นางเมิงและบุตรสาว ช่วยกันเข้าครัวทำกับข้าวจึงเสร็จเร็วกว่าทุกวัน อาหารหลายอย่างถูกจัดวางบนจานดูน่ารับประทาน พอถึงเวลาอาหาร ทุกคนก็นั่งล้อมวงกินอาหารพร้อมหน้ากันเป็นครั้งแรก หรงหรงหยิบตะเกียบเป็นคนแรก นางคีบอาหาร และตักน้้ำแกงส่งให้มารดาไปคนแรก "ท่านแม่รีบกินสิเจ้าค่ะ...ผัดผักสดๆ กับน้ำแกงแสนอร่อยสูตรพิเศษที่ลูกคิดค้นขึ้นมาเอง กินตอนที่กำลังร้อนๆ อร่อยเหาะเลยละเจ้าค่ะ..." "อืม....เจ้าเองก็รีบกินเยอะๆเถอะ ดูตัวเจ้าตอนนี้สิ...ผอมแห้งอย่างกับอะไรดี..." นางเมิงกล่าว ก่อนจะช้อนสายตามองไปที่โม่เฉิน ไม่นานนางก็กล่าวขึ้นอีก "แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่กิน...รึว่าอาหารพื้นเพพวกนี้ เจ้ากลืนไม่ลงคออย่างงั้นสินะ.....? นางเมิงรีบกล่าวเหน็บแนม โม่เฉินกำลังปริปาก แต่ถูกหรงหรงกล่าวแทรกขึ้นมาก่อน "มาอาเฉิน...รีบกินข้าวได้แล้ว..." หรงหรงรีบคีบอาหารป้อนไปที่ปากให้โม่เฉิน ท่ามกลางสายตาหญิงชรา โม่เฉินยังคงแน่นิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย *.....* นางเมิงเมื่อมองไปเห็นบุตรสาวกำลังตั้งท่าคีบอาหารป้อนไปให้บุรุษตรงหน้า นางถึงกับเบิกตาโต จนตะเกียบที่ถืออยู่ในมือ หล่นลงพื้นอย่างกระทันหัน "ต้ายแล้วหรงเ
บรรยากาศยามรุ่งสาง..... หรงหรงตื่นขึ้นมาเป็นคนแรก นางรีบอาบน้ำแต่งตัวออกเดินทางขึ้นเขาไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ในระหว่างการเดินทาง เมื่อนึกถึงริมฝีปากอ่อนนุ่มที่ถูกสัมผัสเข้าโดยบังเอิญ ใบหน้ารูปไข่เริ่มรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา สาเหตุเป็นเพราะเมื่อคืนหรงหรงนอนหลับๆตื่นๆ และนอนพลิกตัวไปมาตลอดทั้งคืน จนเผยให้เห็นรอยคล้ำที่ใต้ตา จู่จู่หรงหรงก็นึกถึงเรื่องราวในอดีตที่แสนเจ็บปวดขึ้นมาในโสตปราสาท หรงหรงเคยมีเพื่อนสนิทที่รักมากอยู่คนหนึ่ง เพราะความไว้เนื้อเชื่อใจ จึงทำให้ถููกเพื่อนสนิทคนนั้นแอบแทงข้างหลัง และได้ถูกสวมเขามาเป็นเวลานาน โดยที่หรงหรงไม่เคยได้รับรู้ถึงเรื่องนี้ หากว่าเรื่องไม่แดงขึ้นมาเสียก่อน หรงหรงคงกลายเป็นคงโง่งมอยู่เช่นนั้น เนื่องจากหรงหรงตั้งใจว่าจะไปเซอร์ไพรเพื่อนสนิท โดยไม่บอกล่วงหน้า จึงได้แอบไปหาเพื่อนสนิทที่ห้องพักอย่างลับๆ และบังเอิญได้ยินเพื่อนสนิทกำลังคุยโทรศัพท์ว่าตั้งครรภ์ขึ้นมา และพ่อของเด็ก ก็คือแฟนหนุ่มของหรงหรง หรงหรงเหมือนกับโดนมีดกรีดลงกลางใจ ซึ่งเรื่องนี้ได้สร้างบาดแผลทางใจให้กับหรงหรงอย่างไม่มีวันลืม.... หรงหรงรีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดทิ้งไป พร้อมกับ
