"ข้าพูดจริงๆนะ ในอดีตข้าเคยมีคนรักอยู่คนหนึ่ง แต่ข้าถูกเขาสวมเขาให้กับข้า ข้าจึงยังไม่อยากเปิดใจคบกับใครอีก...." หรงหรงพูดมาถึงตรงนี้ นางพลันมีสีหน้าที่เศร้าหมอง "หากข้าเป็นบุรุษผู้นั้น ข้าจะดีต่อเจ้าอย่างแน่นอน ทุกคำที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง" สายตาที่โม่เฉินส่งออกมา ทำให้หรงหรงแทบจะหลอมละลายไปในทันที ไม่นานหรงหรงก็รีบดึงสติคืนมา "เชื่อท่าน ข้าคงได้อกแตกตายเป็นแน่ ข้ามิอยากสู้รบกับสตรีมากมาย เพียงเพราะใบหน้างดงามของท่านหรอกนะ" "หน้าตาข้าเหมือนบุรุษมักมายพวกนั้นหรือกระไร....? "ไหน....ขอข้ามองดูแววตาท่านให้ชัดๆหน่อยสิ ว่าท่านกำลังพูดความจริง หรือว่ากำลังโกหกอยู่..." หัวคิ้วของหรงหรงขมวดเข้าหากัน นางขยับลงไปนั่งใกล้ๆโม่เฉิน ในหัวนางพลันคิดถึงเรื่องการรักษาเกี่ยวกับขาของโม่เฉินขึ้นมาอย่างกระทันหัน จึงทำให้นางหยุดนิ่งอยู่สักพัก "หรงเอ๋อร์ เห็นหรือยัง......? โม่เฉินเรียกนางอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับใดๆ ราวกับว่าเขากำลังคุยอยู่คนเดียว "หือ...ว่าอย่างไร...? หรงหรงตอบกลับเพียงสั้นๆ "กำลังคิดสิ่งใดอยู่ ข้าเรียกตั้งนานเจ้าไม่ตอบ หรือว่าขาข้ามีสิ่งใดผิดแปลกไป....? น้ำเสียงโม่
หรงหรงตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ นางรีบเร่งฝีเท้าเดินไปที่ร้านค้าในหมู่บ้านเพื่อหวังจะซื้อเหล้ารสชาติดีหนึ่งไหกับไก่อีกหนึ่งตัว ก่อนจะหิ้วสัมภาระที่พึ่งจะซื้อมา เดินฮัมเพลงไปตลอดทั้งทาง เพื่อไปหาท่านลุงฉู่ที่ท้ายหมู่บ้านอย่างอารมณ์ดี ท่านลุงฉู่....ถือเป็นช่างไม้ฝีมือดีอันดับหนึ่งอีกหนึ่งคนของหมู่บ้าน เขาสามารถสร้างผลงานการออกแบบ รวมถึงการต่อเติมเรือนที่แข็งแรง และยังทนทานกว่าช่างทุกคนในหมู่บ้าน ขนาดช่างฝีมือในระแวกใกล้เคียง ยังต้องมาเรียนรู้งานเพิ่มเติมจากช่างไม้ฉู่อยู่เป็นประจำ ทุกคนในหมู่บ้าน รวมไปจนถึงเพื่อนบ้านในระแวกใกล้เคียงหลายคน ต่างพากันมาใช้บริการกับช่างไม้ฉู่อยู่เป็นประจำ เรียกได้ว่าแถบจะทุกครัวเรือน ล้วนเป็นฝีมือของช่างไม้ฉู่แทบจะทั้งหมด หากเอ่ยถึงช่างไม้ฝีมือดี คงไม่มีใครที่จะไม่รู้จักช่างไม้ฉู่.... คำล้ำลือถึงความสามารถของช่างไม้ฉู่ยังมีอีกมายมาย ไม่ใช่เฉพาะแต่สร้างบ้านหรือต่อเติมบ้านเป็นเท่านี้ เขายังสามารถสร้างโต้ะกินข้าว เก้าอี้ โต้ะเครื่องแป้ง และอุปกรณ์ที่ทำจากไม้อีกหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับผู้จ้างวาน ว่าจะสั่งให้ช่างไม้ฉู่ออกแบบได้ตามกำลังทรัพย์ที่มี ขอเพียงมีแบบร่าง ช่า
