รถม้าเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ พร้อมกับผู้ติดตามที่คอยอารักขานายน้อยของหอ พวกตนต่างแปลกใจว่าเด็กหญิงที่อายุเพียงเท่านี้ ทำไมจึงมีระดับฝึกตนที่สูงกว่านายน้อยได้ แต่ไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม หนึ่งเพราะเห็นว่าเป็นสหายของเจ้านาย สองคือพวกเขาเคยเห็นเด็กอัจฉริยะเช่นนี้มาแล้ว ก็ที่ยืนอยู่ข้างกันนั่นอย่างไรเล่าหลังจากได้คนคุ้มกันมา การเดินทางก็ราบรื่นอย่างไม่น่าเชื่อจนถึงเมืองหลวงได้โดยที่ไม่ต้องสู้เลยสักครั้งเดียว นางรู้สึกตัวอีกครั้งก็ถึงแล้ว ไม่ได้เดินทางลำบากจนรู้สึกว่านานเหมือนตอนที่มากับทาสของตน"เจ้าคิดเอาไว้หรือยังว่าจะไปพักที่ไหน""ก็คงต้องเป็นโรงเตี๊ยมเดิมที่ข้าเคยพัก" ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดีที่สุดในเมือง แต่นางก็ประทับใจที่นั่นอยู่พอสมควร "เช่นนั้นไปพักที่บ้านข้าไหม" "นั่นจะไม่เป็นการรบกวนอย่างนั้นหรือ" ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความลังเล ฉินหลิวซีไม่แน่ใจว่านี่เป็นความคิดที่ดี"ข้าอยากให้เจ้าไปเจอกับครอบครัวของข้า และข้าก็อยากให้พวกเขาเจอเจ้าด้วย" เด็กชายส่งสายตาออดอ้อนกลับมาฉินหลิวซีคิดทบทวนดูแล้วเขาช่วยนางไว้ตั้งมากมาย หลายต่อหลายครั้งที่นางจัดการปัญหาได้ง่ายขึ้นก็เป็นเพราะมีเขาคนนี้อยู่
หลี่เจินฮ่าวมองหน้าบุตรชายเขาจึงเริ่มรายงานว่าช่วงที่ผ่านมาตนไปทำอะไรมาบ้าง ผู้เป็นพ่อนั่งฟังก็พยักหน้าไปครั้งละทีสองที "ท่านพ่อยิ้มอะไรขอรับ""เปล่านี่"แน่นอนว่าหลี่เจิ้นหัวไม่เชื่อ ดูท่าว่าพ่อของเขาจะสนใจฉินหลิวซีมากเสียจนเขายังสังเกตได้ แต่เป็นความสนใจที่เขาก็คาดเดาจุดประสงค์ไม่ออกหรืออาจจะแค่เพราะข้าพาสหายมาบ้านกันนะ"เจ้ากลับมาแล้วก็พักผ่อนให้มาก ๆ ล่ะ" หลังจากบุตรชายรายงานความเป็นไปในช่วงที่ไม่ได้พบหน้ากันเสร็จเขาก็ไล่ให้ลูกพักผ่อนหลี่เจิ้นฮ่าวมองประตูที่เคลื่อนปิดลงอย่างเงียบเชียบ เรื่องของฉินหลิวซีเขารู้มาก่อนนานแล้ว นานมากทีเดียวจนเผลอลืมไปชั่วขณะ ตั้งแต่ที่เขาไปทำงานต่างเมืองเมื่อหลายปีก่อน...เพราะสงสัยว่าบุตรชายหายไปไหนทุกวันในเวลาเดิม ๆ เขาส่งคนไปติดตามและเฝ้าดู เป็นยอดฝีมือระดับสูงชนิดที่ต่อให้เป็นปรมาจารย์ก็ยังรับรู้ถึงตัวตนของเขาได้ไม่ง่ายหลี่เจินฮ่าวเป็นห่วงลูกชายกลัวจะเดินทางผิด แต่รายงานที่ได้รับมามีเพียงว่าเขาไปพบกับเด็กหญิงเด็กชายคู่หนึ่งที่น่าจะเป็นพี่น้องกันประเมินจากสายตา วรยุทธ์ของนางระดับสูงกว่ามาตรฐานไปมากเมื่อเทียบกับอายุ แต่พอเห็นว่าทั้งสองไม่ได้ทำอ