ยามโหย่ว(17.00-19.00)....... หรงหรงแบกของพะรุงพะรังกลับมาถึงก็เป็นเวลามื้อค่ำ ร่างบางไม่รอช้า นางรีบนำสมุนไพรที่เก็บได้ออกมาวางอย่างเป็นระเบียบ พร้อมทั้งจัดการแยกโสมภูเขาล้ำค่าออกไว้ต่างหาก และจัดแจงสมุนไพรอีกมากมาย ให้ดูเป็นสัดเป็นส่วน กระต่ายน้อยตัวอ้วนพี ถูกจัดการชำแหละเนื้อออกอย่างรวดเร็ว ราวกับเชฟในภัตตาคารชื่อดังมาสิงร่างสตรีผู้นี้ "กลับมาแล้วรึ รีบไปอาบน้ำเถอะ...? นางเมิงมองเห็นบุตรสาวเนื้อตัวม่อมแมม ใบหน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อ จึงรีบเอ่ยบอกด้วยความเป็นห่วง โม่เฉินได้ยินเสียงสองแม่ลูกสนธนากัน จึงรู้ว่าสตรีที่ตนกำลังรออยู่ได้กลับมาแล้ว... "ลูกจวญจะเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ..." หรงหรงมองไปที่หญิงชรา แล้วจึงส่งยิ้มให้ "รีบวางมือลงเถอะ ให้แม่ทำเอง แล้วรีบไปชำระร่างกายให้สะอาดเสียก่อน จะได้สบายตัวขึ้น.....? "ไหนๆมือลูกก็เปื้อนไปแล้ว ท่านแม่แค่นำเนื้อกระต่ายลงไปผัด และต้มน้ำแกงก็พอแล้ว..." หรงหรงจัดแจงบอกมารดาอย่างละเอียด "ได้ๆๆ....ที่เหลือแม่จักทำเอง ลูกรีบหยุดมือแล้วไปอาบน้ำได้แล้ว..." นางเมิงรีบขับไล่บุตรสาว เพราะเกรงว่าบุตรสาวจะเหนื่อยจนเกินไป "เอางั้นก็ได้เจ้าค่ะ...ประเดี๋ยว
แม่เฒ่าอิ๋น คิดอยากจะหุบเอาที่ดินของลูกชายไปเป็นของตนเอง จึงได้วางแผนให้นางเมิง ดื่มยาพิษ ทีละน้อย ๆ เพื่อจะให้นางเมิงตายอย่างแยบยล และคิดจะขายหรงหรงให้แก่ผู้อื่น เพื่อหวังเงินค่าสินสอด แม่เฒ่าอิ๋นจะได้ไม่ต้องมีภาระในการรับเลี้ยงหรงหรง และยิ่งหากนางเมิงตายไป แม่เฒ่าอิ๋นก็จะได้หุบเอาสมบัติทุกอย่างโดยไม่ต้องลงแรง และใช้เงินค่าสินสอดที่ขายหรงหรงไปอย่างสบายใจ เรื่องนี้มีเพียงแม่เฒ่าอิ๋นเท่านั้นที่รู้ "หรงเอ๋อร์ที่แม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมา แม่เพียงอยากให้เจ้าคิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนอีกที หากคิดจะมีสามี เจ้าต้องหาคนที่ช่วยเหลือและพึ่งพาเขาได้ ไม่ใช่ให้เจ้าต้องมาเป็นฝ่ายลำบากไปเสียเอง เจ้าได้ยินที่แม่พูดหรือไม่.....? "ท่านแม่....เราเคยพูดเรื่องนี้ไปแล้วนะเจ้าค่ะ เอาเป็นว่า หรงเอ๋อร์จะคิดดูอีกทีน่ะเจ้าค่ะ..." หรงหรงคีบเนื้อกระต่ายวางไปที่ชามของมารดาทันที "ตอนนี้....ท่านแม่กินยอะๆนะเจ้าค่ะ ท่านแม่วางใจเถอะ ต่อไปครอบครัวเราจะมีเนื้อกินทุกวัน ลูกให้สัญญา..." หรงหรงเอื้อมมือไปจับมือมารดาอย่างอ่อนโยน นางเมิงมองไปที่บุตรสาวน้ำตาเริ่มคลอเบ้า นางคีบเนื้อกระต่ายเข้าปากแล้วเคี้ยวจนละเอียด ก่อนจะกลืนลงคอ