หรงหรงได้ถุงเงินก้อนใหญ่มาไว้ในครอบครอง และได้กลายเป็นเศรษฐีนีคนใหม่ขึ้นมาเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว นางเดินฮัมเพลงตลอดทั่งทางอย่างมีความสุข ไม่เสียแรงที่นางต้องทนลำบากลำบนทั้งวันด้วยอากาศที่ร้อนระอุ สำหรับคนธรรมดากว่าจะหาสมุนไพรล้ำค่ามาได้มิใช่เรื่องง่าย แต่สำหรับหรงหรงนั้นง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ เมื่อมองดูถุงเงินก้อนใหญ่ที่ถืออยู่ในมือ ความรู้สึกเหนื่อยล้าก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง หรงหรงไม่รอช้า นางรีบเดินไปจับจ่ายซื้อของตามรายการที่จดมาทันที ตอนนี้นางเดินถือของพะรุงพะรังมากมายอีกหลายอย่าง อย่างทุลักทุเล และค่อยๆทยอยถือของแต่ละอย่าง นำไปเก็บไว้ที่เกวียนก่อนในรอบแรก สายตางามยังคงสอดส่องมองหาเจ้าของเกวียนรอบๆบริเวณนั้น เมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าของเกวียน จากนั้นนางจึงเดินกลับไปซื้อของในรอบที่สองต่อทันที ผ้าม่าน ผ้าปูที่นอน พริกแห้ง เกลือ น้ำส้มสายชู และของใช้ทุกอย่างในครัวเรือนอีกมากมาย พอจับจ่ายเสร็จ...หรงหรงก็เดินเอาของทุกอย่างนำไปไว้ที่เกวียนอีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้ราวๆสีห้ารอบเห็นจะได้ สตรีร่างบางนั่งลงเช็ดเหงื่อด้วยเรี่ยวแรงที่เหนื่อยหอบอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ ถึงนางจะนั่งพักเหนื่อย แต่สาย
บุรุษร่างสูงเป็นผู้ดูแลที่ดินในระแวกนี้ เขาสังเกตุเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนมองที่ดินที่ตนดูแลอยู่ จึงได้ปลีกตัวเดินออกมาถามไถ่คนกลุ่มนี้โดยละเอียด บุรุษร่างสูงมองสำรวจดูการแต่งกายของทุกคนอย่างละเอียด เขามองไปที่ชายหนุ่มทั้งสามด้วยอาภรณ์ที่ขาดรุ่งริ่ง ดูก็รู้ว่าพวกเขาทั้งสามคนน่าจะเป็นขอทาน และไม่น่าจะมีกำลังทรัพย์พอจะซื้อที่ดินแปลงนี้ แต่สายตาเขาพลันไปหยุดชะงักอยู่ที่สตรีร่างบางในกลุ่มขอทาน ดูก็รู้ว่านางไม่น่าจะใช่คนในพื้นที่แถวนี้ เพราะดูจากการแต่งกาย และใบหน้าที่สะอาดหมดจด นางดูเฉลียวฉลาดมีไหวพริบกว่าขอทานทั้งสามคน และเขายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสมุนไพรจางๆ ที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวสตรีตรงหน้า ดูก็รู้ว่านางจะต้องเชี่ยวชาญในด้านการแพทย์ หรืออาจจะเป็นคุณหนูจากตระกูลผู้ดีที่ไหนสักแห่งก็อาจเป็นได้ "แม่นาง สนใจที่ดินผืนนี้หรือขอรับ.....? เสียงชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพนุ่มนวล "ท่านคือ....? หรงหรงรีบหันกลับไปมองตามเสียงอย่างสงสัย "ข้าชื่อ มู่กว๋าง เป็นผู้ดูแลที่ดินในระแวกนี้ ยินดีที่ได้รู้จัก ส่วนแม่นางคือ....? มู่กว๋างมองดูหญิงสาวตรงหน้าอย่างมีมารยาท "ข้าชื่อ หรงหรง ข้ามิใช่คนแถวนี
