เด็กหญิงเติบโตขึ้นทีละนิดจนตอนนี้อายุได้สิบปี ฉินหลิวซีเลื่อนขั้นเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดเซียนขั้นก่อเกิดฉินซือหยวนอยู่ระดับปฐพีลมปราณขั้นที่สาม เมื่อความสามารถของนางเหมาะสมแล้วที่จะฟักไข่สัตว์อสูรในตำนานได้ ก็อดทนรอที่จะให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ แทบไม่ไหวในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง ตรงหน้าของเด็กทั้งสองคือไข่สัตว์อสูรในตำนาน ซุนเป่ยฉีนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม“ซือหยวนน้อย เจ้าหลบออกมาจากตรงนั้นก่อน ถอยออกไป”“ทำไมล่ะขอรับท่านอาจารย์ ข้าก็อยากเห็นมันฟักตัวใกล้ ๆ”“มันอาจจะคิดว่าเจ้าเป็นศัตรูต่อเจ้านายของมันได้ เดี๋ยวก็ได้โดนลูกหลงไม่รู้ตัวหรอก”“แม้มันพึ่งฟัก ก็ทำอันตรายได้ขนาดนั้นเชียวหรือ”เด็กชายไม่เข้าใจถึงความร้ายขาดของมัน แม้จะอ่านตำราเพิ่มเติมหรือให้พี่สาวช่วยอธิบาย เขาก็จินตนาการความแข็งแกร่งของมันไม่ออกอยู่ดี ดูห่างไกลจากความเป็นจริง จนเขานึกภาพถึงตอนที่มันแรงฤทธิ์ไม่ออกเลยเหมือนเช่นที่ว่างูคิดภาพไม่ออกว่า หากตนเองมีขาจะเป็นอย่างไร หรือไก่ก็คงคิดภาพไม่ออกว่าหากมันมีแขนมีนิ้วมีเล
ไข่ที่ยังอยู่ตรงนั้นเป็นของหงส์แดงเพลิง และแล้วทิวทัศน์ที่ต่างไปก็ค่อย ๆ เลือนหาย กลายเป็นถ้ำที่นางอยู่เมื่อครู่นี้ เด็กหญิงหันซ้ายหันขวาก่อนจะหันไปดูด้านหลัง พบว่าอาจารย์กับน้องชายยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้แต่เสียงหายใจก็ไม่ได้ยินกระทั่งสายตาเหลือบออกไปเห็นนกที่บินอยู่ด้านนอกค้างอยู่กลางอากาศนี่เป็นภาพความทรงจำเสมือนอย่างนั้นหรือ และตอนนี้ตัวข้าก็ถูกแยกออกมาจากมิติสินะฉินหลิวซีไม่แน่ใจ แต่เมื่อตัวนางถูกตัดขาดมาอยู่ในโลกแห่งนี้ รูปร่างโปร่งแสงของหงส์แดงเพลิงก็ปรากฏขึ้น มันร้องคำรามราวกับจะท้าทายและข่มขวัญคู่ต่อสู้เด็กหญิงหยิบกระบี่อ่อนออกมาตั้งท่า นางไม่มั่นใจว่าเงื่อนไขการผูกพันธสัญญาคืออะไร แต่ดูจากท่าทีของหงส์แดงเพลิงตนนี้ คงเป็นการที่ต้องทำให้อีกฝ่ายสยบเช่นนั้นใช่หรือไม่ร่างเสมือนของหงส์แดงเพลิงขยายปีกออกกว้างและเริ่มทำการจู่โจมนาง ปีกของมันแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า ม่านมายาที่กีดกันตัวตนของนางออกจากโลกข้างนอกนั่นแข็งแกร่งสมคำร่ำลือ ผู้เป็นอาจารย์ไม่อาจแทรกแซงได้เลยสักนิด ซึ่งนางก็ไม่แน่ใจว่า เขารับรู้ถึงความผิดปกตินี้หรือไม่ถ้ำที่เคยคับแคบเหมือนถูกขยาย