"ข้าพูดจริงๆนะ ในอดีตข้าเคยมีคนรักอยู่คนหนึ่ง แต่ข้าถูกเขาสวมเขาให้กับข้า ข้าจึงยังไม่อยากเปิดใจคบกับใครอีก...." หรงหรงพูดมาถึงตรงนี้ นางพลันมีสีหน้าที่เศร้าหมอง "หากข้าเป็นบุรุษผู้นั้น ข้าจะดีต่อเจ้าอย่างแน่นอน ทุกคำที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง" สายตาที่โม่เฉินส่งออกมา ทำให้หรงหรงแทบจะหลอมละลายไปในทันที ไม่นานหรงหรงก็รีบดึงสติคืนมา "เชื่อท่าน ข้าคงได้อกแตกตายเป็นแน่ ข้ามิอยากสู้รบกับสตรีมากมาย เพียงเพราะใบหน้างดงามของท่านหรอกนะ" "หน้าตาข้าเหมือนบุรุษมักมายพวกนั้นหรือกระไร....? "ไหน....ขอข้ามองดูแววตาท่านให้ชัดๆหน่อยสิ ว่าท่านกำลังพูดความจริง หรือว่ากำลังโกหกอยู่..." หัวคิ้วของหรงหรงขมวดเข้าหากัน นางขยับลงไปนั่งใกล้ๆโม่เฉิน ในหัวนางพลันคิดถึงเรื่องการรักษาเกี่ยวกับขาของโม่เฉินขึ้นมาอย่างกระทันหัน จึงทำให้นางหยุดนิ่งอยู่สักพัก "หรงเอ๋อร์ เห็นหรือยัง......? โม่เฉินเรียกนางอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับใดๆ ราวกับว่าเขากำลังคุยอยู่คนเดียว "หือ...ว่าอย่างไร...? หรงหรงตอบกลับเพียงสั้นๆ "กำลังคิดสิ่งใดอยู่ ข้าเรียกตั้งนานเจ้าไม่ตอบ หรือว่าขาข้ามีสิ่งใดผิดแปลกไป....? น้ำเสียงโม่
หรงหรงตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ นางรีบเร่งฝีเท้าเดินไปที่ร้านค้าในหมู่บ้านเพื่อหวังจะซื้อเหล้ารสชาติดีหนึ่งไหกับไก่อีกหนึ่งตัว ก่อนจะหิ้วสัมภาระที่พึ่งจะซื้อมา เดินฮัมเพลงไปตลอดทั้งทาง เพื่อไปหาท่านลุงฉู่ที่ท้ายหมู่บ้านอย่างอารมณ์ดี ท่านลุงฉู่....ถือเป็นช่างไม้ฝีมือดีอันดับหนึ่งอีกหนึ่งคนของหมู่บ้าน เขาสามารถสร้างผลงานการออกแบบ รวมถึงการต่อเติมเรือนที่แข็งแรง และยังทนทานกว่าช่างทุกคนในหมู่บ้าน ขนาดช่างฝีมือในระแวกใกล้เคียง ยังต้องมาเรียนรู้งานเพิ่มเติมจากช่างไม้ฉู่อยู่เป็นประจำ ทุกคนในหมู่บ้าน รวมไปจนถึงเพื่อนบ้านในระแวกใกล้เคียงหลายคน ต่างพากันมาใช้บริการกับช่างไม้ฉู่อยู่เป็นประจำ เรียกได้ว่าแถบจะทุกครัวเรือน ล้วนเป็นฝีมือของช่างไม้ฉู่แทบจะทั้งหมด หากเอ่ยถึงช่างไม้ฝีมือดี คงไม่มีใครที่จะไม่รู้จักช่างไม้ฉู่.... คำล้ำลือถึงความสามารถของช่างไม้ฉู่ยังมีอีกมายมาย ไม่ใช่เฉพาะแต่สร้างบ้านหรือต่อเติมบ้านเป็นเท่านี้ เขายังสามารถสร้างโต้ะกินข้าว เก้าอี้ โต้ะเครื่องแป้ง และอุปกรณ์ที่ทำจากไม้อีกหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับผู้จ้างวาน ว่าจะสั่งให้ช่างไม้ฉู่ออกแบบได้ตามกำลังทรัพย์ที่มี ขอเพียงมีแบบร่าง ช่า
