"หรงเอ๋อร์!!! รีบตามแม่เข้ามาในห้องประเดี่ยวนี้ แม่ต้องการคำอธิบาย...? นางเมิงทำหน้าตาขึงขังไม่พอใจเป็นอย่างมาก แววตานางลุกโชนราวกับเปลวไฟที่กำลังร้อนระอุ พร้อมที่จะปะทุได้ทุกเมื่อ
หญิงชราผู้นี้อยากจะรู้จริงๆเชียว ว่าบุตรสาวตัวดีของนางกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงได้พาบุรุษลึกลับไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ไหนก็ไม่รู้ กลับมาพักที่ชายคาเดียวกันเช่นนี้ หากเป็นเพียงญาติสนิท นางยังพอจะอนุโลม แต่นี้นางเมิงไม่รู้จักบุรุษผู้นี้เสียด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเขามีที่มาที่ไปอย่างไร ยิ่งทำให้นางเมิงไม่พอใจเอามากๆ "ท่านแม่ ท่านฟังข้า...." หรงหรงทำหน้าตาสำนึกผิด "ไม่ แม่ไม่ฟัง รีบไล่เขาออกไป" หญิงชรารีบเอ่ยตัดบท "ท่านแม่....แต่เขาคือผู้มีพระคุณของลูกนะเจ้าค่ะ ลูกจะกล้าไล่ผู้มีพระคุณของลูกไปได้อย่างไรกัน ท่านแม่เคยสอนลูกเอง ว่าเป็นหนี้ต้องทดแทนบุญคุณคน ลูกจะหลงลืมได้เยี่ยงไร" หรงหรงชักเอาแม่น้ำทั้งแปดขึ้นมาสาธยาย จนมารดาเริ่มคล้อยตาม "ได้...แม่จะให้โอกาสเจ้าได้อธิบาย หากเจ้ามีเหตุผลไม่เพียงพอ แม่จะตีเจ้าให้ตาย และไล่ตะเพิดบุรุษผู้นั้นออกบัดประเดี๋ยวนี้.....? หรงหรงเงียบไปครู่หนึ่ง นางจึงได้เริ่มพูดความจริงกับนางเมิงในเวลาต่อมา "ท่านแม่...ท่านตั้งใจฟังในสิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ ให้ดีๆนะเจ้าค่ะ" "รีบว่ามา อย่ามัวแต่เฉไฉ แม่ใกล้จะอกแตกตายแล้วตอนนี้..." นางเมิงอยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงรีบเร่งเร้าให้บุตรสาวพูดออกมา "ท่านแม่ยังจำได้หรือไม่ เมื่อหลายวันก่อนที่ผ่านมา ท่านย่ามาหาลูก เพื่อที่จะให้ลูกขึ้นไปเอาฟืนที่เหลืออยู่บนเขากลางป่ากลับมาให้นาง แต่ลูกไม่คาดคิด...ว่าท่านย่าจะวางแผนยกลูกให้กับตระกูลเซิ๋นไปแล้ว และยังแอบนำเอาค่าสินสอดมาเก็บไว้ล่วงหน้าอีกด้วย วันนั้นท่านย่ายังวางแผนกับเจ้าอ้วนอี้ฟูอันธพาลในหมู่บ้าน สั่งให้รีบรวบรัดตัดตอน เพื่อกระทำการย่ำยีข่มเหงน้ำใจลูกอย่างป่าเถื่อน ทำให้ลูกเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดในยามนั้น แต่โชคยังดีที่สวรรค์คุ้มครองได้อาเฉินช่วยลูกไว้ หาไม่แล้ว....บุตรสาวเพียงคนเดียวของท่าน คงได้สูญเสียความบริสุทธิ์ พร้อมทั้งยังตกไปเป็นเมียของเจ้าอ้วนคนชั่วนั้นไปแล้วละเจ้าค่ะ แค่นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ลูกยังอกสั่นขวัญแขวนไปไม่หาย...." พูดจบหรงหรงจึงแสร้งบีบน้ำตาขึ้นมาอย่างเศร้าโศกเสียใจไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "หรงเอ๋อร์...นี้เจ้าว่ากระไรนะ...!!! ท่านย่านะรึที่คิดจะรึขายเจ้าไป....อีกทั้งยัง....เฮ้ออออ...." นางเมิงพูดมาถึงตอนนี้ก็มีท่าทีไม่ปกติ ทั้งยังถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คล้ายกลับนึกอะไรขึ้นมาได้ "ทุกอย่างที่ลูกเอ่ย ล้วนมิมีทางโป้ปด...คนเรามักรู้หน้ามิรู้ใจ" "อืม" นางเมิงได้แต่พยักหน้า นางรู้สึกปวดใจขึ้นมาเป็นอย่างมากเมื่อได้รู้ความจริงที่เกิดขึ้น " ตอนนี้เราเชื่อใจใครไม่ได้อีกแล้วเจ้าค่ะท่านแม่..." หรงหรงมองนางเมิงด้วยแววตาที่จริงจัง "โชคดีที่ลูกแม่เป็นเด็กดี สวรรค์จึงคุ้มครอง..." นางเมิงโอบกอดบุตรสาวอันเป็นที่รักอย่างอ่อนโยน "โชคดีที่อาเฉินช่วยลูกไว้ได้ทันท่วงทีน่ะเจ้าค่ะ บุญคุณก็ต้องทดแทน ลูกจึงพาอาเฉินกลับมารักษาด้วยอย่างไรล่ะเจ้าค่ะ อีกอย่างอาเฉินก็ไม่มีที่ไปด้วย ถ้าเช่นนั้น...." หรงหรงพูดจา ตะกุกตะกักขึ้นมา แววตานางจดจ้องไปทางมารดาเป็นเชิงรอคำตอบ "แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษ เจ้ายังมิได้ออกเรือน มิควรใกล้ชิดกับเขา เข้าใจที่แม่บอกหรือไม่...? นางเมิงกล่าวออกไปอย่างจริงจัง พอนึกขึ้นมาได้ว่าบุตรสาวยังมิทันได้ออกเรือน "ลูกมิสนใจหรอกเจ้าค่ะ ลูกรับปากอาเฉินเอาไว้แล้ว ยังไงลูกก็ต้องรักษาเขาให้หายขาด จะผิดสัจจะวาจามิได้เด็ดขาด..." "แต่เรือนเราหลังเล็กนิดเดียว จะอยู่กันยังไงตั้งสามคน แถมเขายังเป็นบุรุษอีก ระวังเอาไว้หน่อยก็ดี อย่าให้ชาวบ้านมาติฉินนินทาเอาได้....? นางเมิงกังวลใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด "เรื่องนี้ท่านแม่มิต้องเป็นห่วงไป ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกเองเถอะเจ้าค่ะ" "นี้....