ร่างกายที่พลิ้วไหวบวกด้วยความเร็วของกำลังภายในที่ใช้ ยิ่งทำให้หรงหรงเคลื่อนไหวหายแว้บไปดั่งสายลม ......................... ด้านนางเมิง...... หญิงชรายังคงจัดเตรียมหุงหาอาหารให้คนงานอย่างรู้หน้าที่ ส่วนช่างไม้ฉู่กับคนงานอีกสี่คน เริ่มทำการรื้อถอนบ้านออกเป็นที่เรียบร้อยในเวลาไม่นาน จากนั้นจึงได้ทำการมุงเพิงเล็กๆข้างลานบ้าน เพื่อให้นางเมิงและบุตรสาว ได้เอาไว้พักอาศัยไปก่อนชั่วคราว หลังจากรื้อบ้านและนำเศษไม้ออกไป จนกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า คนงานทั้งหมดได้เริ่มทยอยขนไม้ที่ไปตัดมาใหม่ วางเอาไว้ในแต่ละจุด เพื่อเริ่มขั้นตอนขุดดินทำเสาบ้าน เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงวัน ช่างไม้ฉู่กับลูกมือทุกคน จึงพากันวางมือจากงานที่ทำ เพื่อที่จะเติมพลังให้ร่างกายได้มีแรงทำงานต่อ เมื่อเห็นเงาต้นไม้ที่ตรงดิ่ง นางเมิงจึงเริ่มจัดเตรียมสำรับอาหารไว้ก่อนล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อย โดยมีโม่เฉินคอยเป็นลูกมือหยิบจับเท่าที่พอจะช่วยได้ โม่เฉินคอยทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม แม้ว่าหญิงชราจะไม่ได้ออกปากสั่ง แต่โม่เฉินเพียงใช้สายตาเรียนรู้ทุกอย่างที่หญิงชราทำก่อนหน้า จากนั้นเขาจึงลงมือทำทุกอย่างตามขั้นตอนอย่างพิถีพ
บัดนี้แสงตะวันได้ล่วงลับจากขอบฟ้า ท้องฟ้าจากที่เคยสว่างกลับเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มลงในชั่วพริบตาเดียว ด้วยบรรยากาศที่มืดสลัวไร้แสงสว่าง ทำให้การทำงานต้องหยุดชะงักลง ช่างไม้ฉู่และลูกมือทั้งหมด เริ่มวางมือจากงานที่ทำ และต่างเตรียมตัวเก็บของใส่กระเป๋า เพื่อแยกย้ายกันกลับเรือน หญิงชราได้ตั้งโต๊ะสำรับอาหารค่ำพร้อมกับโม่เฉินไว้เป็นที่เรียบร้อย นางจึงหันไปเรียกทุกคน ให้อยู่ทานข้าวเย็นก่อนแล้วค่อยเดินทางกลับเรือน ช่างไม้ฉู่กับลูกมือทั้งสี่คน มีหรือจะกล้าปฎิเสธน้ำใจไมตรีของหญิงชราผู้นี้ หลังจากที่ทุกคนทานอาหารเย็นเสร็จ นางเมิงก็เริ่มแจกจ่ายค่าแรงวันแรกให้กับทุกคนอย่างไม่ตกหล่น เมื่อสมควรแก่เวลา ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกลับเรือนของตนเอง เพื่อพักผ่อน และเริ่มงานต่อในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง โม่เฉินออกมานั่งรอหรงหรงอยู่ที่ลานหน้าบ้านอย่างใจจดใจจ่อ เขายังคงชะเง้อมองไปที่หน้าประตูทางเข้าเรือนอยู่ทุก ๆ ครึ่งชั่วยาม แต่ก็ไร้วี่แวว นี้เป็นครั้งแรก ที่โม่เฉินได้รับรู้ถึงการรอคอยใครสักคนอย่างใจจดใจจ่อเช่นนี้ ถึงใบหน้าเขาจะดูเรียบเฉย คาดเดาความคิดได้ยาก แต่ภายในใจบุรุษผู้นี้กลับรู้สึกเป็นกังวล เมื่อมองไม่เ
