ?”เฉินมู่ช่วยถือของในมือเธอ แล้วพูดว่า “ฉันจะไปส่งเธอที่บ้านก่อนแล้วกัน”ใต้แสงแดดอบอุ่นในฤดูหนาว สองสาวพูดคุยถึงเรื่องในอนาคต และรถหรูระดับโลกอย่างเบนท์ลีย์คันนั้นก็ขับตามหลังมาอย่างช้า ๆฮานเฉิงถามอย่างสุขุม “บอสครับ พวกเราจะขับช้าขนาดนี้จริงเหรอครับ?”ฮั่วหยุนเซียวมองแผ่นหลังหญิงสาวตรงหน้าอย่างสนใจ แล้วพยักหน้า “ขับช้ากว่านี้”ฮานเฉิง “...”เมื่อเดินมาถึงใต้อาคาร เฉินมู่ก็พูดว่า “คุณไปเก็บของให้เรียบร้อยแล้วเราไปโรงพยาบาลกัน”เฉิงหยวนปัดมือไปมา “ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน พวกเขาแค่ขว้างปาผักมาขู่ฉัน
เธอลงจากรถแล้วเห็นเฉิงหยวนที่ถูกฝูงชนล้อมเอาไว้ เหมือนแมวที่กำลังตื่นตระหนกตกใจ และไม่มีที่ซ่อนตัวเธอวิ่งฝ่าฝูงชนเข้าไป แล้วดึงเฉิงหยวนเข้ามายังอ้อมอก พร้อมถามอย่างกังวลว่า “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”เมื่อเฉิงหยวนเห็นเฉินมู่ ก็ถึงกลับปล่อยโฮออกมาเธอยื่นมือไปปัดเศษผักบนตัวของเฉินมู่ออกให้ พร้อมส่ายหัว “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”เฉินมู่ประคองเธอให้ลุกขึ้น และแล้วไข่ไก่ฟองหนึ่งก็ลอยมา แต่เฉินมู่ยกมือขึ้นรับไว้ได้อย่างแม่นยํา“แกร๊ก” ไข่ไก่ในมือถูกบดขยี้จนแหลก และไข่ไก่เหลว ๆ ก็ไหลลงมาตามข้อมือของเธอ แววตาอันโหดเหี้ยมของเฉินมู่ทำให้ฝูงชนและนักข่าวต่างค่อย ๆ สงบลงเธอพูดกับหน้ากล้องที่ใกล้ที่สุด ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “จรรยาบรรณของนักข่าวคือการนำเสนอความเป็นจริง หวังว่าสื่อมวลชนทุกคนจะตระหนักข้อนี้ไว้หน่อย”พลันมีเสียงดังมาจากด้านหลัง “ความจริงก็คือเฉิงหยวนเป็นมือที่สาม! คนทั้งโลกต่างก็รู้เรื่องนี้!”“ใช่ ๆ คุณเป็นใคร! ทำไมถึงได้แก้ตัวแทนเฉิงหยวน!”เฉินมู่ตอบอย่างเยือกเย็น “เธอไม่ใช่มือที่สาม หวังว่าหลังจากวันที่ความจริงกระจ่างแล้ว ทุกคนในที่นี้ต้องขอโทษต่อการกระทำที่ทำต่อเฉิงหยวน”จ
เฉินมู่ซบอยู่ในอ้อมกอดลู่ซีเจ๋อพร้อมเช็ดน้ำตาด้วยท่าทีน้อยใจ “พี่คะ พี่เชื่อฉันสักครั้งเถอะ…”ลู่ซีเจ๋อหมดความอดทนกับเฉินมู่อย่างสิ้นเชิง เขาตะโกนอย่างเหลืออดว่า “ออกไป! ไสหัวออกไป!”เฉินมู่มองท่าทีที่ปวดใจของลู่ซีเจ๋อ แล้วถอนหายใจ “ลู่ซีเจ๋อ คุณ…”ลู่ซีเจ๋อมองหน้าเธอด้วยความโกรธเคืองเฉินมู่จึงได้เงียบลง พลางคิดว่าทำไมต้องปริปากพูดคำนี้ทั้ง ๆ ที่่ก่อนหน้านี้เธองัดหลักฐานเป็นร้อย ๆ อย่างเพื่อให้เห็นถึงจิตใจอันโหดเหี้ยมของเฉินชิงเสวี่ย แต่ลู่ซีเจ๋อก็มองไม่เห็นเธอจะเกลี้ยกล่อมเขาอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ แถมยังต้องถูกเฉินชิงเสวี่ยตอกกลับว่าเธออิจฉา“คุณคิดจะพูดอะไรอีก?” ลู่ซีเจ๋อมองเธอด้วยโกรธเคืองเฉินมู่ส่ายหัว “ไม่มีอะไรแล้ว แต่มีอะไรอยากจะบอกคู่หมั้นสุดที่รักของคุณหน่อย”เฉินชิงเสวี่ยมองเฉินมู่ด้วยสายตาที่หวาดกลัว “พี่มีอะไรอยากให้ฉันช่วยคะ...”เฉินมู่หัวเราะ แล้วพูดว่า “รบกวนเธอฝากบอกซุยซินยี่กับเฉินชิงโหรวด้วยนะ ว่าเฉิงหยวนจะกลับเข้าสู่วงการบันเทิงเร็ว ๆ นี้”เฉินชิงเสวี่ยจ้องมองเฉินมู่อย่างปวดใจ พลันเอ่ย “พี่คะ เฉิงหยวนเป็นมือที่สาม ทำไมพี่ยังจะคบหากับคนแบบนั้นอยู่อีก?”
