"..." เหรินโยว่หลุนตกใจ นางรู้ได้ยังไง! ไม่ผิดตอนที่ผ้าเปิดออกเมื่อครู่หัวใจเขาเต้นผิดจังหวะจนแทบจะคุมไม่อยู่ ดวงหน้าเล็กที่งดงามเมื่อแต่งแต้มสีสันเข้าไปกลับยิ่งน่ามอง อีกทั้งดวงตากระจ่างใสของนางก็ทำให้คนจิตใจปั่นป่วนขึ้นมาได้ จะเรียกว่าเป็นความหลงไหลในตัวนางก็ได้ หรือจะพูดว่าเขาตกหลุมรักนางรอบแล้วรอบเล่าก็ได้เช่นกัน แบบนี้แล้วจะไม่ให้เขาหน้าแดงได้อย่างไร "เป็นเจ้าที่ทำเสน่ห์ใส่ข้า!" เหรินโยว่หลุนพ่ายมือไปข้างหลังกำผ้าคลุมแน่น รีบตีหน้านิ่งไม่เผยความในใจ "หือ? ท่านพูดเช่นนี้หากคนนอกได้ยินเข้า ข้าไม่กลายเป็นนางมารหรือ" จูมี่เอินที่ถูกชาวบ้านประณามมาตลอดว่าเป็นปีศาจบ้าง ตัวหายนะบ้าง หากแต่เมื่อโดนสามีพูดว่าเช่นนั้นกลับไม่รู้สึกอะไร อีกทั้งยังแอบหัวเราะชอบใจเบาๆ "ยามนั้นก็คงต้องโทษกบฏหรือไม่?" นางหัวเราะแผ่วเบา มองดูคนที่ยืนเอียงข้างไม่ยอมหันมามองนางตรงๆ "ใครกล้าว่าเจ้าเช่นนั้นข้าจะจับตัดลิ้นเสีย!" เหรินโยว่หลุนหันมามองภรรยาทำสีหน้าจริงจัง พอหันกลับมาก็พบคนที่ตนเพิ่งตบแต่งมากำลังนั่งอมยิ้มมองมาที่เขาอยู่ หน้าก็แดงขึ้นมาอีกรอบ "อะฮื่มๆ ภรรยา ดื่มสุรามงคลกันเถิด" เขาแกล้งตีห
"ข้าย่อมจำได้" จูมี่เอินขยับกายหันไปมองคนข้างตัว ใบหน้ายังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มบางเบา ดวงตาที่เป็นประกายไร้ความกังวล งดงามราวกับท้องนภายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ นางยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าของสามี ไล่นิ้ววาดไปที่คิ้วได้รูปของเขา ไล่ไปที่ดวงตา ก่อนจะเลื่อนลงไปที่คาง "ความสง่างามของท่าน และดวงตาคู่นี้ ข้าไม่เคยลืม" ความจริงนางเจอเขาก่อน เจอเขาในนิมิตร ทว่าเพียงแค่ครู่เดียวก็ได้เจอตัวจริงในเวลาต่อมา แต่เรื่องนี้นางถือว่าได้เปรียบแล้วหรือไม่ "..." เหรินโยว่หลุนพยายามกลั้นยิ้ม หัวใจรู้สึกถึงรสชาติความหวานสายหนึ่ง ไม่ใช่เกิดจากการลิ้มรสโดยตรง หากแต่เป็นความรู้สึกทางใจที่เกิดจากการได้ยินประโยคเมื่อครู่ของนาง คำพูดที่เคยบอกว่านางซื่อบื้อ ขอถอนคำนั้นทิ้งไปได้หรือไม่ นางซื่อบื้อเรื่องความรักระหว่างบุรุษและสตรีก็จริง แต่กลับสามารถทำให้ผู้อื่นหลงจนหัวปรักหัวปรำ ไม่สามารถหาทางออกได้เจอ ด้วยคำพูดไม่กี่คำของนางเขาก็พร้อมมอบทุกอย่างให้นางทั้งหมด ไม่มีคำบอกรัก แต่หวานล้ำเกินจะต้านไหว "ใครจะคิดว่าจะได้เจอท่านอีก" พอพูดออกมาก็คิดไปถึงเรื่องราวมากมายที่ผ่านมาด้วยกัน เหมือนเป็น