ฉินหลิวซีหันหน้าไปมองผู้เป็นอาจารย์ก่อนจะหมุนไปหาทั้งตัวทั้งอย่างนั้น พยักหน้าตอบรับคำของเขา ตอนนี้นางเป็นเจ้านายของสัตว์ในตำนานตนนี้แล้วเมื่อรับรู้ได้ถึงบุคคลอื่นที่เข้ามาใกล้ หงส์แดงเพลิงในคราบของลูกหงส์ขาวก็ถอยไปหลบหลังเจ้านาย ฉินหลิวซีนึกว่ามันเป็นหงส์ขาวขี้อายที่ขัดกับภาพลักษณ์จึงไม่ได้นึกติดใจอะไรแต่แท้จริงแล้วหงส์แดงเพลิงตอนนี้รับรู้ได้ถึงตัวตนของบุคคลตรงหน้าที่ทรงพลังเกินกว่ามันจะรักษาความสงบเอาไว้ได้เซียนผู้ไม่ใช่เซียนสร้างแรงกดดันให้มันไม่ใช่น้อย แม้ซุนเป่ยฉีจะตั้งใจปกปิดพลังของตนเอง และไม่ได้เจตนาจะข่มขวัญมันก็ตาม แต่สัญชาตญาณของสัตว์ก็ยังแม่นยำ อีกไม่นานก็ไม่อาจใช้คำว่าเซียนกับคนผู้นี้ได้แล้ว เขากำลังจะก้าวขึ้นไปอย่างระดับขั้นสูงกว่า“ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว คราวนี้เราจะไปไหนดีเจ้าคะ”“จะไม่อยู่ให้นานกว่านี้หน่อยหรือ”“คำว่าจะปักหลักที่ใดนาน ๆ ของท่านอาจารย์เชื่อถือไม่ได้เจ้าค่ะ”ซุนเป่ยฉีเถียงไม่ออก เพราะมันก็ดันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เสียด้วย เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วเดินสะบัดหน้าราวกับคนแก่ช่างแง่งอนออ
เพราะการกำเนิดใหม่ทำให้หงส์เพลิงไม่มีความทรงจำเก่า และเป็นเหมือนสัตว์อสูรแรกเกิดเท่านั้น ทำให้ต้องมาฝึกฝนใหม่ตั้งแต่เริ่มต้นเมื่อว่างจากการฝึกด้วยกำลัง นางก็ต้องฝึกจิตใจด้วยเช่นกัน แม้จะแข็งแรงอยู่แล้วก็ต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้เพื่อที่จะสามารถปกป้องตัวเองจากภาพมายาได้ แม้ว่านางจะเป็นนายของหงส์แดงเพลิง แต่ก็ไม่มีอะไรรับรองว่าหากมันคลุ้มคลั่งหรือมีเหตุสุดวิสัยอะไรเกิดขึ้น พลังนั้นจะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายเจ้านาย ดังนั้นหากป้องกันตัวเองไว้ได้ก็จะเป็นการดี“ข้ากลับมาแล้ว” เสียงบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยมาแต่ไกล หันไปจึงเห็นว่าเป็นอาจารย์กับน้องชายของนางที่เดินทางกลับมาในรอบหลายวันระยะนี้พวกเขาต้องแยกกันบ่อย ๆ โดยหมอเทวดาจะพาน้องชายของนางติดตามไปด้วยทุกครั้ง สามสี่วันจึงจะกลับมาที ซุนเป่ยฉีไม่ได้บอกลูกศิษย์ว่า ตนกำลังตามหาอะไรอยู่ ใช้เวลาหลายวันในที่สุดก็เจอเสียที“ท่านอาจารย์ไปไหนมาหรือเจ้าคะ หายไปเสียหลายวันแล้วก็ไม่ได้บอกข้าเอาไว้ด้วย”“สมุนไพรเก้าสิบเก้าชนิดที่เราเคยคุยกันอย่างไรล่ะ”“ท่านอาจารย์หาได้ครบแล้วหร
สมุนไพรที่หามามีทั้งหายากและง่าย เก็บมาได้มากน้อยต่างกัน ตัวยาใดที่หายากแต่ต้องใช้ในปริมาณมาก ทั้งที่เจอก็จะเก็บตุนเอาไว้เท่าที่หาได้ แต่ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งที่ใครจะอยากพบเจอฉินซือหยวนนั่งนอนมองแผ่นหลังของคนทั้งคู่ตั้งแต่ตื่นยันหลับ เวลาล่วงเลยผ่านไปถึงเจ็ดทิวาเจ็ดราตรี กว่าจะได้โอสถทะลวงลมปราณมาสิบเม็ด เม็ดยาสีเหลืองทองเปล่งประกายอยู่ตรงหน้า