แผลเป็นที่หน้าเกลียดน่ากลัวเหมือนตัวหนอนเกาะอยู่บนใบหน้า แถมยังมีรอยแดง ๆ อยู่รอบ ๆ เฉินชิงเสวี่ยถอนหายใจอย่างโล่งใจ แผลเป็นยังอยู่!ตอนที่กำลังลองชุดคราวก่อน เธอได้ข่าวว่าเฉินมู่กำลังรักษารอยแผลพวกนี้ มันทำเธอทุรนทุรายไปหลายวันเธอกลัวว่าเฉินมู่จะรักษาร่อยรอยแผลบนใบหน้าจนหายดี เพราะหากใบหน้านี้หายดีแล้ว มันจะกลับมาทำให้ชาวเมืองปินไห่ตกตะลึงอีกครั้ง เฉินชิงเสวี่ยหัวเราะอย่างโล่งใจ แถมยังเย้ยหยันเฉินมู่ต่อว่า “ได้ยินว่าเธอไปรักษาใบหน้า ทำไมยังเป็นแบบนี้อยู่ล่ะ?”เธอชี้ไปยังใบหน้าของเฉินมู่ พร้อมหัวเราะเยาะเย้ย “เธอดูไม่ออกเหรอว่ามันอาการหนักกว่าเมื่อก่อนอีกน่ะ?”“เฉินมู่ อย่าพยายามต่อไปเลย หน้าของเธอยังไงก็รักษาไม่หายหรอก เธอต้องแบกหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลแบบนี้ไปตลอดชีวิต เธอจะถูกผู้คนหัวเราะเยาะตลอดเวลา และถูกทอดทิ้งตลอดไป”เฉินมู่ง้างมือขึ้นแล้วกระแทกไปที่ใบหน้าของคนเจ็บอย่างแรง ใบหน้าของเฉินชิงเสวี่ยหันไปตามเสียงดัง “เพี๊ยะ”เฉินชิงเสวี่ยโดนตบจนโกรธมาก เธอจ้องมองเฉินมู่ด้วยความเคียดแค้น “สมควร ใครให้เธออยู่เป็นหนามยอกอกในตระกูลเฉิน เธอควรตายไปพร้อมกับแม่ของเธอตั้งนานแล้ว!”
“นี่คุณ!” ลู่ซีเจ๋อถูกเฉินมู่ปั่นหัวจนออกอาการโกรธอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่เคยเจอผู้หญิงที่ทั้งป่าเถื่อนและชั่วร้ายอย่างเธอมาก่อนเฉินชิงเสวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอีกครั้ง “ไม่เป็นไรหรอก พี่สาวก็แค่ล้อเล่น คุณไปเถอะ”เฉินชิงเสวี่ยออดอ้อนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอยากจะทานของหวานหน้าโรงพยาบาล ลู่ซีเจ๋อจึงได้แต่ทำตามคู่หมั้น แต่ก่อนเดินออกจากห้องก็ไม่ลืมที่จะถลึงตาใส่เฉินมู่อีกหนึ่งทีทันทีที่เขาเดินออกไป เฉินมู่ก็ขมวดคิ้วมองไปทางร่างบนเตียงอย่างเร็ว “เหลือเราแค่สองคนแล้ว มีอะไรอยากพูดไม่ใช่เหรอ?”ครั้งแรกเฉินลี่ซานสั่งให้เธอมาที่นี่ ครั้งที่สองลู่ซีเจ๋อก็พาเธอมาด้วยตัวเองอีกหนึ่งครั้ง เฉินชิงเสวี่ยเป็นคนวางแผนทั้งหมดให้เฉินมู่มาที่นี่ ไม่รู้ว่าเธอจะมีแผนการอะไรอีกเฉินชิงเสวี่ยเปลี่ยนสีหน้าในทันที ใบหน้าอ่อนหวานเมื่อสักครู่หายไปอย่างไร้ร่องรอยเธอมองหน้าเฉินมู่อย่างหงุดหงิด พร้อมพูดว่า “เธออย่ายุ่งเรื่องของตระกูลซุย!”เฉินมู่หัวเราะ ก่อนถามว่า “ทำไมเหรอ? ตระกูลซุยทำไมเหรอ?”เฉินชิงเสวี่ยพูดตรง ๆ ว่า “ฉันเตือนเธอด้วยความหวังดี ตระกูลซุยกับตระกูลเราทำธุรกิจร่วมกันมา ถ้าเธอทำงานแต่งซินยี่