หรงหรงหยิบห่อผ้าออกมาวางไว้ตรงหน้าโม่เฉินอย่างไม่รีรอ นางรีบแกะห่อผ้าออกมาให้เขาดู ในใจนางพลันตื่นเต้นยิ่งกว่าโม่เฉินเสียอีก หากได้เห็นบุรุษตรงหน้าสวมใส่อาภรณ์ที่นางซื้อมาให้ เขาจะต้องดูดีมากแน่ๆ แววตาหรงหรงดูเปล่งประกายขึ้นมาทันที ฝ่ามือหนายื่นออกไปจับฝ่ามือเรียวบางของสตรีตรงหน้าอย่างช้าๆ ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นไปมองนางอย่างไม่กระพริบตา หรงหรงถึงกับหยุดชะงักการกระทำทุกอย่างลงอย่างอัตโนมัติ แล้วจ้องมองกลับไปที่โม่เฉินอย่างแปลกใจเช่นกัน "หรงเอ๋อร์ เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าบอกเมื่อครู่หรอกหรือ ข้าบอกให้เจ้ารีบไปอาบน้ำก่อน แล้วจะได้มากินข้าว..." ใบหน้าเฉยชาดูเคร่งขรึมขึ้นมาถนัดตา "แต่ว่า...." หรงหรงกำลังจะพูด แต่ถูกโม่เฉินเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน "ถือว่าข้าขอร้อง...โม่เฉิมจ้องมองไปที่หรงหรง แววตาเขาดูจริงจังกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา หรงหรงนิ่งไปชั่วครู่ เมื่อเห็นท่าทีของบุรุษตรงหน้าแสดงออกมา แต่เหตุใด...น้ำเสียงของโม่เฉิน ฟังดูเหมือนกำลังขุ่นเคืองนางอยู่ยังไงยังงั้น..... "อาเฉิน เหตุใดท่านถึงได้ดูไม่ดีใจเลยสักนิด นี้ข้าตั้งใจซื้อชุดใหม่มาให้ จ้าเลือกสรรเองกับมือข้าเลยนะ ท่านควรจะดีใจมิใช่หรือ
ท่ามกลางบรรยากาศเช้าวันใหม่ที่มีลมพัดโชยมาไม่ขาดสาย ยิ่งทำให้หรงหรงนอนหลับสบายจนไม่อยากลืมตาตื่น นางเมิงตื่นนอนก่อนทุกคนในเรือน นางลุกขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อหุงข้าว และเตรียมของสำหรับทำอาหารให้คนงานอย่างขมักเขม้น โม่เฉินตื่นมาเป็นคนที่สอง ไม่ต้องรอให้นางเมิงออกปากสั่ง เขาก็เลื่อนรถเข็นไปช่วยล้างผัก คอยเป็นลูกมืออย่างรู้งาน เมื่อนางเมิงเหลือบสายตาหันไปมองโม่เฉินอย่างพินิจ บุรุษตรงหน้านางสวมใส่อาภรณ์สีขาวดูเด่นสง่าจนสะดุดตา นางเมิงกลับไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไปเฉกเช่นทุกครั้ง เพราะนางรู้ดีอยู่เต็มอก ว่าบุตรสาวตัวดีของนาง คงเป็นคนซื้อชุดใหม่มาให้บุรุษหนุ่มตรงหน้านางอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงภายในใจหญิงชราจะรู้สึกไม่พอใจอยู่ไม่น้อย แต่บุรุษหนุ่มผู้นี้ก็ไม่เคยสร้างปัญหาขึ้นให้นางหนักใจ นับตั้งแต่เขาเข้ามาอาศัยอยู่ที่เรือน หญิงชราเห็นว่าบุตรสาวเหนื่อยจากการเดินทางเมื่อวานนี้ วันนี้นางจึงปล่อยให้บุตรสาวตื่นสายเป็นกรณีพิเศษ เมื่อถึงเวลางาน ช่างไม้ฉู่กับลูกมือทั้งสี่ก็ไม่รอช้า เมื่อวานพวกเขาได้รื้อเรือนออกจนแล้วเสร็จ และเริ่มขุดหลุมลงเสาเรือนเป็นที่เรียบร้อย วันนี้ทุกคนจึงเริ่มขึ้นโครงสร้า
หรงหรงรีบเร่งฝีเท้า กว่านางจะเดินกลับถึงเรือน ก็เป็นเวลาในยามซวี(19.00-21.00) แสงตะเกียงริบหรี่ ส่องสะท้อนออกมาตามบ้านเรือนแต่ละหลังคาเรือน ราวกับแสงของหิ่งห้อยระยิบระยับ สตรีร่างบางเดินมาหยุดที่ทางเข้าหน้าประตูเรือนของตนเอง ด้วยท่าทางที่เหนื่อยล้า ก่อนจะรีบปรับลมหายใจให้เป็นปกติที่สุด เพราะในระหว่างทาง หรงหรงรีบเร่งฝีเท้าเดินจ้ำอ้าว และใช้วิชาตัวเบาสลับกันไปมาอย่างไม่หยุดพัก หากขืนนางกลับมาช้ากว่านี้ เกรงว่ามารดากับโม่เฉินคงจะต้องอยู่ไม่สุขเป็นแน่... "หรงเอ๋อร์....