ลูกคิดจะทำเช่นไรอย่างนั้นหรือ......? "ลูกพอจะรู้จักสมุนไพรหลายชนิดอยู่บ้าง ประเดี่ยวลูกจะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรป่า เพื่อนำเอาไปขายในตัวเมือง อาจจะได้ตำลึงมากพอ ถึงเวลานั้น....เราค่อยขยับขยายสร้างเรือนขึ้นมาใหม่ก็ยังมิสาย เรื่องนี้ท่านแม่มิต้องเป็นกังวลไปหรอกเจ้าค่ะ ลูกมองการณ์ไกลเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว" "แต่จะให้เจ้าทำงานลำบากอยู่คนเดียว มันใช้ได้ที่ไหน ถึงอย่างไรลูกก็เป็นสตรีที่ยังมิได้ออกเรือน ที่ผ่านมาลูกก็เหนื่อยมามากพอแล้ว...ยังจะแบกรับภาระเอาไว้คนเดียวอีก" นางเมิงเป็นห่วงบุตรสาวจากก้นบึ้งของหัวใจ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา นางเมิงมองเห็นถึงความลำบากลำบนของบุตรสาวอยู่ทุกวี่วัน แต่นางก็ทำอันใดมิได้ เนื่องด้วยสังขารไม่อำนวย "ตอนนี้...เราอาจจะลำบากกันนิดหน่อย แต่ทนรอแค่ไม่นานหรอกนะเจ้าค่ะท่านแม่ ลูกให้สัญญา อีกไม่นานพออาเฉินร่างกายค่อยๆหายดีขึ้นมาเมื่อไหร่ ยามนั้นเขาจะต้องช่วยลูกอีกแรงในภายภาคหน้าแน่นอนเจ้าค่ะ ท่านแม่เชื่ลูกนะเจ้าค่ะ ลูกมองคนไม่ผิดแน่นอน..." หรงหรงกล่าวอย่างเชื่อมั่นในตัวโม่เฉิน "แล้วถ้าลูกรักษาเขาไม่หายละ ลูกก็จะต้องทนแบกภาระอยู่กับเขาไปชั่วชีวิตกระนั้นรึ.....? นางเมิงไม่อยากให้บุตรสาวต้องมีสามีเป็นคนพิการ แค่คิดนางก็รู้สึกหดหู่ใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด "เป็นไปไม่ได้หรอกเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านแม่อย่าลืมสิเจ้าค่ะ ว่าท่านเซียนได้ถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้ลูกแล้ว จะยังไงลูกก็ต้องรักษาอาเฉินให้กลับมาเดินอีกครั้ง ให้จงได้เจ้าค่ะ..." หรงหรงยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ นางเป็นถึงแพทย์หญิงอัฉริยะอันดับหนึ่งของกองทัพภาคสนาม จะให้เสียชื่อเสียงที่สั่งสมมาได้อย่างไร "เฮ้ออออ....หรงเอ๋อร์ แม่แค่เป็นห่วงเจ้า ตั้งแต่เล็กจนโต เจ้าก็อดทนลำบากมาโดยตลอด แม่แค่อยากให้เจ้าได้เจอบุรุษที่ดี ที่จะฝากผีฝากไข้ไว้ในยามแก่เฒ่า ไม่ใช่มามีสามีที่พิการอย่างไม่รู้ชะตากรรมเช่นนี้ เจ้ามันช่างดื้อดึงเหมือนผู้ใดกันนะ.....? นางเมิงถอนหายใจออกมา เมื่อเห็นความดื้อด้านของบุตรสาว "ท่านแม่....ที่ท่านพูดออกมาเช่นนี้ ท่านยอมให้ว่าที่สามีของลูกข้าที่นี้แล้ว ใช่หรือไหมเจ้าค่ะ......" หรงหรงเมื่อนึกถึงคำพูดมารดาที่เอ่ยออกมา นางพลันมีแววตาที่สุกสกาวราวกับดวงดาว "เพลี้ยะ..." "โอ้ย....ท่านแม่ ท่านตีลูกทำไมเจ้าค่ะ...? "ให้ตายเถอะ...ว่าที่สามีอะไรกัน เจ้าช่างเอ่ยออกมาได้ไม่อายปาก แม่ยังไม่อนุญาติให้พวกเจ้าทั้งสองคนคบกัน อย่าได้พูดจาเหลวไหล ที่แม่พูดออกมาก่อนหน้านี้ แม่แค่สมมุติ แม่จะคอยสอดส่องจับตาดูพวกเจ้าทั้งสองคนตลอดเวลา ห้ามพวกเจ้าทั้งสองทำอะไรเกินเลยกว่าการรักษาเด็ดขาด ได้ยินที่แม่สั่งหรือไม่....? "เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ ลูกรู้แล้ว ขอบคุณท่านแม่อีกครั้งน่ะเจ้าค่ะ แล้วเรื่องที่พักของอาเฉิน.....? หรงหรงโผเข้ากอดนางเมิงด้วยความดีใจ ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องที่พักของโม่เฉินขึ้นมา "เอาเป็นว่าให้เขาอยู่เรือนเราไปก่อน หากลูกรักษาเขาหายดีแล้ว ถ้าเขาจะไป ลูกห้ามรั้งเขาไว้อย่างโดยเด็ดขาด สัญญากับแม่ก่อนได้หรือไม่......? "เจ้าค่ะ ลูกสัญญาเจ้าค่ะ..." "ดีมาก ถ้าเช่นนั้นก็ตกลงตามนี้..." "เจ้าค่ะ ท่านแม่ใจดีที่สุดเลยเจ้าค่ะ"หรงหรงสวมกอดนางเมิงด้วยความดีใจอีกครั้ง สองแม่ลูกได้ปรึกษาหารือกันเป็นที่เรียบร้อย ทั้งสองจึงเดินออกมาจากในห้อง และเดินมุ่งหน้าไปยังลานหน้าบ้านในเวลาต่อมา นางเมิงมองบุรุษผู้นั้นอย่างไม่ลดสายตา นางมองสำรวจชั่วครู่ตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วจึงเอ่ยออกไป "เจ้าชื่อว่ากระไร......? "ข้าน้อยชื่อ..อาเฉินขอรับ ท่านแม่..." "ใครเป็นแม่ของเจ้า...