"..." เหรินโยว่หลุนยกยิ้มนางพูดเช่นนี้ช่างเข้าทางเขาเสียจริง ไม่มีสิ่งใดที่เขาต้องการแล้วไม่ได้ ยามนี้ก็สามารถต้อนนางให้จนมุมได้แล้ว เขาก็ยกมือขึ้นมากวักมือเรียกนางมาหาตนเอง "มานี่สิ" "..." จูมี่เอินเริ่มคิดไปแล้วว่านางตัดสินใจถูกหรือไม่ รู้สึกหวาดหวั่นในใจแปลกๆ แต่ก็ไม่อาจหนีไปได้อีกแล้ว นางขยับตัวเข้าไปหาเขา "เข้ามาอีก นั่งทับบนขาของข้า" เห็นท่าทางลังเลของนาง เขาก็รีบเร่งกลัวนางกลับคำ อย่าแม้แต่จะคิดที่จะเปลี่ยนใจเลยแม่กระต่ายน้อยของข้า เหรินโยว่หลุนตบมือไปที่ขาของตนเอง พอพูดจบก็เห็นคนตัวเล็กขยับเข้ามาหาเขา นั่งทับขาของเข้าไว้ตามที่เขาบอก "เดี๋ยวข้าช่วยเจ้าถอดชุดนะ" "อะ อืมๆ" จูมี่เอินเองก็ขยับมือช่วยเขาเช่นกัน เมื่อก่อนนางเคยสวมแค่อาภรณ์ธรรมดาบ้านๆ ชุดงานแต่งเช่นนี้ถึงพอจะมองออกว่าถอดยังไงแต่ก็ยังค่อนข้างด้อยประสบการณ์อยู่ดี ยามนี้มีคนมาช่วยถอดควรดีใจหรือเสียใจดี "อ่ะ" นั้นไง ถอดไม่ถอดเปล่าแค่จับคอเสื้อของนางเปิดออกได้ก็กัดมาที่คอของนางเสียแล้ว "อื้อ" เหรินโยว่หลุนส่งเสียงพอใจในลำคอ แม้มือเล็กจะยกขึ้นดันตนเอง แต่เหรินโยว่หลุนกลับไม่ยอมถอยกลับไป เข
"ท่าน อึก" นางอยากจะต่อว่าเขานัก แต่ก็พูดไม่ออก ทำได้แค่บีบไหล่เขาแน่นขึ้นเพื่อลงโทษเขา ด้านในตัวนั้นแน่นไปหมด ผ่านไปสักพักถึงได้พอจะพูดได้บ้าง "ต่อไปถ้าท่านไปหาสนมอื่นมาข้าก็จะไม่ว่า" "ภรรยา...ข้าจะมีแค่เจ้า" เหรินโยว่หลุนรู้ว่านางกำลังโกรธ เขาดันท้ายทอยของจูมี่เอินให้ใบหน้าของนางขยับเข้ามาใกล้ๆ แล้วประกบปากลงไปจูบปลอบโยนนางแผ่วเบา ก่อนจะเปลี่ยนไปจูบซับน้ำตาที่หางตาให้นาง ไล่ดอมดมแก้มนวลเนียนไปยังคอระหงที่ถูกเขาทำร่องรอยไว้ "อย่าโกรธข้าเลยนะ อย่าไล่ข้าเลย" "อืม" จูมี่เอินรับคำในคอ ค่อยใจเย็นลง ได้ยินน้ำเสียงน่าสงสารเช่นนั้นของเขาใครจะไล่เขาได้ลงกันเล่า คนตัวเล็กกลับไม่ได้รู้เลยว่าถูกเหรินโยว่หลุนหลอกเข้าให้เต็มเปา ทันทีที่นางตอบรับก็เข้าทางของคนเจ้าเล่ห์เสียแล้ว "ขยับตัวขึ้นลงที" เหรินโยว่หลุนสัมผัสไปที่สะโพกของคนบนตัวเมื่อรู้ว่านางเริ่มชินแล้ว "อ่าส์" ร่างบางเพียงแค่ขยับขึ้นก็เผลอร้องออกมาแล้ว "อื้ม" พอขยับลงความว่างเปล่าที่หายไปก็ถูกอัดแน่นเข้าไปใหม่อีกครั้ง "อ่าส์" เหรินโยว่หลุนไม่คิดว่าจะรู้สึกดีขนาดนี้ ช่างแตกต่างจากตอนที่เป็นคนกระทำเอง แต่เขาก
ก่อนหน้านั้นในระหว่างที่ทำแผลก็เฝ้ามองดูภรรยา ไม่เห็นนางปริปากพูดอันใดก็อยากเข้าไปนั่งในหัวน้อยๆ ของนางยิ่งนักเพราะท่าทีของนางนั้นสงบนิ่งราวกับกลับไปเป็นเหมือนตอนเจอกันครั้งแรกๆ ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่านางโกรธหรือไม่ หรือว่าในหัวน้อยๆ นั้นกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ แต่ที่รู้ๆ นางก็ดูเป็นห่วงเขาไม่น้อย แต่แล้วเขาก็เหมือนจะเพิ่งนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ "ฝ่าบาทต้องการอะไรเพคะ?" จูมี่เอินเห็นร่างสูงขยับลงจากเตียง คล้ายจะลุกเดินไปไหนก็ถามขึ้น "ภรรยาช่วยข้าแต่งตัวที วันแรกหลังแต่งงานเจ้าต้องไปไหว้แม่สามี" ถึงจะยังเจ็บแผลอยู่แต่ก็ไม่อาจทำให้ภรรยาถูกมองไม่ดีได้ การไปไหว้แม่ฝั่งสามีในวันแรกนั้นจำเป็นมาก จูมี่เอินรีบเข้าไปช่วยประคองฮ่องเต้ไว้ รู้สึกประหม่าขึ้นมา ตั้งแต่นางเข้าวังมาไม่เคยได้พบไทเฮาเลยสักครั้ง แม้แต่ก่อนแต่ง หรือกระทั่งยามกราบไหว้ตอนทำพิธีก็เห็นแค่รองเท้าของไทเฮาเท่านั้น ได้ยินว่าไทเฮาค่อนข้างเก็บตัวจึงออกมาพบผู้คนน้อยมาก อีกทั้งมีเรื่องหนึ่งที่นางกังวลมาตลอด... จูมี่เอินพยายามสลัดความกังวลออกไป มองดูที่ท้องของคนตัวสูงที่เพิ่งได้รับการทำแผลมาใหม่ "ฝ่าบาทอย่า
คนที่พวกนางต่างเฝ้าถวิลหา ต่างรอคอย กลับเดินเคียงคู่มากับหญิงสาวนางหนึ่งที่ไร้บรรดาศักดิ์ แม้หน้าตาของนางจะงดงามอยู่บ้าง หากแต่สนมที่อยู่ในที่นี้มีใครไม่งดงามบ้างล่ะ นางมีอะไรให้น่าสนใจกันนัก ถึงขั้นที่ฮ่องเต้ทรงเลือกนางมาด้วยตนเอง ยิ่งพอได้รู้ว่าเมื่อวานฮ่องเต้ทรงทิ้งงานเลี้ยงวิ่งเข้าห้องหอทั้งที่ยังไม่ถึงฤกษ์ยามก็ต่างพากันอิจฉา พอรุ่งอรุณมาเยือนพวกนางก็มาฟ้องไทเฮาเรื่องนี้ทันที ตลอดมาต่างคิดว่าฮ่องเต้เป็นดั่งข่าวลือที่ว่ารักชอบบุรุษด้วยกัน บัดนี้เล่า ท่าทางที่เขามองหญิงสาวข้างตัวนั้นคืออันใดกัน อีกทั้งยังแทบจะอุ้มนางเดินอยู่แล้ว มือหนึ่งประคองเอวมือหนึ่งจับมือกันไว้ ไม่เกินงามไปหน่อยหรือ ใช่ แน่นอนว่าพวกนางต่างอิจฉา อยากให้ฝ่าบาทแสดงท่าทีเกินงามเช่นนั้นกับพวกนางบ้าง สนมบางคนแต่งเข้ามาแทบไม่เคยได้พบหน้าฮ่องเต้สักครั้ง คนเก่าๆ ที่เข้ามาในวังหลังก่อนใครจะได้เห็นพระพักตร์ของฮ่องเต้แค่ยามที่จัดงานเลี้ยงครั้งใหญ่ของวังเท่านั้น ตอนนี้สนมที่ไม่เคยเห็นพระพักตร์ของฮ่องเต้หนุ่มมาก่อนพอได้เห็นก็ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ถูกรูปโฉมของอีกฝ่ายพาให้หลงมัวเมาและจินตนาการว่าตนคือคนที่เดิ
"..." ส่วนเหรินโยว่หลุนนั้นก็ยังไม่พอใจอยู่บ้าง และคิดว่าจะไม่ให้จูมี่เอินมาหาไทเฮาเพียงลำพังอีก เกรงว่าสนมเหล่านี้คงไม่พลาดที่จะต้องตามมาหาเรื่องเป็นแน่ ถึงจะคาดเดามาแต่เช้าแล้วก็ตาม เมื่อมาเจอกับตาตนเองก็หงุดหงิดไม่ใช่น้อย ถ้าไม่มีเขาภรรยาตัวน้อยที่แม้จะฉลาดอยู่บ้างก็อาจจะโดนรังแกได้ ภรรยานั้นมีรากฐานที่ธรรมดา สนมที่มาจากบ้านขุนนางยังไงก็คงหาเรื่องมากดขี่ภรรยาของเขา ภรรยายิ่งพูดน้อยอีกทั้งยังชอบเก็บความรู้สึก ยามโดนรังแกก็คงไม่เอ่ยปากบอกเขาแม้ครึ่งค่ำ เขาต้องหาทางกันไว้เสียก่อน "หากพิธีเสร็จสิ้นแล้วก็จะไม่รั้งอยู่รบกวนไทเฮาอีก