เฉินมู่ยักไหล่เล็กน้อย “ถึงฉันจะทำร้ายเธอจนตาย ฉันก็จะไม่รู้สึกผิด”ลู่ซีเจ๋อขมวดคิ้ว “เฉินมู่ คุณทำร้ายเสวี่ยเอ๋อถึงขั้นนั้น เธอยังไม่ถือโทษโกรธ แค่บอกให้คุณอย่าเข้าไปยุ่งกับตระกูลซุย แค่คุณไปเยี่ยมเธอบ้าง มันยากนักหรือไง?”เธอหัวเราะเยาะเล็กน้อย “แค่เธอบอกว่าไม่ถือโทษโกรธฉัน คุณก็เชื่อเหรอ? ลู่ซีเจ๋อ ฉันสงสัยจริง ๆ ว่าในสมองคุณมันมีรอยหยักบ้างไหม”ลู่ซีเจ๋ออึ้งไปสักพัก เขาไม่ใช่คนที่ทะเลาะวิวาทกับใครบ่อย ๆ ร่างสูงลากเฉินมู่ไปเรื่อย ๆ แล้วพูดว่า “ไปโรงพยาบาลกับผม!”ช่วงเวลาเลิกเรียนนักศึกษาทุกคนเดินลงจากอาคาร ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาตรงนั้น และแล้วทั้งสองก็เริ่มตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนเฉินมู่ไม่อยากตกเป็นประเด็นของคนทั้งมหาวิทยาลัยในวันพรุ่งนี้ จึงสะบัดมือออกอย่างจำใจและตอบว่า “ปล่อย ฉันเดินเองได้”ลู่ซีเจ๋อปล่อยมือเธอ เฉินหยวนจึงรีบวิ่งมาดึงแขนเฉินมู่ไว้ “ฉันไปเป็นเพื่อนนะ”เฉินมู่แตะมือเธอเบา ๆ “ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรหรอก เธอกลับหอพักไปก่อนเถอะ”เฉินหยวนพูดด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง “งั้นเธอต้องระวังตัวนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นต้องรีบโทรหาฉันนะ หรือไม่ก็… โทรหาตัวรวจเลย!”เฉินหยวนหัวเ
เช้าวันถัดมา เฉินมู่ไปมหาวิทยาลัยตามปกติเรื่องของเฉิงหยวนยังเป็นที่กล่าวถึงบนโลกโซเชียล ซุยซินยี่ยอมจ่ายให้กับคอมเมนท์พวกนี้ไม่น้อยเลยจริง ๆแต่เฉินมู่ยังต้องกลับไปเรียน ถึงแม้ว่าชาวเน็ตจะยังพากันด่าทอดาราในสังกัดของเธอก็ตามทันทีที่เดินเข้าห้องเรียน เฉินหยวนก็โบกมือเรียก “เฉินมู่ ฉันจองที่ตรงนี้ไว้ให้เธอ”เฉินมู่สาวเท้าเข้าไปพร้อมกระเป๋านักเรียน พลางเผยยิ้มกว้าง “ขอบคุณนะ”จางหยางที่นั่งโต๊ะด้านหน้าก็ยื่นกาแฟกับพร้อมแซนด์วิชให้ “อาหารเช้าของเธอ”เฉินมู่พูดด้วยความปลาบปลื้มใจ “ทำไมพวกเธอดีกับฉันจังเลย?”จางหยางส่ายหัวอย่างเคอะเขิน แล้วตอบว่า “แต่ก่อนฉันไม่ค่อยเป็นมิตรกับเธอ เพราะฉะนั้นตอนนี้ฉันจะแก้ตัว” ตั้งแต่ที่เธอทำให้ผู้คนเกิดความประทับใจในคืนงานเลี้ยงปีใหม่ ทุกคนในชั้นเรียนก็หันมาดีกับเธอเฉินหยวนรีบวิ่งเข้ามาซุบซิบ “เธอเห็นหรือยังว่าข่าวเฉิงหยวนในเน็ตกลับมาฉาวอีกแล้วนะ?”เฉินมู่รับอาหารเข้ากัดไปหนึ่งคำ ก่อนพยักหน้าตอบ “เห็นแล้ว”เฉินหยวนรีบโต้ตอบทันที “เฉินมู่ ฉันเห็นเธอสนิทกับหล่อน หล่อนไม่ใช่คนดีนะ!”เฉินมู่หัวเราะ ก่อนตอบว่า “หล่อนเป็นคนดีมาก แล้วต่อไปเธอจะรู้เอง
