"..." เหรินโยว่หลุนแม้จะหน้าบูดและไม่อยากให้ภรรยาห่างสายตาแต่ก็กลัวนางจะไม่สบายขึ้นมา จึงพยักหน้าในที่สุด "..." จูมี่เอินเริ่มฮัมเพลงแล้วเดินไปหลังฉากกั้นที่อยู่ไม่ไกล เริ่มเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่ เช็ดผมให้แห้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยความรวดเร็ว ความจริงแล้วนางร้องเพลงไม่เป็น ตอนนี้นางกำลังส่งเสียงในลำคอเป็นทำนองของบทสวดบทหนึ่งแทน "..." เหรินโยว่หลุนยันตัวขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงรอภรรยาเดินออกมาจากฉากกั้น "ท่านพักก่อนเถิด ข้าไม่ไปไหนจริงๆ เดี๋ยวข้าปูที่นอนให้ท่านใหม่ดีหรือไม่" จูมี่เอินเดินออกมาก็เห็นรอยเลือดที่เปื้อนตรงกลางที่นอนเป็นวงกว้าง คราแรกนางไม่ทันสังเกตว่ามันเลอะขนาดนี้เพราะคนตัวใหญ่นอนทับอยู่ นางเริ่มลงมือเก็บเศษผ้าสีขาวที่เปื้อนเลือดออกจากเตียง และเดินไปหาผ้าปูใหม่ในตู้เก็บของที่อยู่ในห้องมาเปลี่ยนให้ฮ่องเต้ ลงมือปูผ้าไปก่อนครึ่งหนึ่งแล้วให้เหรินโยว่หลุนขยับตัวช้าๆ ไปนั่งบนส่วนที่ปูใหม่แล้ว พอเขาไปนั่งแล้วก็จัดการปูส่วนที่เหลือให้เรียบร้อย จากนั้นก็ก้มไปเก็บผ้าผืนเก่าที่ดึงออกไปเมื่อครู่มาไว้ในมือ รวบรวมผ้าสีขาวเปื้อนเลือดมาไว้ในกองผ้าด้วยกัน ไม่นานบ่า
"อื้ม" จูมี่เอินกำถ้วยยาแน่นกลัวจะทำมันหกเพราะโดนเหรินโยว่หลุนจู่โจมเข้ามาแบบนี้ ความหวานที่แผ่กระจายในปาก ความร้อนจากเหรินโยว่หลุนทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมา ไม่จมปลักอยู่กับอดีตที่ผ่านไปอีก พอร่างสูงผละออกไปนางก็เพิ่งจะรู้ว่าถ้วยยาในมือเริ่มไม่ร้อนแล้ว "อาหลุนดื่มยาก่อนเถิด" "มี่เอินข้าอยาก..." เหรินโยว่หลุนไม่อยากดื่ม เขาหอบหายใจหนักขึ้น ยิ่งได้กลิ่นของนาง ได้จุมพิตจากนาง ก็ลืมไปแล้วว่าตนเองต้องพักผ่อน มือใหญ่จับมือเล็กของนางทาบไปที่หน้าท้องที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ จากนั้นก็ค่อยเลื่อนลงไปต่ำลงๆ จนถึงส่วนกลางของหว่างขาที่เริ่มตื่นตัวขึ้นมา "ท่าน ท่าน ท่าน" จูมี่เอินหน้าแดง "อาหลุน ท่านต้องพักผ่อน" จูมี่เอินรีบดึงมือกลับมา เวลาเช่นนี้เขายังจะ.... "..." เหรินโยว่หลุนทำหน้าเศร้าลง ทิ้งตัวลงนอนแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเองหันหลังให้นางทันที "ท่านดื่มยาก่อนดีรึไม่" จูมี่เอินถามออกไปเสียงเบา รู้สึกผิดขึ้นมา "..." "อาหลุนเดี๋ยวข้าป้อนท่านเอง ท่านนอนดีๆ เถิด" มือเล็กแตะลงที่แขนของอีกฝ่ายเบาๆ นางไม่รู้ควรทำยังไง ปกติศิษย์พี่ของนางไม่เคยมีใครมาแง่งอนนางเช่นนี้ จึงไม่เคย