ต่อให้ไม่ใช่นักปรุงยาหรือหมอประจำโรงแพทย์ที่ไหนก็คงจะดูออกได้ว่ามันมีราคาสูงมากยิ่งความบริสุทธิ์ของยาสูงประสิทธิภาพก็ยิ่งดี ดูความบริสุทธิ์ได้จากสีของเม็ดยาหลังจากที่หลอมออกมาแล้วนางเข้าใจแล้วว่า ทำไมมันถึงได้มีราคาสูงนัก ในตระกูลที่มีเงินอยู่บ้าง ส่วนมากจะใช้โอสถสร้างแก่นปราณที่ราคาไม่กี่ตำลึงและหาได้ทั่วไปในตอนที่ตามหามันก็รู้สึกว่ายากลำบากแล้ว ใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้ขนาดนี้ ไหนจะขั้นตอนการปรุงที่ผิดพลาดไม่ได้อีก หากมันไม่สำเร็จช่วงเวลาหลายปีที่ตามหาวัตถุดิบเท่ากับความสูญเปล่า ส่วนที่ผิดพลาดมีค่าไม่ได้ถึงครึ่งหนึ่งของตัวมันเองหากสำเร็จด้วยซ้ำหลังจากที่ชั่งน้ำหนักความยากลำบากของตนเอง นางเห็นด้วยมาก ๆ ที่จะตั้งราคา
“ไม่มีอะไรหรอก อาจจะเป็นแค่คนขี้อิจฉาก็ได้”“ขอรับ?”“นางแอบตามพวกเรามาตั้งนานแล้ว”คำตอบของพี่สาวยิ่งทำให้เขางุนงงมากกว่าเดิมเป็นคนของสำนักคุ้มภัยทั้งที ก็น่าจะลบกลิ่นอายสักหน่อยสิ ไม่ไหวเลยดูจากป้ายแล้ว คุณหนูคนนั้นเป็นคนของสำนักคุ้มภัยขึ้นชื่อของเมือง หลังจากที่อยู่ที่นี่มาระยะหนึ่ง นางฟังคำที่ชาวบ้านคุยกันก็พอรู้เรื่องบ้าง สำนักคุ้มภัยของที่นี่เป็นสำนักที่มีอำนาจขนาดที่เจ้าเมืองยังเกรงใจ เพราะเป็นแบบนั้นชาวบ้านธรรมดาก็ไม่มีใครกล้าต่อต้านส่วนจุดประสงค์ที่เข้ามาแย่งซื้อเครื่องประดับกับนาง ไม่แน่ใจว่าเป็นความริษยาแบบไหน ฝีมือหรือรูปโฉมหากเป็นอย่างหลังนางก็ไม่แปลกใจ เพราะได้ฝึกหลอมโอสถกับอาจารย์ แน่นอนว่านางต้องเป็นหนูลองยาให้เขาไม่น้อย ยาที่กินเข้าไปก็ล้วนเป็นสมุนไพรบำรุงเสียมากกว่าเป็นพิษ ผลของการกินยาเหล่านั้นอาจารย์ของนางก็แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์อยู่บนใบหน้าของเขาแล้ว ต่อให้ไว้หนวดเคราก็ไม่ช่วยอะไรเมื่อไม่มีใครคอยจับตาดูอีก ฉินหลิวซีถึงได้เลือกหยิบเครื่องประดับทำจากหยกที่ตนต้องการจร
เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งสามคนลงมากินอาหารที่โรงเตี๊ยมอย่างสบายอารมณ์ ทำเหมือนว่าเมื่อคืนไม่มีเหตุการณ์อะไร ฉินซือหยวนไม่พูดถึงด้วยซ้ำ เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตากินไก่ต้มและกอบโกยข้าวลงท้อง“อร่อยขนาดนั้นเชียวเหรอ”“นาน ๆ ครั้งจะได้กินอาหารรสมือคนอื่นบ้างนี่นา”“เจ้าเด็กคนนี้ จะบอกว่าเบื่อรสมือพี่อย่างนั้นหรือ”“ท่านพี่กินรสมือตัวเองทุกวันยังบ่นว่าเบื่อเลย”ฉินหลิวซีกะพริบตาปริบ ๆ อ้าปากค้างด้วยความอึ้ง นี่น้องชายของนางซึมซับอะไรไม่ดีจากนางไปเยอะเลยใช่ไหมนี่ กระทั่งวาจาก็ยังทำให้คนฟังรู้สึกโมโหได้ถึงขนาดนี้ หากโตไปกว่านี้เขาคงได้ต่อว่าใครต่อใครที่ทำให้ตนไม่พอใจจนกระอักเลือดแน่แบบนี้จะเรียกว่าดีหรือแย่กันล่ะเนี่ยมื้ออาหารผ่านไปโดยมีเสียงพี่น้องจิกกัดกันตลอดเวลา ซุนเป่ยฉีทำหูทวนลม เพราะเริ่มชินชาเสียแล้ว หลังจากกินข้าวจนหมดและจ่ายค่าห้องส่วนที่เหลือ พวกเขาก็ออกเดินทางหมอเทวดานำทางไปยังสถานที่หนึ่งที่เคยได้บอกไว้ว่าจะพาร่างของคนพวกนั้นไปส่งคืน ฉินหลิวซีก็นึกอยู่ว่าเป็นที่ไหน ชวนแปลกใจยิ่งนักที่
