"แม้แต่ตัวข้าที่อายุเกินเกณฑ์ก็ยังใช้อย่างระมัดระวังแม้ว่าจะเป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติ"นางสอนทุกคนให้พูดถึงคุณสมบัติและข้อห้ามของมันจนจำได้ขึ้นใจราวกับเป็นนกแก้วนกขุนทอง กล่าวหากันแต่เพียงฝ่ายเดียวแบบนี้นางไม่อาจยอมได้ นี่คือการทำธุรกิจที่นางก็ต้องปกป้องตัวเองและผลประโยชน์ของร้านเหมือนกันเรื่องอาการแพ้ใช่ว่าจะปล่อยผ่านไปเฉย ๆ ถึงเรื่องนี้นางจะไม่ผิดก็ต้องไปดูเด็กคนนั้นเสียหน่อย หากร้ายแรงมากจะได้รีบรักษา หลังจากที่โดนชาวบ้านรุมนินทาต่อหน้า ชายผู้มาโวยวายคนนั้นก็พูดไม่ออก"พาข้าไปพบนางเสียหน่อย หากไม่ร้ายแรงมากย่อมรักษาได้""ทางนี้" เขาเอ่ยด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน ใจจริงอยากจะตะคอกใส่เพราะใจปักไปแล้วว่าเป็นความผิดของสตรีผู้นี้ อีกทั้งยังโดนชาวบ้านรุมนินทา แต่ก็ยอมพานางไปเพราะเป็นห่วงบุตรสาวของตนมากกว่าฉินหลิวซีมาถึงบ้านหลังหนึ่ง เดินมาถึงเรือนใหญ่ก็พบคนที่น่าจะเป็นบุตรสาวของลูกค้าคนนี้นั่งเล่นอยู่ที่ระเบียง พอเห็นคนแปลกหน้านางก็ตกใจแต่เมื่อจำได้ว่าสตรีผู้นี้เป็นเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมที่นางใช้ก็ลดอาการประหม่าลงพ่อของนางมองฉินหลิวซีด้วยความระแวงอยู่ตลอดเวลา"อาการแพ้เป็นอย่างไรบ้าง ไ
และที่จะกลับชุมชนคราวนี้ก็จะไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่เรื่องธุระของนางที่ต่างเมืองด้วยเช่นกัน ฉินหลิวซีกลับมาทีไรก็จะมีชาวบ้านมาเดินตามด้วยความอยากรู้อยากเห็นโดยไม่สนใจมารยาทอยู่ตลอด ทำให้หญิงสาวอึดอัดจนไม่อยากกลับมา ทว่าฉินหลิวซีก็ได้พบหน้าพ่อกับแม่อยู่เป็นประจำ พวกท่านมาช่วยดูแลร้านโอสถตลอดแม้ว่าส่วนใหญ่จะอยู่ที่หลังร้านก็ตาม ฉินหลิวซีชวนพ่อกับแม่และเหล่าญาติไปอาศัยที่คฤหาสน์อยู่หลายครั้ง แต่พวกเขาก็ดึงดันปฏิเสธเพราะว่าไม่อยากรบกวนนาง อีกทั้งพวกตนก็อาศัยอยู่ในชุมชนจนคุ้นเคยเป็นหนึ่งเดียวกับวิถีชีวิตแล้ว ระดับฝึกตนของแต่ละคนก็เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอแต่ไม่ได้รวดเร็วเท่านาง อยู่ในเกณฑ์ปกติของคนทั่วไปที่ได้รับการปลุกพลังผ่านยา นึกย้อนไปถึงตอนนั้นหากนางไม่มีน้ำพุวิญญาณอยู่ก็ไม่มีความคิดที่จะให้พวกเขาพึ่งพายานี่เลย ความเสี่ยงสูงมากจนนางไม่กล้าหากไม่มีตัวช่วยใครต่อใครต่างเข้าใจว่าหลี่เจิ้นหัวกับฉินหลิวซีเป็นคนรักกันแล้ว ซึ่งนางก็ไม่เถียงในข้อนั้น เพียงแต่ว่านางยังขอเวลาเขาอยู่และไม่ได้ผลักไสเขาไป ความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อกัน ตอนนี้เหลือแค่รอนางตอบรับก็เท่านั้นทันทีที่เห็นรั้วบ้าน น้าหญิงเล็กที
