เซียวเหยียนจิ่งตอนนี้มีความใส่ใจแปลกๆ ต่อตัวฟู่จาวหนิงเดิมทีเขาคิดว่าตนเองคงจะไม่สนใจฟู่จาวหนิง แต่ก็เหมือนผีผลักอย่างไรอย่างนั้น ตอนนี้เขากลับสนใจตัวฟู่จาวหนิงมากขึ้นเรื่อยๆ!ยิ่งไปกว่านั้นเขายังส่งคนหลายคนออกไปเป็นพิเศษ ให้คอยจับตาดูฟู่จาวหนิง คอยฟังว่าวันนี้นางไปไหน เจออะไร ทำอะไรบ้างแต่น่าเสียดาย แค่ไม่นานนัก ฟู่จาวหนิงก็ออกไปนอกเมืองกับอ๋องเจวี้ยนเสียแล้วและไม่รู้ว่าฟู่จาวหนิงมีอะไรน่าพาไปกัน นางทำอะไรได้บ้าง?ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เฒ่าฟู่เองก็ยังพักอยู่ในจวนอ๋องเจวี้ยนด้วยอ๋องเจวี้ยนเกิดอะไรขึ้น หรือว่าจะยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ของฟู่จาวหนิงแล้ว เห็นปู่ของนางเป็นผู้อาวุโสแล้วหรือ?เขาเดิมทียังคิดว่าฟู่จาวหนิงที่ออกเรือนอย่างลวกๆ กับอ๋องเจวี้ยน จะใช้ชีวิตได้น่าเวทนาเสียอีกนางก็เป็นแค่คนไม่ได้เรื่องที่มีดีแค่สวย ก่อนหน้านี้ตอนที่เอาแต่มาไล่ตามเขา เขากระทั่งรู้สึกขายหน้าเสียด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรนางวันวันก็เอาแต่ใส่เสื้อเก่าๆ ที่ไม่เข้ากับตนเอง หน้าตาขมุกขมอม ทำเอาคนไม่คิดจะไปสนใจหน้าตาของนางเขายังเคยพรรณนาตัวนางกับเพื่อนของเขา บอกว่าฟู่จาวหนิงก็เป็นแค่ไก่ภูเขาตัวหนึ่งผลคือ
คนเหล่านี้ก็เป็นองครักษ์ลับองค์จักรพรรดิชุบเลี้ยงขึ้นมาจะส่งราชองครักษ์ออกมาก็ไม่ได้ คนของกองทหารก็เคลื่อนไหวไม่ได้ คนที่เรียกออกมาได้อย่างโจ่งแจ้งล้วนใช้การไม่ได้ ถึงอย่างไรนี่ก็คือจะปล้นแย่งสิ่งของของอ๋องเจวี้ยน ถ้าตัวตนฐานะถูกเปิดโปงออกมา หน้าตาขององค์จักรพรรดิคงไม่เหลือหรอดังนั้นที่เขาเคลื่อนไหวออกมาก็คือองครักษ์ลับกลุ่มหนึ่งที่เขาชุบเลี้ยงไว้ตอนที่ยังเป็นองค์รัชทายาทเพียงแต่ครั้งนี้องครักษ์ลับกลุ่มนี้ก็ถูกอ๋องเจวี้ยนลากไปลากมาจนเหนื่อยหมดแล้วอ๋องเจวี้ยนไม่อยากให้พวกเขาตอนที่ไล่ตามทันแล้วสลัดออกไปทันที แต่จะให้พวกเขาหาคนอย่างเอาเป็นเอาตายอ๋องเจวี้ยนตอนที่รอฟู่จาวหนิงที่เขาอวี้เหิง ก็ส่งคนลงเขาลงไปสร้างร่องรอยบางส่วน ล่อให้พวกเขาออกค้นหาคนไปทั่วภูเขา หมุนซ้ายหมุนขวา นอนก็ไม่ได้นอนกันดีดี กินก็แทบจะไม่ได้กินเสบียงแห้งที่พวกเขาพกไปก็ยังถูกขโมยอีกหลายวันนี้พูดได้ว่ากินแต่ลมดื่มแต่น้ำค้าง แต่ละคนสีหน้าเหนื่อยล้ากันจนแทบไม่ไหวตอนนี้ใกล้จะถึงเมืองหลวงแล้ว นี่คือภารกิจสุดท้ายในการเดินทางครั้งนี้ของพวกเขาแล้ว"ต้องสำเร็จเท่านั้น ห้ามล้มเหลว"หัวโจกองครักษ์ลับพูดขึ้นมาอีกคำ