"ชะ ใช่" จูมี่เอินแทบไม่อยากเชื่อ เมื่อครู่สีหน้ายังเหมือนเด็กโดนทิ้ง ตอนนี้รอยยิ้มชั่วร้ายแบบไม่ปิดบังนั้นคืออะไรกัน ทำเอาคนมองใจเต้นไม่เป็นจังหวะไปแล้ว ความรูปงามที่แฝงไปด้วยความร้ายกาจแบบที่ไม่มีใครเทียบได้นี่ช่างพาให้คนอกสั่นขวัญหายยิ่งนัก ยิ่งภายใต้แสงสีส้มอ่อนของเปลวเทียนในห้องก็ยิ่งทำให้รอยยิ้มของเขาดูมีเสน่ห์ขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว สวรรค์ช่างโหดร้ายกับผู้คนเดินดินเกินไปหรือไม่! เหรินโยว่หลุนเมื่อถามเรื่องที่นางจะป้อนยาให้นั้นได้ยืนยันแล้ว เขาก็ถามเรื่องสำคัญอีกเรื่องต่อทันที จะตีเหล็กก็ต้องตีตอนร้อน ไม่ใช่ตอนนี้แล้วจะเป็นตอนไหนเล่า หึ "แล้วเจ้าก็ยังบอกอีกว่าถ้าหายดีจะให้ข้าทำตามใจใช่หรือไม่" เหรินโยว่หลุนกลัวนางจะเฉไฉอีกเมื่อถึงเวลานั้น เลยถามย้ำอีกรอบ จะปล่อยให้ภรรยาจะมาเล่นเล่ห์กับเขาภายหลังหรือ ไม่มีทางซะหรอก เหรินโยว่หลุนขยับตัวจะลุกขึ้นนั่ง "ชะ...ใช่ ข้าพูดเอง" จูมี่เอินช่วยประคองเขา ใจตกไปอยู่ตาตุ่ม เหตุใดต้องมาถามย้ำนางเช่นนี้กัน คิดจะทำอะไรไม่ดีอีกแน่เลย นางไม่น่าหลุดปากออกไปเลย นี่นางกำลังโดนเขาหลอกอีกแล้วใช่หรือไม่ "..." เหรินโยว่หลุน
เช้าวันรุ่งขึ้นจูมี่เอินได้รับข่าวจากฟางอี้ว่าจัดงานศพให้มารดาปลอมๆ ของนางแล้ว จูมี่เอินก็พยักหน้ารับเบาๆ แม้ในดวงตาจะยังเจือไปด้วยความเศร้าหมองแต่นางก็ทำใจได้แล้ว ที่แท้โลงศพนั้นไม่ใช่ของเหรินโยว่หลุนแต่เป็นของคนที่นางคิดว่าเป็นมารดามาตลอดนี่เอง เพราะนิมิตรในตอนนั้นตัดภาพเหรินโยว่หลุนโดนแทงและตัดไปที่โลงศพเลย ไม่แน่บางทีมันอาจเป็นของเหรินโยว่หลุนแต่เขาคงเปลี่ยนชะตาด้วยตนเองอีกครั้งก็ได้ จูมี่เอินไม่อยากคิดมากอีก ไม่อยากให้ความรู้สึกเมื่อวานหวนกลับมาทำให้นางจมดิ่งลงไป จึงสั่งตนเองให้เลิกนึกถึงเรื่องนี้ นิมิตรนั้นไม่ว่ามันจะตรงตามนั้นหรือเปลี่ยนแปลงไปก็ช่าง นางขอแค่เหรินโยว่หลุนปลอดภัยก็พอแล้ว เหรินโยว่หลุนที่นั่งอยู่ในรถม้าเปิดผ้าม่านมองดูภรรยาที่ยืนอยู่ด้านนอก ห่างจากเขาไม่ไกล อย่างน้อยหญิงชั่วช้าคนนั้นก็ดูแลภรรยาของเขามาถึงสามปี เขาก็ควรจะจัดงานศพให้นาง แต่เขาไม่อยากให้นางไปที่งานศพ กลัวนางจะเสียใจเลยกวักมือเรียกภรรยาที่กำลังหันมาทางเขาพอดี "..." จูมี่เอินนึกว่าคนบนรถม้าเจ็บแผลก็รีบไปหา "ท่านเจ็บแผลหรือ" "..." เห็นภรรยาโผล่เข้ามาหาหน้าตื่นก็ได้ที รีบพยักหน้า
