เธอยกเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย:"ฉันก็จะไปฝึกงานที่สตูดิโอของเซวียมั่นแล้วเหมือนกัน"หลินจืออี้อึ้งไปเล็กน้อยต้าจู้ร้องขึ้นทันที "ทําไมเธอถึงเข้าไปได้? จืออี้กับซ่งหว่านชิวนั้นเข้าไปในสตูดิโอของเซวียมั่นได้เพราะผ่านการแข่งขัน แล้วเธอล่ะ?"เสิ่นเยียนขดตัว ทําท่าทางเหมือนถูกรังแกและหวาดกลัว บิดตัวบิดชายกระโปรง"ฉัน ฉันก็แค่บังเอิญมีโอกาสนี้เท่านั้น ฉันเลยคิดจะลองหน่อย ไม่คิดว่าจะสําเร็จน่ะ""จืออี้ เธออย่าโกรธได้ไหม?"เสิ่นเยียนร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับดอกไม้แสนบอบบางท่ามกลางลมฝนชวงซวงถลึงตาใส่เธอ "เสิ่นเยียน! เธอหยุดพูดได้แล้ว! เธอไม่ได้ยินที่หมอพูดเมื่อกี้เหรอ? ตอนนี้จืออี้อารมณ์แปรปรวนไม่ได้ เธอพูดแบบนี้ในเวลานี้ไม่ใช่จงใจทําให้เขาไม่สบายใจหรือ?”เสิ่นเยียนสะอึกสะอื้น "ฉันแค่โชคดีเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่จําเป็นต้องลําบากเหมือนจืออี้ รอให้จืออี้หายดีแล้ว เราก็จะได้ทํางานด้วยกันแล้วไม่ใช่เหรอ? ดีจังเลยนะ!”โชคดีกว่าเหรอ?ไม่จําเป็นต้องลำบากเหมือนจืออี้เหรอ?รอให้ตาของจืออี้หายดีเหรอ?มีคําไหนบ้างที่ไม่ได้กระตุ้นหลินจืออี้?ต้าจู้กําหมัดแน่นหลินจืออี้กลับหัวเราะออกมา "เสิ่นเยียน
ตอนที่เพิ่งตื่นขึ้นมา ดวงตาของหลินจืออี้ยังมืดสนิทอยู่จริงๆ นั่นแหละแต่ต่อมาก็ค่อยๆ ปรากฏจุดสีขาวขึ้นตรงหน้าเธอ จากนั้นก็เป็นเงาร่างที่เลือนรางในเวลานี้ เสิ่นเยียนก็มาพอดีตอนนี้เธอมองเห็นผู้คนได้อย่างชัดเจนแล้วเมื่อกี้แค่ล้อเล่นกับเสิ่นเยียนเท่านั้น ใครให้เธอวางยาในนมล่ะหลินจืออี้วางนิ้วชี้ลง แล้วกัดลูกชิ้นปิ้งคําหนึ่ง "พวกเธอไปทํางานเถอะ ฉันไม่เป็นไรแล้ว""แต่เสิ่นเยียน..." หลายเอ๋อร์ไม่ค่อยวางใจ ชี้ไปที่ประตูอย่างเงียบๆ"ที่นี่เป็นโรงพยาบาล เธอไม่กล้าทําอะไรหรอก""ก็ได้"ทั้งสามคนเก็บข้าวของและลุกออกไปจากห้องผู้ป่วยพอพวกเธอจากไป เสิ่นเยียนก็กลับมา สีหน้ากลับมาเป็นปกติ ซ้ำยังมีรอยยิ้มแปลกๆหลินจืออี้ยังคงแสร้งทําเป็นมองไม่เห็น"จืออี้ ฉันเห็นข้างนอกอากาศดีเป็นพิเศษ ไม่งั้นฉันจะประคองเธอลงไปเดินเล่น อย่างนี้จะได้ผ่อนคลายอารมณ์ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะหายเร็วๆ นี้ก็ได้"เสิ่นเยียนเดินไปถึงข้างเตียง เปิดผ้าห่มของหลินจืออี้ออกโดยตรง ถึงขนาดดึงเธอลงไปใต้เตียงโดยไม่สนใจว่าเธอจะมองไม่เห็นหลินจืออี้ก็ไม่ขัดขืน ปล่อยให้เธอลากตัวออกไปจากห้องผู้ป่วย"เสิ่นเยียน เธอช้าลงหน่อย ฉันมอ