หรงหรงได้ถุงเงินก้อนใหญ่มาไว้ในครอบครอง และได้กลายเป็นเศรษฐีนีคนใหม่ขึ้นมาเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว นางเดินฮัมเพลงตลอดทั่งทางอย่างมีความสุข ไม่เสียแรงที่นางต้องทนลำบากลำบนทั้งวันด้วยอากาศที่ร้อนระอุ สำหรับคนธรรมดากว่าจะหาสมุนไพรล้ำค่ามาได้มิใช่เรื่องง่าย แต่สำหรับหรงหรงนั้นง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ เมื่อมองดูถุงเงินก้อนใหญ่ที่ถืออยู่ในมือ ความรู้สึกเหนื่อยล้าก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง หรงหรงไม่รอช้า นางรีบเดินไปจับจ่ายซื้อของตามรายการที่จดมาทันที ตอนนี้นางเดินถือของพะรุงพะรังมากมายอีกหลายอย่าง อย่างทุลักทุเล และค่อยๆทยอยถือของแต่ละอย่าง นำไปเก็บไว้ที่เกวียนก่อนในรอบแรก สายตางามยังคงสอดส่องมองหาเจ้าของเกวียนรอบๆบริเวณนั้น เมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าของเกวียน จากนั้นนางจึงเดินกลับไปซื้อของในรอบที่สองต่อทันที ผ้าม่าน ผ้าปูที่นอน พริกแห้ง เกลือ น้ำส้มสายชู และของใช้ทุกอย่างในครัวเรือนอีกมากมาย พอจับจ่ายเสร็จ...หรงหรงก็เดินเอาของทุกอย่างนำไปไว้ที่เกวียนอีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้ราวๆสีห้ารอบเห็นจะได้ สตรีร่างบางนั่งลงเช็ดเหงื่อด้วยเรี่ยวแรงที่เหนื่อยหอบอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ ถึงนางจะนั่งพักเหนื่อย แต่สาย
บุรุษร่างสูงเป็นผู้ดูแลที่ดินในระแวกนี้ เขาสังเกตุเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนมองที่ดินที่ตนดูแลอยู่ จึงได้ปลีกตัวเดินออกมาถามไถ่คนกลุ่มนี้โดยละเอียด บุรุษร่างสูงมองสำรวจดูการแต่งกายของทุกคนอย่างละเอียด เขามองไปที่ชายหนุ่มทั้งสามด้วยอาภรณ์ที่ขาดรุ่งริ่ง ดูก็รู้ว่าพวกเขาทั้งสามคนน่าจะเป็นขอทาน และไม่น่าจะมีกำลังทรัพย์พอจะซื้อที่ดินแปลงนี้ แต่สายตาเขาพลันไปหยุดชะงักอยู่ที่สตรีร่างบางในกลุ่มขอทาน ดูก็รู้ว่านางไม่น่าจะใช่คนในพื้นที่แถวนี้ เพราะดูจากการแต่งกาย และใบหน้าที่สะอาดหมดจด นางดูเฉลียวฉลาดมีไหวพริบกว่าขอทานทั้งสามคน และเขายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสมุนไพรจางๆ ที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวสตรีตรงหน้า ดูก็รู้ว่านางจะต้องเชี่ยวชาญในด้านการแพทย์ หรืออาจจะเป็นคุณหนูจากตระกูลผู้ดีที่ไหนสักแห่งก็อาจเป็นได้ "แม่นาง สนใจที่ดินผืนนี้หรือขอรับ.....? เสียงชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพนุ่มนวล "ท่านคือ....? หรงหรงรีบหันกลับไปมองตามเสียงอย่างสงสัย "ข้าชื่อ มู่กว๋าง เป็นผู้ดูแลที่ดินในระแวกนี้ ยินดีที่ได้รู้จัก ส่วนแม่นางคือ....? มู่กว๋างมองดูหญิงสาวตรงหน้าอย่างมีมารยาท "ข้าชื่อ หรงหรง ข้ามิใช่คนแถวนี