"งั้นพระองค์จะทรง..." ยังไม่ทันได้ถามว่าจะให้ทำยังไง ฮ่องเต้ของนางที่เกาะเอวนางไม่ยอมปล่อยตั้งแต่เมื่อครู่ก็โน้มหน้าลงมาประกบปากเล็กของนางไว้แล้วเริ่มสอดลิ้นเข้ามา "อื้ม" จูมี่เอินก็เปิดรับเขาแต่โดยดี นอกจากความร้อนที่ริมฝีปากแล้วแผ่นหลังของนางก็รู้สึกร้อนเช่นกัน เพราะมือซุกซนของเหรินโยว่หลุนกำลังวาดไปมาบนหลังของนางไม่หยุด แต่ไม่นานเหรินโยว่หลุนก็ผละออกมามองหน้าคนในอ้อมแขนของตนที่หน้าแดงก่ำขึ้นมาแล้ว เขามีสีหน้าตื่นตระหนก "ไม่ได้ๆ มี่เอินเจ้าทำให้ข้าเกือบทนไม่ไหวแล้ว" เหรินโยว่หลุนรีบสวมกอดนางอีกครั้งด้วยความเร็วแล้วก็เดินหนีออกไปทันที "ข้าจะรีบไปรีบกลับเจ้าห้ามหนีไปไหนอีกนะ" ไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายสั่งนางไว้อีกรอบ จูมี่เอินได้แต่มองส่งเขาไปด้วยใบหน้าที่เห่อร้อน คนเริ่มก่อนเป็นเขาเหตุใดมาโทษนางกันเล่า "ข้าจะหนีไปไหนได้" จูมี่เอินพึมพำกับตัวเอง รอบนี้ที่นางหายไปเหรินโยว่หลุนก็เพิ่มนางกำนัลมาให้นางอีกสองคน ไหนจะคนที่คอยตามติดนางลับๆ ที่อยู่ข้างนอกแถวบนหลังคานั้นอีก คิดว่านางไม่เห็นหรือไร แต่บางทีนางก็คิดว่าเขาอาจจะจงใจให้นางเห็นก็ได้ จูมี่เอินไม่ได้หงุดหงิดหรือ
เหรินโยว่หลุนรีบเดินไวยิ่งกว่าเดิม เริ่มหงุดหงิดจนไม่อาจรักษาใบหน้าราบเรียบได้ดังเดิม "..." เสนาบดีฟู่เห็นฝ่าบาทรีบร้อนเดินไปหาบุตรชายของเขาที่ยืนอยู่กลางทางเขาก็ยิ้มดีใจจนหน้าบาน โดยลืมสังเกตหญิงสาวกลุ่มหนึ่งที่ยืนคุยกับบุตรชายเขาอยู่ไปเลย แต่ต่อจะให้มองไปดูทางนั้นจริง ในมุมของเขาที่สูงไม่มากพอก็คงเห็นแค่เหล่านางกำนัลสี่คน ส่วนคนที่ยืนอยู่หน้าสุดตรงกลางนั้น โดนบุตรชายเขาบังไปจนมิดแล้ว พอขบวนเสด็จเดินมาถึงด้านหลังของของชายผู้นั้นทุกคนก็รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจจากคนที่เดินอยู่หน้าสุด สีพระพักตร์ที่เคยเรียบนิ่งกลับเปลี่ยนไป แววตาดูอาฆาตแค้นขึ้นมาหลายส่วน ปกติฮ่องเต้มีสีหน้าเรียบนิ่งตลอดเวลาก็ว่าน่ากลัวแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ติดตามแทบไม่กล้าหายใจแรง อีกทั้งทุกคนที่ตามมายังชะลอฝีเท้าตนเองโดยไม่รู้ตัวเพื่อเว้นระยะห่างจากคนด้านหน้าสุดโดยพร้อมเพรียงกัน จูมี่เอินโดนคุณชายฟู่บังทางไว้เลยไม่เห็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท รู้อีกทีเขาก็โผล่มาข้างตัวของคุณชายฟู่แล้ว ฟู่เจาเหยาที่ถูกเงาสายหนึ่งบดบังตนเองอยู่ก็หันไปมองข้างกาย จากนั้นก็เห็นหลังของบุรุษคนนั้นเดินผ่านตนเองไป "พระสนมจู
ไม่กี่วันต่อมา งานแต่งงานเริ่มขึ้นแล้ว ความยิ่งใหญ่อลังการไม่ต้องพูดถึง ต่อให้นำการแต่งงานที่ผ่านมาของเหรินโยว่หลุนมารวมกันก็ไม่อาจเทียบได้ แน่นอนความดีความชอบในครั้งนี้จะตกไปที่ไหนได้ถ้าไม่ใช่เหรินเยว่เทียน ทุกคนมีใบหน้าที่สดใสชื่นมื่นยกเว้นคนจัดงานที่มีใบหน้าอ่อนล้า ทว่าในแววตาที่อ่อนล้ากลับมีความรู้สึกสายหนึ่งกระจายออกมา เขาเองก็ยินดีกับพี่ชายของตนเช่นเดียวกัน เหรินเยว่เทียนมองดูงานแต่งที่ตนจัดขึ้น นึกถึงพี่ชายของตนขึ้นมา คนที่อยู่มาจนป่านนี้กลับไม่เคยที่จะรักใครจริงๆ ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับสตรีจนกระทั่งเกิดข่าวลือมากมาย งานนี้เหรินเยว่เทียนเลยต้องจัดหนักจัดเต็มให้ยิ่งใหญ่เข้าไว้ ทุกคนจะได้รู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้คือของจริง! พี่ชายของเขาหาใช่บุรุษชมชอบบุรุษไม่ ทว่าคนที่ไม่ได้รับรู้ความยิ่งใหญ่ในครั้งนี้คงจะมีแค่เจ้าสาวกระมัง จูมี่เอิน ท่านพี่ พวกท่านสองสามีภรรยาติดค้างข้าอีกแล้ว! ด้านจูมี่เอินอยู่ในชุดสีแดงสดหลายชั้น บนศีรษะประดับไปด้วยปิ่นทองและเครื่องหัวที่เต็มไปด้วยไข่มุกล้ำค่า ในใจของนางยังคิดไปว่าจะใส่ให้มากมายไปใย หนักก็หนัก หนักจนคอจะหักอยู่แล้ว แต่ผู้ที
"..." เหรินโยว่หลุนตกใจ นางรู้ได้ยังไง! ไม่ผิดตอนที่ผ้าเปิดออกเมื่อครู่หัวใจเขาเต้นผิดจังหวะจนแทบจะคุมไม่อยู่ ดวงหน้าเล็กที่งดงามเมื่อแต่งแต้มสีสันเข้าไปกลับยิ่งน่ามอง อีกทั้งดวงตากระจ่างใสของนางก็ทำให้คนจิตใจปั่นป่วนขึ้นมาได้ จะเรียกว่าเป็นความหลงไหลในตัวนางก็ได้ หรือจะพูดว่าเขาตกหลุมรักนางรอบแล้วรอบเล่าก็ได้เช่นกัน แบบนี้แล้วจะไม่ให้เขาหน้าแดงได้อย่างไร "เป็นเจ้าที่ทำเสน่ห์ใส่ข้า!" เหรินโยว่หลุนพ่ายมือไปข้างหลังกำผ้าคลุมแน่น รีบตีหน้านิ่งไม่เผยความในใจ "หือ? ท่านพูดเช่นนี้หากคนนอกได้ยินเข้า ข้าไม่กลายเป็นนางมารหรือ" จูมี่เอินที่ถูกชาวบ้านประณามมาตลอดว่าเป็นปีศาจบ้าง ตัวหายนะบ้าง หากแต่เมื่อโดนสามีพูดว่าเช่นนั้นกลับไม่รู้สึกอะไร อีกทั้งยังแอบหัวเราะชอบใจเบาๆ "ยามนั้นก็คงต้องโทษกบฏหรือไม่?" นางหัวเราะแผ่วเบา มองดูคนที่ยืนเอียงข้างไม่ยอมหันมามองนางตรงๆ "ใครกล้าว่าเจ้าเช่นนั้นข้าจะจับตัดลิ้นเสีย!" เหรินโยว่หลุนหันมามองภรรยาทำสีหน้าจริงจัง พอหันกลับมาก็พบคนที่ตนเพิ่งตบแต่งมากำลังนั่งอมยิ้มมองมาที่เขาอยู่ หน้าก็แดงขึ้นมาอีกรอบ "อะฮื่มๆ ภรรยา ดื่มสุรามงคลกันเถิด" เขาแกล้งตีห
วันสถาปนา กัวเจียงมิ่งยืนอยู่รวมกับผู้คนสองฟากฝั่งของทางเดินในงานพิธี ดวงตาคู่คมมองสตรีตัวเล็กที่แต่งชุดเต็มยศ บนหัวเล็กๆ นั้นประดับไปด้วยเครื่องหัวหลากชิ้น ท่าทางการเดินที่มั่งคง ใบหน้าที่เรียบนิ่งแต่เป็นมิตร อาภรณ์สีแดงสดที่นางสวมคือลายหงษ์ปักด้วยด้ายทอง พอเห็นลูกศิษย์ใส่ชุดนี้แล้วก็นึกถึงวันแรกที่เจอกัน ยามนั้นเด็กน้อยก็สวมชุดสีแดงอยู่บนหลังของอาชาตัวใหญ่ คนตัวเล็กควบม้ามาหานางที่ลอยน้ำมาติดอยู่ข้างทาง กระโดดลงจากม้าด้วยความคล่องแคล่ว ออกแรงลากนางให้ห่างจากแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว "แม่นาง แม่นางทำใจดีๆ ไว้ ข้าจะช่วยท่านเอง" นั่นคือคำที่จูมี่เอินกล่าวกับนางในครั้งแรกที่เจอกัน กัวเจียงมิ่งคิดว่าตนจะตายอยู่ที่นั่นเสียแล้ว