หลี่เจิ้นหัวพานางไปซื้อของอีกหลายอย่างที่จำเป็นในการเข้าวัง อะไรก็ดูรีบร้อนไปหมดเพราะเวลาที่มาถึงนั้นกระชั้นชิดมาก นางแทบไม่มีเวลาพักหายใจจนกระทั่งฟ้ามืดไปแล้วเช้าตรู่ของวันถัดมาใบหน้าของนางจึงดูอิดโรย ต้องแต่งแต้มสีสันจากเครื่องประทินผิวปกปิดเอาไว้และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง เรื่องที่หมอเทวดาถูกเรียกตัวมาเพื่อเลี้ยงปลอบใจเป็นข่าวลือหนาหูอยู่ในวัง มีแต่คนเฝ้ารอจะได้ยลโฉมสักครั้ง เพราะไม่มีใครเคยเห็นตัวจริงหรือถึงเคยก็อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเขา จึงมีข่าวเรื่องรูปลักษณ์อันวิจิตรที่ถูกแต่งแต้มแพร่ออกไปนางกำนัลและนางสนมหลายคนเฝ้าจดจ่อ หากว่าหมอเทวดามาจริงพวกนางอาจจะสามารถขอสูตรความงามที่ทำให้อ่อนเยาว์มาจากเขาได้ แต่ผู้ที่ปรากฏกายหลังจากที่ส่งเทียบเชิญซึ่งได้รับมาให้ผู้ทำหน้าที่ประกาศกลับพบว่าเป็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่งนางรับรู้ถึงสายตาที่มองมาจึงได้เอ่ยไขข้อข้องใจให้เดี๋ยวนั้น"ข้าฉินหลิวซี รับคำสั่งจากอาจารย์มาเป็นตัวแทนเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้เจ้าค่ะ"สิ้นเสียงนางประกาศตัวก็มีเสียงฮือฮาตามมา"แบบนี้เท่ากับไม่ให้เกียรติฝ่าบาทหรือเปล่า""คนผู้นั้นคิดอะไรอยู่ถึงได้ส่งเด็กคนนี้มาแทน จะบอกว
"ต้องขอโทษแทนสนมเหอด้วย นี่แทนคำขอโทษจากทางวัง เจ้ากลับไปนั่งที่เถอะ" เมื่อไกล่เกลี่ยตามหน้าที่มารดาของแผ่นดินแล้วก็ไม่สนใจเด็กหญิงผู้นั้นอีก หลังจากฮ่องเต้เสด็จมาถึงงานเลี้ยงก็เริ่มต้นขึ้นและจบลงอย่างเรียบง่าย"ในที่สุดก็จบเสียที" ฉินหลิวซีถอนหายใจออกมาเบา ๆ หลังจากขึ้นรถม้าและออกมานอกกำแพงวังแล้ว หลี่เจิ้นหัวไม่ได้กลับรถม้าคันเดียวกับบิดาแต่เลือกจะกลับพร้อมนาง"หลังจากนี้เจ้าจะไปไหนต่อ""ข้าคิดว่าจะกลับบ้าน ไม่มีธุระอะไรที่ต้องอยู่แล้ว น้องข้าก็อยู่ที่สำนัก และเขารับปากว่าหลังเรียนจบจะกลับบ้านเอง""ถ้าอย่างนั้นข้าไปด้วยได้หรือเปล่า"คำพูดของเขาทำให้นางตกใจมาก "เจ้าจะมาด้วยทำไมล่ะนั่น""ข้าไม่ได้กลับไปที่นั่นนานแล้ว อยากรู้ว่าตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างไร แล้วก็ถือโอกาสไปรำลึกความหลังด้วย" หลี่เจิ้นหัวชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อให้นางยอมให้เขาตามไป สุดท้ายเด็กหญิงก็ใจอ่อนยอมให้จนได้"ก็ได้ ๆ ถ้าเจ้าอยากไปขนาดนั้นแล้วพ่อเจ้าอนุญาตข้าจะลองคิดดู""เขาอนุญาตแน่ เจ้าเก็บของรอได้เลย"นางไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมั่นใจขนาดนั้น แต่เรื่องนั้นช่างมันเถิด หลายวันมานี้ต้องรีบเดินทางและทำอะไรหลายต่อหลายอย่างเพียงเพ