นั้นใช่ลูกหรือไม่....? นางเมิงจุดตะเกียงนั่งรอบุตรสาวตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน จนตอนนี้ท้องฟ้ากลายเปลี่ยนเป็นสีดำมืดสนิท เมื่อหญิงชรามองเห็นเพียงเงเลือนลาง ก็จดจำได้ว่าเงาที่เห็น จะต้องเป็นบุตรสาวของตนอย่างแน่นอน "ใช่เจ้าคะ ข้าคือหรงเอ๋อร์ของท่านแม่ตัวจริงเสียงจริงแน่นอน..." เมื่อได้ยินเสียงบุตรสาวตอบรับ หญิงชราก็รีบกระโจนตัววิ่งออกไปเปิดประตูเรือนด้วยความเร็วแสง แล้วแอบถอยหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นว่าบุตรสาวกลับมาอย่างปลอดภัยดี โม่เฉินมองดูจากระยะไกล เมื่อเห็นว่าหรงหรงกลับมาอย่างปลอดภัย เขาจึงรีบถอนหายใจ
ท้องฟ้าสีครามกับบรรยากาศที่สดใส พร้อมต้อนรับรุ่งอรุณในอีกไมช้า หรงหรงตื่นขึ้นมาตามสัญชาตญาณ เพื่อเตรียมตัวขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรราวกับเข็มนาฬิกาอย่างรู้หน้าที่ "หรงเอ๋อร์...จะไปแล้วรึ....? น้ำเสียงอันอ่อนโยนดังแว่วมาจากทางด้านหลัง ทำให้หรงหรงต้องรีบหันกลับไปมองทันที "อ้าว...ตื่นแล้วหรือ กลับไปนอนต่ออีกสักหน่อยเถิด พระอาทิตย์ยังไม่ทันจะขึ้น ท่านรีบตื่นขึ้นมาทำสิ่งใด ยามนี้มิใช่เวลาทำงานเสียหน่อย... " หรงหรงหันไปเอ่ยถามโม่เฉิน เมื่อเห็นเขากำลังนั่งอยู่บนรถเข็นแล้วจ้องมองมาที่นาง "นอนไม่หลับ...แล้วนั้นหรงเอ๋อร์จะไปนานหรือไม่...? โม่เฉินจ้องมองไปที่หรงหรงอย่างรอคำตอบ เมื่อเห็นคนตรงหน้ากำลังกุลีกุจอกับการเก็บสัมภาระ "อืม...วันนี้อาจจะใช้เวลานานกว่าทุกวัน ข้าคิดว่าจะเดินข้ามเขาขึ้นไปอีกสักสองลูก เผื่ออาจจะเจอโสมภูเขาและสมุนไพรล้ำค่าที่หายากเพิ่มขึ้น หากคาดคะเนไม่ผิด คงน่าจะกลับมาตอนพลบค่ำโน้นแหละ..." กล่าวจบ หรงหรงก็หันกลับไปจัดแจงกระเป๋าสัมภาระต่อ เพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง "หากข้าเดินได้ก็คงจะดี หรงเอ๋อร์จะได้ไม่ต้องมาทนลำบากอยู่เช่นนี้เพียงลำพัง ข้าช่างเป็นคนที่ไร้ประโยชน์เสียจริง.
หลังจากหรงหรงได้เริ่มสอบถามอาการป่วยจากภรรยาลุงเหลียง หรงหรงจึงรีบเดินทางกลับไปที่บ้านลุงเหลียง พร้อมกับภรรยาลุงเหลียงในเวลาไม่นาน พอมาถึงกระท่อมที่มุงจากหญ้าคาที่ท้ายหมู่บ้าน หรงหรงก็ได้ยินเสียงลุงเหลียงนอนร้องโอดครวญดังแว่วมา เมื่อเปิดประตูมองเข้าไปดู ลุงเหลียงกำลังนอนเอามือกอดท้องไว้แน่น เขาบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด ราวกับไส้เดือนถูกน้ำร้อนลวก "ท่านป้า ปกติท่านลุงกินข้าวมากน้อยเพียงใดหรือเจ้าคะ...? หรงหรงหันไปสอบถามอาการลุงเหลียงจากปากภรรยาเขาในทันที "กินข้าวมื้อละชามตรงตามเวลาทุกวัน เอ๊ะ...นางหนู...