พระสัสสุระเองก็จำใจ ให้ฮองเฮาสั่งคนรอบๆ ถอยไปก่อน จากนันจึงเล่าเรื่องของหมู่บ้านกุยเซี่ยวออกมาฮองเฮาพอได้ยิน ก็รู้สึกเหมือนเลือดจะพุ่งทะลักขึ้นด้านบน นางอย่างจะสะกด แต่ก็สะกดไม่อยู่"พรวด!"ฮองเฮากระอักเลือดออกมา"ฮองเฮา!"พระสัสสุระตกตลึงทำไม ทำไมฮองเฮาจึงกระอักเลือดกัน? วันนี้พวกเขาทั้งบ้านกระอักเลือดติดๆ กันเลย"ความหมายของท่านคือ" ฮองเฮาจ้องเขม็งเขา "หมดเกลี้ยงเลยหรือ? ถูกทำลายหมดแล้ว? ไม่เหลือไว้แม้แต่คนเดียว? หมู่บ้านกุยเซี่ยวเองก็ถูกเผาไปแล้วหรือ?""ถูกต้อง โดนยกไปหมดแล้ว" พระสัสสุระก้มหน้าต่ำ"น้ำพักน้ำแรงหลายปีของข้า!" ฮองเฮายกเตาอังมือใบหนึ่งฟาดไปทางเขา โมโหจนหน้าเบี้ยวไปหมด "ตั้งหลายปี! ข้าบอกให้ส่งคนไปคอยคุ้มกัน แต่ท่านบอกว่าคนของท่านเองเชื่อถือได้ แล้วท่านบอกว่าเจียงจี๋คอยดูแลอยู่ทางนั้นจะไม่เกิดปัญหา!""ฮองเฮา""อันที่จริง พวกเจ้าหลายปีมานี้ก็เลี้ยงเสียข้าวสุข! ข้าให้พวกเจ้ากินดื่มเล่นสนุกอันอย่างสุขสบายไร้กังวล! ตอนแรกเจ้าบอกว่าที่คอยไปหาแต่สาวงามมันเป็นแค่ฉากบังหน้า สองปีนี้ท่านกล้าพูดไหม ว่าท่านไม่ได้เอาแต่สนุกกับหญิงสาวอยู่ทุกวี่วัน!"นางผิดเองคนจากบ้า
ฟู่จาวหนิงเองก็คิดเช่นนี้"พกวเรากลับไปพักผ่อนกันก่อน"เซียวหลันยวนมองฟู่จาวหนิง "ในมือเจ้ามีควันลวงตาอีกบ้างไหม? ที่พวกเราสามารถกินยาแก้ไว้ก่อนได้""ทำเอาเลยก็ได้" ฟู่จาวหนิงเอ่ยขึ้น "หญ้าสมุนไพรชนิดหนึ่งที่กลั่นกรองเอาไว้ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ทิ้ง สิ่งนั้นควันที่เผามันขึ้นมามีพิษอยู่ แต่ใช้ตัวของมันเอามากรองสกัดส่วนประกอบจะแก้พิษได้""ยุ่งยากไหม?""รถม้าด้านหลังผูกเอาไว้กองใหญ่เลย ก้อนๆ ที่เหมือนกับหญ้ากลมพวกนั้น จุดไฟโยนออกไป ควันจะยิ่งลุกขึ้นทั้งเร็วทั้งหนาแน่น"ไม่ยากเลยสักนิด"ส่วนยาแก้พิษ ข้ากลั่นกรองเอาไว้แล้ว"เซียวหลันยวนรู้สึกจริงๆ ว่าข้างกายมีฟู่จาวหนิงที่เป็นยอดฝีมือทั้งยาและพิษอยู่ข้างๆ ก็ประหยัดเวลาและเรื่องที่ทำขึ้นมากเลยทีเดียวยิ่งไปกว่นั้นยังมีหลายเรื่องที่ทำง่ายขึ้นมาก"หาจุดที่พวกเขาซุ่มกำลังอยู่ ยังไม่ต้องขนของ คนทั้งหมดกินยาแก้พิษกันก่อน ให้คนครึ่งหนึ่งขับรถม้าเดินหน้าต่อตามปกติ พอไปถึงสะพานขาดก็หยุดลงมา ให้โอกาสพวกเขาลงมือ"เซียวหลันยวนเรียกองครักษ์เข้ามา วาดสภาพพื้นที่รอบๆ สะพานขาดนี้ออกมาบนพื้น ตรงไหนมีเนิน ตรงไหนมีหินก้อนใหญ่ ตรงไหนมีต้นไม้ทึบที่ไปได