"โอ๊ะ นี่เจ้ากำลังหาอะไรอยู่หรือ" หลี่เจิ้นหัวเห็นนางขีด ๆ เขียน ๆ ลงบนกระดาษหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายก็ห้ามความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่"ข้ากำลังรวบรวมวัตถุดิบทำยาระหว่างทาง""ข้าช่วยเจ้าด้วยสิ""ตามใจเจ้า มีคนช่วยข้าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว"หลี่เจิ้นหัวอาสาตนเองอย่างขยันขันแข็ง เพราะมีลูกมือคอยช่วย ฉินหลิวซีจึงมีเวลาเที่ยวเล่นระหว่างทางพลางหาของที่ต้องการได้อย่างครบถ้วนช่วงเวลาที่ได้อยู่กับฉินหลิวซีทำให้หลี่เจิ้นหัวรู้สึกสดใสมาก เขามีความสุขจนดวงตาเป็นประกาย ใบหน้าของเด็กชายเปื้อนรอยยิ้ม ผู้ติดตามที่เดินทางมาด้วยจะช่วยก็ไม่ยอม เขาดึงดันจะช่วยฉินหลิวซีด้วยตัวเองพวกเขาวิ่งเล่นหยอกล้อกันบ้างบางครั้งระหว่างเดินผ่านเส้นทางข้างเมือง นึกดูแล้วฉินหลิวซีจำไม่ได้เลยว่าตนเองไปทำแบบนี้ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ นางไม่เคยได้เที่ยวเล่นเป็นเด็ก จนตอนนี้อายุเป็นเลขสองหลักแล้วเพิ่งเคยได้ทำอะไรสมวัยเป็นครั้งแรกเสียงหัวเราะสดใสของนางดังก้อง เห็นนางหัวเราะได้อย่างนั้นหลี่เจิ้นหัวยิ่งรู้สึกสุขล้นในอกคิดถูกแล้วที่ตามนางมา แม้จะเกิดในตระกูลขุนนาง แต่เขาไม่หวังอยากได้อะไรเลยแม้แต่สืบทอดตำแหน่งขุนนางต่อจากบิดา ดีว่ามีน้อง
หลังจากการเดินทางยาวนาน ในที่สุดก็กลับมาถึงเมืองบ้านเกิดได้โดยปลอดภัย ไม่ใช่คฤหาสน์ในตัวเมืองแต่เป็นบ้านหลังเล็กที่อยู่ข้างนอกในชุมชนเดียวกันกับบ้านท่านยายบ้านหลังนี้เดิมทีคิดจะขายหรือปล่อยเช่า แต่เพราะยังมีเรื่องที่ไม่ได้จัดการให้เสร็จฉินหลิวซีจึงยังเก็บเอาไว้ เมื่อใดที่นางไม่อยู่ท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่ได้ไปพักที่คฤหาสน์ มันกว้างขวางเกินไปจนเรียกได้ว่าเหงาเมื่ออยู่กันเพียงสองคน แต่ชิวย่าหนานยังไปทำความสะอาดเอาไว้อยู่เป็นประจำ เผื่อวันใดลูกทั้งสองกลับมาจะได้ไม่ต้องวุ่นวายฉินหลิวซีตรงดิ่งไปทักทายพ่อกับแม่ที่กำลังดูแลผักในสวนอยู่หลังเรือน ทั้งสองพอเห็นหน้านางก็ร้องดีใจออกมาเสียงดัง"ท่านพ่อท่านแม่!""เสี่ยวซี! / หลิวเอ๋อร์!" ฉินหลิวซีไม่ทันตั้งตัวก็โดนสวมกอดเข้าเต็มรักจนเกือบใจล้ม หลังจากกอดลูกให้หายคิดถึงจึงพึ่งเห็นว่ามีแขกแปลกหน้าอยู่ด้วย"นั่นใครหรือ?""ท่านพ่อท่านแม่ นี่สหายข้าเอง เขาจะมาพักอยู่ในเมืองนี้""ข้าหลี่เจิ้นหัวขอรับ" เด็กชายภูมิทักทาย"แล้วน้องชายเจ้าล่ะ ตอนนี้อยู่ไหน" มารดาไม่เห็นบุตรชายคนเล็กก็เป็นห่วง ฉินหลิวซีจึงพึ่งนึกได้ว่าจดหมายฉบับล่าสุดที่ส่งมา ไม่ได้เขียนรายละเอี
ไม่สิ จะว่าพวกเขายึดติดเกินไปก็ไม่ได้ หากข้าไม่มีพลังพิเศษที่ติดตัวมา เป็นแค่หญิงสาวชาวบ้านธรรมดาอย่างแท้จริง ก็มองข้ามเรื่องพวกนี้ไม่ได้เช่นกันบ้านสกุลฉินตอนนี้ไม่ค่อยมีเงินเพราะคนอื่นต่างแยกบ้านกันไปแล้ว พอตอบแทนความคาดหวังของย่าฉินไม่ได้ ความกดดันก็ตกลงมาบนบ่าจนต้องดั้นด้นมาหานางแต่เรื่องอะไรข้าต้องช่วยล่ะ"วันนี้ข้ามีธุระไม่ว่างคุย ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ"นางเอ่ยตัดบทตั้งใจจะเดินออกมาทันทีแต่ว่าคนที่นางนัดหมายเอาไว้ก็ดันมารับเสียก่อน