ชิวหลานนั่งนิ่งอึ้ง สีหน้าทุกคนประหลาดใจพอ ๆ กันตั้งแต่ที่เด็ก ๆ ออกจากเมืองไป พวกเขาก็แปลกใจอยู่ว่าทำไมฉินก่วงถึงล่าสัตว์ได้มากกว่าแต่ก่อน เดิมทีก็ล่าสัตว์เก่งอยู่แล้ว แต่พักหลังมานั้นดูเหมือนว่าจะใช้เวลาน้อยลงไปมากจนน่าแปลกใจพอเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวจึงได้ลองถามดู ถึงได้รู้ว่าทั้งสองคนกลายเป็นผู้ฝึกตนแล้ว พอรู้อย่างนี้ก็ไม่กล้าถามรายละเอียดอื่น ๆ อีก ในตอนนั้นรู้สึกเหมือนไม่ควรจะถาม หากทั้งสองคนต้องการบอกก็คงบอกออกมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ก็ยังเก็บเงียบมาจนถึงเดี๋ยวนี้พอฉินหลิวซีพูดเรื่องนี้ขึ้นมาพวกเขาคิดว่าคงจะเกี่ยวข้องกัน“ดูจากสีหน้าพวกท่านยายไม่ได้ประหลาดใจเท่าไร ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่อธิบายเกินความจำเป็น พวกท่านยายท่านลุงท่านน้า ช่วยกลับไปคิดสิ่งที่ข้าจะพูดสักหน่อยเถอะนะ...”ฉินซือหยวนล้างชามเสร็จออกมาจากหลังบ้านพอดีจึงนั่งฟังกับพี่สาวด้วย เด็กหญิงแย้มยิ้มพลางบอกเล่าความคิดของตนไป รอยยิ้มของนางสะกดคนให้มองค้างก่อนจะถ่ายทอดความรู้สึกผ่านดวงตาความปรารถนานี้อาจยากที่จะเข้าใจ สำหรับคนที่เคยมองโลกในแง่ร้ายและไม่ปรารถนาจะเห็นใจผู้อื่น ความรู้สึกชิงชังความเป็นจริงที่ตนได้เผชิญ และ
“ถ้าเรื่องนั้นละก็ พวกน้าตัดสินใจแล้ว แต่ว่าท่านตาท่านยายยังมีเรื่องที่ห่วงอยู่”“อะไรหรือเจ้าคะ”“อย่างที่เห็นว่าพวกท่านอายุมากแล้ว ต่อให้ใช้ยาวิเศษของเจ้าก็รู้สึกว่ามีความเสี่ยงอยู่ดี แม้ว่าน้าจะรบเร้าไปหลายครั้งแล้ว แต่พวกท่านก็ไม่ยอม”ฉินหลิวซีพยักหน้าอย่างเข้าใจ เรื่องนี้ก็สมเหตุสมผลที่พวกท่านจะกังวล เป็นนางเองอยู่ในจุดนั้นก็คงมองเรื่องนี้ว่ามีความเสี่ยงเลวร้ายมากกว่าดี“ท่านแม่ ข้าเองก็เคยกลัวเหมือนท่าน” ชิวย่าหนาน เป็นคนเดินเข้าไปหามารดาของนางก่อนใครหลังจากได้ฟัง นางเข้าใจความรู้สึกนั้นดี เพราะในตอนที่ตนเองต้องตัดสินใจ ก็ห่วงเรื่องเดียวกันนี้ว่าอายุมากแล้ว“ข้าเข้าใจว่าท่านกังวล แต่หากมองย้อนกลับไป ข้าก็หวังว่าท่านจะตอบรับคำขอของหลาน”“ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ” สตรีอาวุโสกุมมือบุตรสาวตอบ ถามด้วยเสียงอ่อนโยน“เพราะสถานะทางการเงินของบ้านเราไม่เคยดี สิ่งที่ควรจะได้มีจะได้ใช้ร่วมกันอย่างเช่นเวลาครอบครัวไม่เคยมาถึง และเพราะร่างกายอ่อนแอ ความเป็นอยู่ส่งผลเช่นนั้น พวกเขาจึงรังแกเราได้ง่าย หากกลายเป็นคนที่สมเป็นมนุษย์ยิ่งกว่านั้น ทั้งความแข็งแกร่งของร่างกายและจิตใจที่ได้มา ข้าเชื่อว่าเรา