“ในเมื่อเจ้าพูดลำบากนัก ข้าจะบอกแล้วกัน เมื่อวานนี้เจ้าสามคนนั้นบุกรุกเข้าไปในห้องนอนของลูกศิษย์ข้า ตั้งใจจะสังหารนาง แต่ก็โดนเล่นงานกลับ เราพบกันครั้งแรกคือเมื่อวาน และข้ามั่นใจว่านางไม่ไปหาเรื่องใครก่อนแน่”“เรื่องนี้ข้าต้องขออภัยแทนบุตรสาวด้วย” เขาจับศีรษะลูกของตนให้ก้มลงมาพร้อมกันเป็นการขออภัยอย่างสุดซึ้ง“ข้ายังไม่พอใจ” ซุนเป่ยฉีบอกออกมาทันที“เช่นนั้นข้าจะทำให้สมเกียรติของลูกศิษย์หมอเทวดา ท่านขัดข้องหรือไม่”“ไม่ขัดข้องอยู่แล้ว” ไม่ต้องสาวความให้มากมายทั้งสามคนก็หลบออกไปจากห้องตามด้วยเจ้าสำนักและบุตรสาวคนในสำนักคุ้มภัยหันมองพวกเขาเป็นตาเดียว“ทำสิ่งที่เจ้าควรทำ ไม่อย่างนั้นเจ้าโดนดีแน่” ท่านเจ้าสำนักยื่นคำขาด บุตรสาวจากที่มีท่าทางอวดดีก่อนหน้านี้เริ่มหน้าซีดตัวสั่นนางคุกเข่าลงไปกับพื้น หมอบจนหน้าผากแนบชิดลงไป“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง ข้าริษยาความงามของท่านจึงเผลอล่วงเกินไป ข้าต้องขออภัยด้วยจริง ๆ” นางคุกเข่าลงต่อหน้
"ไปไหน""สถานที่ล่าสัตว์วันนั้น"ถ้าเป็นเรื่องนี้ละก็นางไม่ปฏิเสธแน่อยู่แล้ว"เอาสิ"การล่าสัตว์ขององค์ชายรองกับองค์ชายรัชทายาทนั้นเกิดขึ้นระหว่างเสด็จเยี่ยมราษฎร ระหว่างรับเรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้าน วันหนึ่งพวกเขาก็ชวนกันไปล่าสัตว์ฆ่าเวลาป่านนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงกับเมืองเหวินทางตะวันออก ป่าหนาทึบเป็นอันดับสองจากป่ารอบเมืองทั้งหมดหลี่เจิ้นหัวออกมากับนางสองคน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้รถม้าหรือพาหนะใดเพราะไม่อยากสะดุดตา แม้จะมีคนเชื่อว่าเป็นฝีมือองค์ชายรองแต่พระองค์ยืนกรานว่าไม่รู้เรื่อง หากอยากให้คนร้ายดิ้นไม่หลุดก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้"เจ้าคิดไว้ในใจแล้วหรือยัง!""เรื่องอะไร!" เขาตะโกนถามกลับ การวิ่งฝ่าสายลมทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกันและกัน"จะสืบอย่างไร…" พูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยคฉินหลิวซีก็ส่ายหน้า ทำมือเป็นสัญญาได้ไปคุยกันหลังถึงที่หมาย คุยกันตอนนี้ให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องเดินทางกันอยู่นานในที่สุดก็ถึงป่าระหว่างสองเมืองเสียที พวกเขาตามร่องรอยมาถึงจุดเกิดเหตุ ทั้งรอยเท้าและของตกหายไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก
โจวเมิ่งอิ๋งคร่ำครวญถึงความน่าสงสารราวโชคชะตากลั่นแกล้งของบุตรสาว ไม่มีแก่ใจมารับรองแขกด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดีที่มีอนุคนสนิทอยู่ข้างกายคอยปลอบใจฟังจากน้ำเสียงคงทุกข์ใจเหลือประมาณ หลี่เจิ้นหัวรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว"ทีนี้ข้าจะลงมืออย่างไรดีนะ…"บรรยากาศในห้องค่อนข้างอับชื้น พี่หญิงต้อนรับนางเป็นอย่างดีแม้จะหน้าซีดเซียวกว่าปกติก็ตาม"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่หญิงดูผอมลงไปหรือไม่ กินข้าวไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ""อยากที่เจ้าเห็น ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ดังนั้นเลยเชื่อว่าอีกไม่นานคงดีขึ้น"แต่ดูเหมือนความเชื่อของนางจะทรยศนางทีละนิด แต่ละวันที่ผ่านไปขื่นขมนักสีหน้าของหลี่เมิ่งเหยาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน ถึงจะบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไร แต่สถานการณ์แบบนี้คงยิ้มไม่ออก"เรื่องนี้จัดการไม่ได้ง่าย ๆ แต่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรพี่หญิงอย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ""ฉินหลิวซี ถ้าซาบซึ้งน้ำใจเจ้าจริง ๆ" หลี่เมิ่งเหยาน้ำตารื้น พอรู้ว่านางอาจต้องโทษเหล่ามิตรสหายก็พากันหนีหน้า ส่วนหนึ่งก็คงเพราะคำสั่งของบิดามารดามิให้มาข้อง
เหตุการณ์นี้ทั้งสองนัดแนะกันเองโดยไม่ได้บอกผู้ติดตามพวกเขาจึงไม่ได้ถูกลงโทษที่ละเลยหน้าที่ และโชคดีที่แม่ทัพหลี่ซึ่งเดินทางไปด้วยมาช่วยไว้ทันด้วยเหตุนี้จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นในหมู่ชาวเมือง ว่าเป็นฉากที่ถูกจัดไว้หรือเปล่า"เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครสนใจเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมแล้วสินะ…"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าเห็น ๆ ก็ดี เพราะข้าก็ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจมากนักในตอนนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ ยังวางใจไม่ได้"ต้องไปหาเจิ้นหัวหน่อยแล้ว"ฉินหลิวซีไปที่หอกระจายข่าวแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ นางรู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลกระทบถึงสกุลหลี่มากกว่าที่คิด"เพราะพี่หญิงเป็นพระคู่หมั้นขององค์ชายรัชทายาทอย่างนั้นหรือ…?"หรือจะไม่ใช่กันนะคุยกับตัวเองยังไม่จบก็พบว่ายืนอยู่หน้าห้องทำงานของหลี่เจิ้นหัวเสียแล้ว นางเคาะประตูสองครั้งอีกฝั่งก็เอ่ยอนุญาต"หลิวซี~" พอเห็นหน้านางอีกคนก็โอดครวญเสียงอ่อนอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางม้วนกระดาษสู่ท่วมหัว"ดูเหมือนเจ้าจะมี