หลี่เจิ้นหัวตั้งใจมารอแต่ไม่คิดว่านางเองก็กำลังจะออกไปพอดี เขายืนมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ"นี่เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า" เขาเกาท้ายทอยแก้เก้อ รู้สึกเหมือนตัวเองมาผิดจังหวะเวลา"ไม่นี่ ไปกันเถอะ" ฉินหลิวซีไม่สนใจญาติทางฝั่งพ่อ เดินแทรกกลางเฉียดไหล่ออกมาทั้งอย่างนั้น ฉินเสี่ยวหรานเห็นหน้าหลี่เจิ้นหัวแล้วก็จำได้ทันที และอีกฝ่ายจะโตขึ้นมากกว่าครั้งสุดท้ายที่เห็น แต่ใครจะไม่รู้จักคุณชายสกุลใหญ่ที่มาพำนักอยู่ในเมืองช่วงหนึ่งบ้างเล่าพอเห็นว่าหลานสาวสนิทสนมกับหลี่เจิ้นหัวถึงขนาดเรียกกันห้วน ๆ ได้ ความอิจฉาตาร้อนก็เกิดขึ้นอย่างเงียบงัน นอกจากแฝดสกุลฉินที่มา
"วันนี้เที่ยวชมเมืองพอแล้ว ข้าต้องกลับไปจัดการธุระอีกนิดหน่อย ไว้ข้าจะไปหาเจ้าที่บ้านอีกนะ""แล้วแต่เจ้า" นางไม่มีปัญหาอยู่แล้วหากเขาจะมาเยี่ยมทั้งสองเอ่ยร่ำลากันแล้วแยกย้าย ฉินหลิวซีกลับบ้านไปด้วยอารมณ์เบิกบาน วันนี้ภารกิจของนางถือว่าสำเร็จลุล่วง หาโรงงานได้ในราคาที่เป็นมิตรต่อถุงเงินของตัวเอง ถึงจะใช้เส้นสายของสหายช่วยนางก็ถือว่ามันสำเร็จตามความคาดหวังอยู่ดีเด็กหญิงเดินร้องเพลงด้วยอารมณ์เบิกบาน แต่ในใจก็รู้สึกสังหรณ์ประหลาดขึ้นมา คล้ายว่าจะมีเรื่องอะไรมาทำให้นางรำคาญใจ แล้วก็เป็นดังคาด ทันทีที่กลับมาถึงก็พบว่าอาหญิงเล็กมารอตนอยู่ ท่านแม่คงห้ามปรามเต็มที่แล้ว แต่เอาชนะความหน้าด้านหน้าทนของสตรีผู้นี้ไม่ได้"ดูเหมือนว่าท่านอาจะมีธุระสำคัญที่ปล่อยผ่านข้าไปไม่ได้สินะ""ในที่สุดก็กลับมาเสียที นึกว่าจะต้องรอจนรากงอกแล้วเสียอีก" เห็นหน้านางฉินเสี่ยวหรานก็ลุกพรวดเดินเข้ามาหา"ใช้น้ำเสียงแบบนั้นกับคนที่คิดจะขอร้องเนี่ย เหมือนไม่ได้รับการอบรมมาเลยนะเจ้าคะ""นี่เจ้า!""ท่านอาเล็ก ไม่มีใครบอกหรือเจ้าคะว่าหากโมโหจะทำให้สุขภาพเสีย ความงามก็จะหย่อนคล้อย"ได้ยินดังนั้นฉินเสี่ยวหรานจึงได้เงียบปากลง
"ไปไหน""สถานที่ล่าสัตว์วันนั้น"ถ้าเป็นเรื่องนี้ละก็นางไม่ปฏิเสธแน่อยู่แล้ว"เอาสิ"การล่าสัตว์ขององค์ชายรองกับองค์ชายรัชทายาทนั้นเกิดขึ้นระหว่างเสด็จเยี่ยมราษฎร ระหว่างรับเรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้าน วันหนึ่งพวกเขาก็ชวนกันไปล่าสัตว์ฆ่าเวลาป่านนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงกับเมืองเหวินทางตะวันออก ป่าหนาทึบเป็นอันดับสองจากป่ารอบเมืองทั้งหมดหลี่เจิ้นหัวออกมากับนางสองคน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้รถม้าหรือพาหนะใดเพราะไม่อยากสะดุดตา แม้จะมีคนเชื่อว่าเป็นฝีมือองค์ชายรองแต่พระองค์ยืนกรานว่าไม่รู้เรื่อง หากอยากให้คนร้ายดิ้นไม่หลุดก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้"เจ้าคิดไว้ในใจแล้วหรือยัง!""