หรงหรงรีบเร่งฝีเท้า กว่านางจะเดินกลับถึงเรือน ก็เป็นเวลาในยามซวี(19.00-21.00) แสงตะเกียงริบหรี่ ส่องสะท้อนออกมาตามบ้านเรือนแต่ละหลังคาเรือน ราวกับแสงของหิ่งห้อยระยิบระยับ สตรีร่างบางเดินมาหยุดที่ทางเข้าหน้าประตูเรือนของตนเอง ด้วยท่าทางที่เหนื่อยล้า ก่อนจะรีบปรับลมหายใจให้เป็นปกติที่สุด เพราะในระหว่างทาง หรงหรงรีบเร่งฝีเท้าเดินจ้ำอ้าว และใช้วิชาตัวเบาสลับกันไปมาอย่างไม่หยุดพัก หากขืนนางกลับมาช้ากว่านี้ เกรงว่ามารดากับโม่เฉินคงจะต้องอยู่ไม่สุขเป็นแน่... "หรงเอ๋อร์....นั้นใช่ลูกหรือไม่....? นางเมิงจุดตะเกียงนั่งรอบุตรสาวตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน จนตอนนี้ท้องฟ้ากลายเปลี่ยนเป็นสีดำมืดสนิท เมื่อหญิงชรามองเห็นเพียงเงเลือนลาง ก็จดจำได้ว่าเงาที่เห็น จะต้องเป็นบุตรสาวของตนอย่างแน่นอน "ใช่เจ้าคะ ข้าคือหรงเอ๋อร์ของท่านแม่ตัวจริงเสียงจริงแน่นอน..." เมื่อได้ยินเสียงบุตรสาวตอบรับ หญิงชราก็รีบกระโจนตัววิ่งออกไปเปิดประตูเรือนด้วยความเร็วแสง แล้วแอบถอยหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นว่าบุตรสาวกลับมาอย่างปลอดภัยดี โม่เฉินมองดูจากระยะไกล เมื่อเห็นว่าหรงหรงกลับมาอย่างปลอดภัย เขาจึงรีบถอนหายใจ
ท้องฟ้าสีครามกับบรรยากาศที่สดใส พร้อมต้อนรับรุ่งอรุณในอีกไมช้า หรงหรงตื่นขึ้นมาตามสัญชาตญาณ เพื่อเตรียมตัวขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรราวกับเข็มนาฬิกาอย่างรู้หน้าที่ "หรงเอ๋อร์...จะไปแล้วรึ....? น้ำเสียงอันอ่อนโยนดังแว่วมาจากทางด้านหลัง ทำให้หรงหรงต้องรีบหันกลับไปมองทันที "อ้าว...ตื่นแล้วหรือ กลับไปนอนต่ออีกสักหน่อยเถิด พระอาทิตย์ยังไม่ทันจะขึ้น ท่านรีบตื่นขึ้นมาทำสิ่งใด ยามนี้มิใช่เวลาทำงานเสียหน่อย... " หรงหรงหันไปเอ่ยถามโม่เฉิน เมื่อเห็นเขากำลังนั่งอยู่บนรถเข็นแล้วจ้องมองมาที่นาง "นอนไม่หลับ...แล้วนั้นหรงเอ๋อร์จะไปนานหรือไม่...? โม่เฉินจ้องมองไปที่หรงหรงอย่างรอคำตอบ เมื่อเห็นคนตรงหน้ากำลังกุลีกุจอกับการเก็บสัมภาระ "อืม...วันนี้อาจจะใช้เวลานานกว่าทุกวัน ข้าคิดว่าจะเดินข้ามเขาขึ้นไปอีกสักสองลูก เผื่ออาจจะเจอโสมภูเขาและสมุนไพรล้ำค่าที่หายากเพิ่มขึ้น หากคาดคะเนไม่ผิด คงน่าจะกลับมาตอนพลบค่ำโน้นแหละ..." กล่าวจบ หรงหรงก็หันกลับไปจัดแจงกระเป๋าสัมภาระต่อ เพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง "หากข้าเดินได้ก็คงจะดี หรงเอ๋อร์จะได้ไม่ต้องมาทนลำบากอยู่เช่นนี้เพียงลำพัง ข้าช่างเป็นคนที่ไร้ประโยชน์เสียจริง.