เธอไม่ยอมแพ้หรอก!เสิ่นเยียนทําท่าจะลุกขึ้น แต่ลุกขึ้นได้ครึ่งหนึ่ง ร่างกายก็เซไปเซมา ล้มลงตรงไปทางกงเฉินกงเฉินกอดหลินจืออี้แล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าวเสิ่นเยียนนอนคว่ำหน้าอยู่ข้างเท้าของทั้งสองคน สภาพสะบักสะบอมมากคนทั่วไปถ้าเป็นแบบนี้ แม้ว่าจะสลบไป แต่ก็คงไม่กล้าทําอะไรบ้าๆ อีกแต่เสิ่นเยียนไม่ใช่คนแบบนั้น เธอยื่นมือที่สั่นเทาจับขากางเกงของกงเฉินไว้ร่างกายส่วนบนที่เอนเล็กน้อยสามารถมองเห็นทิวทัศน์ใต้เสื้อผ้าที่เปียกโชกได้พอดีเธอก็ไม่ปิดบัง แหงนหน้ามองกงเฉินอย่างน่าสงสาร "คุณชายสาม ฉันแค่เดินไปได้ครึ่งทางก็กังวลเรื่องความปลอดภัยของจืออี้ จึงวกกลับมา ฉันเห็นจืออี้ยืนอยู่ริมทะเลสาบกลัวว่าเสียงของตัวเองเองจะทําให้เธอตกใจ จึงเดินเข้าไปใกล้อย่างเงียบๆ ใครจะรู้ว่าฉันกําลังจะดึงเธอไว้ แต่ตัวเองกลับยืนไม่มั่นคงแล้วตกลงไปในทะเลสาบ""คุณชายสาม คุณโทษฉันเถอะค่ะ เป็นความผิดของฉันเอง ฉันเกือบทําให้จืออี้ตกใจ"เธอจ้องมองกงเฉินอย่างขลาดกลัวด้วยน้ำตาคลอเบ้า มองหลินจืออี้ที่อยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสองเป็นอากาศธาตุโดยสิ้นเชิงหลินจืออี้ดิ้นรนอยากจะออกจากอ้อมกอดของกงเฉิน แต่กลับถูกเขากุมข้อมือทั
เมื่อหลินจืออี้ได้ยินเสียงของกงเฉิน ก็หันไปมองตามสัญชาตญาณทันทีผู้ชายตรงหน้าเขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดํา สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดปกเสื้อให้แนบแน่นกับหน้าอกของเขา วาดเป็นโครงเส้นที่สมบูรณ์แบบรูม่านตาของหลินจืออี้หดเล็กลงสามวินาที แล้วรีบยกมือขึ้นแกล้งทําเป็นตาบอด"ใครน่ะ?"เธอแกล้งทําเป็นหูหนวกและเป็นใบ้และแม้กระทั่งแสดงอย่างตื่นตระหนกเล็กน้อยทันทีก่อนจะฉวยโอกาสหลบหนี แต่ข้อมือของเธอกลับเขากุมไว้ และถูกกงเฉินลากเข้าไปในเส้นทางเล็กๆ ที่มีคนเบาบาง"ปล่อยนะ..."ท่ามกลางลมหนาวเล็กน้อย กงเฉินโน้มตัวลงไปจูบริมฝีปากของหลินจืออี้เบาๆ จากนั้นก็จ้องมองดวงตาที่เบิกโพลงของเธออย่างไม่ใส่ใจมือทั้งสองข้างของหลินจืออี้ถูกเขากุมไว้ ไม่สามารถดิ้นรนขัดขืนได้เลย รู้สึกเพียงว่าริมฝีปากถูกเขากดทับราวกับถูกลงโทษเธอค่อยๆ หมดแรง กงเฉินก็ปล่อยมือของเธอ มือหนึ่งจับเอวของเธอ อีกมือหนึ่งจับศีรษะของเธอผ่านไปครู่หนึ่ง กลีบปากของเขาค่อยผละออก และเอ่ยเสียงแหบแห้งว่า "ฉันเป็นใคร?"หลินจืออี้ยกมือกดหน้าอกของเขา ผลักเขาออกห่างจากตัวเองเล็กน้อย"ฉันไม่รู้จักคุณ กรุณาปล่อยฉันด้วย! ไม่งั้นฉันจะเรียกคนแล้วนะ!”"ได้สิ