เรื่องอะไร!" เขาตะโกนถามกลับ การวิ่งฝ่าสายลมทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกันและกัน"จะสืบอย่างไร…" พูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยคฉินหลิวซีก็ส่ายหน้า ทำมือเป็นสัญญาได้ไปคุยกันหลังถึงที่หมาย คุยกันตอนนี้ให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องเดินทางกันอยู่นานในที่สุดก็ถึงป่าระหว่างสองเมืองเสียที พวกเขาตามร่องรอยมาถึงจุดเกิดเหตุ ทั้งรอยเท้าและของตกหายไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก
โจวเมิ่งอิ๋งคร่ำครวญถึงความน่าสงสารราวโชคชะตากลั่นแกล้งของบุตรสาว ไม่มีแก่ใจมารับรองแขกด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดีที่มีอนุคนสนิทอยู่ข้างกายคอยปลอบใจฟังจากน้ำเสียงคงทุกข์ใจเหลือประมาณ หลี่เจิ้นหัวรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว"ทีนี้ข้าจะลงมืออย่างไรดีนะ…"บรรยากาศในห้องค่อนข้างอับชื้น พี่หญิงต้อนรับนางเป็นอย่างดีแม้จะหน้าซีดเซียวกว่าปกติก็ตาม"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่หญิงดูผอมลงไปหรือไม่ กินข้าวไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ""อยากที่เจ้าเห็น ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ดังนั้นเลยเชื่อว่าอีกไม่นานคงดีขึ้น"แต่ดูเหมือนความเชื่อของนางจะทรยศนางทีละนิด แต่ละวันที่ผ่านไปขื่นขมนักสีหน้าของหลี่เมิ่งเหยาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน ถึงจะบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไร แต่สถานการณ์แบบนี้คงยิ้มไม่ออก"เรื่องนี้จัดการไม่ได้ง่าย ๆ แต่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรพี่หญิงอย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ""ฉินหลิวซี ถ้าซาบซึ้งน้ำใจเจ้าจริง ๆ" หลี่เมิ่งเหยาน้ำตารื้น พอรู้ว่านางอาจต้องโทษเหล่ามิตรสหายก็พากันหนีหน้า ส่วนหนึ่งก็คงเพราะคำสั่งของบิดามารดามิให้มาข้อง
เหตุการณ์นี้ทั้งสองนัดแนะกันเองโดยไม่ได้บอกผู้ติดตามพวกเขาจึงไม่ได้ถูกลงโทษที่ละเลยหน้าที่ และโชคดีที่แม่ทัพหลี่ซึ่งเดินทางไปด้วยมาช่วยไว้ทันด้วยเหตุนี้จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นในหมู่ชาวเมือง ว่าเป็นฉากที่ถูกจัดไว้หรือเปล่า"เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครสนใจเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมแล้วสินะ…"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าเห็น ๆ ก็ดี เพราะข้าก็ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจมากนักในตอนนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ ยังวางใจไม่ได้"ต้องไปหาเจิ้นหัวหน่อยแล้ว"ฉินหลิวซีไปที่หอกระจายข่าวแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ นางรู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลกระทบถึงสกุลหลี่มากกว่าที่คิด"เพราะพี่หญิงเป็นพระคู่หมั้นขององค์ชายรัชทายาทอย่างนั้นหรือ…?"