นางได้รับบาดเจ็บมีแผลหลายแห่งแล้วพลัดตกน้ำมาไกล อีกทั้งที่ซึ่งนางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากแม่น้ำนั้นก็ห่างไกลไร้ผู้คน แถมทางด้านหน้าที่สตรีชุดแดงควบม้าผ่านมายังมีต้นไม้และหญ้าหนาทึบ ต่อให้มีคนผ่านมาก็ไม่น่ามองเห็นนาง ทว่าสตรีตัวเล็กผู้นี้มาจากไหนไม่รู้ ราวกับตั้งใจมาหานางโดยเฉพาะ คนตัวเล็กสั่งม้าให้นั่งลงแล้วยกนางที่ตัวใหญ่กว่าให้ขึ้นไ
"เพราะนางคือหัตถ์เซียน นามเดิมของอาจารย์คือกู่เฟยเซียน" จูมี่เอินได้รู้ความลับนี้ผ่านการมองเห็นของนางในช่วงจังหวะหนึ่งหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กับอาจารย์มาสักพักแล้ว หลอมรวมกับที่เคยสังเกตการณ์ดูก็พบว่ากัวเจียงมิ่งนั้นสามารถทำให้คนเจ็บหายป่วยได้ในเร็ววันกว่าที่ตำราบอกไว้มากนัก "ตอนเด็กข้าเคยอ่านเจอเกี่ยวกับคนที่มีพลังวิเศษเหนือคนทั่วไป นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสความรู้สึกดีอย่างหนึ่งว่าตนเองไม่ใช่คนที่แตกต่างจากคนอื่น ยังมีอีกหลายคนที่คล้ายกันกับข้า คราแรกที่ได้อ่านข้าสะดุดชื่อของนางและความสามารถของนางเป็นที่สุด ตอนที่ได้เจอกันข้ายังไม่รู้ว่านางคือคนที่ข้าเคยอ่านเจอในตำรา แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งในนิมิตร ข้าเห็นคนเจ็บและคนผู้นั้นไม่รอด ข้าพยายามเปลี่ยนนิมิตร ต่อมาจึงเกิดนิมิตรใหม่ขึ้น ในนิมิตรที่สองข้าไปช่วยคนเจ็บไว้แล้วพามาให้นางรักษา คนที่ไม่น่ารอดก็สามารถรอดได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะข้าหาของไปขวางทางไว้ก่อนที่คนผู้นั้นจะเดินทางผ่านถนนเส้นหนึ่งซึ่งจะมีต้นไม้โค่นลงมาใส่เขา ภายหลังพอจับสังเกตดูและแน่ใจแล้วก็ลองถามท่านอาจารย์ออกไป นางก็เลยเล่
...... วันต่อมาก็ได้เวลาเดินทางกลับวังหลวง รอบนี้มีอาจารย์และโม่โฉวติดตามกลับไปร่วมงานสถาปนาด้วย นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีคนเจ็บอีกคนที่ต้องพาเขากลับไปส่งบ้าน ซึ่งเป็นทางผ่านพอดี ที่รถม้าคันหน้า "กัวเจียงมิ่งท่านมายืนทำอะไรหน้ารถม้าผู้อื่น" เหรินโย่วหลุนเอามือพ่ายหลัง หันมองไปที่อื่น แสดงท่าทางวางอำนาจเต็มที่ แผ่รังสีความเป็นฮ่องเต้ที่มีมาแต่กำเนิดออกไปโดยรอบเพื่อกดดันสตรีชุดฟ้าหน้าไม่อายข้างกาย "สตรีก็ต้องนั่งไปกับสตรีด้วยกันสิ นู้น บุรุษไปขึ้นคันหลัง" กัวเจียงมิ่งเลียนแบบท่าทางเหรินโย่วหลุน นางหมุนตัวเอาหลังหันให้รถม้า ยืนเคียงข้างคนตัวสูงที่สูงเกือบเท่ากันแถมมือพ่ายหลังและหันหน้าไปทางเดียวกัน "สตรีหรือ? ท่านเหมือนสตรีตรงไหนกัน" รถม้าคันหลังนั้นมีคนเจ็บขึ้นไปก่อนแล้วและมีโม่โฉวเป็นคนคุมม้า ความจริงเขาก็ไม่ติดอะไรแม้รถม้าเก่ามากและจะต้องนั่งไปกับราษฎรของตนเอง แต่ที่นั่นไม่มีทั้งภรรยาไม่มีทั้งบุตรชาย เขาจึงไม่อยากไปนั่ง เขาห่างจากภรรยามาถึงสองปีแล้ว ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันก็ยังคิดว่ายังไม่พออยู่ดี ยามนี้ยังต้องมานั่งแยกกันอีกเกือบสามวัน ยังไงเขาก็ไม่ยอม "เห