“เอาโอสถไปให้พวกเขา” ฉินหลิวซีฝากน้องชายนำยาไปแจกจ่าย ส่วนตัวเองไปต้มยาสมุนไพรเพิ่ม “หลังจากนี้ฝากท่านพ่อท่านแม่ช่วยข้าเป็นหูเป็นตาด้วยนะเจ้าคะ หากพวกเขาเริ่มมีความรู้สึกทรมานหรือเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว ก็นำยาในหม้อนี้ไปให้พวกเขาดื่มหนึ่งถ้วย เว้นช่วงสองชั่วยาม” ฉินหลิวซีเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ครั้งนี้ไม่มีอาจารย์คอยช่วย แต่สมุนไพรที่นางเตรียมไว้และโอสถล้ำค่าก็สามารถทดแทนได้“เข้าใจแล้ว” บิดามารดาเอ่ยรับพร้อมกันนางเตรียมทุกอย่างเอาไว้หมดแล้วรวมถึงผ้าที่ซับเหงื่อจากความร้อนที่จะแผ่ออกมาด้วย หลังจากแต่ละคนกินโอสถเข้าไปก็เริ่มแสดงสีหน้าไม่สู้ดีออกมา เพียงแต่ว่ายังอยู่ในระดับที่ทนได้คนอายุน้อยทนความเจ็บปวดได้ ที่นางห่วงจริง ๆ จึงเป็นท่านตาท่านยาย ความเจ็บปวดทำให้พวกเขาเผลอหลุดเสียงร้องด้วยความทรมานออกมาฉินหลิวซีมองพวกเขาแล้วก็รู้สึกลังเลอยู่หลายครั้งเกิดคำถามในใจไม่หยุดหย่อนว่า ควรยกเลิกตั้งแต่ตอนนี้ดีหรือไม่ เสียงภายในใจและเสียงในหัวทะเลาะกันไปมาว่าควรหยุดหรือไปต่อ เสียงหนึ่งห้ามเสียงหนึ่งเห็นด้วย จนกระทั่งเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ที่นางต้องหักห้ามตัวเองอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามวันถัดมาก็สัม
“พ่อเห็นด้วย แต่ที่หมู่บ้านเรามีคนน้อย คงมีลูกค้าเวียนมาไม่มาก”“เรื่องนั้นข้าคิดไว้แล้วเจ้าค่ะ พวกเราเริ่มเช่าร้านเล็ก ๆ ในเมืองได้ พอมีกำไรมากและมีลูกค้าประจำจึงค่อยขยับขยายออกมาก็ได้”การรักษาครั้งหนึ่งเสียเงินไม่ใช่น้อยจึงไม่มีใครอยากป่วยไข้กัน บางครั้งก็ไม่สะดวกที่จะรอผู้มีวิชาความรู้เฉพาะทางมาตรวจทุกครั้งไป หากเป็นหวัดเล็กน้อยและซื้อยากินเองได้ก็ประหยัดเวลาทั้งหมอและคนไข้ไปได้มากฟังความคิดของบุตรสาวแล้วทั้งสองคนก็รู้สึกเห็นด้วย ร้านโอสถเล็ก ๆ ที่มียาหลากหลาย ดูแล้วความต้องการค่อนข้างสูง และในเมืองนี้ก็ยังไม่มีร้านโอสถเป็นหลักแหล่ง“พ่อเห็นด้วยที่เจ้าจะทำแบบนั้น ท่านลุงรู้จักหลายคนในเมือง อาจจะพอแนะนำที่ทางให้ได้”“ไว้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากันอีกที แต่แม่เห็นด้วยนะที่เจ้าจะทำ”“แค่ท่านพ่อท่านแม่เห็นด้วยก็รู้สึกเหมือนว่าสำเร็จไปแล้วละเจ้าค่ะ” นางจูงมือท่านพ่อท่านแม่คนละข้าง แย้มยิ้มไปตลอดทางมาถึงตัวเมืองที่มีความเจริญแล้ว พวกเขาจึงพานางไปดูร้านที่กำลังปล่อยให้เช่าหลังจากซื้อของที่ต้องการเสร็จแล้วด้วย ได้ดูทำเลที่ตั้งเสียทีเดียว ดูไว้หลาย ๆ ที่จะได้นำไปเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจที่ทาง