หรือจะไม่ใช่กันนะคุยกับตัวเองยังไม่จบก็พบว่ายืนอยู่หน้าห้องทำงานของหลี่เจิ้นหัวเสียแล้ว นางเคาะประตูสองครั้งอีกฝั่งก็เอ่ยอนุญาต"หลิวซี~" พอเห็นหน้านางอีกคนก็โอดครวญเสียงอ่อนอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางม้วนกระดาษสู่ท่วมหัว"ดูเหมือนเจ้าจะมี
ร้านที่ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัด รู้แต่ว่าสกุลหลี่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้เสมือนคนกลางหลี่ซีเหยาเหยียดยิ้มนึกอยากขัน สินค้านี้มีอยู่ในร้านของบ้านอยู่แล้ว นางเป็นผู้เอามาให้เช่นนี้ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากสังเกตและไตร่ตรองดูสักนิดจะรู้ว่าบรรจุภัณฑ์นี้ไม่ได้วางขายในปัจจุบัน มันเป็นตลับแบบใหม่ที่ยังไม่ได้วางหน้าร้านที่ไหน"นี่เป็น…สินค้าจากร้านของข้าเอง เป็นกระปุกชาดและตลับแป้งลายใหม่ที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหน ข้ามอบมันให้พี่หญิงเป็นคนแรก"ทันทีที่ฉินหลิวซีพูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย"เป็นไปไม่ได้ สามัญชนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้อย่างไร อย่ามาแอบอ้างนะ เจ้าต้องไปแอบซื้อที่ไหนมาแน่ ๆ แล้วไปแอบเปลี่ยนตลับทีหลังใช่ไหมล่ะ" หลี่ซีเหยาอย่างไม่ยอม นางเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนมารดาที่เป็นอนุสั่งให้สาวใช้มาพาตัวออกไปเพราะเริ่มจะทำขายหน้า อีกทั้งแม่ทัพยังมองนางด้วยแววตากรุ่นโกรธอีกด้วย หากไม่รีบจัดการนางก็จะโดนลงโทษหลังจบงานนี้แน่สถานการณ์สงบลงแต่เรื่องของฉินหลิวซียังเป็นที่พูดถึงตัวตนของเจ้าขอ
"บุตรสาวคนเล็กของข้าอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับคุณชายหลี่ เรียนรู้งานฝีมือตั้งแต่ยังเล็กจนชำนาญ พิณ หมาก อักษร ล้วนเป็นเลิศ…"เซียนโอสถน้อยรู้สึกกระดากใจเกินจะฟังจึงเดินหนีออกมา รู้หรอกว่าหลี่เจิ้นหัวคงไม่เอาด้วยแต่นางก็ไม่ชอบใจอยู่ดีถึงจะไม่พอใจแต่ถ้านางโวยวายหรืออาละวาดขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ รังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้ฮูหยินท่านที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้นฉินหลิวซีกลับมานั่งที่โต๊ะ น้าหญิงกับน้าเขยทำตัวไม่ถูกกับงานเช่นนี้จึงเลือกโต๊ะที่ไม่ค่อยโดดเด่น นางเข้าใจว่าทั้งสองคงอึดอัดจึงไม่ห้าม แต่ว่านางร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้ ในบัตรเชิญบอกไว้ว่าให้นางนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าของงานโคมไฟแดงประดับต้นไม้สว่างวาบขึ้นจากเดิมพร้อม