"เกิดอะไรขึ้น? ตาพึ่งจะหายดี เท้าและมือได้รับบาดเจ็บอีกแล้วหรือ?”หลินจืออี้มองเขาอย่างสงสัย "คุณรู้ได้ยังไงว่าตาฉันหายดีแล้ว?"หมอชะงัก ก้มหน้าไม่พูดไม่จา เหมือนกําลังตรวจข้อเท้าของเธออยู่ลําคอของเธอบีบแน่น ค่อยๆ พ่นประโยคหนึ่งออกมา "คุณชายสามเป็นคนบอก"เขาไม่ได้ตอบ ถือว่าเป็นการยอมรับโดยปริยายแล้วหลินจืออี้อดกําผ้าปูที่นอนแน่นไม่ได้ ปล่อยให้ตัวเองจัดการอาการบาดเจ็บเธอรู้สึกว่าตัวเองเหมือนนกที่ถูกหักปีก ดูเหมือนจะบินออกจากการควบคุมของกงเฉินไม่ได้เขาอยากทําอะไรก็ทําแล้วก็โยนเธอทิ้งไปความเจ็บปวดที่ข้อเท้าอย่างกะทันหัน ทําให้หลินจืออี้กลับไปสู่ความเลวร้ายในชาติก่อนความเจ็บปวดทั้งกายและใจ ความเจ็บปวดที่สูญเสียลูกสาวไปแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เธอมักจะเจ็บปวดอยู่เสมอ...ตอนนี้ก็เช่นกันทําไมไม่รักก็ยังต้องเจ็บขนาดนี้?ทําไมมันยากขนาดนี้กับการที่จะออกจากผู้ชายคนนี้ที่เห็นเธอเป็นของเล่น!หมอกวาดตามองเธอแวบหนึ่ง ปลอบใจว่า "ถ้าเจ็บมากก็ไม่ต้องทน ร้องออกมาก็ไม่เป็นไร"หลินจืออี๋นิ่งงันไม่พูดอะไรสักคํา กัดฟันอดทน หน้าผากมีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมาหมอจัดการเสร็จแล้วก็ตกใจเล็กน
ห้องฉุกเฉินซ่งหว่านชิวไม่มีอะไรนอกจากตกใจเล็กน้อยเสิ่นเยียนที่สวมเสื้อคลุมตัวนอกของกงเฉินยืนอยู่ปลายเตียงน้ำตาไหลพราก น่าสงสารยิ่งกว่าซ่งหว่านชิวที่ตกน้ำเสียอีกซ่งหว่านชิวเอนกายพิงหมอนนุ่ม ไม่รอให้เสิ่นเยียนเอ่ยปากอธิบาย น้ำตาก็ไหลรินออกมาอย่างเงียบๆ"คุณชายสาม เป็นความผิดของฉันเอง ฉันเข้าใจผิดว่าเสิ่นเยียนคิดอะไรกับคุณ ดังนั้นจึงขอเสื้อคลุมของคุณคืน ฉัน... ฉันพลั้งมือตีเธอค่ะ”"แค่ไม่คิดว่าเธอจะผลักฉันลงไปในทะเลสาบอย่างบ้าคลั่ง โชคดีที่คุณมาทันเวลา ไม่อย่างนั้นฉันไม่กล้าคิดถึงผลที่จะตามมาเลยค่ะ"เธอไม่เหมือนเสิ่นเยียนที่เอาแต่แสดงความสงสารของตัวเองออกมาทุกหนทุกแห่ง แต่เช็ดน้ำตาอย่างสง่างาม เป็นคุณสมบัติที่เธอหนูผู้สูงศักดิ์ควรมีทั้งคู่ต่างก็ร้องไห้ แต่ใครจะร้องไห้ได้สวยกว่ากัน เห็นได้จะๆผู้ชายอย่างกงเฉินไม่มีทางไปสนใจผู้หญิงที่ขายแต่ความน่าสังเวชหรอกซ่งหว่านชิวกวาดสายตามองเสิ่นเยียนอย่างสง่างามถึงเวลาที่เธอขอความเมตตาแล้วล่ะ!แต่สิ่งที่ทําให้ซ่งหว่านชิวคาดไม่ถึงคือเสิ่นเยียนไม่ได้ร้องขอความเมตตา แต่กลับคุกเข่าลงไปข้างเท้าของกงเฉินอย่างน่าเวทนา"คุณชายสาม ฉันไม่ได้ตั
เสิ่นเยียนกัดริมฝีปาก ถอดเสื้อนอกของกงเฉินออกอย่างสั่นๆ แล้วพยุงตัวขึ้นมาซ่งหว่านชิวชําเลืองมองและยิ้มอย่างเหยียดหยาม "หุ่นแบบนี้เนี่ยนะ? ไม่มีใครอยากดู ไสหัวไปซะ”เสิ่นเยียนเดินออกไปจากห้องฉุกเฉินพร้อมกับเอามือกุมหน้าอกด้วยใบหน้าที่ขาวซีดสายตารอบข้างต่างจับจ้องมาที่เธอเธอไม่ได้วิ่งหนี แต่ขดตัวร้องไห้เหมือนกําลังจะล้มลงพยาบาลใจดีคนหนึ่งเข้ามาประคองเธอ "คุณเป็นอะไรไปคะ?""ฉัน ฉันตกน้ำค่ะ สภาพฉันตอนนี้จะออกไปยังไงคะ?"