"เดี๋ยว! ท่านจะทำอันใด?" จูมี่เอินรีบเอาตัวไปยืนขวางโม่โฉวไว้ "เจ้าปกป้องเขา?" เหรินโย่วหลุนแทบไม่อยากเชื่อ "อย่าบอกนะว่าเขาเป็นพ่อของเด็กคนนั้น" ทั้งที่ได้ยินเต็มสองหูแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะถามย้ำให้แน่ใจอีกรอบ "ใช่...อย่า!" จูมี่เอินเห็นเหรินโย่วหลุนยกมือสั่งฟางอี้ให้เข้ามาทางโม่โฉวนางก็รีบเบี่ยงตัวปิดคนด้านหลังไว้มากกว่าเดิม "เขาเป็นพ่อบุญธรรม เป็นพ่อบุญธรรม!" ก่อนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นนางรีบพูดต่อให้จบประโยค เพราะไม่คิดว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เข้าใจจริงๆ ตอนนั้นฟางอี้ก็หยุดเท้าลงพอดี พร้อมกับเก็บมีดลับที่ดึงออกมาจากไหนไม่รู้กลับไป เพราะการเดินทางฮองเฮาบอกไม่ให้สะดุดตา จึงต้องเก็บดาบที่ใช้ประจำไว้ในรถม้า แต่เขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ย่อมไม่อาจปล่อยปะละเลยความปลอดภัยของฮ่องเต้ได้ จึงได้พกมีดสั้นที่ยาวจนถึงข้อศอกซ่อนไว้ในกายด้วย "?!" เหรินโย่วหลุนเลิกคิ้วขึ้นสูง ตอนที่ได้ยินจูมี่เอินบอกว่านั่นเป็นลูกนางเขาก็คาดเดาไปหลายอย่าง คิดว่าอาจเป็นลูกของเขาแต่เพราะท่าทางที่สนิทสนมของภรรยากับคนผู้นั้นดูไม่ปกติ แถมเด็กน้อยก็เรียกคนด้านหลังว่าท่านพ่อ แล้วภรรยาก็ดันมาบอกอีกว่
....... "เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดหรือ" "ใช่แล้ว" จูมี่เอินยกกาชามาวางที่โต๊ะน้ำชา นั่งลงแล้วรินชาให้สามีก่อนจะรินให้ตัวเองทีหลัง "นี่ก็เป็นชาที่ข้าดื่มตลอดสองปีเช่นกัน ไม่หอมมาก หากแต่เมื่อลองได้จิบทีละนิดและมองออกไปที่ป่าไผ่ ต่อจากนั้นค่อยๆ หลับตาฟังเสียงลมที่กระทบผ่านไป ก็พอที่จะทำให้ชารสชาติธรรมดาเช่นนี้พิเศษขึ้นมามากกว่าเดิม ชนิดที่ว่าต่อให้หาที่ไหนก็หาไม่ได้อีกแล้ว" จูมี่เอินยกจอกชาขึ้นมาจิบทำท่าหลับตาพลางพูดอธิบายไปด้วย "..." เหรินโย่วหลุนก็ลองทำตาม จิบชามองป่าไผ่ หลับตาและฟังเสียงลมที่กระทบกับใบของต้นไผ่ "สงบยิ่งนัก" แถมยังได้กลิ่นของธรรมชาติที่สดชื่นลอยมาตามลมด้วย จูมี่เอินเองสองปีกว่าที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีเวลาว่างมานั่งจิบชาและได้ใช้เวลาอยู่กับตนเอง เมื่อจิบชาไปด้วยแล้วได้มองป่าไผ่ ทั้งที่ทำให้รู้สึกสบายใจแต่กลับทำให้นางนึกถึงสามีทุกครั้ง หลังจากที่มานั่งจิบชาคนเดียวทีไรต่อมานางก็จะต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองได้มีเวลาคิดถึงเขาอีก ช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขแต่ก็เศร้าใจในคราเดียว "เสียดายที่ไม่มีท่านอยู่ที่นี่" จูมี่เอินเอ่ยความรู้สึกออกมาจากใจจริง ลืมตาข