เรียกข้าว่าท่านน้าก็พอ " "คิก...คิก" หรงหรงแอบหลุดหัวเราะออกมา เมื่อได้เห็นว่ามารดาตำหนิคำเรียกของโม่เฉิน "ได้ขอรับ ท..ท่านน้า..." "เจ้า...อย่าได้คิดว่าเจ้าหน้าตาดี แล้วจะมาล่อลวงหรงเอ๋อร์ของข้า หากข้ายังอยู่ เจ้าไม่มีวันได้สมใจแน่ ข้าจะจับตาดูเจ้าทุกฝีก้าว คอยดูเถอะ..." "ข้าให้สัญญาขอรับท่านน้า ข้าน้อยจะไม่มีวันชิงสุกก่อนห่าม เเน่นอน ข้าจะให้เกียรติหรงเอ๋อร์ และปกป้องนางจนสุดชีวิต เท่าที่ข้าจะทำได้ขอรับ" "หึ...ให้มันจริงเถอะ....จงจำคำพูดของเจ้าเอาไว้ให้ดี หากข้าไม่อนุญาติ พวกเจ้าทั้งสองก็ห้ามใกล้ชิดกัน ทำได้เพียงแค่รักษาเท่านั้น ได้ยินหรือไม่...? พูดจบก็หญิงชราก็หันสายตาไปมองค้อนบุตรสาวทันทีเพื่อเป็นการตักเตือน หรงหรงรีบหลุบตามองต่ำและยิ้มเจือนๆออกมา "ขอรับท่านน้า" โม่เฉินตกปากรับคำอย่างจริงจัง "ตอนนี้เรือนของเราก็มีแค่ห้องเดียว ข้าจะเอาผ้ากั้นกลางระหว่างห้องเอาไว้ หรงเอ๋อร์หากลูกไม่ได้รักษาอาเฉิน ห้ามลูกข้ามไปในเขตแดนของเขาเด็ดขาด เข้าใจใช่ไหม...? นางเมิงกล่าวออกไปด้วยแววตาที่เกรี้ยวกราด "เจ้าค่ะ...ท่านแม่ แหะ...แหะ... " หรงหรงยิ้มแห้งๆออกมา ก่อนจะหันไปขยิบตาให้โม่เฉิน ส่วนโม่เฉินได้แต่อมยิ้มตามอย่างไม่รู้ตัว "หากไม่มีอะไรแล้ว พวกเจ้าสองคนก็แยกย้ายกันไปได้แล้ว โดยเฉพาะเจ้า....หรงเอ๋อร์ หากไม่จำเป็น เจ้าก็ไม่ต้องเข้าไปใกล้เขาให้มากนัก ชายหญิงมิควรใกล้ชิดกัน "นางเมิงรีบบอกกล่าวบุตรสาวอย่างหงุดหงิดใจ "แต่ท่านแม่ ตอนนี้อาเฉินได้เวลาล้างแผลแล้วนะเจ้าค่ะ" หรงหรงรีบชี้นิ้วไปที่บาดแผลโม่เฉิน "หึ....ถ้าเช่นนั้นแม่จะนั่งเป็นเพื่อน จนกว่าเจ้าจะล้างแผลให้เขาเสร็จ" สิ้นเสียงนางเมิงก็นั่งลงจ้องเขม็งดูบุตรสาวล้างแผลให้บุรุษตัวต้นเรื่องอย่างไม่กระพริบตา หรงหรงนั่งล้างแผลอย่างกดดัน สายตานางเมิงยังคงจับจ้องมองบุตรสาวอยู่อย่างนั้นจนกว่าบุตรสาวจะล้างแผลเสร็จ หรงหรงกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างฝืดเคือง ก่อนจะเริ่มลงมือล้างแผล นี้เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองไม่พูดคุยกัน บรรยากาศดูจะยิ่งอึดอัดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด "เฮ้อออ....เอาละเสร็จเรียบร้อย ท่านแม่...ท่านเลิกจ้องข้าได้แล้วเจ้าค่ะ....? "ข้าไปจ้องพวกเจ้าเมื่อไหร่กัน ข้าแค่ดูเวลาล้างแผลไปก็เท่านั้น.....? "เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ ไม่จ้องก็ไม่จ้อง" หรงหรงยกยิ้มที่มุมปากอย่างขบขัน "ขอบคุณหรงเอ๋อร์" โม่เฉินกล่าวขึ้นอย่างอ่อนโยน "เหตุใด...เจ้าถึงเรียกนางว่าหรงเอ๋อร์เสียสนิทอย่างนั้น ทั้งที่พวกเจ้าสองคนพึ่งจะเจอกันแค่ครั้งแรก...? โม่เฉินได้แต่อ้าปากค้าง ไม่คิดว่านางเมิงจะหวงลูกสาวขนาดนี้ เขาทำได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม "ท่าน....แม่ ก็แค่ชื่อเรียกเองนี้เจ้าค่ะ ลูกเป็นคนบอกให้อาเฉินเรียกแบบนั้น ท่านจะไปดุด่าอาเฉินทำไมเจ้าค่ะ เขาก็แค่เรียกตามที่ลูกบอก...? "หน่อยแน่ ข้าเป็นแม่เจ้านะ เหตุใดถึงได้ไปเข้าข้างคนแปลกหน้า แล้วข้าไปดุด่าเขาเมื่อไหร่กัน...ข้าก็แค่ถาม...ทำไม....ข้าถามไม่ได้หรืออย่างไร...? "โถ้...ท่านแม่ละก็ ลูกมิได้เข้าข้างเขานะเจ้าค่ะ ลูกก็แค่บอกให้ท่านฟังเจ้าคะ เรารีบไปเก็บผักในคลองกันดีกว่า ไปสิเจ้าค่ะท่านแม่" "เชอะ...." "อาเฉิน ข้าฝากดูแลเรือนด้วยนะ ข้าจะพาท่านแม่ออกไปสูดอากาศบริสุทธิเสียหน่อย แล้วจะรีบกลับมา ข้าไปนะ" หรงหรงรีบดึงแขนมารดาออกไปทันทีอย่างรวดเร็วทันใจ "ได้..." โม่เฉินพยักหน้ารับรู้ ก่อนไป หญิงชรายังหันมามองค้อนโม่เฉินอีกครั้ง ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้ล่อลวงบุตรสาวของตนเช่นไร บุตรสาวถึงได้ดูเป็นห่วงเป็นใยหลงไหลเขาจนออกหน้าออกตาเช่นนี้"เพลี้ยะ.!!!" ฝ่ามือหยาบกร้านฟาดไปที่ต้นแขนบุตรสาวไม่ยั้ง "โอ้ยยย...." "ท่านแม่ พอแล้ว ข้าสำนึกผิดไปแล้วจริงๆ" หรงหรงรีบหยิบฝ่ามือหญิงชราขึ้นมาเป่า เมื่อเริ่มเห็นรอยเป็นสีแดง หญิงชรารีบสะบัดมือออกไปในทันที สายตาเพชรฆาตมองไปที่บุตรสาวตัวดี ไม่รู้ว่าบุตรสาวกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงได้พาบุรุษลึกลับที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ไหนก็ไม่รู้ กลับมาพักที่ชายคาเดียวกันเช่นนี้ หากเป็นเพียงญาติสนิท นางยังพอจะอนุโลมให้ แต่นี้นางเมิงไม่รู้จักบุรุษผู้นี้เสียด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเขามีที่มาที่ไปอย่างไร ยิ่งทำให้นางเมิงรู้สึกไม่พอใจเอามากๆ "ท่านแม่ ท่านฟังลูกสาวท่านอธิบายก่อนสิ...." หรงหรงทำหน้าตาสำนึกผิด พร้อมกับขยับเข้าไปใกล้หญิงชรา "ไม่ แม่ไม่ฟัง รีบไล่เขาออกไปให้ไว.." หญิงชรารีบเอ่ยตัดบท "ท่านแม่....