สองวันต่อมาคนสกุลชิวและฉินก่วงก็ขนสัมภาระมาที่คฤหาสน์หลังใหม่ หลังจากเปิดประตูเข้าไปก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่ามีบ่าวรับใช้อยู่หลายคน ฉินหลิวซีก็รอต้อนรับครอบครัวอยู่ที่นั่นด้วย"นี่มันอะไรกันหรือ" ฉินก่วงดวงตาเบิกกว้าง เพราะบุตรสาวไม่ได้บอกเอาไว้พวกเขาจึงตกใจอย่างมากนางแบ่งทาสส่วนหนึ่งของตนมาที่นี่และไปซื้อทาสใหม่มาเพิ่ม คนบ้านนามสกุลชิวเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็พากันอึ้งจนพูดไม่ออก"นี่คือคนที่จะมาช่วยดูแลคฤหาสน์เจ้าค่ะ" หลานสาวของบ้านยิ้มหวาน นางเกลี้ยกล่อมอยู่ตั้งนานในที่สุดเพราะเขาก็ยอมย้ายมา ถึงแม้คำที่ใช้โน้มน้าวจะแอบบิดเบือนไปจากเดิมก็ตามเพราะนางบอกไปว่าต้องการให้น้าหญิงเล็กมาช่วยดูแลคฤหาสน์หลังนี้ แต่ตอนนี้มีคนงานมาช่วยดูเพิ่มแล้ว แทบจะไม่ต้องให้พวกเขาทำงานลงแรงอะไรมากมายนอกจากเป็นกำลังหลักให้นางเรื่องการค้าขายความรู้สึกเหมือนโดนมัดมือชกชวนตะขิดตะขวงใจแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเพราะยังรู้สึกมึนงง ฉินหลิวซีอาศัยจังหวะนี้รีบรวบรัดตัดความให้พวกทาสแนะนำตัว ส่วนนางก็เอ่ยแนะนำคนจากครอบครัวว่าใครเป็นใครบ้าง จนกระทั่งฉินหลิวซีบอกให้พวกเขายกจอกยาพิษที่พึ่งให้ไปขึ้นดื่ม"นั่นอะไรน่ะลูก" ผู้เป
"แม่เข้าใจแล้ว เจ้าไปเตรียมตัวเดินทางเถอะ""ถ้ามีอะไรเร่งด่วนส่งข่าวมานะเจ้าคะ"ความกลัวจะลืมพูดเรื่องนี้ก่อนเดินทางจึงบอกเอาไว้เสียตั้งแต่ตอนนี้ ฉินหลิวซีเตรียมสัมภาระของตัวเอง นับตั้งแต่ผ่านพิธีปักปิ่นมานางก็ทำอะไรได้คล่องขึ้น ถึงก่อนหน้านี้นางจะใช้ชีวิตค่อนข้างอิสระได้ตามใจเพราะเป็นสาวชาวบ้าน มีแต่เรื่องพิธีการต่าง ๆ หรือทำธุรกรรมที่นางยังต้องให้ผู้ใหญ่ออกหน้าช่วย"ไหนดู ข้าต้องเอาอะไรไปเพิ่มอีกนะ" หญิงสาวลูบคางอย่างคนใช้ความคิดพลางกวาดตามองหีบห่อสัมภาระทั้งหลายของตนเองจากที่นี่ไปเมืองหลวงนั้นไกลด้วยระยะทางไม่น้อย ใช้เวลาก็นาน จากการเดินทางสองสามครั้งที่ผ่านมาก็ทำให้นางเริ่มจับทางได้ว่าควรจะเอาอะไรไปบ้าง แต่ความต่างกันของฤดูกาลมีแต่ละครั้งก็ส่งผลให้การเดินทางล่าช้าหรือเร็วขึ้นได้เพียงเพราะอากาศที่เปลี่ยนไปปีนี้หนาวแฮะ เอาผ้าห่มไปเพิ่มดีกว่า"อาหารแห้งที่เป็นเสบียงสำรอง..."ถึงทุกครั้งจะไม่ได้ใช้ก็เถอะแต่สังหรณ์ว่าควรเอาไปจะดีกว่าพอตัดใจว่าไม่เอาบางอย่างไปแล้วเกิดเหตุฉุกเฉินที่ต้องใช้มันจริง ๆ ก็ทำให้ต้องเสียใจทีหลังอยู่หลาย
ตอนนี้นางฝากฝังทางบ้านให้ดูแลกิจการช่วยแล้วจึงไม่ห่วงอะไรมาก ถึงจะไม่ดีเท่าไหร่ในแง่ของการที่นางเป็นเจ้าของกิจการนั้นแต่ต้องจากที่ทำงานไปหลายเดือนการที่นางจ้างคนมากมายและฝึกฝนพวกเขาให้ช่วยงานก็ทุ่นแรงได้เป็นอย่างดี ในเมื่อสามารถฝากให้คนอื่นดูแลได้เพราะนางจะได้เอาเวลาไปทำอย่างอีกหลาย ๆ เรื่อง แล้วทำไมหญิงสาวจะไม่ทำแล้ว ฉินหลิวซียินดีที่จะมองข้ามเรื่องเล็กน้อยไป