ร้านที่ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัด รู้แต่ว่าสกุลหลี่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้เสมือนคนกลางหลี่ซีเหยาเหยียดยิ้มนึกอยากขัน สินค้านี้มีอยู่ในร้านของบ้านอยู่แล้ว นางเป็นผู้เอามาให้เช่นนี้ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากสังเกตและไตร่ตรองดูสักนิดจะรู้ว่าบรรจุภัณฑ์นี้ไม่ได้วางขายในปัจจุบัน มันเป็นตลับแบบใหม่ที่ยังไม่ได้วางหน้าร้านที่ไหน"นี่เป็น…สินค้าจากร้านของข้าเอง เป็นกระปุกชาดและตลับแป้งลายใหม่ที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหน ข้ามอบมันให้พี่หญิงเป็นคนแรก"ทันทีที่ฉินหลิวซีพูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย"เป็นไปไม่ได้ สามัญชนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้อย่างไร อย่ามาแอบอ้างนะ เจ้าต้องไปแอบซื้อที่ไหนมาแน่ ๆ แล้วไปแอบเปลี่ยนตลับทีหลังใช่ไหมล่ะ" หลี่ซีเหยาอย่างไม่ยอม นางเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนมารดาที่เป็นอนุสั่งให้สาวใช้มาพาตัวออกไปเพราะเริ่มจะทำขายหน้า อีกทั้งแม่ทัพยังมองนางด้วยแววตากรุ่นโกรธอีกด้วย หากไม่รีบจัดการนางก็จะโดนลงโทษหลังจบงานนี้แน่สถานการณ์สงบลงแต่เรื่องของฉินหลิวซียังเป็นที่พูดถึงตัวตนของเจ้าขอ
"บุตรสาวคนเล็กของข้าอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับคุณชายหลี่ เรียนรู้งานฝีมือตั้งแต่ยังเล็กจนชำนาญ พิณ หมาก อักษร ล้วนเป็นเลิศ…"เซียนโอสถน้อยรู้สึกกระดากใจเกินจะฟังจึงเดินหนีออกมา รู้หรอกว่าหลี่เจิ้นหัวคงไม่เอาด้วยแต่นางก็ไม่ชอบใจอยู่ดีถึงจะไม่พอใจแต่ถ้านางโวยวายหรืออาละวาดขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ รังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้ฮูหยินท่านที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้นฉินหลิวซีกลับมานั่งที่โต๊ะ น้าหญิงกับน้าเขยทำตัวไม่ถูกกับงานเช่นนี้จึงเลือกโต๊ะที่ไม่ค่อยโดดเด่น นางเข้าใจว่าทั้งสองคงอึดอัดจึงไม่ห้าม แต่ว่านางร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้ ในบัตรเชิญบอกไว้ว่าให้นางนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าของงานโคมไฟแดงประดับต้นไม้สว่างวาบขึ้นจากเดิมพร้อม ๆ กัน ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองหน้าเรือนรับรองที่มีทางเดินหินอ่อนทอดยาวออกมาถึงสวน ฉินหลิวซีเห็นหลี่เมิ่งเหยาออกมาแล้วจึงขอตัวท่านหญิงหลี่ออกมาพร้อมกับสหายท่านหญิงคนอื่น ๆ ฉินหลิวซีรู้สึกคุ้นหน้าพวกนางเกือบทุกคนเพราะเคยเจอกันมาก่อนแล้ว นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าได้ร่วมโต๊ะกับคนที่คุ้นเคยกันมันดีต่อความรู้สึกนางมากกว่าที่ต้องร่วมโต๊ะกับคนแ