โลกที่ทาสสามารถซื้อขายเป็นแรงงานได้ มีตลาดเฉพาะอยู่ตามเมืองใหญ่ ๆ ซึ่งเมืองของนางไม่มี ต้องไปยังเมืองข้าง ๆ ที่เป็นศูนย์กลางการค้าขายที่ใกล้ที่สุด ทำให้ต้องนั่งรถม้าไปไหน ๆ ก็อาจจะได้รับทาสกลับมาด้วย นางจึงยอมจ่ายเพื่อพาหนะที่สะดวกการซื้อขายทาสไม่ได้ผิดกฎหมาย เพียงแต่ต้องทำกันอย่างเป็นระเบียบภายใต้กฎที่ผู้ครองแผ่นดินเป็นผู้กำหนดฉินหลิวซีเดินดูทาสเหล่านั้นตั้งแต่หัวแถวไปจนถึงท้ายแถว พวกเขายืนอยู่สองฝั่งทางเดินโดยมีตัวแทนเป็นผู้โฆษณาคุณสมบัติของทาสคนนั้นคอยชักชวนให้คนซื้อ กฎของที่นี่คือห้ามระรานและบังคับผู้เป็นลูกค้าให้ซื้อตามคำชักชวน พวกเขาจะไม่พุ่งเข้ามาเพื่ออวดอ้างคุณสมบัติหากผู้ซื้อไม่ได้เป็นฝ่ายเข้าไปถามหลังจากเดินดูอยู่รอบหนึ่งนางก็เลือกคนที่ต้องการได้ฉินหลิวซีได้ชายฉกรรจ์ที่เคยเป็นองครักษ์ และเป็นแฝดกันมาสองคน อดีตเถ้าแก่ร้านยาที่ล้มละลายก่อนขายตัวเป็นทาสหนึ่งคน บ่าวกับสาวใช้อีกสี่คนที่ถูกเลือก และบ่าวแม่ลูกคู่หนึ่งที่บุตรสาวของนางอายุเท่ากันกับฉินหลิวซีนางมองดูด้วยตาเปล่าก็เห็นว่าพวกเขาไม่ได้เจ็บป่วยร้ายแรงหรือเป็นโรคเรื้อรัง มีเพียงแค่ความซูบผอมที่เห็นภายนอกเพราะสภาพแวดล้
“ซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่ขนาดนั้น เหมือนฝันอยู่เลย” ชิวย่าหนานยกมือกุมใบหน้าตัวเอง ดวงตาของนางเบิกกว้างหันไปมองสามีก็ทำตัวไม่ถูกเช่นเดียวกัน“ข้าคิดว่าจะให้พวกเราย้ายไปอยู่ที่นั่น แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้เจ้าค่ะ ระหว่างนี้ให้ไปสร้างข่าวลือว่า คฤหาสน์หลังนั้นเป็นของคหบดีที่จะย้ายมาใหม่ จนกว่าทุกคนจะแข็งแกร่งกว่านี้เราจะยังไม่ย้ายไปที่นั่น” “ทำไมต้องสร้างชื่อว่าเป็นคหบดีด้วยเล่า” “เพื่อความน่าเชื่อถือเจ้าค่ะ อย่างไรเรื่องที่มีเงินทองมากมายก็เป็นความจริง การทำการค้าก็กำลังดำเนินอยู่ ไม่ใช่เรื่องหลอกลวงเลย”นางอธิบายให้ฟังอย่างง่าย ๆ ทุกคนก็เข้าใจได้หลังจากวันนั้น ตอนเช้านางจะเข้าไปดูร้านที่ตกแต่งใหม่ ส่วนทางบ้านของนาง หลังจากที่ได้รู้แล้วว่าหลานสาวตั้งใจจะทำอะไรพวกเขาก็ฝึกซ้อมอย่างหนัก โดยเฉพาะลุงใหญ่ ลุงรอง น้าใหญ่ น้ารองเวลาผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่วันที่โอสถทะลวงลมปราณสัมฤทธิ์ผล พวกเขากลายเป็นผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดลมปราณขั้นที่ห้า ขณะที่ท่านตาท่านยายของฉินหลิวซีอยู่ในระดับก่อเกิดลมปราณขั้นที่หนึ่ง และน้าเล็กก่อเกิดลมปราณขั้นที่สองเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าพวกเขามีความเหนือกว่าด้านพละกำล
หลังจากเปิดร้านได้ไม่กี่วัน ก็พบว่าลูกค้ามาที่ร้านของนางอยู่เรื่อย ๆ บางส่วนมาเพราะสนใจว่ามีร้านโอสถเปิดใหม่ บางส่วนก็มาดูคู่แข่งทางการตลาด บ้างก็มาหาซื้อยาจริง ๆ ช่วงแรกของธุรกิจก็แบบนี้ คนกำลังสนใจสิ่งที่ไม่เคยมีจะตัดสินว่าร้านของนางอยู่รอดไปได้ยาวนานหรือไม่ก็ต้องผ่านพ้นช่วงสามเดือนแรกไปก่อน หลังจากนั้นจึงจะบอกได้ว่า ใครที่เป็นกลุ่มลูกค้าจริง ๆเรื่องหน้าร้านนางให้ทาสที่ซื้อมาจัดการไป ส่วนการปรุงยาต่าง ๆ ที่วางขายเป็นหน้าที่ของนาง รวมถึงจนกว่าจะหาคนครัวได้ นางจะเป็นคนทำอาหารให้พวกเขาด้วยตัวเองแท้จริงนั่นก็เป็นเพียงข้ออ้าง ฉินหลิวซีเวลานี้มีอาชีพเป็นผู้ปรุงโอสถ นางผสมยาพิษชนิดอ่อนลงไปในชามอาหารของพวกเขาทุกมื้อติดต่อกันวันละครั้ง สัดส่วนและปริมาณที่ใช้ไม่ทำให้ถึงตายในทันที ถ้าหากไม่ได้รับยารักษาภายในหนึ่งเดือนอาการจะแย่ลงจนกว่าพวกเขาจะพิสูจน์ตัวเอง และทำให้นางเชื่อใจได้ การวางอุบายเช่นนี้ก็จะยังดำเนินต่อไป หากไม่แล้วก็อย่าได้คิดฝันถึงการใช้ยาถอนพิษอย่างถาวรเลยฉินหลิวซีย้อนกลับมาในภายหลัง และเข้าทางด้านหลังของร้าน นางขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อฟัง
“วันนี้ท่านพี่ไม่ต้องไปทำงาน อยู่บ้านแล้วพักผ่อนเสีย ห้ามปรุงยาหลอมโอสถด้วยล่ะ” ฉินซือหยวนยืนขวางหน้านางไว้ ไม่ยอมให้ก้าวออกไปพ้นจากระเบียงบ้าน“จะทำอะไรของเจ้ากันล่ะเนี่ย”สิ่งที่นางได้รับกลับมาคือรอยยิ้มและแขนที่อ้าออกจนสุด“วันนี้ท่านต้องพักผ่อน ท่านพี่ทำงานทุกวัน วันหยุดของคนงานมี แต่ท่านกลับทำงานไม่หยุดหย่อนเลย”“โถ น้องชายสุดที่รักเป็นห่วงข้าอย่างนั้นหรือ” นางยกแขนกอดอก เชิดหน้ามองเขาด้วยท่าทางอวดดี สองพี่น้องเล่นกันเช่นนี้ประจำ“เอาละ ถ้าเจ้าอยากให้ข้าหยุดงานขนาดนั้น ข้าจะใจดีอยู่บ้านเฉย ๆ ให้ก็ได้ แต่งานที่ร้านต้องดูแลให้ดีล่ะ”“เห็นแก่ที่ท่านยอมหยุดพัก ข้าจะสนองความต้องการให้” ฉินซือหยวนพยักหน้าให้กับความถือดีของตัวเองที่เขาแอบไปดูหุ่นละครข้างถนนมาไม่เสียเปล่าเลยจริง ๆ ฉินซือหยวนต่อปากต่อคำกับพี่สาวของตนสนุกขึ้นเยอะในเมื่อทุกคนอยากให้นางหยุด นางก็จะหยุด หลังจากทุกคนออกไปทำงานฉินหลิวซีก็กลับไปที่ห้องนอนของตัวเองนึกแล้วนางก็แทบไม่ค่อยได้ใช้เวลา
"ไปไหน""สถานที่ล่าสัตว์วันนั้น"ถ้าเป็นเรื่องนี้ละก็นางไม่ปฏิเสธแน่อยู่แล้ว"เอาสิ"การล่าสัตว์ขององค์ชายรองกับองค์ชายรัชทายาทนั้นเกิดขึ้นระหว่างเสด็จเยี่ยมราษฎร ระหว่างรับเรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้าน วันหนึ่งพวกเขาก็ชวนกันไปล่าสัตว์ฆ่าเวลาป่านนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงกับเมืองเหวินทางตะวันออก ป่าหนาทึบเป็นอันดับสองจากป่ารอบเมืองทั้งหมดหลี่เจิ้นหัวออกมากับนางสองคน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้รถม้าหรือพาหนะใดเพราะไม่อยากสะดุดตา แม้จะมีคนเชื่อว่าเป็นฝีมือองค์ชายรองแต่พระองค์ยืนกรานว่าไม่รู้เรื่อง หากอยากให้คนร้ายดิ้นไม่หลุดก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้"เจ้าคิดไว้ในใจแล้วหรือยัง!""เรื่องอะไร!" เขาตะโกนถามกลับ การวิ่งฝ่าสายลมทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกันและกัน"จะสืบอย่างไร…" พูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยคฉินหลิวซีก็ส่ายหน้า ทำมือเป็นสัญญาได้ไปคุยกันหลังถึงที่หมาย คุยกันตอนนี้ให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องเดินทางกันอยู่นานในที่สุดก็ถึงป่าระหว่างสองเมืองเสียที พวกเขาตามร่องรอยมาถึงจุดเกิดเหตุ ทั้งรอยเท้าและของตกหายไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก
โจวเมิ่งอิ๋งคร่ำครวญถึงความน่าสงสารราวโชคชะตากลั่นแกล้งของบุตรสาว ไม่มีแก่ใจมารับรองแขกด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดีที่มีอนุคนสนิทอยู่ข้างกายคอยปลอบใจฟังจากน้ำเสียงคงทุกข์ใจเหลือประมาณ หลี่เจิ้นหัวรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว"ทีนี้ข้าจะลงมืออย่างไรดีนะ…"บรรยากาศในห้องค่อนข้างอับชื้น พี่หญิงต้อนรับนางเป็นอย่างดีแม้จะหน้าซีดเซียวกว่าปกติก็ตาม"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่หญิงดูผอมลงไปหรือไม่ กินข้าวไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ""อยากที่เจ้าเห็น ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ดังนั้นเลยเชื่อว่าอีกไม่นานคงดีขึ้น"แต่ดูเหมือนความเชื่อของนางจะทรยศนางทีละนิด แต่ละวันที่ผ่านไปขื่นขมนักสีหน้าของหลี่เมิ่งเหยาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน ถึงจะบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไร แต่สถานการณ์แบบนี้คงยิ้มไม่ออก"เรื่องนี้จัดการไม่ได้ง่าย ๆ แต่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรพี่หญิงอย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ""ฉินหลิวซี ถ้าซาบซึ้งน้ำใจเจ้าจริง ๆ" หลี่เมิ่งเหยาน้ำตารื้น พอรู้ว่านางอาจต้องโทษเหล่ามิตรสหายก็พากันหนีหน้า ส่วนหนึ่งก็คงเพราะคำสั่งของบิดามารดามิให้มาข้อง
เหตุการณ์นี้ทั้งสองนัดแนะกันเองโดยไม่ได้บอกผู้ติดตามพวกเขาจึงไม่ได้ถูกลงโทษที่ละเลยหน้าที่ และโชคดีที่แม่ทัพหลี่ซึ่งเดินทางไปด้วยมาช่วยไว้ทันด้วยเหตุนี้จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นในหมู่ชาวเมือง ว่าเป็นฉากที่ถูกจัดไว้หรือเปล่า"เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครสนใจเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมแล้วสินะ…"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าเห็น ๆ ก็ดี เพราะข้าก็ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจมากนักในตอนนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ ยังวางใจไม่ได้"ต้องไปหาเจิ้นหัวหน่อยแล้ว"ฉินหลิวซีไปที่หอกระจายข่าวแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ นางรู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลกระทบถึงสกุลหลี่มากกว่าที่คิด"เพราะพี่หญิงเป็นพระคู่หมั้นขององค์ชายรัชทายาทอย่างนั้นหรือ…?"หรือจะไม่ใช่กันนะคุยกับตัวเองยังไม่จบก็พบว่ายืนอยู่หน้าห้องทำงานของหลี่เจิ้นหัวเสียแล้ว นางเคาะประตูสองครั้งอีกฝั่งก็เอ่ยอนุญาต"หลิวซี~" พอเห็นหน้านางอีกคนก็โอดครวญเสียงอ่อนอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางม้วนกระดาษสู่ท่วมหัว"ดูเหมือนเจ้าจะมี