ส่วนร้านน้ำชาของนางที่วางแผนไว้กลับมาจึงจะทำให้มันเป็นรูปเป็นร่าง นั่นคือสิ่งที่วางแผนไว้"เรื่องที่จะไปกับข้า เจ้าตัดสินใจดีแล้วแน่นะ" หลี่เจิ้นหัวถามย้ำนางอยู่หลายครั้งพี่ว่าจะไปกับเขาจริง ๆ จะไม่เป็นไรแน่หรือการเดินทางครั้งนี้นอกจากเพื่อฝึกฝนตนเองแล้ว ชายหนุ่มก็จะได้ใช้เวลาอยู่กับหญิงสาวผู้เป็นที่รักด้วย ทำให้ตนไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่ว่าไม่ได้ฝันอยู่ ตอนที่นางตอบตกลงเดินทางฝึกฝนด้วยการครั้งนี้ทำให้เขานอนไม่หลับไปหลายวันเลยทีเดียว"ข้าตัดสินใจไปแล้วน่า เจ้าจะถามอีกสักกี่ครั้งกัน" นางบอกตัดรำคาญ ที่เขาถามก็ทำให้นางดีใจอยู่หรอกแต่พอถามบ่อยเข้าก็ทำให้รำคาญไม่น้อย ต้องให้นางตบแต่งเข้าบ้านเขาไปเ
หลังจากเดินทางอยู่หลายวัน ในที่สุดก็มาถึงเมืองถัดไปที่เป็นทางผ่านจนได้ ขบวนรถของนางอยู่ที่หน้าประตูแล้วแต่ขบวนของผู้ติดตามยังมาไม่ถึง เจ้านายทั้งสองรั้งรอขบวนด้านหลังอยู่นานแต่ก็ไม่มาเสียที พวกเขาเริ่มรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง"มีอะไรแปลก ๆ นะ ทำไมจนป่านนี้แล้วพวกเขายังไม่มา"ถึงจะล่าช้าอย่างไรก็ไม่ควรนานถึงขนาดนี้ ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่ หลี่เจิ้นหัวเองก็กังวลใจ ถึงเวลาที่พวกเขาต้องเข้ารับการตรวจค้นแล้ว จะให้ของที่นำมาก่อนตกค้างอยู่ที่นี่ก็กระไร"จะทำอย่างไรกันดีล่ะ ให้พวกเขาเข้าไปก่อนอย่างนั้นหรือ""คนมาด้วยกันตั้งเยอะตั้งแยะ ฝากไว้กับคนของเจ้าก่อนไม่ได้หรือ""นั่นก็ได้อยู่หรอก ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้นข้าก็ไม่มีปัญหา""เจ้าจะไม่ตามใจข้าเกินไปหน่อยหรือไง""ตามใจเจ้าก็ไม่เห็นไม่ดีตรงไหนนี่นา เจ้าก็ชอบไม่ใช่หรือไง" บุรุษข้างกายยกมือรองท้ายทอยด้วยท่าทีสบาย ๆ หยอกเย้านางไม่หยุดหย่อน พูดเรื่องจริงจังกันได้อยู่ไม่กี่คำก็หาเรื่องมาแซวนางอีกแล้ว"ชอบมันก็ชอบอยู่หรอก แต่ถ้าเจ้าทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นบ่อย ๆ ข่าวต้องถึงหูแม่เจ้าแน่" นางบ่
ไม่รู้หรอกนะว่าใครเป็นคนส่งนักฆ่ากลุ่มนี้มา แต่คนคนนั้นช่างไม่รู้จักการทำงานของอาชีพมือสังหารเอาเสียเลย ส่งมาเป็นกลุ่มแบบนี้อีกไม่นานต้องขัดขากันเองแน่ การเพิ่มจำนวนรังแต่จะสร้างภาระให้คนในกลุ่มด้วยกันเองเท่านั้นมือสังหารแต่ละคนมีวิธีจัดการต่างกัน หากอะไรผิดแผนไปสักเล็กน้อยก็นำมาซึ่งความผิดพลาด และเมื่อไหร่ก็ตามที่ผิดพลาด พวกเขาก็จะเปลี่ยนแผนทันทีและนั่นจะทำให้ผลลัพธ์ที่ควรต้องแน่นอนจากหนึ่งเหลือแค่ศูนย์ได้เลยทันทีที่คิดแบบนั้นก็เกิดสถานการณ์ที่ช่วยยืนยันว่าความคิดนั้นของนางถูกต้องหนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้นซัดมีดบินออกมา แล้วอีกด้านหนึ่งก็ซักเข็มพิษออกมาพร้อมกัน สุดท้ายอาวุธทั้งสองก็ปะทะกันก่อนจะถึงตัวนางทำให้การโจมตีครั้งนี้ล้มเหลว เจ้าของอาวุธทั้งสองหันมองอีกฝ่ายด้วยแววตาขุ่นเคือง แม้จะปิดซ่อนใบหน้าไว้ใต้ผ้าคลุมแต่ก็ยังมองเห็นดวงตา"หลี่เจิ้นหัว ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง!" นางตะโกนถามโดยไม่หันไปมอง ได้ยินแต่เสียงกระบี่ฟาดฟันกันไปมา จะหันไปมองด้วยตัวเองก็ละสายตาไปจากศัตรูตรงหน้าไม่ได้"ข้าไม่เป็นไร!"เพียงได้ยินเสียงก็รู้ตำแหน่งกันและกัน ตอนนี
"คุณหนูฉิน!"ผู้ติดตามของบุตรชายแม่ทัพมาถึงก็ไล่ต้อนศัตรูให้ล่าถอยออกไปทันที อารักขาคุณหนูกับนายน้อยเอาไว้ตรงกลาง เมื่อเห็นท่าไม่ดีพวกมันก็ถอนกำลังและหนีหายเข้าไปในป่า คนของหอกระจายข่าวไล่ตามไปโดยพวกเขาแบ่งกันเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคอยอยู่เฝ้าดูแลนายน้อยกับสหายที่นี่ อีกส่วนหนึ่งตามไปจัดการคนพวกนั้นหลี่เจิ้นหัวไม่คาดหวังกับเบาะแสเพราะพวกมือสังหารเวลาทำงานพลาดมักจะชิงดื่มยาพิษไปก่อนก็ได้เค้นถามอะไรข้าคงต้องสืบดูเรื่องนี้อย่างจริงจังเสียแล้วเมื่อสถานการณ์สงบลงแล้ว หลี่เจิ้นหัวก็เดินเข้าไปหาสตรีที่ยืนพิงต้นไม้อยู่"เป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บที่ใดหรือไม่""แค่เสื้อผ้าขาดกับรอยถลอกนิดหน่อย" พวกนั้นฟันนางไม่ได้สักแผล แต่คมอาวุธก็ทำเอาเสื้อผ้าของนางเสียหายจนไม่น่าดู ชายชุดกับแขนเสื้อรุ่งริ่งไปหมด ฉินหลิวซีถอนหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความเสียดายเพราะชุดนี้เป็นหนึ่งในชุดโปรดของนางเลย"กลับไปที่เมืองกันก่อนเถอะ"ฉินหลิวซีพยักหน้าเห็นด้วย คลุกดินมาขนาดนี้นางอยากอาบน้ำจะแย่แล้ว หลี่เจิ้นหัวไปสั่งงานคนของตนไม่นานก็จะกลับมา หนึ่งในนั้นไปเรียกรถม้ามาให้เจ
"ไปไหน""สถานที่ล่าสัตว์วันนั้น"ถ้าเป็นเรื่องนี้ละก็นางไม่ปฏิเสธแน่อยู่แล้ว"เอาสิ"การล่าสัตว์ขององค์ชายรองกับองค์ชายรัชทายาทนั้นเกิดขึ้นระหว่างเสด็จเยี่ยมราษฎร ระหว่างรับเรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้าน วันหนึ่งพวกเขาก็ชวนกันไปล่าสัตว์ฆ่าเวลาป่านนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงกับเมืองเหวินทางตะวันออก ป่าหนาทึบเป็นอันดับสองจากป่ารอบเมืองทั้งหมดหลี่เจิ้นหัวออกมากับนางสองคน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้รถม้าหรือพาหนะใดเพราะไม่อยากสะดุดตา แม้จะมีคนเชื่อว่าเป็นฝีมือองค์ชายรองแต่พระองค์ยืนกรานว่าไม่รู้เรื่อง หากอยากให้คนร้ายดิ้นไม่หลุดก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้"เจ้าคิดไว้ในใจแล้วหรือยัง!""เรื่องอะไร!" เขาตะโกนถามกลับ การวิ่งฝ่าสายลมทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกันและกัน"จะสืบอย่างไร…" พูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยคฉินหลิวซีก็ส่ายหน้า ทำมือเป็นสัญญาได้ไปคุยกันหลังถึงที่หมาย คุยกันตอนนี้ให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องเดินทางกันอยู่นานในที่สุดก็ถึงป่าระหว่างสองเมืองเสียที พวกเขาตามร่องรอยมาถึงจุดเกิดเหตุ ทั้งรอยเท้าและของตกหายไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก
โจวเมิ่งอิ๋งคร่ำครวญถึงความน่าสงสารราวโชคชะตากลั่นแกล้งของบุตรสาว ไม่มีแก่ใจมารับรองแขกด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดีที่มีอนุคนสนิทอยู่ข้างกายคอยปลอบใจฟังจากน้ำเสียงคงทุกข์ใจเหลือประมาณ หลี่เจิ้นหัวรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว"ทีนี้ข้าจะลงมืออย่างไรดีนะ…"บรรยากาศในห้องค่อนข้างอับชื้น พี่หญิงต้อนรับนางเป็นอย่างดีแม้จะหน้าซีดเซียวกว่าปกติก็ตาม"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่หญิงดูผอมลงไปหรือไม่ กินข้าวไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ""อยากที่เจ้าเห็น ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ดังนั้นเลยเชื่อว่าอีกไม่นานคงดีขึ้น"แต่ดูเหมือนความเชื่อของนางจะทรยศนางทีละนิด แต่ละวันที่ผ่านไปขื่นขมนักสีหน้าของหลี่เมิ่งเหยาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน ถึงจะบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไร แต่สถานการณ์แบบนี้คงยิ้มไม่ออก"เรื่องนี้จัดการไม่ได้ง่าย ๆ แต่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรพี่หญิงอย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ""ฉินหลิวซี ถ้าซาบซึ้งน้ำใจเจ้าจริง ๆ" หลี่เมิ่งเหยาน้ำตารื้น พอรู้ว่านางอาจต้องโทษเหล่ามิตรสหายก็พากันหนีหน้า ส่วนหนึ่งก็คงเพราะคำสั่งของบิดามารดามิให้มาข้อง
เหตุการณ์นี้ทั้งสองนัดแนะกันเองโดยไม่ได้บอกผู้ติดตามพวกเขาจึงไม่ได้ถูกลงโทษที่ละเลยหน้าที่ และโชคดีที่แม่ทัพหลี่ซึ่งเดินทางไปด้วยมาช่วยไว้ทันด้วยเหตุนี้จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นในหมู่ชาวเมือง ว่าเป็นฉากที่ถูกจัดไว้หรือเปล่า"เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครสนใจเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมแล้วสินะ…"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าเห็น ๆ ก็ดี เพราะข้าก็ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจมากนักในตอนนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ ยังวางใจไม่ได้"ต้องไปหาเจิ้นหัวหน่อยแล้ว"ฉินหลิวซีไปที่หอกระจายข่าวแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ นางรู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลกระทบถึงสกุลหลี่มากกว่าที่คิด"เพราะพี่หญิงเป็นพระคู่หมั้นขององค์ชายรัชทายาทอย่างนั้นหรือ…?"หรือจะไม่ใช่กันนะคุยกับตัวเองยังไม่จบก็พบว่ายืนอยู่หน้าห้องทำงานของหลี่เจิ้นหัวเสียแล้ว นางเคาะประตูสองครั้งอีกฝั่งก็เอ่ยอนุญาต"หลิวซี~" พอเห็นหน้านางอีกคนก็โอดครวญเสียงอ่อนอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางม้วนกระดาษสู่ท่วมหัว"ดูเหมือนเจ้าจะมี