แค่คําเดียว ทำให้มุมปากของฮั่วหยุนเซียวกระตุกยกโค้งราวไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มไว้ได้เขาแตะมือไปที่ใบหน้าของเฉินมู่ พลางเรียกอย่างอ่อนโยนว่า “มู่มู่”เฉินมู่ลุกขึ้นนั่งอย่างสะลึมสะลือ แล้วถาม “คุณกลับมาแล้วเหรอคะ ตอนนี้กี่โมงแล้ว แล้วคุณทานข้าวหรือยัง?”แม้ว่าเธอไม่ได้งดงามเหมือนเหล่าคนมีชื่อเสียง แต่ก็แฝงด้วยความอ่อนหวานอยู่บ้างฮั่วหยุนเซียวไม่เคยรู้สึกว่า คําว่าเฉินมู่คํานี้จะอบอุ่นและน่าหลงใหลเช่นนี้มาก่อนหญิงสาวที่เขาสนใจนอนอยู่บนโซฟาด้วยท่าทีกำลังงัวเงียผมเผ้ายุ่งเหยิงสามคำถามต่อเนื่องนั้นดึงเขาออกจากภวังค์และเข้าสู่ความเป็นจริง แต่เขาไม่มีทางเลือก และทำตามอย่างเต็มใจเฉินมู่อยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ดวงตาค่อย ๆ ปิดลงอีกครั้ง ช่วงนี้เธอพักผ่อนไม่เพียงพอ ถ้าอยู่ในความสงบเมื่อไหร่เธอพร้อมจะหลับทันที“อืม…” จู่ ๆ ความเย็นก็เข้ามากระทบริมฝีปาก สมองเฉินมู่รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันทีสมองของเธอเริ่มประมวลผล พลันฝืนลืมตาขึ้น และเลียริมฝีปากตามสัญชาตญาณเธอมองเข้าไปในสายตาลึกลับของชายตรงหน้า ก่อนถามอย่างงุนงงว่า “อะไรเหรอ?”ปลายลิ้นของฮั่วหยุนเซียวไล่เลียตรงริมฝีปากล่างของตน รา
เมื่อทุกคนออกไป เฉิงหยวนก็ยังคงเกาะแขนของเฉินมู่ด้วยร่างกายอันสั่นอยู่อย่างนั้นเฉินมู่แตะมือเธอ พร้อมปลอบใจว่า “ไม่เป็นไรนะ ฉันจะคอยปกป้องคุณเอง”เฉิงหยวนพยักหน้า “ฉันเชื่อคุณ แต่ฉันไม่เข้าใจ ทำไมคนร้ายแบบพวกนั้น ถึงได้กล้ากล่าวหาเหยื่อแบบนี้”ผู้อำนวยการหยางวิ่งเข้ามาถามอย่างรีบร้อน “ผู้อำนวยการเฉินบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ? ผมพยายามห้ามคุณหนูซุยแล้ว แต่…”เฉินมู่ปัดมือไปมา พลางบอก “ไม่เป็นไรค่ะ ผู้อำนวยการหยางไม่ต้องกังวล นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเรา”เธอมองร่องรอยความเสียหายของข้าวของบนพื้น แล้วพูดต่อ “พวกเธอทำอะไรเสียหายบ้าง ลิสต์ให้ฉันด้วยนะ”ผู้อำนวยการหยางรีบยกปัดไม้ปัดมือปฎิเสธอย่างเร็ว “ไม่ได้ ๆ จะให้ผู้อำนวยการเฉินชดใช้ได้อย่างไร?” เฉินมู่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ใครบอกว่าฉันจะเป็นคนชดใช้ค่าเสียหาย? คุณหยางจัดการลิสต์รายการของที่เสียหายมาก็พอค่ะ”ผู้อำนวยการหยางก็ไม่รู้ว่าเฉินมู่คิดจะมาไม้ไหน จึงทำได้เพียงทำตามคำสั่งเท่านั้นเฉิงหยวนกระแอมเล็กน้อย แล้วถามด้วยความระมัดระวังว่า “คงไม่ใช่ให้ฉันชดใช้ค่าเสียหายหรอกนะ?”“หึหึ” เฉินมู่ยิ้ม “ไม่ใช่ คนที่ลงมือทำลายข้าวของต่าง