เสิ่นเยียนยังขดตัวอยู่พยาบาลรีบกอดเธอ "ฉันจะเอาเสื้อโค้ทให้ อย่าร้องไห้เลยนะคะ""ขอบคุณ ขอบคุณค่ะ ขอบคุณ..." เสิ่นเยียนร้องไห้ฟูมฟายพยาบาลเห็นเธอน่าสงสารขนาดนี้ก็ทำอะไรไม่ถุกเหมือนกันเสิ่นเยียนรู้มาตลอดว่าความน่าสังเวชของตัวเองคือจุดเด่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ยิ่งรู้ว่าจะแสดงจุดเด่นออกมายังไงไม่กี่นาทีต่อมา เสิ่นเยียนสวมเสื้อโค้ทของคนอื่นเดินออกจากตึกฉุกเฉินไปอย่างสงบเธอหันไปมองประตูใหญ่ ยกมือขึ้นลูบใบหน้าที่เจ็บปวดหลินจืออี้ ซ่งหว่านชิว พวกเธอมีดีอะไรกัน?รอก่อนเถอะ ฉันจะแทนพวกเธอให้ได้แน่นอน!……กงเฉินขึ้นไปชั้นบน เข้าไปในห้องผู้ป่วยของหลินจืออี้สิ
คฤหาสน์ตระกูลกงพอหลินจืออี้กลับมาก็หลับสนิทไปเลยสุดท้ายตื่นมาเพราะหิว เธอเคลื่อนไหวไม่สะดวก จึงตะโกนออกไปนอกประตู"แม่คะ?""คุณอาคะ?"แต่ไม่มีใครตอบ เธอคิดว่าเสียงของเธอเบาเกินไป หลิ่วเหอและกงสือเหยียนจึงไม่ได้ยินจึงยกมือเตรียมหยิบโทรศัพท์แต่ดันไปเห็นกระดาษที่ทิ้งไว้บนหัวเตียงก่อน"แม่ไปงานเลี้ยงกับอาของแก เตรียมขนมไว้ให้แกแล้วนะ หิวแล้วก็กินซะ"เปิดจานอาหารมา ก็เห็นขนมเล็กๆ สามชิ้นหลิ่วเหอเห็นเธอเป็นกระเพาะนกหรือเปล่าเนี่ยของว่างสามชิ้น หลินจืออี้กินหมดในสองคํา ท้องก็ยังหิวจนร้องโครกครากอยู่ดีเธอจําใจต้องคว้าโทรศัพท์ภายในที่หัวเตียงและโทรไปที่ห้องครัว"คุณป้า ยังมีอะไรกินไหมคะ?"“พ่อครัวเลิกงานแล้ว” แม่บ้านพูดเบาๆ ถือโอกาสหาว ส่งสัญญาณว่าเธอจะนอนแล้ว"อืม"หลังจากวางสายแล้ว หลินจืออี้ก็หัวเราะเยาะตัวเองที่ทําเกินความจําเป็นคนรับใช้ของตระกูลกงไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตา แล้วจะเตรียมอาหารให้เธอตอนกลางดึกได้ยังไง?พอเป็นแบบนี้ เธอจึงทําได้แค่พยุงตัวเองเข้าไปในครัว เดินไปได้สองก้าว เท้าของเธอก็เจ็บและล้มลงกับพื้นแขนทั้งสองยันพื้นโดยไม่รู้ตัวและกระแทกเข้ากับบาดแผลที่
หลินจืออี้เคยคิดเอาไว้หลายสิบอย่างถึงความเป็นไปได้ แม้กระทั่งคิดว่าซ่งหว่านชิวอาจจะใช้เธอเป็นเครื่องมือในการทำให้ตัวเองแท้งลูก แบบนั้น เธอก็จะกลายเป็นคนบาปไปตลอดกาลแต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่เคยคิดเลยว่า ซ่งหว่านชิวจะผลักเธอลงไปในทะเลสาบทะเลสาบที่ตระกูลกงเป็นทะเลสาบเทียมที่ขุดลึกมาก น้ำเย็นเฉียบเจ็บแสบแทบจะทันทีที่ร่างของหลินจืออี้จมหายไปเธอพยายามดิ้นรนสุดชีวิต “ช่วย…”แต่พออ้าปาก น้ำก็ทะลักเข้าปากเข้าจมูก ทำให้เธอพูดไม่ออกสักคำเดียวหลินจืออี้คิดว่าเธอคงไม่รอดแล้ว ใครจะคิดว่าซ่งหว่านชิวจะเริ่มตะโกนขอความช่วยเหลือขึ้นมา“ช่วยด้วยค่ะ! จืออี้ตกน้ำ!”