ๆ กัน ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองหน้าเรือนรับรองที่มีทางเดินหินอ่อนทอดยาวออกมาถึงสวน ฉินหลิวซีเห็นหลี่เมิ่งเหยาออกมาแล้วจึงขอตัวท่านหญิงหลี่ออกมาพร้อมกับสหายท่านหญิงคนอื่น ๆ ฉินหลิวซีรู้สึกคุ้นหน้าพวกนางเกือบทุกคนเพราะเคยเจอกันมาก่อนแล้ว นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าได้ร่วมโต๊ะกับคนที่คุ้นเคยกันมันดีต่อความรู้สึกนางมากกว่าที่ต้องร่วมโต๊ะกับคนแ
"จริงสิ พี่หญิงเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาง เจ้าพอจะมีเวลาหรือไม่""งานวันคล้ายวันเกิดของพี่หญิงหรือ ต่อให้ข้าไม่ว่างก็จะไปแน่"ฉินหลิวซีได้รับความช่วยเหลือจากพี่หญิงของหลี่เจิ้นหัวมาไม่น้อย แค่ไปร่วมงานแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้แล้ว"ถ้าพี่หญิงได้ยินคงดีใจ""งานเริ่มวันไหน""วันมะรืนปลายยามโหย่ว นี่บัตรเชิญของเจ้า น้าหญิงกับน้าเขยเจ้าสามารถมาเข้าร่วมในฐานะผู้ติดตามได้""นางคงตื่นเต้น"ฉินหลิวซีคิดภาพออกเลยว่าชิวหลานจะพูดอะไรหรือแสดงท่าทีประมาณไหนหลังจากได้ยินเรื่องนี้ น้าหญิงของนางร่าเริงมากตั้งแต่มาเมืองหลวง คุ้มค่าแล้วที่พาทั้งคู่มาเปิดหูเปิดตาฉินหลิวซีตั้งใจสร้างชื่อเสียงและตัวตนของตนเอาไว้ที่นี่ ในอนาคตไม่รู้ว่าลูกหลานสกุลชิวกับท่านพ่อท่านแม่จะย้ายมาที่เมืองหลวงหรือไม่ แต่หากพวกเขามาสิ่งที่นางสร้างไว้จะต้องเป็นประโยชน์แน่"ข้าเองก็ตั้งตารอวันนั้น"หลี่เจิ้นหัวมองนาง สายตาแสดงความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเฝ้ารออะไร แต่แววตาของเขานั้นทำให้นางอยากสร้างความประทับใจที่จะได้พบกันยามค่ำคืนให้พิเศษขึ
"ที่นี่ยอดเยี่ยมไปเลย""ดีใจที่เจ้าชอบ นี่ใบเสนอราคาที่เถ้าแก่คนก่อนเขียนมา"นางกวาดสายตาอ่านดูแล้วก็พยักหน้า "รับได้ แต่ทำไมถึงปล่อยขายล่ะ ทำเลดีมากไม่ใช่หรือ""เขาจะย้ายไปอยู่เมืองอื่นกับหลานชาย กิจการนี้ไม่มีคนสานต่อแล้วเจ้าตัวก็ไม่อยากเดินทางมาเก็บค่าเช่าทุกเดือนด้วย""เข้าใจล่ะ แต่เจ้าเอามันมาได้อย่างไร ร้านทำเลดีแบบนี้ต้องมีคนแย่งกันประมูลมากมายแน่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าแอบสนับสนุนเงินเพิ่มให้ข้าหรอกนะ"พอเห็นนางมองตาขวางเขาก็รีบปฏิเสธ"เปล่า ๆ เถ้าแก่เป็นคนรู้จักของข้า เคยมีบุญคุณต่อกันนิดหน่อยเท่านั้น ข้ามาขอร้องให้เขาช่วยหาเพราะเส้นสายก็ไม่น้อย แล้วเขาก็เสนอร้านที่นี่มา ซึ่งก็เป็นร้านของตัวเองนั่นแหละ"ฉินหลิวซีเคยสำรวจราคาตลาดมาบ้างแล้ว ที่นี่ก็ให้ราคาที่ถูกมากกว่าที่อื่นจริง ๆเมื่อได้คำตอบที่พอใจนางก็ไม่ถามอะไรเขาอีกก่อนจะหมดวันพวกเขาไปยังที่ตั้งโกดัง มันเป็นโรงเก็บไม้เก่าที่เลิกกิจการไปแล้ว อายุการใช้งานก็ยังไม่มาก ไม่ถึงกับต้องซ่อมแซมแค่ปัดฝุ่นนิดหน่อยก็ใช้ได้ฉินหลิวซีจะเริ่มทยอยขนของย้ายไปที่คฤหาสน์วันพรุ่งนี้