ขอตัว" เหรินโยว่หลุนพูดจบก็จับจูมี่เอินที่กำลังย่อตัวลาไทเฮาประคองออกไปไม่สนใจใครอีก "ทูลลาเพคะ..." จูมี่เอินที่ยังไม่ทันย่อตัวเอ่ยปากลาถูกประคองออกไป นางทำได้เพียงส่งสายตาขอโทษไปยังไทเฮาที่เสียมารยาท จากนั้นจึงรีบสาวเท้าเดินให้ทันคนข้างตัว เขาแทบจะยกนางลอยบนพื้นอยู่แล้ว พอพ้นจากในตำหนักออกมาจูมี่เอินจึงกล่าวว่า "ฝ่าบาททรงช้าลงหน่อยเถิด รีบร้อนไปที่ใดกัน" เห็นว่าวันนี้ไม่มีว่าราชการเขาจะรีบไปไหนอีก "รีบออกจากตรงนี้ก่อน ข้าไม่ชอบที่สนมพวกนั้
ผ่านไปหลายวันแล้ว ทางด้านสนมกูแม้จะพอใจมากที่ได้รู้ว่าสนมจูถูกย้ายมาที่ตำหนักของวังหลังไม่ได้อยู่ที่ห้องบรรทมของฝ่าบาทแล้ว แถมยังได้รู้มาอีกว่าหลังจากย้ายมาฮ่องเต้ก็ไม่เสด็จมาหาสนมจูอีกเลยก็ยิ่งสมใจอยากขึ้นไปใหญ่ สนมในวังหลังไม่มีใครผูกมัดความพอใจของฮ่องเต้ไว้ได้ สนมจูเองก็เช่นกัน! น่ายินดีนัก แต่นางจะปล่อยให้คนไร้หัวนอนปลายเท้ามาอยู่ในวังหลังก็คงจะไม่ใช่นางเป็นแน่ คำเล่าลือในวังหลังที่ว่าสนมจูเป็นไก่ฟ้าได้เป็นหงษ์ก็ถูกปัดตกไป ไก่ก็ยังเป็นไก่อยู่วันยังค่ำ วันนี้นางเลยถือโอกาสมาเยี่ยมหญิงสาวผู้อาภัพผู้นี้เสียหน่อย ว่ากันว่าสนมจูไม่เคยออกมาจากตำหนักเลย จะพบสนมจูข้างนอกคงเป็นไปได้ยาก สนมกูที่กล้าจะบุกไปหาฮ่องเต้ที่บ่อน้ำพุร้อนในวันนั้นก็ย่อมต้องกล้ามาหาสนมจูถึงตำหนักอยู่แล้ว "พระสนมกูมาขอพบเพคะ" ถิงถิงมารายงาน ส่วนเพยเพยนั้นหายตัวออกไปแล้ว "ให้นางเข้ามาเถอะ" จูมี่เอินไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาด้วยเหตุอันใด แต่การไม่ต้อนรับหรือปฏิเสธไปก็ไม่ใช่เรื่องดี จึงวางหนังสือในมือลงแล้วยืนรออีกฝ่ายเข้ามาหา ยังไงตนเองก็มาทีหลังควรให้เกียรติผู้อื่นอยู่แล้ว "พระสนมกู" จูมี่เอินทักทายอีกฝ่าย
วันสถาปนา กัวเจียงมิ่งยืนอยู่รวมกับผู้คนสองฟากฝั่งของทางเดินในงานพิธี ดวงตาคู่คมมองสตรีตัวเล็กที่แต่งชุดเต็มยศ บนหัวเล็กๆ นั้นประดับไปด้วยเครื่องหัวหลากชิ้น ท่าทางการเดินที่มั่งคง ใบหน้าที่เรียบนิ่งแต่เป็นมิตร อาภรณ์สีแดงสดที่นางสวมคือลายหงษ์ปักด้วยด้ายทอง พอเห็นลูกศิษย์ใส่ชุดนี้แล้วก็นึกถึงวันแรกที่เจอกัน ยามนั้นเด็กน้อยก็สวมชุดสีแดงอยู่บนหลังของอาชาตัวใหญ่ คนตัวเล็กควบม้ามาหานางที่ลอยน้ำมาติดอยู่ข้างทาง กระโดดลงจากม้าด้วยความคล่องแคล่ว ออกแรงลากนางให้ห่างจากแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว "แม่นาง แม่นางทำใจดีๆ ไว้ ข้าจะช่วยท่านเอง" นั่นคือคำที่จูมี่เอินกล่าวกับนางในครั้งแรกที่เจอกัน กัวเจียงมิ่งคิดว่าตนจะตายอยู่ที่นั่นเสียแล้ว นางได้รับบาดเจ็บมีแผลหลายแห่งแล้วพลัดตกน้ำมาไกล อีกทั้งที่ซึ่งนางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากแม่น้ำนั้นก็ห่างไกลไร้ผู้คน แถมทางด้านหน้าที่สตรีชุดแดงควบม้าผ่านมายังมีต้นไม้และหญ้าหนาทึบ ต่อให้มีคนผ่านมาก็ไม่น่ามองเห็นนาง ทว่าสตรีตัวเล็กผู้นี้มาจากไหนไม่รู้ ราวกับตั้งใจมาหานางโดยเฉพาะ คนตัวเล็กสั่งม้าให้นั่งลงแล้วยกนางที่ตัวใหญ่กว่าให้ขึ้นไ