เหตุใดเจ้าจักต้องถามหาถึงอาการสามีข้าเช่นนี้ หรือว่าเจ้าเกิดคิดจะเบี้ยวขึ้นมา ไม่ยอมจ่ายค่ารักษาให้สามีข้าเอาเสียดื้อๆ...? ภรรยาลุงเหลียงมองหรงหรงอย่างชั่งใจ "จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไรกันเจ้าคะ ข้ามิคิดจะบิดเบี้ยวแน่นอนหากว่าสาเหตุมาจากอาหารที่เรือนข้าจริง ข้าจักต้องจ่ายค่าเสียเวลาให้ท่านลุงอย่างสมเหตุสมผลแน่นอน ส่วนเรื่องที่ข้าถาม เพียงเพราะอยากรู้ถึงสาเหตุให้แน่ชัด ข้าจะได้วินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องและแม่นยำมากยิ่งขึ้น..." "วินิจฉัย....แม่นยำ.....? "ใช่เจ้าคะท่านป้า..." "
หรงหรงทำทียกท่อนฟืนชูขึ้น สองผัวเมียก็ได้แต่ร้องตะโกนห้ามปราม ไม่กล้าเข้าไปใกล้อย่างอกสั่นขวัญแขวน แม่เฒ่าอิ๋นแทบจะเป็นลมทั้งยืน ในใจนางลุ้นระทึกยืนดูเหตุการณ์ อย่างกระสับกระส่าย "ข้ากับท่านแม่ มิมีสิ่งใดต้องเสีย แต่หากว่าเป็นพวกท่าน นั้นก็ไม่แน่ ข้ามีแค่สองปากหากินอย่างไรก็ได้ แต่พวกท่านมีตั้งหกปาก คงจะต้องลำบากน่าดู ข้าจะดูสิว่า....พวกท่านจะทนหิวตายไปในช่วงหน้าหนาวที่ใกล้จะมาถึงได้อย่างไร หากไม่มีธัญพืชให้เหลือพอประทังชีวิตทั้งครอบครัว...? หรงหรงทำทีจะโยนท่อนฟืนขึ้นไปบนยุ้งฉาง "หยุดนะหรงเอ๋อร์ นี้เจ้าบ้าไปแล้วหรือ...? ท่านป้าสะใภ้รีบตะโกนห้ามปรามหลานสาวอย่างหวาดหวั่น "หรงเอ๋อร์ เจ้าใจเย็นลงก่อน มีอะไรก็ค่อยๆพูด ค่อยๆจากัน อย่าได้วู่วามไปเชียว..." ฮ้าวสิงรีบเกลี้ยกล่อมหลานสาว "ที่ผ่านมา พวกท่านพากันใช้ธัญพืชส่วนของท่านแม่ไปอย่างไม่คำนึง ทั้งกิน ทั้งขาย ข้าล้วนไม่ถือสาหาความ ถือเสียว่า...ข้ายกหนี้ให้พวกท่านทั้งหมด และถือว่า...ข้าได้ทดแทนบุญคุณของตระกลูไปจนหมดสิ้น ในเมื่อบิดาของข้าได้ตายจากโลกนี้ไปนานแล้ว นับตั้งแต่วันนี้ ตระกูลของพวกท่าน ถือเสียว่าได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับข้าไ
หนึ่งเดือนผ่านไป..... เรือนไม้หลังใหม่ใช้เวลาแก้แบบหลายครั้ง จึงทำให้ต้องขยายเวลาในการก่อสร้างเพิ่มขึ้น ตอนนี้ตัวเรือนทั้งด้านนอกและด้านใน ถูกสร้างเสร็จจนหมดทุกห้อง มีห้องครัว ห้องกินข้าว เรือนรับรอง รวมไปถึงห้องนอน แต่ละห้องล้วนถูกสร้างสรรค์ออกมา ได้อย่างปราณีตและมีแบบแผน หรงหรงรู้สึกพอใจกับผลงานชิ้นเอกที่ตนได้เป็นคนออกแบบเป็นอย่างมาก แต่ละโครงสร้างที่นางตั้งใจลงลายเส้นไปในกระดาษ ถูกสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้อลังการ จนเกินความคาดหมาย ซึ่งในส่วนที่เหลือ เพียงแค่ตกแต่งและลงพื้นสีก็เป็นอันแล้วเสร็จ ช่างไม้ฉู่กับลูกมือทุกคนใช้เวลารวมกันร่วมสองเดือนเศษ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดการเอาไว้ เพราะกว่าจะสร้างเรือนหลังนี้ให้ตรงตามความพอใจของเจ้าของเรือน พวกเขายังต้องรื้อแก้ใหม่ไปอีกหลายรอบ หรงหรงยอมทุ่มตำลึงไปไม่อั้น หวังให้เรือนออกมาแข็งแรงและทนทาน เพื่อทนต่อแดดและลมฝน เนื่องจากเรือนไม้หลังใหม่ กว้างขวางโอ่อ่ากว่าแต่ก่อนจนเทียบกันไม่ติด บวกกับเนื้อที่ว่างเปล่าที่ถูกปล่อยทิ้งเอาไว้นานโดยเปล่าประโยชน์ หรงหรงจึงได้สั่งให้ช่างไม้ฉู่สร้างกำแพงรอบบ้านขึ้นมาใหม่ โดยรื้อถอนตัวเรือนหลังเก่