แต่เขาคือผู้มีพระคุณของลูกนะเจ้าคะ ลูกจะกล้าไล่ผู้มีพระคุณของลูกไปได้อย่างไรกัน ท่านแม่เคยสอนลูก ว่าเป็นหนี้ต้องทดแทนบุญคุณคน ลูกจะหลงลืมได้เยี่ยงไรเจ้าคะ..." หรงหรงชักเอาแม่น้ำทั้งแปดขึ้นมาสาธยาย จนมารดาเริ่มมีท่าทีอ่อนลง "ได้...แม่จะให้โอกาสเจ้าได้อธิบาย หากเจ้ามีเหตุผลไม่เพียงพอ แม่จะตีเจ้าให้ตาย แล
นางเมิงมองดูบุรุษตรงหน้าอย่างไม่ลดสายตา นางมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่นาน แล้วจึงเอ่ยออกไป "เจ้าชื่อว่ากระไร......? "ข้าชื่อโม่เฉินขอรับ ท่านแม่..." "ใครเป็นแม่ของเจ้า...เรียกข้าว่าท่านน้าก็พอ.." "คิก...คิก" หรงหรงแอบหลุดหัวเราะออกมา เมื่อได้เห็นว่ามารดาตำหนิคำเรียกของโม่เฉิน "ได้ขอรับ ท่านน้า..." "เจ้า...อย่าได้คิดว่าเจ้าหน้าตาดี แล้วจะมาล่อลวงหรงเอ๋อร์ของข้า หากข้ายังอยู่ เจ้าไม่มีวันได้สมใจกมายแน่นอน ข้าจะจับตาดูเจ้าทุกฝีก้าว จงอยู่อย่างเจียมตัวดีๆ.." "ข้าให้สัญญาขอรับ ข้าจะไม่มีวันชิงสุกก่อนห่ามเเน่นอน ข้าจะให้เกียรติหรงเอ๋อร์ และปกป้องนางจนสุดชีวิต เท่าที่ข้าจะทำได้ขอรับ" *.....* คำพูดเขาดูกำกวมยิ่งนัก..... "หึ...จงจำคำพูดของเจ้าเอาไว้ให้ดีเถิด หากข้าไม่อนุญาติ พวกเจ้าทั้งสองก็ห้ามใกล้ชิดกัน ทำได้เพียงแค่รักษาเท่านั้น ได้ยินหรือไม่...? พูดจบหญิงชราก็หันสายตาไปมองค้อนบุตรสาวทันทีเพื่อเป็นการตักเตือน หรงหรงรีบหลุบตามองต่ำและยิ้มเจือนๆออกมา "ขอรับ" โม่เฉินตกปากรับคำอย่างจริงจัง "ตอนนี้ที่เรือนก็มีเพียงแค่ห้องเดียว ข้าจะเอาผ้ากั้นกลางระหว่างห้องเอาไว้ หรงเ
"พวกท่านพาคนบุกมายังเรือนของข้ามากมายเยี่ยงนี้ มาด้วยเหตุอันใดมิทราบ....? หรงหรงเอ่ยออกไป โดยไม่สนใจคำพูดของแม่เฒ่าอิ๋นเมื่อครู่ ทำกับว่าแม่เฒ่าอิ๋นเป็นเพียงอากาศธาตุสำหรับนาง "หรงเอ๋อร์....เจ้าจะพูดเช่นนี้ก็มิได้..." แม่เฒ่าอิ๋นรีบเอ่ยแทรกขึ้นมา "หุบปาก ข้ามิได้ถาม" หรงหรงเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นล้วนแต่ตกตะลึงอ้าปากค้าง เหตุใดหญิงสาวที่เคยอ่อนโยนไร้เดียงสา ถึงได้มีท่าทีที่แข็งกร้าวขึ้นมาเยี่ยงนี้ ราวกับว่านางมิใช่หรงหรงคนเดิม ทุกคนต่างคิดไปในทิศทางเดียวกัน "นี้เจ้า...เจ้ากล้าขึ้นเสียงกับข้าเชียวรึ ข้าเป็นย่าเจ้านะ...? "เหอะ....ชั่วชีวิตนี้ ข้าไม่เคยมีญาติพี่น้องที่ไหน ข้ามีเพียงท่านแม่เพียงคนเดียว คนอื่นข้าล้วนไม่นับญาติ.." *.....* ชาวบ้านหลายคนที่อยู่ในบริเวณนั้น ต่างตกตะลึงไปกับคำพูดของหญิงสาวตรงหน้าขึ้นมาอีกครั้ง... "ชิช่ะ....พวกเจ้าสองคนเลิกโต้เถียงกันไปมาได้แล้ว...ข้ามาในนามลูกชายของข้า สินสอดก็เอาไปแล้ว ยังจะแสร้งทำเป็นไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่อีก มีที่ใดกัน....ภรรยาทุบตีสามี ...? นายท่านเซิ๋นยังพูดขึ้นต่อ.... " พวกเจ้ายังจะมัวย
สตรีในสมัยนี้ ล้วนถือชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญ นางเมิงจึงต้องรีบออกตัวปกป้องบุตรสาวเพียงคนเดียว บวกกับความรักความห่วงใยที่มีต่อบุตรสาวเกินกว่าจะพรรณนา นางเมิงมีหรือจะยอมให้ใครมาแตะต้องแก้วตาดวงใจของนาง มิมีวันเสียหรอก "ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิด พวกเจ้าก็จงแยกย้ายกันได้แล้ว..." ท่านผู้นำหมู่บ้านหันไปทางสองผัวเมียตัวต้นเรื่อง "ประเดี๋ยวก่อน...เรื่องค่าสินสอดข้านั้นกระจ่างแล้ว แต่เรื่องที่นังหนูหรงหรงทำร้ายร่างกายบุตรชายข้าเล่า พวกเจ้าสองแม่ลูกจะรับผิดชอบเช่นไร.....? นายท่านเซิ๋นมองไปที่หรงหรง คิดว่าตนเองถือไพ่เหนือกว่านาง "อ่อ....พอดีเลย ข้าก็พึ่งจะนึกขึ้นมาได้อยู่เรื่องหนึ่ง พวกท่านทุกคนลองสังเกตุดูร่องรอยฟกช้ำตามร่างกายของข้าสิเจ้าคะ..." "ตายแล้ว...นั้นมันร่องรอยการถูกทำร้ายชัดๆ" ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนออกมา "ใช่แล้ว นี้เป็นร่องรอยจากการถูกทำร้ายแน่นอนเจ้าค่ะ ข้าขอสาบานได้..." หรงหรงแสร้งเอามือปาดน้ำตา"โถ้ๆๆ ร่างกายนางบอบบางเยี่ยงนั้น นังหนู...รีบบอกลุงมาเถอะ ตกลงใครเป็นคนทำร้ายเจ้ากันแน่....? ท่านผู้นำหมู่บ้านถามด้วยความเป็นห่วง"ท่านลุงลองไปถามบุตรชายตัวดีของท่านลุงเซิ๋นสิเจ้าคะ ว่าร