เสียงร้องขอความช่วยเหลือของซ่งหว่านชิวทำให้มีคนมากมายรีบวิ่งมาที่ทะเลสาบแต่ตอนนั้นหลินจืออี้ใส่เสื้อโค้ทตัวยาวที่ดูดน้ำไว้เต็มที่ น้ำหนักมหาศาลทำให้ร่างของเธอเริ่มจมลงช้าๆ แรงก็ค่อยๆ หมดลงไปแล้วจู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งกระโจนลงน้ำพยุงเธอขึ้นจากน้ำอย่างแรงหลินจืออี้สำลักน้ำแล้วไอออกมา สายตาที่พร่ามัวมองเห็นเพียงผู้ชายที่อุ้มเธออยู่เป็นกงเฉินเขาก้มหน้า เส้นผมเปียกโชก น้ำที่หยดจากปลายผมดวงตาสีดำขลับจ้องมองเธออย่างไม่ละสายตาหางตาแด
เธอมีความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้เหมือนกับว่า เด็กคนนี้ควรจะเป็นความโชคดีของเธอ เป็นคนที่จะนำพาทุกอย่างที่เธอปรารถนามาให้แต่ตอนนี้เธอเองก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมสิ่งที่ควรจะได้มาง่ายๆ กลับค่อยๆ ห่างไกลออกไปจากตัวเองทุกที เพราะแบบนี้ ซ่งหว่านชิวที่ไม่ยอมแพ้จึงแต่งหน้าแต่งตัวอย่างดีแล้วมาที่ตระกูลกง เธอคิดจะเดิมพันครั้งสุดท้าย ถ้าวันนี้สามารถได้ตัวกงเฉินสำเร็จ เด็กในท้องเกิดก่อนกำหนดแค่เดือนกว่าๆ ก็ยังพออธิบายได้ว่าเป็นเรื่องธรรมชาติแต่เธอไม่คิดเลยว่าจะได้ยินข่าวที่ทำให้เธอช็อกขนาดนี้มือที่วางอยู่บนหน้าท้องของซ่งหว่านชิวค่อยๆ กำแน่นขึ้น จนความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างดูท่าลูกคนนี้เธอคงเก็บไว้ไม่ได้แล้ว คืนนี้กงเฉินไม่มีทางแตะต้องเธอแน่นอนถ้าอย่างนั้น...ลูกของหลินจื้ออี้ก็ต้องตายไปพร้อมกับลูกของเธอแบบนี้กงเฉินก็ไม่มีเหตุผลอะไรไปขัดคำสั่งของคุณท่านที่ต้องแต่งงานกับหลินจื้ออี้แล้วซ่งหว่านชิวลดมือลง หยิบแป้งพัฟขึ้นมาปัดแต่งหน้าเติมเล็กน้อยก่อนจะถอดต่างหูจากใบหูใส่ลงกล่องเครื่องประดับเล็กๆ ที่พกติดตัวมาด้วยเธอรีบเดินเข้าห้องรับแขก ก่อนที่กงเฉินจะกลับมารีบเข้าไปทักทายทุกคนก่อน
หลินจื้ออี้เข้าไปในห้องน้ำแล้วก็อาเจียนออกมาอย่างหนัก แม้จะบ้วนปากด้วยน้ำยารสผลไม้ถึงสามรอบแต่ในปากก็ยังขมอยู่ดีทันทีที่เธอเดินออกมาจากห้องน้ำก็มีเงาหนึ่งมายืนขวางทางไว้เธอพูดด้วยเสียงอ่อนล้า “หลบไปหน่อย”กงเฉินจ้องมองเธอ “ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนอีกหรือเปล่า?”หลินจื้ออี้ได้ยินคำพูดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ“อาเล็กดูแลฉันดีแบบนี้เพราะฉันท้องเหรอ?อย่าลืมสิตอนนั้นอาบอกว่าถ้าฉันท้องก็ให้ไปเอาเด็กออกไม่ใช่เหรอ?”“...”สีหน้าของกงเฉินมืดมนลงทันทีหลินจื้ออี้นึกถึงคำเตือนของคุณท่านเมื่อครู่แล้วก็อดนึกถึงชาติที่แล้วไม่ได้ ตอนที่คุณท่านปฏิบัติต่อซิงซิงซิงซิงเป็นเด็กผู้หญิงแถมยังเป็นลูกที่ไม่มีใครต้องการ คุณท่านก็ไม่เคยยอมรับเลยว่าเธอเป็นหลานสาวของตระกูลกงแต่เมื่อซ่งหว่านชิวกลับมาพร้อมกับลูกชาย โลกออนไลน์ก็เต็มไปด้วยข่าวว่าเขารักหลานชายคนนั้นมากแค่ไหน ถึงกับประกาศว่าลูกชายของซ่งหว่านชิวคือลูกเพียงคนเดียวของกงเฉินทุกคนต่างหัวเราะเยาะเธอกับลูกสาวของเธอว่า พยายามแทบตายสุดท้ายก็ได้แต่ความว่างเปล่าตอนนี้คุณท่านก็คงจะสมหวังแล้วในเมื่อไม่มีเธอคอยขวางทาง ก็คงต้องดูว่าซ่งหว่านชิว