"กรี้ดดดดดดด!!!!!"เสียงลั่วลั่วกรีดร้องดังลั่นด้วยความเจ็บปวด หรงหรงไม่รีรอ นางใช้แรงเพียงน้อยนิดกระชากเส้นผม บีบบังคับให้ลั่วลั่วเงยหน้าขึ้นมา โดยไม่ให้ลั่วลั่วได้ทันตั้งตัว ก่อนจะเหลือบไปทางชาวบ้านที่กำลังยืนมองดูเหตุการณ์อย่างลุ้นระทึก เมื่อหนังศรีษะลั่วลั่ว ถูกหรงหรงดึงกระชากเข้าให้ ลั่วลั่วพลันน้ำตาเล็ด แสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา "หรงหรง นี้เจ้ากำลังทำบ้าอันใดกัน...? แม่เฒ่าอิ๋นกัดฟันกรอดเอ่ยออกมาอย่างโมโห เมื่อเห็นหรงหรงดดึงกระชากผมหลานสาวของตนอย่างไม่สะทกสะท้าน "ไอ๋หย่า.....นี้ข้ายังมิทันจะได้เริ่ม ใยพวกท่าน....ถึงได้พากันทำสีหน้าอย่างกับมีคนตายเยี่ยงนั้นด้วยเล่า อย่าพึ่งตกตะลึงกันไปก่อนสิเจ้าคะ นี้ข้ายังมิทันจะออกแรงเลยด้วยซ้ำ..." "นี้เจ้ากลายเป็นบ้าไปแล้วหรือ จู่จู่ก็มากระชากผมหลายสาวข้า ยังไม่รีบปล่อยมือเจ้าออกอีก ดูสิ...ลั่วลั่วคงจะเจ็บน่าดู..." "อ่อ...แล้วข้ามิใช่หลานสาวท่านหรอกหรือ เมื่อครู่ท่านยังจะเป็นจะตายเพราะข้าอยู่เลย ฉไนเลย...ตอนนี้กลับลืมข้าไปเสียเล่า....? "นี้เจ้า...." แม่เฒ่าอิ๋นยืนกำมือแน่นอย่างโกรธเคือง "พวกท่านมองดูนี้สิ....จากที่ข้าได้สัมผัส เหมือ
แม่เฒ่าอิ๋นรีบมองดูชาวบ้านที่กำลังคล้อยตามอย่างลำพองใจ นางรีบหันไปกระซิบกระซาบกับหลานสาว เพื่อเร่งให้ลั่วลั่วพูดต่อไปเรื่อยๆอย่าได้หยุดปาก เพราะคำพูดของหลานสาวดูจะมีน้ำหนักมากกว่าตน ซึ่งล่าสุดแม่เฒ่าอิ๋นพึ่งจะถูกตัดสินคดีความไปสดๆ ร้อนๆ หากให้ตนเองเป็นตัวตั้งตัวตี เกรงว่าชาวบ้านนั้นจะไม่หลงเชื่อ พวกชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ ล้วนเชื่อมั่นในคำพูดของหลานสาวมากกว่าตนแน่นอน เพราะตั้งแต่ลั่วลั่วเกิดมา นางไม่เคยทำเรื่องให้ต้องเสี่ยมเสียชื่อเสียงเลยสักครั้ง ชาวบ้านทุกคนต่างรู้ดี "ลั่วลั่ว เจ้ารีบบอกทุกคนไปสิว่า ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่.....? แม่เฒ่าอิ๋นรีบกำชับหลานสาว "เจ้าคะท่านย่า....." เมื่อลั่วลั่วบังเอิญหันไปสบตาเข้ากับหรงหรง นางพลันรู้สึกถึงแรงกดดัน เริ่มแสดงท่าทีกล้าๆกลัวๆออกมา "ตกลงเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่.....? ท่านผู้นำหมู่บ้านรู้สึกมึนงงกับเรื่องราวในตอนนี้ "น....นางเป็นตัวปลอมเจ้าคะ นางไม่ใช่น้องสาวของข้าแน่นอน.." ลั่วลั่วยืนชี้นิ้วไปทางหรงหรง "ตัวปลอม...ว่าแต่เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ว่าข้าเป็นตัวปลอม....? หรงหรงนั่งลงไปที่เก้าอี้ข้างโม่เฉิน ในมือนางถือส้มอยู่ลู