หลังจากหรงหรงได้เริ่มสอบถามอาการป่วยจากภรรยาลุงเหลียง หรงหรงจึงรีบเดินทางกลับไปที่บ้านลุงเหลียง พร้อมกับภรรยาลุงเหลียงในเวลาไม่นาน พอมาถึงกระท่อมที่มุงจากหญ้าคาที่ท้ายหมู่บ้าน หรงหรงก็ได้ยินเสียงลุงเหลียงนอนร้องโอดครวญดังแว่วมา เมื่อเปิดประตูมองเข้าไปดู ลุงเหลียงกำลังนอนเอามือกอดท้องไว้แน่น เขาบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด ราวกับไส้เดือนถูกน้ำร้อนลวก "ท่านป้า ปกติท่านลุงกินข้าวมากน้อยเพียงใดหรือเจ้าคะ...? หรงหรงหันไปสอบถามอาการลุงเหลียงจากปากภรรยาเขาในทันที "กินข้าวมื้อละชามตรงตามเวลาทุกวัน เอ๊ะ...นางหนู...เหตุใดเจ้าจักต้องถามหาถึงอาการสามีข้าเช่นนี้ หรือว่าเจ้าเกิดคิดจะเบี้ยวขึ้นมา ไม่ยอมจ่ายค่ารักษาให้สามีข้าเอาเสียดื้อๆ...? ภรรยาลุงเหลียงมองหรงหรงอย่างชั่งใจ "จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไรกันเจ้าคะ ข้ามิคิดจะบิดเบี้ยวแน่นอนหากว่าสาเหตุมาจากอาหารที่เรือนข้าจริง ข้าจักต้องจ่ายค่าเสียเวลาให้ท่านลุงอย่างสมเหตุสมผลแน่นอน ส่วนเรื่องที่ข้าถาม เพียงเพราะอยากรู้ถึงสาเหตุให้แน่ชัด ข้าจะได้วินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องและแม่นยำมากยิ่งขึ้น..." "วินิจฉัย....แม่นยำ.....? "ใช่เจ้าคะท่านป้า..." "
หรงหรงทำทียกท่อนฟืนชูขึ้น สองผัวเมียก็ได้แต่ร้องตะโกนห้ามปราม ไม่กล้าเข้าไปใกล้อย่างอกสั่นขวัญแขวน แม่เฒ่าอิ๋นแทบจะเป็นลมทั้งยืน ในใจนางลุ้นระทึกยืนดูเหตุการณ์ อย่างกระสับกระส่าย "ข้ากับท่านแม่ มิมีสิ่งใดต้องเสีย แต่หากว่าเป็นพวกท่าน นั้นก็ไม่แน่ ข้ามีแค่สองปากหากินอย่างไรก็ได้ แต่พวกท่านมีตั้งหกปาก คงจะต้องลำบากน่าดู ข้าจะดูสิว่า....พวกท่านจะทนหิวตายไปในช่วงหน้าหนาวที่ใกล้จะมาถึงได้อย่างไร หากไม่มีธัญพืชให้เหลือพอประทังชีวิตทั้งครอบครัว...? หรงหรงทำทีจะโยนท่อนฟืนขึ้นไปบนยุ้งฉาง "หยุดนะหรงเอ๋อร์ นี้เจ้าบ้าไปแล้วหรือ...? ท่านป้าสะใภ้รีบตะโกนห้ามปรามหลานสาวอย่างหวาดหวั่น "หรงเอ๋อร์ เจ้าใจเย็นลงก่อน มีอะไรก็ค่อยๆพูด ค่อยๆจากัน อย่าได้วู่วามไปเชียว..." ฮ้าวสิงรีบเกลี้ยกล่อมหลานสาว "ที่ผ่านมา พวกท่านพากันใช้ธัญพืชส่วนของท่านแม่ไปอย่างไม่คำนึง ทั้งกิน ทั้งขาย ข้าล้วนไม่ถือสาหาความ ถือเสียว่า...ข้ายกหนี้ให้พวกท่านทั้งหมด และถือว่า...ข้าได้ทดแทนบุญคุณของตระกลูไปจนหมดสิ้น ในเมื่อบิดาของข้าได้ตายจากโลกนี้ไปนานแล้ว นับตั้งแต่วันนี้ ตระกูลของพวกท่าน ถือเสียว่าได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับข้าไ
หนึ่งเดือนผ่านไป..... เรือนไม้หลังใหม่ใช้เวลาแก้แบบหลายครั้ง จึงทำให้ต้องขยายเวลาในการก่อสร้างเพิ่มขึ้น ตอนนี้ตัวเรือนทั้งด้านนอกและด้านใน ถูกสร้างเสร็จจนหมดทุกห้อง มีห้องครัว ห้องกินข้าว เรือนรับรอง รวมไปถึงห้องนอน แต่ละห้องล้วนถูกสร้างสรรค์ออกมา ได้อย่างปราณีตและมีแบบแผน หรงหรงรู้สึกพอใจกับผลงานชิ้นเอกที่ตนได้เป็นคนออกแบบเป็นอย่างมาก แต่ละโครงสร้างที่นางตั้งใจลงลายเส้นไปในกระดาษ ถูกสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้อลังการ จนเกินความคาดหมาย ซึ่งในส่วนที่เหลือ เพียงแค่ตกแต่งและลงพื้นสีก็เป็นอันแล้วเสร็จ ช่างไม้ฉู่กับลูกมือทุกคนใช้เวลารวมกันร่วมสองเดือนเศษ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดการเอาไว้ เพราะกว่าจะสร้างเรือนหลังนี้ให้ตรงตามความพอใจของเจ้าของเรือน พวกเขายังต้องรื้อแก้ใหม่ไปอีกหลายรอบ หรงหรงยอมทุ่มตำลึงไปไม่อั้น หวังให้เรือนออกมาแข็งแรงและทนทาน เพื่อทนต่อแดดและลมฝน เนื่องจากเรือนไม้หลังใหม่ กว้างขวางโอ่อ่ากว่าแต่ก่อนจนเทียบกันไม่ติด บวกกับเนื้อที่ว่างเปล่าที่ถูกปล่อยทิ้งเอาไว้นานโดยเปล่าประโยชน์ หรงหรงจึงได้สั่งให้ช่างไม้ฉู่สร้างกำแพงรอบบ้านขึ้นมาใหม่ โดยรื้อถอนตัวเรือนหลังเก่
"กรี้ดดดดดดด!!!!!"เสียงลั่วลั่วกรีดร้องดังลั่นด้วยความเจ็บปวด หรงหรงไม่รีรอ นางใช้แรงเพียงน้อยนิดกระชากเส้นผม บีบบังคับให้ลั่วลั่วเงยหน้าขึ้นมา โดยไม่ให้ลั่วลั่วได้ทันตั้งตัว ก่อนจะเหลือบไปทางชาวบ้านที่กำลังยืนมองดูเหตุการณ์อย่างลุ้นระทึก เมื่อหนังศรีษะลั่วลั่ว ถูกหรงหรงดึงกระชากเข้าให้ ลั่วลั่วพลันน้ำตาเล็ด แสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา "หรงหรง นี้เจ้ากำลังทำบ้าอันใดกัน...? แม่เฒ่าอิ๋นกัดฟันกรอดเอ่ยออกมาอย่างโมโห เมื่อเห็นหรงหรงดดึงกระชากผมหลานสาวของตนอย่างไม่สะทกสะท้าน "ไอ๋หย่า.....นี้ข้ายังมิทันจะได้เริ่ม ใยพวกท่าน....ถึงได้พากันทำสีหน้าอย่างกับมีคนตายเยี่ยงนั้นด้วยเล่า อย่าพึ่งตกตะลึงกันไปก่อนสิเจ้าคะ นี้ข้ายังมิทันจะออกแรงเลยด้วยซ้ำ..." "นี้เจ้ากลายเป็นบ้าไปแล้วหรือ จู่จู่ก็มากระชากผมหลายสาวข้า ยังไม่รีบปล่อยมือเจ้าออกอีก ดูสิ...ลั่วลั่วคงจะเจ็บน่าดู..." "อ่อ...แล้วข้ามิใช่หลานสาวท่านหรอกหรือ เมื่อครู่ท่านยังจะเป็นจะตายเพราะข้าอยู่เลย ฉไนเลย...ตอนนี้กลับลืมข้าไปเสียเล่า....? "นี้เจ้า...." แม่เฒ่าอิ๋นยืนกำมือแน่นอย่างโกรธเคือง "พวกท่านมองดูนี้สิ....จากที่ข้าได้สัมผัส เหมือ
แม่เฒ่าอิ๋นรีบมองดูชาวบ้านที่กำลังคล้อยตามอย่างลำพองใจ นางรีบหันไปกระซิบกระซาบกับหลานสาว เพื่อเร่งให้ลั่วลั่วพูดต่อไปเรื่อยๆอย่าได้หยุดปาก เพราะคำพูดของหลานสาวดูจะมีน้ำหนักมากกว่าตน ซึ่งล่าสุดแม่เฒ่าอิ๋นพึ่งจะถูกตัดสินคดีความไปสดๆ ร้อนๆ หากให้ตนเองเป็นตัวตั้งตัวตี เกรงว่าชาวบ้านนั้นจะไม่หลงเชื่อ พวกชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ ล้วนเชื่อมั่นในคำพูดของหลานสาวมากกว่าตนแน่นอน เพราะตั้งแต่ลั่วลั่วเกิดมา นางไม่เคยทำเรื่องให้ต้องเสี่ยมเสียชื่อเสียงเลยสักครั้ง ชาวบ้านทุกคนต่างรู้ดี "ลั่วลั่ว เจ้ารีบบอกทุกคนไปสิว่า ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่.....? แม่เฒ่าอิ๋นรีบกำชับหลานสาว "เจ้าคะท่านย่า....." เมื่อลั่วลั่วบังเอิญหันไปสบตาเข้ากับหรงหรง นางพลันรู้สึกถึงแรงกดดัน เริ่มแสดงท่าทีกล้าๆกลัวๆออกมา "ตกลงเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่.....? ท่านผู้นำหมู่บ้านรู้สึกมึนงงกับเรื่องราวในตอนนี้ "น....นางเป็นตัวปลอมเจ้าคะ นางไม่ใช่น้องสาวของข้าแน่นอน.." ลั่วลั่วยืนชี้นิ้วไปทางหรงหรง "ตัวปลอม...ว่าแต่เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ว่าข้าเป็นตัวปลอม....? หรงหรงนั่งลงไปที่เก้าอี้ข้างโม่เฉิน ในมือนางถือส้มอยู่ลู