นางเมิงและบุตรสาว ช่วยกันเข้าครัวทำกับข้าวจึงเสร็จเร็วกว่าทุกวัน อาหารหลายอย่างถูกจัดวางบนจานดูน่ารับประทาน พอถึงเวลาอาหาร ทุกคนก็นั่งล้อมวงกินอาหารพร้อมหน้ากันเป็นครั้งแรก หรงหรงหยิบตะเกียบเป็นคนแรก นางคีบอาหาร และตักน้้ำแกงส่งให้มารดาไปคนแรก "ท่านแม่รีบกินสิเจ้าค่ะ...ผัดผักสดๆ กับน้ำแกงแสนอร่อยสูตรพิเศษที่ลูกคิดค้นขึ้นมาเอง กินตอนที่กำลังร้อนๆ อร่อยเหาะเลยละเจ้าค่ะ..." "อืม....เจ้าเองก็รีบกินเยอะๆเถอะ ดูตัวเจ้าตอนนี้สิ...ผอมแห้งอย่างกับอะไรดี..." นางเมิงกล่าว ก่อนจะช้อนสายตามองไปที่โม่เฉิน ไม่นานนางก็กล่าวขึ้นอีก "แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่กิน...รึว่าอาหารพื้นเพพวกนี้ เจ้ากลืนไม่ลงคออย่างงั้นสินะ.....? นางเมิงรีบกล่าวเหน็บแนม โม่เฉินกำลังปริปาก แต่ถูกหรงหรงกล่าวแทรกขึ้นมาก่อน "มาอาเฉิน...รีบกินข้าวได้แล้ว..." หรงหรงรีบคีบอาหารป้อนไปที่ปากให้โม่เฉิน ท่ามกลางสายตาหญิงชรา โม่เฉินยังคงแน่นิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย *.....* นางเมิงเมื่อมองไปเห็นบุตรสาวกำลังตั้งท่าคีบอาหารป้อนไปให้บุรุษตรงหน้า นางถึงกับเบิกตาโต จนตะเกียบที่ถืออยู่ในมือ หล่นลงพื้นอย่างกระทันหัน "ต้ายแล้วหรงเ
เมื่อสลัดความคิดทั้งหมดทิ้งไป โม่เฉินจึงรีบเอ่ยถาม "หรงเอ๋อร์.....? "หือ....? หรงหรงขานรับ ก่อนจะหันกลับไปมองทางต้นเสียงอย่างสงสัย "เจ้ามิใคร่รู้หรือ ว่าข้าเป็นผู้ใด และมาจากไหน...? "ทำไมต้องอยากรู้ด้วยเล่า หากท่านอยากบอก สักวันหนึ่ง ท่านก็คงจะบอกข้าเองโดยที่ข้าไม่ต้องถาม..." หรงหรงกล่าวออกไปด้วยความสัตย์จริง "เช่นนั้น ใบหน้าข้ายังมีสิ่งใดติดอยู่อีก ใยหรงเอ๋อร์ถึงได้จดจ้องมองข้าด้วยเล่า....? "เปล่า ก็ใครบอกให้อาเฉินเกิดมาหน้าตาดีเช่นนี้เล่า มองนิด มองหน่อย ท่านคงมิบุบสลายไปหรอกกระมัง.....? หรงหรงยังคงนั่งมองใบหน้าโม่เฉินต่อไปอย่างไม่ละสายตา "แล้วถ้ามีบุรุษอื่น...ที่หน้าตาดีกว่าข้าเล่า หรงเอ๋อร์คงจะจ้องมองเขา เหมือนกับที่กำลังจ้องมองข้าอยู่แบบนี้ ใช่หรือไม่.....? โม่เฉินรีบถามกลับ "มันจะเหมือนกันได้เช่นไร...อาเฉินเป็นคนของข้า ท่านอนุญาติให้ข้าสามารถจับต้องท่านได้ โดยที่ไม่ต้องเสียตำลึงแม้แต่แดงเดียว แต่บุรุษอื่น คงมิใช่อย่างแน่นอน...." แววตาสตรีร่างบางเปล่งประกายขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเอ่ยถึงบุรุษรูปงามอื่นขึ้นมา "นั่นปะไร...เหตุใดสีหน้าถึงได้เผยพิรุจเช่นนี้..แสดง
หรงหรงตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ นางรีบเร่งฝีเท้าเดินไปที่ร้านค้าในหมู่บ้านเพื่อหวังจะซื้อเหล้ารสชาติดีหนึ่งไหกับไก่อีกหนึ่งตัว ก่อนจะหิ้วสัมภาระที่พึ่งจะซื้อมา เดินฮัมเพลงไปตลอดทั้งทาง เพื่อไปหาท่านลุงฉู่ที่ท้ายหมู่บ้านอย่างอารมณ์ดี ท่านลุงฉู่....ถือเป็นช่างไม้ฝีมือดีอันดับหนึ่งอีกหนึ่งคนของหมู่บ้าน เขาสามารถสร้างผลงานการออกแบบ รวมถึงการต่อเติมเรือนที่แข็งแรง และยังทนทานกว่าช่างทุกคนในหมู่บ้าน ขนาดช่างฝีมือในระแวกใกล้เคียง ยังต้องมาเรียนรู้งานเพิ่มเติมจากช่างไม้ฉู่อยู่เป็นประจำ ทุกคนในหมู่บ้าน รวมไปจนถึงเพื่อนบ้านในระแวกใกล้เคียงหลายคน ต่างพากันมาใช้บริการกับช่างไม้ฉู่อยู่เป็นประจำ เรียกได้ว่าแถบจะทุกครัวเรือน ล้วนเป็นฝีมือของช่างไม้ฉู่แทบจะทั้งหมด หากเอ่ยถึงช่างไม้ฝีมือดี คงไม่มีใครที่จะไม่รู้จักช่างไม้ฉู่.... คำล้ำลือถึงความสามารถของช่างไม้ฉู่ยังมีอีกมายมาย ไม่ใช่เฉพาะแต่สร้างบ้านหรือต่อเติมบ้านเป็นเท่านี้ เขายังสามารถสร้างโต้ะกินข้าว เก้าอี้ โต้ะเครื่องแป้ง และอุปกรณ์ที่ทำจากไม้อีกหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับผู้จ้างวาน ว่าจะสั่งให้ช่างไม้ฉู่ออกแบบได้ตามกำลังทรัพย์ที่มี ขอเพียงมีแบบร่าง ช่า