หลินจื้ออี้มองดูโต๊ะกลมขนาดใหญ่ เธออดคิดไม่ได้ว่าครั้งก่อนที่กินข้าวที่นี่คือเหตุการณ์ที่เธอเคยระเบิดใส่แม่ลูกตระกูลซ่งหว่านชิวคุณท่านกงซึ่งนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะแต่งตัวด้วยสูทเรียบร้อยสีหน้าเคร่งขรึมตามแบบฉบับเพราะคำนึงถามมารยาท หลินจื้ออี้จึงเอ่ยทักอย่างนอบน้อม “คุณท่าน”“อืม นั่งกินข้าวเถอะ”เขาโบกมือเชิญทุกคนเริ่มกินอาหารหลินจื้ออี้มองอาหารทะเลเต็มโต๊ะแล้วกลืนน้ำลายเบาๆ แต่เพราะมีคุณท่านอยู่เธอจึงคีบแค่เนื้อวัวตรงหน้าเท่านั้นเธอไม่ได้เป็นตัวแทนแค่ตัวเองแต่ยังเป็นตัวแทนของหลิ่วเหอด้วยพอคิดถึงเรื่องที่หลิ่วเหอยังต้องใช่ชีวิตอยู่ในตระกูลกงนี้ต่อไป ทุกการกระทำของเธอในฐานะลูกสาวจึงมีความสำคัญมากขณะกำลังคิดอยู่นั้น หลิ่วเหอก็คีบอาหารทะเลให้เธอหลายอย่าง ทั้งปลาดิบ เนื้อหอยสังข์ และยังตักโจ๊กกุ้งล็อบสเตอร์ชามใหญ่ให้ด้วยหลิ่วเหอพูดเบาๆอย่างแนบเนียนว่า “กินก่อนนะ เดี๋ยวถ้าโต๊ะหมุนมาถึง ฉันจะหยิบหอยเป๋าฮื้อดำ ไส้กุ้งในหอยเชลล์ แล้วก็กุ้งทะเลย่างให้เธอ”หลินจื้ออี้พยักหน้ารัวๆ พูดในใจว่า ขอบคุณนะแม่เมื่อก่อนเธอไม่กินอาหารทะเลเพราะรู้สึกว่ามันคาว แต่หลังจากได้ลองอาหารทะเลฝีมือพ่อ
“ฉัน…เธอท้องแล้ว!ฉันขอตั้งสติก่อนนะ ผู้หญิงคนนี้หลอกฉันทุกทางเลยเหรอเนี่ย? ทั้งที่ฉันยังอุตส่าห์ช่วยทำใบรับรองว่าเธอมีปัญหาทางจิตใจให้!”หลี่ฮวนแทบกรี๊ดออกมา เขาถูกหลินจืออี้หลอกเต็มๆ!“พูดมา”กงเฉินยกมือถือออกห่างจากหูด้วยสีหน้ารำคาญใจ“ภาวะเสี่ยงแท้งส่วนใหญ่ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ อาหารการกินก็ต้องระวัง โดยเฉพาะห้ามทำงานหนัก” หลี่ฮวนตอบ“อืม”“แล้วนายจะทำยังไง?เมื่อก่อนตอนที่มีข่าวลือ เธอยอมรับว่าคืนนั้นเธออยู่กับนาย นายก็อ้างกระแสสังคมแต่งงานกับเธอได้เลย คุณท่านก็คงจะพูดอะไรไม่ได้ แต่นี่เธอกลับไม่ยอม นายบอกฉันตามตรงนะ ตอนนั้นนายยอมร่วมมือกับคุณท่านกดดันเธอเพราะนายเองก็มีใจใช่ไหมล่ะ?”หลี่ฮวนหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์กงเฉินก้มหน้าลงเล็กน้อย “วางสายละ”หลี่ฮวนรีบร้องห้ามเสียงดัง “นายนี่มันปากไม่ตรงกับใจชัดๆ นายต้องโชว์ข้อดีตัวเองบ้างนะ!”“โชว์ไปแล้ว”“อะไรนะ…” … ตู้ดๆๆ…ฝั่งนู้นสายตัดไปแล้วทิ้งให้หลี่ฮวนงงเป็นไก่ตาแตกโชว์ไปแล้ว?โชว์อะไรของมันวะ?.......หลังจากที่เฉินซู่หลานตรวจร่างกายเสร็จ กงเฉินก็ช่วยประคองเธอเดินออกจากตึกพอขึ้นรถมาด้วยกัน เฉินซู่หลานก็ยิ้มหวานแล้วพูดว่า
“ฮะ? ฉัน...” หลินจืออี้ชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะรู้ว่าหมอเข้าใจผิดว่าเธอเป็นคนอื่น“ตั้งครรภ์ระยะแรกนะมีเลือดออกนิดหน่อยต้องพักผ่อนให้มาก อย่ากระโดดโลดเต้นและอาหารการกินก็ต้องระวัง”“ไม่ใช่ค่ะคุณหมอ ฉัน...”“พอแล้ว คนต่อไป” หมอขีดปากกาลงใบตรวจแล้วเรียกคนถัดไปผู้หญิงคนต่อไปก็เปิดประตูเข้ามาเรียบร้อยหลินจืออี้เห็นว่าไม่มีเหตุผลจะต้องอธิบายต่อก็รีบถอยออกมาพอหันตัวกลับ ตึบ! ก็ชนเข้ากับใครบางคนเธอก้มหน้าลงขอโทษ “ขอโทษค่ะ”กำลังจะเดินหนีไปอยู่แล้วข้อมือของเธอกลับถูกคว้าไว้อย่างแรง“เธอโกหกฉัน?เธอท้องอยู่เหรอ”เสียงที่มักจะสงบนิ่งเยือกเย็นตอนนี้กลับปะทุไปด้วยความโกรธหลินจืออี้เงยหน้าขึ้นถึงพบว่าคนตรงหน้าก็คือกงเฉินเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?หรือว่ามากับซ่งหว่านชิว?แต่เห็นชัดๆ ว่าซ่งหว่านชิวมาก็เพื่อทำแท้งไม่ใช่เหรอ?หลินจืออี้ยังไม่ทันได้คิดอะไรให้ชัดเจนข้อมือของเธอก็ยิ่งเจ็บขึ้นเธอร้องเบาๆ “ปล่อยนะ ฉันเจ็บนะ แล้วฉันก็ไม่ได้ท้อง!”กงเฉินหรี่ตามองความโกรธในดวงตายิ่งเพิ่มขึ้นแต่แรงที่มือก็คลายลงนิดหน่อยพร้อมกับเธอเข้าไปในห้องตรวจ“อาการของเธอเป็นยังไง?”หมอขยับแว่นมองห
แผนกสูตินรีเวชก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ปัญหาก็คือหลินจืออี้เห็นแผ่นหลังที่คุ้นตาซ่งหว่านชิวถึงแม้ว่าเธอจะแต่งตัวมิดชิดแค่ไหนแต่แผ่นหลังนี้ก็ฝังอยู่ในหัวของหลินจืออี้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว เธอจะลืมได้อย่างไรกัน?แต่ซ่งหว่านชิวมาทำอะไรที่แผนกสูตินรีเวชล่ะ?“จืออี้ เป็นอะไรไป?” เฉินซู่หลานที่ยืนอยู่ข้างหน้าก็หันมาส่งเสียงเรียกเธอ“ไม่มีอะไรค่ะ มาแล้ว”หลินจืออี้ก็รีบเดินตามไป แต่พอเธอหันกลับไปมองอีกที ซ่งหว่านชิวก็หายไปแล้วเฉินซู่หลานดึงแขนเธอไว้ แล้วชี้ไปที่บันไดข้างหน้า “ขึ้นทางนี้ก็ได้นะ”หลินจืออี้ได้สติกลับมาและพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินขึ้นไปพร้อมกับเธอแบบเหม่อลอยหรือว่าที่ซ่งหว่านชิวเดินทะลุผ่านแผนกสูตินรีเวชเพราะว่าสะดวก?พอขึ้นไปถึงข้างบนหลินจืออี้ก็ช่วยเฉินซู่หลานจัดที่นั่งเพื่อรอคิวตรวจ หมอผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลนี้เป็นเพื่อนของเฉินซู่หลาน เธอไว้ใจเขามากเป็นพิเศษเธอยอมรอก็ไม่ยอมไปโรงพยาบาลเอกชนเปลี่ยนหมอคนใหม่ตรวจหลินจืออี้เข้าใจดีคนมีเงินก็มักจะเลือกหมอที่ตัวเองไว้ใจได้และไม่ค่อยยอมเปลี่ยนคนคงกลัวข้อมูลสุขภาพของตัวเองจะรั่วไหลกงเฉินก็เป็นแบบนั้น การตรวจร่างกายทุกค