"เพราะนางคือหัตถ์เซียน นามเดิมของอาจารย์คือกู่เฟยเซียน" จูมี่เอินได้รู้ความลับนี้ผ่านการมองเห็นของนางในช่วงจังหวะหนึ่งหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กับอาจารย์มาสักพักแล้ว หลอมรวมกับที่เคยสังเกตการณ์ดูก็พบว่ากัวเจียงมิ่งนั้นสามารถทำให้คนเจ็บหายป่วยได้ในเร็ววันกว่าที่ตำราบอกไว้มากนัก "ตอนเด็กข้าเคยอ่านเจอเกี่ยวกับคนที่มีพลังวิเศษเหนือคนทั่วไป นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสความรู้สึกดีอย่างหนึ่งว่าตนเองไม่ใช่คนที่แตกต่างจากคนอื่น ยังมีอีกหลายคนที่คล้ายกันกับข้า คราแรกที่ได้อ่านข้าสะดุดชื่อของนางและความสามารถของนางเป็นที่สุด ตอนที่ได้เจอกันข้ายังไม่รู้ว่านางคือคนที่ข้าเคยอ่านเจอในตำรา แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งในนิมิตร ข้าเห็นคนเจ็บและคนผู้นั้นไม่รอด ข้าพยายามเปลี่ยนนิมิตร ต่อมาจึงเกิดนิมิตรใหม่ขึ้น ในนิมิตรที่สองข้าไปช่วยคนเจ็บไว้แล้วพามาให้นางรักษา คนที่ไม่น่ารอดก็สามารถรอดได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะข้าหาของไปขวางทางไว้ก่อนที่คนผู้นั้นจะเดินทางผ่านถนนเส้นหนึ่งซึ่งจะมีต้นไม้โค่นลงมาใส่เขา ภายหลังพอจับสังเกตดูและแน่ใจแล้วก็ลองถามท่านอาจารย์ออกไป นางก็เลยเล่
...... วันต่อมาก็ได้เวลาเดินทางกลับวังหลวง รอบนี้มีอาจารย์และโม่โฉวติดตามกลับไปร่วมงานสถาปนาด้วย นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีคนเจ็บอีกคนที่ต้องพาเขากลับไปส่งบ้าน ซึ่งเป็นทางผ่านพอดี ที่รถม้าคันหน้า "กัวเจียงมิ่งท่านมายืนทำอะไรหน้ารถม้าผู้อื่น" เหรินโย่วหลุนเอามือพ่ายหลัง หันมองไปที่อื่น แสดงท่าทางวางอำนาจเต็มที่ แผ่รังสีความเป็นฮ่องเต้ที่มีมาแต่กำเนิดออกไปโดยรอบเพื่อกดดันสตรีชุดฟ้าหน้าไม่อายข้างกาย "สตรีก็ต้องนั่งไปกับสตรีด้วยกันสิ นู้น บุรุษไปขึ้นคันหลัง" กัวเจียงมิ่งเลียนแบบท่าทางเหรินโย่วหลุน นางหมุนตัวเอาหลังหันให้รถม้า ยืนเคียงข้างคนตัวสูงที่สูงเกือบเท่ากันแถมมือพ่ายหลังและหันหน้าไปทางเดียวกัน "สตรีหรือ? ท่านเหมือนสตรีตรงไหนกัน" รถม้าคันหลังนั้นมีคนเจ็บขึ้นไปก่อนแล้วและมีโม่โฉวเป็นคนคุมม้า ความจริงเขาก็ไม่ติดอะไรแม้รถม้าเก่ามากและจะต้องนั่งไปกับราษฎรของตนเอง แต่ที่นั่นไม่มีทั้งภรรยาไม่มีทั้งบุตรชาย เขาจึงไม่อยากไปนั่ง เขาห่างจากภรรยามาถึงสองปีแล้ว ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันก็ยังคิดว่ายังไม่พออยู่ดี ยามนี้ยังต้องมานั่งแยกกันอีกเกือบสามวัน ยังไงเขาก็ไม่ยอม "เห