"ช่างเถอะเจ้าค่ะท่านน้า เราคงจะเจอแบบนี้อีกบ่อยเลยล่ะ ถึงจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่คนที่หน้าคบหาและเป็นมิตรยังมีอีกมาก"หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ฉินหลิวซีก็ให้พวกสาวใช้ไปเดินสำรวจในเมืองโดยให้ไปกันเป็นกลุ่ม ห้ามแยกไปคนเดียวเพราะต่อให้เป็นเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ที่สำคัญคือห้ามก่อเรื่องเป็นอันขาดหลังจากพวกเขาแยกย้ายกันไปแล้ว นางที่กำลังจะขึ้นไปพักบนห้องก็ถูกเรียกเอาไว้"หลิวซี!""เจิ้นหัว?" นางหันหลังมาเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นใคร อีกฝ่ายวิ่งมาหาจากแยกด้านหน้าของถนน ทำหญิงสาวเอ่ยชื่อของเขาด้วยความประหลาดใจวิ่งมาแบบนั้นจะหายใจทันไหมนี่"ดูจากสีหน้าคงไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอะไรหรอก ก็แค่ตื่นเต้น…" หญิงสาวเอ่ยพึมพำกับตัวเองนางอมยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆเพราะข้าล่ะมั้งหลี่เจิ้นหัววิ่งเข้ามาหาฉินหลิวซีโดยไม่สนสายตาใคร โรงเตี๊ยมนี้อยู่ตรงข้ามเหลาอาหารพวกเขาจึงตกเป็นเป้าสายตา ทำเอานางรู้สึกขัดเขิน"จะ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะมาถึงพรุ่งนี้หรอกหรือ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ออกไปรับเลย""ไม่เป็นไร เจ้าหายใจช้า ๆ หน่อย วิ่งมาตั้งแต่ที่จวนหรือไงเนี่ย
แม้ตอนจะจากก็ยังมีอารมณ์ขัน เชื่อแทบไม่ลงเลยว่าเป็นองค์ชายต่างแคว้นเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีกล้ามีใครมาโจมตีนอกจากพวกไม่มีหัวคิดก็เพราะสถานะของเจียงหรูอี้ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าตอนนี้เป็นแค่จอมยุทธ์พเนจรไม่มีสถานะอื่น แต่หากติดตามข่าวสารต่างแดนบ้างต้องเคยได้เห็นหรือได้ยินเรื่องของเขาบ้างองค์ชายยังประหลาดใจที่ฉินหลิวซีรู้ว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครสนใจสถานะของเขา ซึ่งนั่นทำให้หรูอี้สบายใจและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ พอรู้ว่านางผิดสังเกตก็ประหม่า ฉินหลิวซีต้องอธิบายนานกว่าเขาจะเข้าใจว่านางไม่ได้เจตนาจับผิดหรือเป็นสายลับที่ไหน ก็แค่มีหน่วยข่าวกรองดี ๆ ให้ถามโดยไม่คิดค่าจ้างแค่นั้นเมื่อสิ้นสุดการเดินทางก็ได้เวลาแปลงโฉม ฉินหลิวซีสั่งตั้งกระโจมด้านนอกหนึ่งวันเพื่อเตรียมตัว"น้าหญิง น้าเขย เชิญทางนี้หน่อยเจ้าค่ะ""นะ น้าเขยหรือ!?" เฉาฟางทั้งเขินอายทั้งประหม่าในคราวเดียว"อย่างไรผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ น้าหญิงงามออกปานนี้ ถ้าไม่ทำให้ชัดเจนละก็อาจจะมีคนมาตามตื้อได้""หยา แบบนั้นไม่ได้สิ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ" โวยวายเสร็จ