หนึ่งวันผ่านไป.... ยามค่ำของอีกวัน วันนี้ถือเป็นขั้นตอนการจัดกระดูกที่สำคัญเป็นอย่างมาก หรงหรงจึงดูกระตือรือร้น พร้อมทั้งเช็คดูอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์อยู่หลายครั้งอย่างพิถีพิถัน ไม่นานนักนางจึงรีบยกอาหารนำไปให้โม่เฉินกินเพื่อที่จะเติมพลังให้พร้อมในการผ่าตัด หลังจากหรงหรงนั่งรอโม่เฉินจนอาหารย่อย นางก็รีบอุ้มโม่เฉินออกไปนั่งตรงเก้าอี้บริเวณข้างลานบ้าน เพื่อให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก หญิงชราเห็นว่าบุตรสาวกำลังกระตือรือร้น เพื่อเตรียมขั้นตอนสำคัญในการรักษาโม่เฉิน นางจึงไม่อยากเข้าไปรบกวน เมื่อหญิงชรากินอาหารเสร็จ นางจึงรีบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำทันที หรงหรงรีบนำกล่องยาออกมา พร้อมทั้งหยิบจับอุปกรณ์การแพทย์ที่จะใช้ในการรักษาออกมาวางทั้งหมด ก่อนจะเริ่มต้นฉีดยาชาไปที่ขาของโม่เฉินทีล่ะข้าง และนับเวลาเอาไว้อยู่ในใจ โม่เฉินมองดูทุกความเคลื่อนไหวของสตรีตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา เมื่อปลายเข็มทิ่มลงไปที่ผิวหนังขาข้างซ้าย เขาก็มิได้เปล่งเสียงร้องเล็ดรอดออกมาแต่เพียงนิด ถึงแม้ภายในใจจะรู้สึกเจ็บปวด แต่ใบหน้าของบุรุษผู้นี้ยังคงนิ่งเฉย และอดทนต่อความรู้สึกเจ็บได้เป็นอย่างดี หรงหรงมองไปที่ฝ่ามือของโม่เฉ
หรงหรงรีบเร่งฝีเท้า กว่านางจะเดินกลับถึงเรือน ก็เป็นเวลาในยามซวี(19.00-21.00) แสงตะเกียงริบหรี่ ส่องสะท้อนออกมาตามบ้านเรือนแต่ละหลังคาเรือน ราวกับแสงของหิ่งห้อยระยิบระยับ สตรีร่างบางเดินมาหยุดที่ทางเข้าหน้าประตูเรือนของตนเอง ด้วยท่าทางที่เหนื่อยล้า ก่อนจะรีบปรับลมหายใจให้เป็นปกติที่สุด เพราะในระหว่างทาง หรงหรงรีบเร่งฝีเท้าเดินจ้ำอ้าว และใช้วิชาตัวเบาสลับกันไปมาอย่างไม่หยุดพัก หากขืนนางกลับมาช้ากว่านี้ เกรงว่ามารดากับโม่เฉินคงจะต้องอยู่ไม่สุขเป็นแน่... "หรงเอ๋อร์....นั้นใช่ลูกหรือไม่....? นางเมิงจุดตะเกียงนั่งรอบุตรสาวตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน จนตอนนี้ท้องฟ้ากลายเปลี่ยนเป็นสีดำมืดสนิท เมื่อหญิงชรามองเห็นเพียงเงเลือนลาง ก็จดจำได้ว่าเงาที่เห็น จะต้องเป็นบุตรสาวของตนอย่างแน่นอน "ใช่เจ้าคะ ข้าคือหรงเอ๋อร์ของท่านแม่ตัวจริงเสียงจริงแน่นอน..." เมื่อได้ยินเสียงบุตรสาวตอบรับ หญิงชราก็รีบกระโจนตัววิ่งออกไปเปิดประตูเรือนด้วยความเร็วแสง แล้วแอบถอยหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นว่าบุตรสาวกลับมาอย่างปลอดภัยดี โม่เฉินมองดูจากระยะไกล เมื่อเห็นว่าหรงหรงกลับมาอย่างปลอดภัย เขาจึงรีบถอนหายใจ
ท้องฟ้าสีครามกับบรรยากาศที่สดใส พร้อมต้อนรับรุ่งอรุณในอีกไมช้า หรงหรงตื่นขึ้นมาตามสัญชาตญาณ เพื่อเตรียมตัวขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรราวกับเข็มนาฬิกาอย่างรู้หน้าที่ "หรงเอ๋อร์...จะไปแล้วรึ....? น้ำเสียงอันอ่อนโยนดังแว่วมาจากทางด้านหลัง ทำให้หรงหรงต้องรีบหันกลับไปมองทันที "อ้าว...ตื่นแล้วหรือ กลับไปนอนต่ออีกสักหน่อยเถิด พระอาทิตย์ยังไม่ทันจะขึ้น ท่านรีบตื่นขึ้นมาทำสิ่งใด ยามนี้มิใช่เวลาทำงานเสียหน่อย... " หรงหรงหันไปเอ่ยถามโม่เฉิน เมื่อเห็นเขากำลังนั่งอยู่บนรถเข็นแล้วจ้องมองมาที่นาง "นอนไม่หลับ...แล้วนั้นหรงเอ๋อร์จะไปนานหรือไม่...? โม่เฉินจ้องมองไปที่หรงหรงอย่างรอคำตอบ เมื่อเห็นคนตรงหน้ากำลังกุลีกุจอกับการเก็บสัมภาระ "อืม...วันนี้อาจจะใช้เวลานานกว่าทุกวัน ข้าคิดว่าจะเดินข้ามเขาขึ้นไปอีกสักสองลูก เผื่ออาจจะเจอโสมภูเขาและสมุนไพรล้ำค่าที่หายากเพิ่มขึ้น หากคาดคะเนไม่ผิด คงน่าจะกลับมาตอนพลบค่ำโน้นแหละ..." กล่าวจบ หรงหรงก็หันกลับไปจัดแจงกระเป๋าสัมภาระต่อ เพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง "หากข้าเดินได้ก็คงจะดี หรงเอ๋อร์จะได้ไม่ต้องมาทนลำบากอยู่เช่นนี้เพียงลำพัง ข้าช่างเป็นคนที่ไร้ประโยชน์เสียจริง.