"เดี๋ยว! ท่านจะทำอันใด?" จูมี่เอินรีบเอาตัวไปยืนขวางโม่โฉวไว้ "เจ้าปกป้องเขา?" เหรินโย่วหลุนแทบไม่อยากเชื่อ "อย่าบอกนะว่าเขาเป็นพ่อของเด็กคนนั้น" ทั้งที่ได้ยินเต็มสองหูแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะถามย้ำให้แน่ใจอีกรอบ "ใช่...อย่า!" จูมี่เอินเห็นเหรินโย่วหลุนยกมือสั่งฟางอี้ให้เข้ามาทางโม่โฉวนางก็รีบเบี่ยงตัวปิดคนด้านหลังไว้มากกว่าเดิม "เขาเป็นพ่อบุญธรรม เป็นพ่อบุญธรรม!" ก่อนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นนางรีบพูดต่อให้จบประโยค เพราะไม่คิดว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เข้าใจจริงๆ ตอนนั้นฟางอี้ก็หยุดเท้าลงพอดี พร้อมกับเก็บมีดลับที่ดึงออกมาจากไหนไม่รู้กลับไป เพราะการเดินทางฮองเฮาบอกไม่ให้สะดุดตา จึงต้องเก็บดาบที่ใช้ประจำไว้ในรถม้า แต่เขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ย่อมไม่อาจปล่อยปะละเลยความปลอดภัยของฮ่องเต้ได้ จึงได้พกมีดสั้นที่ยาวจนถึงข้อศอกซ่อนไว้ในกายด้วย "?!" เหรินโย่วหลุนเลิกคิ้วขึ้นสูง ตอนที่ได้ยินจูมี่เอินบอกว่านั่นเป็นลูกนางเขาก็คาดเดาไปหลายอย่าง คิดว่าอาจเป็นลูกของเขาแต่เพราะท่าทางที่สนิทสนมของภรรยากับคนผู้นั้นดูไม่ปกติ แถมเด็กน้อยก็เรียกคนด้านหลังว่าท่านพ่อ แล้วภรรยาก็ดันมาบอกอีกว่
....... "เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดหรือ" "ใช่แล้ว" จูมี่เอินยกกาชามาวางที่โต๊ะน้ำชา นั่งลงแล้วรินชาให้สามีก่อนจะรินให้ตัวเองทีหลัง "นี่ก็เป็นชาที่ข้าดื่มตลอดสองปีเช่นกัน ไม่หอมมาก หากแต่เมื่อลองได้จิบทีละนิดและมองออกไปที่ป่าไผ่ ต่อจากนั้นค่อยๆ หลับตาฟังเสียงลมที่กระทบผ่านไป ก็พอที่จะทำให้ชารสชาติธรรมดาเช่นนี้พิเศษขึ้นมามากกว่าเดิม ชนิดที่ว่าต่อให้หาที่ไหนก็หาไม่ได้อีกแล้ว" จูมี่เอินยกจอกชาขึ้นมาจิบทำท่าหลับตาพลางพูดอธิบายไปด้วย "..." เหรินโย่วหลุนก็ลองทำตาม จิบชามองป่าไผ่ หลับตาและฟังเสียงลมที่กระทบกับใบของต้นไผ่ "สงบยิ่งนัก" แถมยังได้กลิ่นของธรรมชาติที่สดชื่นลอยมาตามลมด้วย จูมี่เอินเองสองปีกว่าที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีเวลาว่างมานั่งจิบชาและได้ใช้เวลาอยู่กับตนเอง เมื่อจิบชาไปด้วยแล้วได้มองป่าไผ่ ทั้งที่ทำให้รู้สึกสบายใจแต่กลับทำให้นางนึกถึงสามีทุกครั้ง หลังจากที่มานั่งจิบชาคนเดียวทีไรต่อมานางก็จะต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองได้มีเวลาคิดถึงเขาอีก ช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขแต่ก็เศร้าใจในคราเดียว "เสียดายที่ไม่มีท่านอยู่ที่นี่" จูมี่เอินเอ่ยความรู้สึกออกมาจากใจจริง ลืมตาข