"จริงสิ พี่หญิงเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาง เจ้าพอจะมีเวลาหรือไม่""งานวันคล้ายวันเกิดของพี่หญิงหรือ ต่อให้ข้าไม่ว่างก็จะไปแน่"ฉินหลิวซีได้รับความช่วยเหลือจากพี่หญิงของหลี่เจิ้นหัวมาไม่น้อย แค่ไปร่วมงานแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้แล้ว"ถ้าพี่หญิงได้ยินคงดีใจ""งานเริ่มวันไหน""วันมะรืนปลายยามโหย่ว นี่บัตรเชิญของเจ้า น้าหญิงกับน้าเขยเจ้าสามารถมาเข้าร่วมในฐานะผู้ติดตามได้""นางคงตื่นเต้น"ฉินหลิวซีคิดภาพออกเลยว่าชิวหลานจะพูดอะไรหรือแสดงท่าทีประมาณไหนหลังจากได้ยินเรื่องนี้ น้าหญิงของนางร่าเริงมากตั้งแต่มาเมืองหลวง คุ้มค่าแล้วที่พาทั้งคู่มาเปิดหูเปิดตาฉินหลิวซีตั้งใจสร้างชื่อเสียงและตัวตนของตนเอาไว้ที่นี่ ในอนาคตไม่รู้ว่าลูกหลานสกุลชิวกับท่านพ่อท่านแม่จะย้ายมาที่เมืองหลวงหรือไม่ แต่หากพวกเขามาสิ่งที่นางสร้างไว้จะต้องเป็นประโยชน์แน่"ข้าเองก็ตั้งตารอวันนั้น"หลี่เจิ้นหัวมองนาง สายตาแสดงความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเฝ้ารออะไร แต่แววตาของเขานั้นทำให้นางอยากสร้างความประทับใจที่จะได้พบกันยามค่ำคืนให้พิเศษขึ
"ที่นี่ยอดเยี่ยมไปเลย""ดีใจที่เจ้าชอบ นี่ใบเสนอราคาที่เถ้าแก่คนก่อนเขียนมา"นางกวาดสายตาอ่านดูแล้วก็พยักหน้า "รับได้ แต่ทำไมถึงปล่อยขายล่ะ ทำเลดีมากไม่ใช่หรือ""เขาจะย้ายไปอยู่เมืองอื่นกับหลานชาย กิจการนี้ไม่มีคนสานต่อแล้วเจ้าตัวก็ไม่อยากเดินทางมาเก็บค่าเช่าทุกเดือนด้วย""เข้าใจล่ะ แต่เจ้าเอามันมาได้อย่างไร ร้านทำเลดีแบบนี้ต้องมีคนแย่งกันประมูลมากมายแน่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าแอบสนับสนุนเงินเพิ่มให้ข้าหรอกนะ"พอเห็นนางมองตาขวางเขาก็รีบปฏิเสธ"เปล่า ๆ เถ้าแก่เป็นคนรู้จักของข้า เคยมีบุญคุณต่อกันนิดหน่อยเท่านั้น ข้ามาขอร้องให้เขาช่วยหาเพราะเส้นสายก็ไม่น้อย แล้วเขาก็เสนอร้านที่นี่มา ซึ่งก็เป็นร้านของตัวเองนั่นแหละ"ฉินหลิวซีเคยสำรวจราคาตลาดมาบ้างแล้ว ที่นี่ก็ให้ราคาที่ถูกมากกว่าที่อื่นจริง ๆเมื่อได้คำตอบที่พอใจนางก็ไม่ถามอะไรเขาอีกก่อนจะหมดวันพวกเขาไปยังที่ตั้งโกดัง มันเป็นโรงเก็บไม้เก่าที่เลิกกิจการไปแล้ว อายุการใช้งานก็ยังไม่มาก ไม่ถึงกับต้องซ่อมแซมแค่ปัดฝุ่นนิดหน่อยก็ใช้ได้ฉินหลิวซีจะเริ่มทยอยขนของย้ายไปที่คฤหาสน์วันพรุ่งนี้