....... การเดินทางด้วยรถม้าเพื่อมาที่หมู่บ้านตงนั้นใช้เวลาเกือบสามวันเพราะมีแวะพักบ้าง ไม่เหมือนกับตอนแรกที่เหรินโย่วหลุนเร่งเดินทางอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแบกภรรยากลับวังในตอนนั้น แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเกินที่คาดการณ์ไว้พวกเขาก็มาถึง หน้าโรงหมอกัว หมู่บ้านตง "แปลกจัง..." จูมี่เอินที่ถูกเหรินโย่วหลุนประคองลงรถม้ามาก็มองไปที่รั้วไม้ไผ่ของโรงหมอซึ่งถูกเปิดแง้มไว้ "มีอะไรผิดปกติหรือ?" เหรินโย่วหลุนถามพลางยกมือขึ้นในระดับหัว เตรียมจะส่งสัญญาณให้องครักษ์เงาของตนที่แอบอยู่รอบตัวบุกเข้าไปด้านใน "เดี๋ยว!" ดีที่จูมี่เอินสังเกตทัน รีบยกมือดึงแขนของเขาลงทันที พอห้ามคนสั่งการได้แล้วนางก็ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา เกือบเป็นเรื่องไปเสียแล้ว "ข้าแค่แปลกใจเล็กน้อย อาจารย์ปกติมักจะเอาแต่นั่งดื่มชามองต้นไผ่อยู่ที่โต๊ะน้ำชาตรงนั้นและไม่ค่อยเปิดรั้วทิ้งไว้ แต่บางทีนางอาจไปพักด้านในแล้วก็ได้" "อ่อ..." เหรินโย่วหลุนลากเสียงยาว ที่แท้นอกจากปากเสียแล้วก็ไม่ทำอะไรนอกจากจิบชาสินะ เป็นคนที่ขี้เกียจเสียจริง จูมี่เอินเปิดประตูเข้าไปด้วยความเคยชินและออกตัวเดินนำไปก่อน เมื่อได้กลับมา
....... รถม้าเดินทางออกจากวังแล้ว จูมี่เอินเลือกรถม้าที่ดูธรรมดาที่สุดแต่ก็ยังถือว่าค่อนข้างเตะตาไม่น้อย การเดินทางรอบนี้มีเพียงฟางอี้ที่เป็นคนขับรถม้าตามมาด้วยเท่านั้น เพราะจูมี่เอินไม่อยากให้สะดุดตา แต่นางก็รู้ว่าสามีได้เตรียมองครักษ์เงาให้ตามอยู่ห่างๆ แล้ว "ข้างนอกคึกคักยิ่งนัก" จูมี่เอินเลิกม่านมองดูเมืองหลวงที่ตนไม่ได้กลับมานานถึงสองปี ตื่นเต้นจนถึงขั้นเกาะขอบหน้าต่างดูเหมือนเด็กน้อยที่ไม่เคยออกจากบ้าน "อดีตผู้สำเร็จราชการแทนทำงานได้ดี" เหรินโย่วหลุนยามนี้ใส่ชุดสีเขียวอ่อนกำลังนั่งกอดอกพิงพนักที่นั่งและมองดูด้านนอกรถม้าเช่นกัน ตอนนี้คือยามอู่[1] ผู้คนเลยสัญจรไปมาค่อนข้างมาก ของขายข้างทางก็มีไม่น้อย เหรินโย่วหลุนเองก็รู้สึกแปลกตาเช่นกัน แต่ก็รักษาท่าทีสุขุมไว้ ([1] ยามอู่ 11.00 น. -12.59 น.) "..." จูมี่เอินนิ่งไปสักพักเมื่อเห็นสตรีงดงามผู้หนึ่งเดินเคียงมากับบุรุษที่เหมือนจะคุ้นหน้าก็ขมวดคิ้วมอง "อาหลุน คนนั้นไม่ใช่...ฟู่เจาหยางกระมัง" "..."เหรินโย่วหลุนทันทีที่ได้ยินชื่อบุรุษอื่นออกจากปากของภรรยาก็หรี่ตาลงด้วยความไม่สบอารมณ์ ขยับเอนตัวไปมองผ่านศีรษะขอ