....... การเดินทางด้วยรถม้าเพื่อมาที่หมู่บ้านตงนั้นใช้เวลาเกือบสามวันเพราะมีแวะพักบ้าง ไม่เหมือนกับตอนแรกที่เหรินโย่วหลุนเร่งเดินทางอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแบกภรรยากลับวังในตอนนั้น แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเกินที่คาดการณ์ไว้พวกเขาก็มาถึง หน้าโรงหมอกัว หมู่บ้านตง "แปลกจัง..." จูมี่เอินที่ถูกเหรินโย่วหลุนประคองลงรถม้ามาก็มองไปที่รั้วไม้ไผ่ของโรงหมอซึ่งถูกเปิดแง้มไว้ "มีอะไรผิดปกติหรือ?" เหรินโย่วหลุนถามพลางยกมือขึ้นในระดับหัว เตรียมจะส่งสัญญาณให้องครักษ์เงาของตนที่แอบอยู่รอบตัวบุกเข้าไปด้านใน "เดี๋ยว!" ดีที่จูมี่เอินสังเกตทัน รีบยกมือดึงแขนของเขาลงทันที พอห้ามคนสั่งการได้แล้วนางก็ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา เกือบเป็นเรื่องไปเสียแล้ว "ข้าแค่แปลกใจเล็กน้อย อาจารย์ปกติมักจะเอาแต่นั่งดื่มชามองต้นไผ่อยู่ที่โต๊ะน้ำชาตรงนั้นและไม่ค่อยเปิดรั้วทิ้งไว้ แต่บางทีนางอาจไปพักด้านในแล้วก็ได้" "อ่อ..." เหรินโย่วหลุนลากเสียงยาว ที่แท้นอกจากปากเสียแล้วก็ไม่ทำอะไรนอกจากจิบชาสินะ เป็นคนที่ขี้เกียจเสียจริง จูมี่เอินเปิดประตูเข้าไปด้วยความเคยชินและออกตัวเดินนำไปก่อน เมื่อได้กลับมา
....... รถม้าเดินทางออกจากวังแล้ว จูมี่เอินเลือกรถม้าที่ดูธรรมดาที่สุดแต่ก็ยังถือว่าค่อนข้างเตะตาไม่น้อย การเดินทางรอบนี้มีเพียงฟางอี้ที่เป็นคนขับรถม้าตามมาด้วยเท่านั้น เพราะจูมี่เอินไม่อยากให้สะดุดตา แต่นางก็รู้ว่าสามีได้เตรียมองครักษ์เงาให้ตามอยู่ห่างๆ แล้ว "ข้างนอกคึกคักยิ่งนัก" จูมี่เอินเลิกม่านมองดูเมืองหลวงที่ตนไม่ได้กลับมานานถึงสองปี ตื่นเต้นจนถึงขั้นเกาะขอบหน้าต่างดูเหมือนเด็กน้อยที่ไม่เคยออกจากบ้าน "อดีตผู้สำเร็จราชการแทนทำงานได้ดี" เหรินโย่วหลุนยามนี้ใส่ชุดสีเขียวอ่อนกำลังนั่งกอดอกพิงพนักที่นั่งและมองดูด้านนอกรถม้าเช่นกัน ตอนนี้คือยามอู่[1] ผู้คนเลยสัญจรไปมาค่อนข้างมาก ของขายข้างทางก็มีไม่น้อย เหรินโย่วหลุนเองก็รู้สึกแปลกตาเช่นกัน แต่ก็รักษาท่าทีสุขุมไว้ ([1] ยามอู่ 11.00 น. -12.59 น.) "..." จูมี่เอินนิ่งไปสักพักเมื่อเห็นสตรีงดงามผู้หนึ่งเดินเคียงมากับบุรุษที่เหมือนจะคุ้นหน้าก็ขมวดคิ้วมอง "อาหลุน คนนั้นไม่ใช่...ฟู่เจาหยางกระมัง" "..."เหรินโย่วหลุนทันทีที่ได้ยินชื่อบุรุษอื่นออกจากปากของภรรยาก็หรี่ตาลงด้วยความไม่สบอารมณ์ ขยับเอนตัวไปมองผ่านศีรษะขอ