หลังจากหรงหรงได้เริ่มสอบถามอาการป่วยจากภรรยาลุงเหลียง หรงหรงจึงรีบเดินทางกลับไปที่บ้านลุงเหลียง พร้อมกับภรรยาลุงเหลียงในเวลาไม่นาน พอมาถึงกระท่อมที่มุงจากหญ้าคาที่ท้ายหมู่บ้าน หรงหรงก็ได้ยินเสียงลุงเหลียงนอนร้องโอดครวญดังแว่วมา เมื่อเปิดประตูมองเข้าไปดู ลุงเหลียงกำลังนอนเอามือกอดท้องไว้แน่น เขาบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด ราวกับไส้เดือนถูกน้ำร้อนลวก "ท่านป้า ปกติท่านลุงกินข้าวมากน้อยเพียงใดหรือเจ้าคะ...? หรงหรงหันไปสอบถามอาการลุงเหลียงจากปากภรรยาเขาในทันที "กินข้าวมื้อละชามตรงตามเวลาทุกวัน เอ๊ะ...นางหนู...เหตุใดเจ้าจักต้องถามหาถึงอาการสามีข้าเช่นนี้ หรือว่าเจ้าเกิดคิดจะเบี้ยวขึ้นมา ไม่ยอมจ่ายค่ารักษาให้สามีข้าเอาเสียดื้อๆ...? ภรรยาลุงเหลียงมองหรงหรงอย่างชั่งใจ "จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไรกันเจ้าคะ ข้ามิคิดจะบิดเบี้ยวแน่นอนหากว่าสาเหตุมาจากอาหารที่เรือนข้าจริง ข้าจักต้องจ่ายค่าเสียเวลาให้ท่านลุงอย่างสมเหตุสมผลแน่นอน ส่วนเรื่องที่ข้าถาม เพียงเพราะอยากรู้ถึงสาเหตุให้แน่ชัด ข้าจะได้วินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องและแม่นยำมากยิ่งขึ้น..." "วินิจฉัย....แม่นยำ.....? "ใช่เจ้าคะท่านป้า..." "
หรงหรงทำทียกท่อนฟืนชูขึ้น สองผัวเมียก็ได้แต่ร้องตะโกนห้ามปราม ไม่กล้าเข้าไปใกล้อย่างอกสั่นขวัญแขวน แม่เฒ่าอิ๋นแทบจะเป็นลมทั้งยืน ในใจนางลุ้นระทึกยืนดูเหตุการณ์ อย่างกระสับกระส่าย "ข้ากับท่านแม่ มิมีสิ่งใดต้องเสีย แต่หากว่าเป็นพวกท่าน นั้นก็ไม่แน่ ข้ามีแค่สองปากหากินอย่างไรก็ได้ แต่พวกท่านมีตั้งหกปาก คงจะต้องลำบากน่าดู ข้าจะดูสิว่า....พวกท่านจะทนหิวตายไปในช่วงหน้าหนาวที่ใกล้จะมาถึงได้อย่างไร หากไม่มีธัญพืชให้เหลือพอประทังชีวิตทั้งครอบครัว...? หรงหรงทำทีจะโยนท่อนฟืนขึ้นไปบนยุ้งฉาง "หยุดนะหรงเอ๋อร์ นี้เจ้าบ้าไปแล้วหรือ...? ท่านป้าสะใภ้รีบตะโกนห้ามปรามหลานสาวอย่างหวาดหวั่น "หรงเอ๋อร์ เจ้าใจเย็นลงก่อน มีอะไรก็ค่อยๆพูด ค่อยๆจากัน อย่าได้วู่วามไปเชียว..." ฮ้าวสิงรีบเกลี้ยกล่อมหลานสาว "ที่ผ่านมา พวกท่านพากันใช้ธัญพืชส่วนของท่านแม่ไปอย่างไม่คำนึง ทั้งกิน ทั้งขาย ข้าล้วนไม่ถือสาหาความ ถือเสียว่า...ข้ายกหนี้ให้พวกท่านทั้งหมด และถือว่า...ข้าได้ทดแทนบุญคุณของตระกลูไปจนหมดสิ้น ในเมื่อบิดาของข้าได้ตายจากโลกนี้ไปนานแล้ว นับตั้งแต่วันนี้ ตระกูลของพวกท่าน ถือเสียว่าได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับข้าไ
หนึ่งเดือนผ่านไป..... เรือนไม้หลังใหม่ใช้เวลาแก้แบบหลายครั้ง จึงทำให้ต้องขยายเวลาในการก่อสร้างเพิ่มขึ้น ตอนนี้ตัวเรือนทั้งด้านนอกและด้านใน ถูกสร้างเสร็จจนหมดทุกห้อง มีห้องครัว ห้องกินข้าว เรือนรับรอง รวมไปถึงห้องนอน แต่ละห้องล้วนถูกสร้างสรรค์ออกมา ได้อย่างปราณีตและมีแบบแผน หรงหรงรู้สึกพอใจกับผลงานชิ้นเอกที่ตนได้เป็นคนออกแบบเป็นอย่างมาก แต่ละโครงสร้างที่นางตั้งใจลงลายเส้นไปในกระดาษ ถูกสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้อลังการ จนเกินความคาดหมาย ซึ่งในส่วนที่เหลือ เพียงแค่ตกแต่งและลงพื้นสีก็เป็นอันแล้วเสร็จ ช่างไม้ฉู่กับลูกมือทุกคนใช้เวลารวมกันร่วมสองเดือนเศษ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดการเอาไว้ เพราะกว่าจะสร้างเรือนหลังนี้ให้ตรงตามความพอใจของเจ้าของเรือน พวกเขายังต้องรื้อแก้ใหม่ไปอีกหลายรอบ หรงหรงยอมทุ่มตำลึงไปไม่อั้น หวังให้เรือนออกมาแข็งแรงและทนทาน เพื่อทนต่อแดดและลมฝน เนื่องจากเรือนไม้หลังใหม่ กว้างขวางโอ่อ่ากว่าแต่ก่อนจนเทียบกันไม่ติด บวกกับเนื้อที่ว่างเปล่าที่ถูกปล่อยทิ้งเอาไว้นานโดยเปล่าประโยชน์ หรงหรงจึงได้สั่งให้ช่างไม้ฉู่สร้างกำแพงรอบบ้านขึ้นมาใหม่ โดยรื้อถอนตัวเรือนหลังเก่
"กรี้ดดดดดดด!!!!!"เสียงลั่วลั่วกรีดร้องดังลั่นด้วยความเจ็บปวด หรงหรงไม่รีรอ นางใช้แรงเพียงน้อยนิดกระชากเส้นผม บีบบังคับให้ลั่วลั่วเงยหน้าขึ้นมา โดยไม่ให้ลั่วลั่วได้ทันตั้งตัว ก่อนจะเหลือบไปทางชาวบ้านที่กำลังยืนมองดูเหตุการณ์อย่างลุ้นระทึก เมื่อหนังศรีษะลั่วลั่ว ถูกหรงหรงดึงกระชากเข้าให้ ลั่วลั่วพลันน้ำตาเล็ด แสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา "หรงหรง นี้เจ้ากำลังทำบ้าอันใดกัน...? แม่เฒ่าอิ๋นกัดฟันกรอดเอ่ยออกมาอย่างโมโห เมื่อเห็นหรงหรงดดึงกระชากผมหลานสาวของตนอย่างไม่สะทกสะท้าน "ไอ๋หย่า.....นี้ข้ายังมิทันจะได้เริ่ม ใยพวกท่าน....ถึงได้พากันทำสีหน้าอย่างกับมีคนตายเยี่ยงนั้นด้วยเล่า อย่าพึ่งตกตะลึงกันไปก่อนสิเจ้าคะ นี้ข้ายังมิทันจะออกแรงเลยด้วยซ้ำ..." "นี้เจ้ากลายเป็นบ้าไปแล้วหรือ จู่จู่ก็มากระชากผมหลายสาวข้า ยังไม่รีบปล่อยมือเจ้าออกอีก ดูสิ...ลั่วลั่วคงจะเจ็บน่าดู..." "อ่อ...แล้วข้ามิใช่หลานสาวท่านหรอกหรือ เมื่อครู่ท่านยังจะเป็นจะตายเพราะข้าอยู่เลย ฉไนเลย...ตอนนี้กลับลืมข้าไปเสียเล่า....? "นี้เจ้า...." แม่เฒ่าอิ๋นยืนกำมือแน่นอย่างโกรธเคือง "พวกท่านมองดูนี้สิ....จากที่ข้าได้สัมผัส เหมือ