ร้านที่ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัด รู้แต่ว่าสกุลหลี่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้เสมือนคนกลางหลี่ซีเหยาเหยียดยิ้มนึกอยากขัน สินค้านี้มีอยู่ในร้านของบ้านอยู่แล้ว นางเป็นผู้เอามาให้เช่นนี้ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากสังเกตและไตร่ตรองดูสักนิดจะรู้ว่าบรรจุภัณฑ์นี้ไม่ได้วางขายในปัจจุบัน มันเป็นตลับแบบใหม่ที่ยังไม่ได้วางหน้าร้านที่ไหน"นี่เป็น…สินค้าจากร้านของข้าเอง เป็นกระปุกชาดและตลับแป้งลายใหม่ที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหน ข้ามอบมันให้พี่หญิงเป็นคนแรก"ทันทีที่ฉินหลิวซีพูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย"เป็นไปไม่ได้ สามัญชนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้อย่างไร อย่ามาแอบอ้างนะ เจ้าต้องไปแอบซื้อที่ไหนมาแน่ ๆ แล้วไปแอบเปลี่ยนตลับทีหลังใช่ไหมล่ะ" หลี่ซีเหยาอย่างไม่ยอม นางเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนมารดาที่เป็นอนุสั่งให้สาวใช้มาพาตัวออกไปเพราะเริ่มจะทำขายหน้า อีกทั้งแม่ทัพยังมองนางด้วยแววตากรุ่นโกรธอีกด้วย หากไม่รีบจัดการนางก็จะโดนลงโทษหลังจบงานนี้แน่สถานการณ์สงบลงแต่เรื่องของฉินหลิวซียังเป็นที่พูดถึงตัวตนของเจ้าขอ
"บุตรสาวคนเล็กของข้าอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับคุณชายหลี่ เรียนรู้งานฝีมือตั้งแต่ยังเล็กจนชำนาญ พิณ หมาก อักษร ล้วนเป็นเลิศ…"เซียนโอสถน้อยรู้สึกกระดากใจเกินจะฟังจึงเดินหนีออกมา รู้หรอกว่าหลี่เจิ้นหัวคงไม่เอาด้วยแต่นางก็ไม่ชอบใจอยู่ดีถึงจะไม่พอใจแต่ถ้านางโวยวายหรืออาละวาดขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ รังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้ฮูหยินท่านที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้นฉินหลิวซีกลับมานั่งที่โต๊ะ น้าหญิงกับน้าเขยทำตัวไม่ถูกกับงานเช่นนี้จึงเลือกโต๊ะที่ไม่ค่อยโดดเด่น นางเข้าใจว่าทั้งสองคงอึดอัดจึงไม่ห้าม แต่ว่านางร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้ ในบัตรเชิญบอกไว้ว่าให้นางนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าของงานโคมไฟแดงประดับต้นไม้สว่างวาบขึ้นจากเดิมพร้อม ๆ กัน ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองหน้าเรือนรับรองที่มีทางเดินหินอ่อนทอดยาวออกมาถึงสวน ฉินหลิวซีเห็นหลี่เมิ่งเหยาออกมาแล้วจึงขอตัวท่านหญิงหลี่ออกมาพร้อมกับสหายท่านหญิงคนอื่น ๆ ฉินหลิวซีรู้สึกคุ้นหน้าพวกนางเกือบทุกคนเพราะเคยเจอกันมาก่อนแล้ว นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าได้ร่วมโต๊ะกับคนที่คุ้นเคยกันมันดีต่อความรู้สึกนางมากกว่าที่ต้องร่วมโต๊ะกับคนแ
"จริงสิ พี่หญิงเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาง เจ้าพอจะมีเวลาหรือไม่""งานวันคล้ายวันเกิดของพี่หญิงหรือ ต่อให้ข้าไม่ว่างก็จะไปแน่"ฉินหลิวซีได้รับความช่วยเหลือจากพี่หญิงของหลี่เจิ้นหัวมาไม่น้อย แค่ไปร่วมงานแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้แล้ว"ถ้าพี่หญิงได้ยินคงดีใจ""งานเริ่มวันไหน""วันมะรืนปลายยามโหย่ว นี่บัตรเชิญของเจ้า น้าหญิงกับน้าเขยเจ้าสามารถมาเข้าร่วมในฐานะผู้ติดตามได้""นางคงตื่นเต้น"ฉินหลิวซีคิดภาพออกเลยว่าชิวหลานจะพูดอะไรหรือแสดงท่าทีประมาณไหนหลังจากได้ยินเรื่องนี้ น้าหญิงของนางร่าเริงมากตั้งแต่มาเมืองหลวง คุ้มค่าแล้วที่พาทั้งคู่มาเปิดหูเปิดตาฉินหลิวซีตั้งใจสร้างชื่อเสียงและตัวตนของตนเอาไว้ที่นี่ ในอนาคตไม่รู้ว่าลูกหลานสกุลชิวกับท่านพ่อท่านแม่จะย้ายมาที่เมืองหลวงหรือไม่ แต่หากพวกเขามาสิ่งที่นางสร้างไว้จะต้องเป็นประโยชน์แน่"ข้าเองก็ตั้งตารอวันนั้น"หลี่เจิ้นหัวมองนาง สายตาแสดงความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเฝ้ารออะไร แต่แววตาของเขานั้นทำให้นางอยากสร้างความประทับใจที่จะได้พบกันยามค่ำคืนให้พิเศษขึ
"ที่นี่ยอดเยี่ยมไปเลย""ดีใจที่เจ้าชอบ นี่ใบเสนอราคาที่เถ้าแก่คนก่อนเขียนมา"นางกวาดสายตาอ่านดูแล้วก็พยักหน้า "รับได้ แต่ทำไมถึงปล่อยขายล่ะ ทำเลดีมากไม่ใช่หรือ""เขาจะย้ายไปอยู่เมืองอื่นกับหลานชาย กิจการนี้ไม่มีคนสานต่อแล้วเจ้าตัวก็ไม่อยากเดินทางมาเก็บค่าเช่าทุกเดือนด้วย""เข้าใจล่ะ แต่เจ้าเอามันมาได้อย่างไร ร้านทำเลดีแบบนี้ต้องมีคนแย่งกันประมูลมากมายแน่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าแอบสนับสนุนเงินเพิ่มให้ข้าหรอกนะ"พอเห็นนางมองตาขวางเขาก็รีบปฏิเสธ"เปล่า ๆ เถ้าแก่เป็นคนรู้จักของข้า เคยมีบุญคุณต่อกันนิดหน่อยเท่านั้น ข้ามาขอร้องให้เขาช่วยหาเพราะเส้นสายก็ไม่น้อย แล้วเขาก็เสนอร้านที่นี่มา ซึ่งก็เป็นร้านของตัวเองนั่นแหละ"ฉินหลิวซีเคยสำรวจราคาตลาดมาบ้างแล้ว ที่นี่ก็ให้ราคาที่ถูกมากกว่าที่อื่นจริง ๆเมื่อได้คำตอบที่พอใจนางก็ไม่ถามอะไรเขาอีกก่อนจะหมดวันพวกเขาไปยังที่ตั้งโกดัง มันเป็นโรงเก็บไม้เก่าที่เลิกกิจการไปแล้ว อายุการใช้งานก็ยังไม่มาก ไม่ถึงกับต้องซ่อมแซมแค่ปัดฝุ่นนิดหน่อยก็ใช้ได้ฉินหลิวซีจะเริ่มทยอยขนของย้ายไปที่คฤหาสน์วันพรุ่งนี้