ร้านที่ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัด รู้แต่ว่าสกุลหลี่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้เสมือนคนกลางหลี่ซีเหยาเหยียดยิ้มนึกอยากขัน สินค้านี้มีอยู่ในร้านของบ้านอยู่แล้ว นางเป็นผู้เอามาให้เช่นนี้ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากสังเกตและไตร่ตรองดูสักนิดจะรู้ว่าบรรจุภัณฑ์นี้ไม่ได้วางขายในปัจจุบัน มันเป็นตลับแบบใหม่ที่ยังไม่ได้วางหน้าร้านที่ไหน"นี่เป็น…สินค้าจากร้านของข้าเอง เป็นกระปุกชาดและตลับแป้งลายใหม่ที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหน ข้ามอบมันให้พี่หญิงเป็นคนแรก"ทันทีที่ฉินหลิวซีพูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย"เป็นไปไม่ได้ สามัญชนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้อย่างไร อย่ามาแอบอ้างนะ เจ้าต้องไปแอบซื้อที่ไหนมาแน่ ๆ แล้วไปแอบเปลี่ยนตลับทีหลังใช่ไหมล่ะ" หลี่ซีเหยาอย่างไม่ยอม นางเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนมารดาที่เป็นอนุสั่งให้สาวใช้มาพาตัวออกไปเพราะเริ่มจะทำขายหน้า อีกทั้งแม่ทัพยังมองนางด้วยแววตากรุ่นโกรธอีกด้วย หากไม่รีบจัดการนางก็จะโดนลงโทษหลังจบงานนี้แน่สถานการณ์สงบลงแต่เรื่องของฉินหลิวซียังเป็นที่พูดถึงตัวตนของเจ้าขอ
"บุตรสาวคนเล็กของข้าอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับคุณชายหลี่ เรียนรู้งานฝีมือตั้งแต่ยังเล็กจนชำนาญ พิณ หมาก อักษร ล้วนเป็นเลิศ…"เซียนโอสถน้อยรู้สึกกระดากใจเกินจะฟังจึงเดินหนีออกมา รู้หรอกว่าหลี่เจิ้นหัวคงไม่เอาด้วยแต่นางก็ไม่ชอบใจอยู่ดีถึงจะไม่พอใจแต่ถ้านางโวยวายหรืออาละวาดขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ รังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้ฮูหยินท่านที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้นฉินหลิวซีกลับมานั่งที่โต๊ะ น้าหญิงกับน้าเขยทำตัวไม่ถูกกับงานเช่นนี้จึงเลือกโต๊ะที่ไม่ค่อยโดดเด่น นางเข้าใจว่าทั้งสองคงอึดอัดจึงไม่ห้าม แต่ว่านางร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้ ในบัตรเชิญบอกไว้ว่าให้นางนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าของงานโคมไฟแดงประดับต้นไม้สว่างวาบขึ้นจากเดิมพร้อม ๆ กัน ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองหน้าเรือนรับรองที่มีทางเดินหินอ่อนทอดยาวออกมาถึงสวน ฉินหลิวซีเห็นหลี่เมิ่งเหยาออกมาแล้วจึงขอตัวท่านหญิงหลี่ออกมาพร้อมกับสหายท่านหญิงคนอื่น ๆ ฉินหลิวซีรู้สึกคุ้นหน้าพวกนางเกือบทุกคนเพราะเคยเจอกันมาก่อนแล้ว นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าได้ร่วมโต๊ะกับคนที่คุ้นเคยกันมันดีต่อความรู้สึกนางมากกว่าที่ต้องร่วมโต๊ะกับคนแ
"จริงสิ พี่หญิงเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาง เจ้าพอจะมีเวลาหรือไม่""งานวันคล้ายวันเกิดของพี่หญิงหรือ ต่อให้ข้าไม่ว่างก็จะไปแน่"ฉินหลิวซีได้รับความช่วยเหลือจากพี่หญิงของหลี่เจิ้นหัวมาไม่น้อย แค่ไปร่วมงานแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้แล้ว"ถ้าพี่หญิงได้ยินคงดีใจ""งานเริ่มวันไหน""วันมะรืนปลายยามโหย่ว นี่บัตรเชิญของเจ้า น้าหญิงกับน้าเขยเจ้าสามารถมาเข้าร่วมในฐานะผู้ติดตามได้""นางคงตื่นเต้น"ฉินหลิวซีคิดภาพออกเลยว่าชิวหลานจะพูดอะไรหรือแสดงท่าทีประมาณไหนหลังจากได้ยินเรื่องนี้ น้าหญิงของนางร่าเริงมากตั้งแต่มาเมืองหลวง คุ้มค่าแล้วที่พาทั้งคู่มาเปิดหูเปิดตาฉินหลิวซีตั้งใจสร้างชื่อเสียงและตัวตนของตนเอาไว้ที่นี่ ในอนาคตไม่รู้ว่าลูกหลานสกุลชิวกับท่านพ่อท่านแม่จะย้ายมาที่เมืองหลวงหรือไม่ แต่หากพวกเขามาสิ่งที่นางสร้างไว้จะต้องเป็นประโยชน์แน่"ข้าเองก็ตั้งตารอวันนั้น"หลี่เจิ้นหัวมองนาง สายตาแสดงความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเฝ้ารออะไร แต่แววตาของเขานั้นทำให้นางอยากสร้างความประทับใจที่จะได้พบกันยามค่ำคืนให้พิเศษขึ
"ที่นี่ยอดเยี่ยมไปเลย""ดีใจที่เจ้าชอบ นี่ใบเสนอราคาที่เถ้าแก่คนก่อนเขียนมา"นางกวาดสายตาอ่านดูแล้วก็พยักหน้า "รับได้ แต่ทำไมถึงปล่อยขายล่ะ ทำเลดีมากไม่ใช่หรือ""เขาจะย้ายไปอยู่เมืองอื่นกับหลานชาย กิจการนี้ไม่มีคนสานต่อแล้วเจ้าตัวก็ไม่อยากเดินทางมาเก็บค่าเช่าทุกเดือนด้วย""เข้าใจล่ะ แต่เจ้าเอามันมาได้อย่างไร ร้านทำเลดีแบบนี้ต้องมีคนแย่งกันประมูลมากมายแน่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าแอบสนับสนุนเงินเพิ่มให้ข้าหรอกนะ"พอเห็นนางมองตาขวางเขาก็รีบปฏิเสธ"เปล่า ๆ เถ้าแก่เป็นคนรู้จักของข้า เคยมีบุญคุณต่อกันนิดหน่อยเท่านั้น ข้ามาขอร้องให้เขาช่วยหาเพราะเส้นสายก็ไม่น้อย แล้วเขาก็เสนอร้านที่นี่มา ซึ่งก็เป็นร้านของตัวเองนั่นแหละ"ฉินหลิวซีเคยสำรวจราคาตลาดมาบ้างแล้ว ที่นี่ก็ให้ราคาที่ถูกมากกว่าที่อื่นจริง ๆเมื่อได้คำตอบที่พอใจนางก็ไม่ถามอะไรเขาอีกก่อนจะหมดวันพวกเขาไปยังที่ตั้งโกดัง มันเป็นโรงเก็บไม้เก่าที่เลิกกิจการไปแล้ว อายุการใช้งานก็ยังไม่มาก ไม่ถึงกับต้องซ่อมแซมแค่ปัดฝุ่นนิดหน่อยก็ใช้ได้ฉินหลิวซีจะเริ่มทยอยขนของย้ายไปที่คฤหาสน์วันพรุ่งนี้