"ช่างเถอะเจ้าค่ะท่านน้า เราคงจะเจอแบบนี้อีกบ่อยเลยล่ะ ถึงจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่คนที่หน้าคบหาและเป็นมิตรยังมีอีกมาก"หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ฉินหลิวซีก็ให้พวกสาวใช้ไปเดินสำรวจในเมืองโดยให้ไปกันเป็นกลุ่ม ห้ามแยกไปคนเดียวเพราะต่อให้เป็นเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ที่สำคัญคือห้ามก่อเรื่องเป็นอันขาดหลังจากพวกเขาแยกย้ายกันไปแล้ว นางที่กำลังจะขึ้นไปพักบนห้องก็ถูกเรียกเอาไว้"หลิวซี!""เจิ้นหัว?" นางหันหลังมาเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นใคร อีกฝ่ายวิ่งมาหาจากแยกด้านหน้าของถนน ทำหญิงสาวเอ่ยชื่อของเขาด้วยความประหลาดใจวิ่งมาแบบนั้นจะหายใจทันไหมนี่"ดูจากสีหน้าคงไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอะไรหรอก ก็แค่ตื่นเต้น…" หญิงสาวเอ่ยพึมพำกับตัวเองนางอมยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆเพราะข้าล่ะมั้งหลี่เจิ้นหัววิ่งเข้ามาหาฉินหลิวซีโดยไม่สนสายตาใคร โรงเตี๊ยมนี้อยู่ตรงข้ามเหลาอาหารพวกเขาจึงตกเป็นเป้าสายตา ทำเอานางรู้สึกขัดเขิน"จะ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะมาถึงพรุ่งนี้หรอกหรือ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ออกไปรับเลย""ไม่เป็นไร เจ้าหายใจช้า ๆ หน่อย วิ่งมาตั้งแต่ที่จวนหรือไงเนี่ย
แม้ตอนจะจากก็ยังมีอารมณ์ขัน เชื่อแทบไม่ลงเลยว่าเป็นองค์ชายต่างแคว้นเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีกล้ามีใครมาโจมตีนอกจากพวกไม่มีหัวคิดก็เพราะสถานะของเจียงหรูอี้ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าตอนนี้เป็นแค่จอมยุทธ์พเนจรไม่มีสถานะอื่น แต่หากติดตามข่าวสารต่างแดนบ้างต้องเคยได้เห็นหรือได้ยินเรื่องของเขาบ้างองค์ชายยังประหลาดใจที่ฉินหลิวซีรู้ว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครสนใจสถานะของเขา ซึ่งนั่นทำให้หรูอี้สบายใจและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ พอรู้ว่านางผิดสังเกตก็ประหม่า ฉินหลิวซีต้องอธิบายนานกว่าเขาจะเข้าใจว่านางไม่ได้เจตนาจับผิดหรือเป็นสายลับที่ไหน ก็แค่มีหน่วยข่าวกรองดี ๆ ให้ถามโดยไม่คิดค่าจ้างแค่นั้นเมื่อสิ้นสุดการเดินทางก็ได้เวลาแปลงโฉม ฉินหลิวซีสั่งตั้งกระโจมด้านนอกหนึ่งวันเพื่อเตรียมตัว"น้าหญิง น้าเขย เชิญทางนี้หน่อยเจ้าค่ะ""นะ น้าเขยหรือ!?" เฉาฟางทั้งเขินอายทั้งประหม่าในคราวเดียว"อย่างไรผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ น้าหญิงงามออกปานนี้ ถ้าไม่ทำให้ชัดเจนละก็อาจจะมีคนมาตามตื้อได้""หยา แบบนั้นไม่ได้สิ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ" โวยวายเสร็จ