ตอนพิเศษ 1 หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป เหรินโย่วหลุนเห็นถิงถิงวิ่งเข้ามาขอเข้าเฝ้าหน้าตื่นก็ลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา ด้วยวางใจว่าตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ภรรยาดูท่าตกลงปลงใจจะอยู่กับเขาไม่หนีไปไหนอีก เขาจึงกลับมาทำงานดังเดิม แต่ท่าทางของถิงถิงก็ทำกังวลขึ้นมา เหรินโย่วหลุนไม่แม้แต่จะรอเรื่องที่ถิงถิงได้รายงานก็รีบวิ่งออกจากห้องทรงงานของตนไปแล้ว เป็นดังคาด เมื่อเข้ามาถึงที่ห้องก็พบว่าภรรยากำลังเก็บเสื้อผ้าอยู่ "มี่เอิน เจ้าจะไปไหน!!!" เหรินโย่วหลุนตะโกนลั่นตำหนัก ดังไปไกลหลายจั้ง[1] ทำเอาคนที่กำลังหันหลังจัดห่อผ้าอยู่สะดุ้งเฮือก "อาหลุน..." คนตัวเล็กหันมาเรียกหาเขาเสียงเบา ตอนแรกยังยกยิ้มตาหยีส่งไปเพื่อระงับโทสะของอีกฝ่าย หากแต่เมื่อเห็นสามีเดินหน้าตั้งเข้ามาหาด้วยใบหน้าโกรธขึงนางก็หุบยิ้มลง หมุนกายรีบปีนหนีขึ้นเตียงไป ด้วยความตัวเล็กท่าทางตอนหนีเลยดูเหมือนกระต่ายน้อยกำลังกระโดดไปมา "ท่าน ท่าน! ใจเย็นก่อน" นางร้องเสียงหลง ไต่ตัวเข้าไปด้านในสุดของเตียง แต่พบว่าตนเองตัดสินใจผิดเสียแล้ว นอกจากทางที่เพิ่งขึ้นมาเมื่อครู่ รอบด้านก็ไม่มีทางให้หลบหนีอีก "จะหนีไปไหนอีก" เ
จูมี่เอินยืนนิ่ง จ้องมองบานประตูตำหนักของเหรินเยว่เทียนเพราะเพิ่งโดนไล่ออกมา ก่อนจะหันมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของตน เอาเถอะ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังโดนไล่ออกมา นางเองก็ควรปล่อยให้เหรินเยว่เทียนได้พักผ่อน จูมี่เอินจึงคิดจะกลับตำหนักของตนเอง "จะไปที่ใด?" เหรินโย่วหลุนเพียงแค่เห็นภรรยาขยับกายก็เอ่ยปากถามอีกรอบ วันนี้เขาพูดประโยคนี้ไปกี่ครั้งแล้วก็ไม่อาจนับได้ครบ "กลับตำหนัก" ความจริงแล้วเหรินโย่วหลุนไม่น่าถาม ที่ที่จูมี่เอินจะไปก็มีแค่ตำหนักของตนเองเท่านั้น หรือในตอนนี้ก็คือตำหนักบรรทมของฮ่องเต้นั่นเอง เพราะเขาไม่ยอมให้นางย้ายไปอยู่ที่ตำหนักในวังหลังเหมือนเมื่อก่อน กฏวังหลังถูกเขาเมินไปเสียแล้ว ครั้นพอได้นึกถึงก็คิดว่าที่แห่งนั้นยามนี้ต่อให้ไม่เหมือนในนิมิตรที่ถูกรื้อจนไม่เหลือเค้าเดิม แต่ก็คงเงียบเหงาไม่ต่างกัน พอคนตัวเล็กเดินนำ เหรินโย่วหลุนก็เดินตาม "..." ระหว่างทางเขาก็มองท้องฟ้า ยังไม่มืด หันมองภรรยาที่ร่างกายยังไม่หายดีจากรอยช้ำที่เขาทำไว้ก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ หากรู้ว่าเรื่องจะมาถึงยามที่เขาและนางสามารถกลับมาอยู่ด้วยกันได้ปกติโดยที่นางไม่คิดหนีไปอีก หลายวันที่