แม่เฒ่าอิ๋นรีบมองดูชาวบ้านที่กำลังคล้อยตามอย่างลำพองใจ นางรีบหันไปกระซิบกระซาบกับหลานสาว เพื่อเร่งให้ลั่วลั่วพูดต่อไปเรื่อยๆอย่าได้หยุดปาก เพราะคำพูดของหลานสาวดูจะมีน้ำหนักมากกว่าตน ซึ่งล่าสุดแม่เฒ่าอิ๋นพึ่งจะถูกตัดสินคดีความไปสดๆ ร้อนๆ หากให้ตนเองเป็นตัวตั้งตัวตี เกรงว่าชาวบ้านนั้นจะไม่หลงเชื่อ พวกชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ ล้วนเชื่อมั่นในคำพูดของหลานสาวมากกว่าตนแน่นอน เพราะตั้งแต่ลั่วลั่วเกิดมา นางไม่เคยทำเรื่องให้ต้องเสี่ยมเสียชื่อเสียงเลยสักครั้ง ชาวบ้านทุกคนต่างรู้ดี "ลั่วลั่ว เจ้ารีบบอกทุกคนไปสิว่า ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่.....? แม่เฒ่าอิ๋นรีบกำชับหลานสาว "เจ้าคะท่านย่า....." เมื่อลั่วลั่วบังเอิญหันไปสบตาเข้ากับหรงหรง นางพลันรู้สึกถึงแรงกดดัน เริ่มแสดงท่าทีกล้าๆกลัวๆออกมา "ตกลงเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่.....? ท่านผู้นำหมู่บ้านรู้สึกมึนงงกับเรื่องราวในตอนนี้ "น....นางเป็นตัวปลอมเจ้าคะ นางไม่ใช่น้องสาวของข้าแน่นอน.." ลั่วลั่วยืนชี้นิ้วไปทางหรงหรง "ตัวปลอม...ว่าแต่เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ว่าข้าเป็นตัวปลอม....? หรงหรงนั่งลงไปที่เก้าอี้ข้างโม่เฉิน ในมือนางถือส้มอยู่ลู
ลั่วลั่วที่กำลังซักผ้าใกล้เสร็จ เมื่อพวกนางสามคนเห็นว่าหรงหรงกำลังเดินถือตระกร้าผ้า เพื่อมุ่งหน้ามาทางลำธารที่พวกนางทั้งสามคนกำลังนั่งอยู่ พวกนางต่างหันไปมองหรงหรง ราวกับเห็นศัตรูตัวฉกาจ ชิงหยวนและชิงผิง พวกนางสองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องที่อายุไล่เลี่ยกันกับลั่วลั่ว พ่อแม่ของพวกนางเป็นเพื่อนบ้านที่สนิทกันมาก จึงทำให้ชิงหยวนและชิงผิง สนิทกับลั่วลั่วไปโดยปริยาย โดยทั้งสามคนมักจะชอบไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง และมาไปหาสู่ไม่เคยขาดอยู่เป็นประจำ เพราะเรือนของพวกนางสองคน อยู่เพียงฝั่งตรงข้ามกับเรือนลั่วลั่ว จึงทำให้สตรีทั้งสาม สนิทชิดเชื้อกันมาตั้งแต่จำความได้ สตรีทั้งสามคนกำลังพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน แต่พอเห็นว่าหรงหรงกำลังเดินผ่านไป พวกนางก็หยุดชะงักลงทันที ก่อนจะสุมหัวกันซุบซิบนินทาเรื่องจิปาถะ ตามสัญชาตญาณของหญิงสาวชาวบ้าน หรงหรงเดินอ้อมไปอีกฝาก แล้วนั่งลงซักผ้าอยู่เพียงลำพัง โดยไม่ได้สนใจสายตาของสตรีทั้งสามแม้แต่น้อย "ลั่วลั่ว...ข้าได้ยินมาว่าญาติผู้น้องของเจ้า ถึงกับต้องใช้ร่างกายไปแลกเอาเงินมาปลูกเรือนหลังใหม่ เป็นเรื่องจริงหรือไม่...? ชิงหยวนตะโกนถามเสียงดังเพื่อให้หรงหรง
ท่ามกลางบรรยากาศยามค่ำคืน หรงหรงรู้สึกอ่อนเพลียจากการขึ้นเขาไปล่าสัตว์เมื่อตอนกลางวันอยู่ไม่น้อย โดยนิสัยของนางควรจะหลับสนิทไปตั้งแต่หัวค่ำ แต่ลางสังหรณ์ของนางบอกว่า วันนี้จะต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมาแน่ๆ หรงหรงจึงได้หลับๆตื่นๆ และลุกขึ้นออกมาสูดอากาศในกลางดึกเพียงลำพัง สตรีร่างบางใช้วิชาตัวเบาดีดตัวเองให้ลอยขึ้นไปกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ก่อนจะนั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งตั้งตระหง่านตาอยู่ในบริเวณลานบ้าน ในมือนางพลางกัดแอปเปิ้ลไปคำ พร้อมทั้งแหงนหน้ามองไปบนฟ้า เพื่อดูทิวทัศน์ในยามค่ำคืน ทิวทัศน์ในยามนี้ช่างแตกต่างในตอนกลางอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้มีเพียงความมืดสนิทและเสียงจิ้งหรีดเรไร ต่างร้องขับขานประสานเสียงกันขึ้นลงเป็นจังหวะ อยู่เป็นครั้งคราว ค่ำคืนที่มืดสนิททำให้ผู้คนรู้สึกหดหู่ บนท้องฟ้ามีดวงดาวประปรายเพียงน้อยนิด หรงหรงพลันเหลือบไปเห็นถึงความเคลื่อนไหวของเงาคนนอกรั้วบ้าน นางมองผ่านเเสงตะเกียงริบหรี่ ที่ส่องออกไปทางฝั่งประตูรั้วได้อย่างชัดเจน หากหลับตาฟังให้ดีๆ จะได้ยินเสียงฝีเท้าหนักเบาของคนจำนวนหนึ่งจากทางด้านนอก ลำพังเพียงคนธรรมดาทั่วไปไม่อาจสัมผัสได้ถึงความผิดปกติอ