ลั่วลั่วที่กำลังซักผ้าใกล้เสร็จ เมื่อพวกนางสามคนเห็นว่าหรงหรงกำลังเดินถือตระกร้าผ้า เพื่อมุ่งหน้ามาทางลำธารที่พวกนางทั้งสามคนกำลังนั่งอยู่ พวกนางต่างหันไปมองหรงหรง ราวกับเห็นศัตรูตัวฉกาจ ชิงหยวนและชิงผิง พวกนางสองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องที่อายุไล่เลี่ยกันกับลั่วลั่ว พ่อแม่ของพวกนางเป็นเพื่อนบ้านที่สนิทกันมาก จึงทำให้ชิงหยวนและชิงผิง สนิทกับลั่วลั่วไปโดยปริยาย โดยทั้งสามคนมักจะชอบไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง และมาไปหาสู่ไม่เคยขาดอยู่เป็นประจำ เพราะเรือนของพวกนางสองคน อยู่เพียงฝั่งตรงข้ามกับเรือนลั่วลั่ว จึงทำให้สตรีทั้งสาม สนิทชิดเชื้อกันมาตั้งแต่จำความได้ สตรีทั้งสามคนกำลังพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน แต่พอเห็นว่าหรงหรงกำลังเดินผ่านไป พวกนางก็หยุดชะงักลงทันที ก่อนจะสุมหัวกันซุบซิบนินทาเรื่องจิปาถะ ตามสัญชาตญาณของหญิงสาวชาวบ้าน หรงหรงเดินอ้อมไปอีกฝาก แล้วนั่งลงซักผ้าอยู่เพียงลำพัง โดยไม่ได้สนใจสายตาของสตรีทั้งสามแม้แต่น้อย "ลั่วลั่ว...ข้าได้ยินมาว่าญาติผู้น้องของเจ้า ถึงกับต้องใช้ร่างกายไปแลกเอาเงินมาปลูกเรือนหลังใหม่ เป็นเรื่องจริงหรือไม่...? ชิงหยวนตะโกนถามเสียงดังเพื่อให้หรงหรง
ท่ามกลางบรรยากาศยามค่ำคืน หรงหรงรู้สึกอ่อนเพลียจากการขึ้นเขาไปล่าสัตว์เมื่อตอนกลางวันอยู่ไม่น้อย โดยนิสัยของนางควรจะหลับสนิทไปตั้งแต่หัวค่ำ แต่ลางสังหรณ์ของนางบอกว่า วันนี้จะต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมาแน่ๆ หรงหรงจึงได้หลับๆตื่นๆ และลุกขึ้นออกมาสูดอากาศในกลางดึกเพียงลำพัง สตรีร่างบางใช้วิชาตัวเบาดีดตัวเองให้ลอยขึ้นไปกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ก่อนจะนั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งตั้งตระหง่านตาอยู่ในบริเวณลานบ้าน ในมือนางพลางกัดแอปเปิ้ลไปคำ พร้อมทั้งแหงนหน้ามองไปบนฟ้า เพื่อดูทิวทัศน์ในยามค่ำคืน ทิวทัศน์ในยามนี้ช่างแตกต่างในตอนกลางอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้มีเพียงความมืดสนิทและเสียงจิ้งหรีดเรไร ต่างร้องขับขานประสานเสียงกันขึ้นลงเป็นจังหวะ อยู่เป็นครั้งคราว ค่ำคืนที่มืดสนิททำให้ผู้คนรู้สึกหดหู่ บนท้องฟ้ามีดวงดาวประปรายเพียงน้อยนิด หรงหรงพลันเหลือบไปเห็นถึงความเคลื่อนไหวของเงาคนนอกรั้วบ้าน นางมองผ่านเเสงตะเกียงริบหรี่ ที่ส่องออกไปทางฝั่งประตูรั้วได้อย่างชัดเจน หากหลับตาฟังให้ดีๆ จะได้ยินเสียงฝีเท้าหนักเบาของคนจำนวนหนึ่งจากทางด้านนอก ลำพังเพียงคนธรรมดาทั่วไปไม่อาจสัมผัสได้ถึงความผิดปกติอ