"ช่างเถอะเจ้าค่ะท่านน้า เราคงจะเจอแบบนี้อีกบ่อยเลยล่ะ ถึงจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่คนที่หน้าคบหาและเป็นมิตรยังมีอีกมาก"หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ฉินหลิวซีก็ให้พวกสาวใช้ไปเดินสำรวจในเมืองโดยให้ไปกันเป็นกลุ่ม ห้ามแยกไปคนเดียวเพราะต่อให้เป็นเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ที่สำคัญคือห้ามก่อเรื่องเป็นอันขาดหลังจากพวกเขาแยกย้ายกันไปแล้ว นางที่กำลังจะขึ้นไปพักบนห้องก็ถูกเรียกเอาไว้"หลิวซี!""เจิ้นหัว?" นางหันหลังมาเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นใคร อีกฝ่ายวิ่งมาหาจากแยกด้านหน้าของถนน ทำหญิงสาวเอ่ยชื่อของเขาด้วยความประหลาดใจวิ่งมาแบบนั้นจะหายใจทันไหมนี่"ดูจากสีหน้าคงไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอะไรหรอก ก็แค่ตื่นเต้น…" หญิงสาวเอ่ยพึมพำกับตัวเองนางอมยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆเพราะข้าล่ะมั้งหลี่เจิ้นหัววิ่งเข้ามาหาฉินหลิวซีโดยไม่สนสายตาใคร โรงเตี๊ยมนี้อยู่ตรงข้ามเหลาอาหารพวกเขาจึงตกเป็นเป้าสายตา ทำเอานางรู้สึกขัดเขิน"จะ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะมาถึงพรุ่งนี้หรอกหรือ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ออกไปรับเลย""ไม่เป็นไร เจ้าหายใจช้า ๆ หน่อย วิ่งมาตั้งแต่ที่จวนหรือไงเนี่ย
แม้ตอนจะจากก็ยังมีอารมณ์ขัน เชื่อแทบไม่ลงเลยว่าเป็นองค์ชายต่างแคว้นเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีกล้ามีใครมาโจมตีนอกจากพวกไม่มีหัวคิดก็เพราะสถานะของเจียงหรูอี้ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าตอนนี้เป็นแค่จอมยุทธ์พเนจรไม่มีสถานะอื่น แต่หากติดตามข่าวสารต่างแดนบ้างต้องเคยได้เห็นหรือได้ยินเรื่องของเขาบ้างองค์ชายยังประหลาดใจที่ฉินหลิวซีรู้ว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครสนใจสถานะของเขา ซึ่งนั่นทำให้หรูอี้สบายใจและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ พอรู้ว่านางผิดสังเกตก็ประหม่า ฉินหลิวซีต้องอธิบายนานกว่าเขาจะเข้าใจว่านางไม่ได้เจตนาจับผิดหรือเป็นสายลับที่ไหน ก็แค่มีหน่วยข่าวกรองดี ๆ ให้ถามโดยไม่คิดค่าจ้างแค่นั้นเมื่อสิ้นสุดการเดินทางก็ได้เวลาแปลงโฉม ฉินหลิวซีสั่งตั้งกระโจมด้านนอกหนึ่งวันเพื่อเตรียมตัว"น้าหญิง น้าเขย เชิญทางนี้หน่อยเจ้าค่ะ""นะ น้าเขยหรือ!?" เฉาฟางทั้งเขินอายทั้งประหม่าในคราวเดียว"อย่างไรผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ น้าหญิงงามออกปานนี้ ถ้าไม่ทำให้ชัดเจนละก็อาจจะมีคนมาตามตื้อได้""หยา แบบนั้นไม่ได้สิ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ" โวยวายเสร็จ