"ช่างเถอะเจ้าค่ะท่านน้า เราคงจะเจอแบบนี้อีกบ่อยเลยล่ะ ถึงจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่คนที่หน้าคบหาและเป็นมิตรยังมีอีกมาก"หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ฉินหลิวซีก็ให้พวกสาวใช้ไปเดินสำรวจในเมืองโดยให้ไปกันเป็นกลุ่ม ห้ามแยกไปคนเดียวเพราะต่อให้เป็นเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ที่สำคัญคือห้ามก่อเรื่องเป็นอันขาดหลังจากพวกเขาแยกย้ายกันไปแล้ว นางที่กำลังจะขึ้นไปพักบนห้องก็ถูกเรียกเอาไว้"หลิวซี!""เจิ้นหัว?" นางหันหลังมาเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นใคร อีกฝ่ายวิ่งมาหาจากแยกด้านหน้าของถนน ทำหญิงสาวเอ่ยชื่อของเขาด้วยความประหลาดใจวิ่งมาแบบนั้นจะหายใจทันไหมนี่"ดูจากสีหน้าคงไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอะไรหรอก ก็แค่ตื่นเต้น…" หญิงสาวเอ่ยพึมพำกับตัวเองนางอมยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆเพราะข้าล่ะมั้งหลี่เจิ้นหัววิ่งเข้ามาหาฉินหลิวซีโดยไม่สนสายตาใคร โรงเตี๊ยมนี้อยู่ตรงข้ามเหลาอาหารพวกเขาจึงตกเป็นเป้าสายตา ทำเอานางรู้สึกขัดเขิน"จะ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะมาถึงพรุ่งนี้หรอกหรือ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ออกไปรับเลย""ไม่เป็นไร เจ้าหายใจช้า ๆ หน่อย วิ่งมาตั้งแต่ที่จวนหรือไงเนี่ย
แม้ตอนจะจากก็ยังมีอารมณ์ขัน เชื่อแทบไม่ลงเลยว่าเป็นองค์ชายต่างแคว้นเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีกล้ามีใครมาโจมตีนอกจากพวกไม่มีหัวคิดก็เพราะสถานะของเจียงหรูอี้ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าตอนนี้เป็นแค่จอมยุทธ์พเนจรไม่มีสถานะอื่น แต่หากติดตามข่าวสารต่างแดนบ้างต้องเคยได้เห็นหรือได้ยินเรื่องของเขาบ้างองค์ชายยังประหลาดใจที่ฉินหลิวซีรู้ว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครสนใจสถานะของเขา ซึ่งนั่นทำให้หรูอี้สบายใจและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ พอรู้ว่านางผิดสังเกตก็ประหม่า ฉินหลิวซีต้องอธิบายนานกว่าเขาจะเข้าใจว่านางไม่ได้เจตนาจับผิดหรือเป็นสายลับที่ไหน ก็แค่มีหน่วยข่าวกรองดี ๆ ให้ถามโดยไม่คิดค่าจ้างแค่นั้นเมื่อสิ้นสุดการเดินทางก็ได้เวลาแปลงโฉม ฉินหลิวซีสั่งตั้งกระโจมด้านนอกหนึ่งวันเพื่อเตรียมตัว"น้าหญิง น้าเขย เชิญทางนี้หน่อยเจ้าค่ะ""นะ น้าเขยหรือ!?" เฉาฟางทั้งเขินอายทั้งประหม่าในคราวเดียว"อย่างไรผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ น้าหญิงงามออกปานนี้ ถ้าไม่ทำให้ชัดเจนละก็อาจจะมีคนมาตามตื้อได้""หยา แบบนั้นไม่ได้สิ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ" โวยวายเสร็จ