“แก... แกอิจฉาฉันจริงๆ ด้วย แม้แต่ผู้ชายก็รั้งไว้ไม่ได้!” เฉินฮวนทุบกล่องในมือ“เหอะ” เซวียมั่นยิ้มเยาะและเดินออกไปทันที เธอขี้เกียจเกินไปที่จะตอบคําถามที่น่าเบื่อแบบนี้"แกหมายความว่ายังไง? แกพูดมาให้ชัดเจนนะ”เฉินฮวนรีบวิ่งไปที่เซวียมั่น แต่ถูกขวางโดยผู้ช่วยเบลล่าเบลล่ารีบเอ่ย "รปภ.พาคนออกไปเร็วเข้า อ้อ แล้วก็ขยะของมันด้วย"แล้วเฉินฮวนก็ถูกโยนออกไปหลินจืออี้ไม่ได้รู้สึกสงสารอะไรเลย ทั้งหมดนี้เป็นเฉินฮวนทำตัวเองทั้งนั้นเมื่อก้มหน้าทํางาน เธอก็เห็นซ่งหว่านชิวที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งพอดีซ่งหว่านชิวเอามือปิดปากเหมือนรู้สึกไม่สบายมาก จากนั้นก็ฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนไม่ทันสังเกตลุกขึ้นและออกจากที่นั่งไปหลินจืออี้รู้สึกแปลกใจ กําลังจะดูให้ละเอียด โทรศัพท์ก็สั่น“พรุ่งนี้ฉันอยู่บ้าน แกจะมาไหม?”“อืม”“งั้นฉันจะทําอาหารที่แกชอบ มาอยู่เป็นเพื่อนฉันเร็วๆ หน่อย”“ได้”หลินจืออี้ยิ้มเมื่อเห็นข่าว เธอวางแผนว่าจะถือโอกาสพักผ่อนพรุ่งนี้ไปบ้านตระกูลกงเพื่อย้ายของที่เหลือไปที่คอนโดจริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรมากหรอกเมื่อก่อนตอนที่อยู่บ้านตระกูลกงเธอก็ใช้ชีวิตอย่างหวาดผวา ดังนั้นหลังจากพักอย
บนรถกงเฉินและซ่งหว่านชิวเพิ่งนั่งได้มั่นคนขับรถที่สวมถุงมือสีขาวอยู่แถวหน้าก็หันมามองกงเฉินอย่างประหม่า“คุณผู้ชาย ถ้าไม่ไปบริษัท งั้นผมก็จะไปถนนลี่หัวแล้วนะครับ”“อืม”กงเฉินตอบรับเบาๆ แล้วหลับตาพักผ่อนซ่งหว่านชิวเพิ่งพบว่าคนขับไม่ใช่คนที่คุ้นเคยมาก่อน จึงถามอย่างสงสัยว่า “ทําไมเปลี่ยนคนขับกะทันหันล่ะคะ? ทางก็ไม่คุ้นเคยแล้ว”กงเฉินหลับตาลงและพูดอย่างเย็นชาว่า “ไม่คุ้นเคยทางขับไปเดี๋ยวก็คุ้นเคยเอง แค่คนที่แยกนายจ้างไม่ออกก็ไม่จําเป็นต้องเก็บไว้แล้ว”ได้ยินดังนั้น หน้าของซ่งหว่านชิวก็เหมือนมีรอยร้าวและเล็บที่เพิ่งทําใหม่ก็จิกลงไปในเบาะหนังแท้โดยตรงแต่ใบหน้าของเธอยังคงยิ้มอยู่ "ค่ะ"จากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดคุยกันอีกพอไปถึงบ้านตระกูลซ่ง ซ่งหว่านชิวไม่กล้ารั้งกงเฉินไว้ พูดคําอําลาแล้วลงจากรถเหมือนวิ่งหนีกงเฉินก็ไม่ได้อยู่ต่อ เขาจากไปทันทีไม่รู้ว่าเธอเก็บกดเกินไปหรือเปล่า ซ่งหว่านชิวรู้สึกหมดแรง กระเพาะอาหารเริ่มปั่นป่วนอีกครั้งเธอผลักคนรับใช้ที่หิ้วชายกระโปรงราตรีให้เธอออก แล้วรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำและเริ่มอาเจียน"อ้วก... แหวะ...”ในเวลานี้ รถของฉินซวงก็จอดอยู่ที่ปร