ตอนพิเศษ 1 หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป เหรินโย่วหลุนเห็นถิงถิงวิ่งเข้ามาขอเข้าเฝ้าหน้าตื่นก็ลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา ด้วยวางใจว่าตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ภรรยาดูท่าตกลงปลงใจจะอยู่กับเขาไม่หนีไปไหนอีก เขาจึงกลับมาทำงานดังเดิม แต่ท่าทางของถิงถิงก็ทำกังวลขึ้นมา เหรินโย่วหลุนไม่แม้แต่จะรอเรื่องที่ถิงถิงได้รายงานก็รีบวิ่งออกจากห้องทรงงานของตนไปแล้ว เป็นดังคาด เมื่อเข้ามาถึงที่ห้องก็พบว่าภรรยากำลังเก็บเสื้อผ้าอยู่ "มี่เอิน เจ้าจะไปไหน!!!" เหรินโย่วหลุนตะโกนลั่นตำหนัก ดังไปไกลหลายจั้ง[1] ทำเอาคนที่กำลังหันหลังจัดห่อผ้าอยู่สะดุ้งเฮือก "อาหลุน..." คนตัวเล็กหันมาเรียกหาเขาเสียงเบา ตอนแรกยังยกยิ้มตาหยีส่งไปเพื่อระงับโทสะของอีกฝ่าย หากแต่เมื่อเห็นสามีเดินหน้าตั้งเข้ามาหาด้วยใบหน้าโกรธขึงนางก็หุบยิ้มลง หมุนกายรีบปีนหนีขึ้นเตียงไป ด้วยความตัวเล็กท่าทางตอนหนีเลยดูเหมือนกระต่ายน้อยกำลังกระโดดไปมา "ท่าน ท่าน! ใจเย็นก่อน" นางร้องเสียงหลง ไต่ตัวเข้าไปด้านในสุดของเตียง แต่พบว่าตนเองตัดสินใจผิดเสียแล้ว นอกจากทางที่เพิ่งขึ้นมาเมื่อครู่ รอบด้านก็ไม่มีทางให้หลบหนีอีก "จะหนีไปไหนอีก" เ
จูมี่เอินยืนนิ่ง จ้องมองบานประตูตำหนักของเหรินเยว่เทียนเพราะเพิ่งโดนไล่ออกมา ก่อนจะหันมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของตน เอาเถอะ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังโดนไล่ออกมา นางเองก็ควรปล่อยให้เหรินเยว่เทียนได้พักผ่อน จูมี่เอินจึงคิดจะกลับตำหนักของตนเอง "จะไปที่ใด?" เหรินโย่วหลุนเพียงแค่เห็นภรรยาขยับกายก็เอ่ยปากถามอีกรอบ วันนี้เขาพูดประโยคนี้ไปกี่ครั้งแล้วก็ไม่อาจนับได้ครบ "กลับตำหนัก" ความจริงแล้วเหรินโย่วหลุนไม่น่าถาม ที่ที่จูมี่เอินจะไปก็มีแค่ตำหนักของตนเองเท่านั้น หรือในตอนนี้ก็คือตำหนักบรรทมของฮ่องเต้นั่นเอง เพราะเขาไม่ยอมให้นางย้ายไปอยู่ที่ตำหนักในวังหลังเหมือนเมื่อก่อน กฏวังหลังถูกเขาเมินไปเสียแล้ว ครั้นพอได้นึกถึงก็คิดว่าที่แห่งนั้นยามนี้ต่อให้ไม่เหมือนในนิมิตรที่ถูกรื้อจนไม่เหลือเค้าเดิม แต่ก็คงเงียบเหงาไม่ต่างกัน พอคนตัวเล็กเดินนำ เหรินโย่วหลุนก็เดินตาม "..." ระหว่างทางเขาก็มองท้องฟ้า ยังไม่มืด หันมองภรรยาที่ร่างกายยังไม่หายดีจากรอยช้ำที่เขาทำไว้ก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ หากรู้ว่าเรื่องจะมาถึงยามที่เขาและนางสามารถกลับมาอยู่ด้วยกันได้ปกติโดยที่นางไม่คิดหนีไปอีก หลายวันที่