ลั่วลั่วที่กำลังซักผ้าใกล้เสร็จ เมื่อพวกนางสามคนเห็นว่าหรงหรงกำลังเดินถือตระกร้าผ้า เพื่อมุ่งหน้ามาทางลำธารที่พวกนางทั้งสามคนกำลังนั่งอยู่ พวกนางต่างหันไปมองหรงหรง ราวกับเห็นศัตรูตัวฉกาจ ชิงหยวนและชิงผิง พวกนางสองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องที่อายุไล่เลี่ยกันกับลั่วลั่ว พ่อแม่ของพวกนางเป็นเพื่อนบ้านที่สนิทกันมาก จึงทำให้ชิงหยวนและชิงผิง สนิทกับลั่วลั่วไปโดยปริยาย โดยทั้งสามคนมักจะชอบไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง และมาไปหาสู่ไม่เคยขาดอยู่เป็นประจำ เพราะเรือนของพวกนางสองคน อยู่เพียงฝั่งตรงข้ามกับเรือนลั่วลั่ว จึงทำให้สตรีทั้งสาม สนิทชิดเชื้อกันมาตั้งแต่จำความได้ สตรีทั้งสามคนกำลังพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน แต่พอเห็นว่าหรงหรงกำลังเดินผ่านไป พวกนางก็หยุดชะงักลงทันที ก่อนจะสุมหัวกันซุบซิบนินทาเรื่องจิปาถะ ตามสัญชาตญาณของหญิงสาวชาวบ้าน หรงหรงเดินอ้อมไปอีกฝาก แล้วนั่งลงซักผ้าอยู่เพียงลำพัง โดยไม่ได้สนใจสายตาของสตรีทั้งสามแม้แต่น้อย "ลั่วลั่ว...ข้าได้ยินมาว่าญาติผู้น้องของเจ้า ถึงกับต้องใช้ร่างกายไปแลกเอาเงินมาปลูกเรือนหลังใหม่ เป็นเรื่องจริงหรือไม่...? ชิงหยวนตะโกนถามเสียงดังเพื่อให้หรงหรง
ท่ามกลางบรรยากาศยามค่ำคืน หรงหรงรู้สึกอ่อนเพลียจากการขึ้นเขาไปล่าสัตว์เมื่อตอนกลางวันอยู่ไม่น้อย โดยนิสัยของนางควรจะหลับสนิทไปตั้งแต่หัวค่ำ แต่ลางสังหรณ์ของนางบอกว่า วันนี้จะต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมาแน่ๆ หรงหรงจึงได้หลับๆตื่นๆ และลุกขึ้นออกมาสูดอากาศในกลางดึกเพียงลำพัง สตรีร่างบางใช้วิชาตัวเบาดีดตัวเองให้ลอยขึ้นไปกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ก่อนจะนั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งตั้งตระหง่านตาอยู่ในบริเวณลานบ้าน ในมือนางพลางกัดแอปเปิ้ลไปคำ พร้อมทั้งแหงนหน้ามองไปบนฟ้า เพื่อดูทิวทัศน์ในยามค่ำคืน ทิวทัศน์ในยามนี้ช่างแตกต่างในตอนกลางอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้มีเพียงความมืดสนิทและเสียงจิ้งหรีดเรไร ต่างร้องขับขานประสานเสียงกันขึ้นลงเป็นจังหวะ อยู่เป็นครั้งคราว ค่ำคืนที่มืดสนิททำให้ผู้คนรู้สึกหดหู่ บนท้องฟ้ามีดวงดาวประปรายเพียงน้อยนิด หรงหรงพลันเหลือบไปเห็นถึงความเคลื่อนไหวของเงาคนนอกรั้วบ้าน นางมองผ่านเเสงตะเกียงริบหรี่ ที่ส่องออกไปทางฝั่งประตูรั้วได้อย่างชัดเจน หากหลับตาฟังให้ดีๆ จะได้ยินเสียงฝีเท้าหนักเบาของคนจำนวนหนึ่งจากทางด้านนอก ลำพังเพียงคนธรรมดาทั่วไปไม่อาจสัมผัสได้ถึงความผิดปกติอ