คนเหล่านี้ก็เป็นองครักษ์ลับองค์จักรพรรดิชุบเลี้ยงขึ้นมาจะส่งราชองครักษ์ออกมาก็ไม่ได้ คนของกองทหารก็เคลื่อนไหวไม่ได้ คนที่เรียกออกมาได้อย่างโจ่งแจ้งล้วนใช้การไม่ได้ ถึงอย่างไรนี่ก็คือจะปล้นแย่งสิ่งของของอ๋องเจวี้ยน ถ้าตัวตนฐานะถูกเปิดโปงออกมา หน้าตาขององค์จักรพรรดิคงไม่เหลือหรอดังนั้นที่เขาเคลื่อนไหวออกมาก็คือองครักษ์ลับกลุ่มหนึ่งที่เขาชุบเลี้ยงไว้ตอนที่ยังเป็นองค์รัชทายาทเพียงแต่ครั้งนี้องครักษ์ลับกลุ่มนี้ก็ถูกอ๋องเจวี้ยนลากไปลากมาจนเหนื่อยหมดแล้วอ๋องเจวี้ยนไม่อยากให้พวกเขาตอนที่ไล่ตามทันแล้วสลัดออกไปทันที แต่จะให้พวกเขาหาคนอย่างเอาเป็นเอาตายอ๋องเจวี้ยนตอนที่รอฟู่จาวหนิงที่เขาอวี้เหิง ก็ส่งคนลงเขาลงไปสร้างร่องรอยบางส่วน ล่อให้พวกเขาออกค้นหาคนไปทั่วภูเขา หมุนซ้ายหมุนขวา นอนก็ไม่ได้นอนกันดีดี กินก็แทบจะไม่ได้กินเสบียงแห้งที่พวกเขาพกไปก็ยังถูกขโมยอีกหลายวันนี้พูดได้ว่ากินแต่ลมดื่มแต่น้ำค้าง แต่ละคนสีหน้าเหนื่อยล้ากันจนแทบไม่ไหวตอนนี้ใกล้จะถึงเมืองหลวงแล้ว นี่คือภารกิจสุดท้ายในการเดินทางครั้งนี้ของพวกเขาแล้ว"ต้องสำเร็จเท่านั้น ห้ามล้มเหลว"หัวโจกองครักษ์ลับพูดขึ้นมาอีกคำ
ควันพิษพร่ามัว ที่นี่วุ่นวายขึ้นมาทันที และเพียงไม่นาน เสียงเหล่านั้นก็ค่อยๆ เงียบลง ยังเห็นว่าคนเหล่านั้นทยอยกันล้มตุบลงไปบนพื้นองครักษ์ลับที่ซุ่มอยู่พอเห็นสถานการณ์ ก็รู้สึกว่าโอกาสมาถึงแล้ว ร้องขึ้นทันที "บุก"พวกเขาล้วนลุกขึ้นพุ่งไปที่หาดริมน้ำครั้งนี้เป้าหมายของพวกเขาคือสิ่งของเหล่านั้น ก็คือจะเอารถม้าไปให้หมด ดังนั้นพวกธนูพิษอะไรพวกนั้นจึงเลี่ยงออกจากรถกับม้าพวกขเาเองก็คลุมหน้าคลุมตา เพื่อเลี่ยงการสูดควันพิษยิ่งไปกว่านั้นยังรอให้ควันพิษสลายไปบ้างจึงพุ่งเข้าไปหลังจากเข้าไปแล้วก็เห็นว่าองครักษ์จวนอ๋องล้วนล้มระเนระนาดอยู่บนหาดริมน้ำ พวกเขาก็ลิงโลดขึ้นทันที"ควบม้า ดึงม้า รีบออกเดินทาง"หัวโจกองครักษ์ลับที่เพิ่งจะส่งคำสั่งออกไป จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงสิ่งของอะไรบางอย่างลอยฟิ้วลงมา เป็นเสียงที่คล้ายกับควันพิษที่พวกเขาเพิ่งโยนลงมาเมื่อครู่มากเขาสัมผัสได้ว่าไม่ถูกต้องแล้ว จึงหันหน้ามองไปบนเนิน พอเงยตาขึ้นไปก็เห็นว่ากลางอากาศมีสิ่งของที่ดูคล้ายก้อนหญ้าที่ควันกำลังลุกขโมงหลายก้อนถูกโยนลงมา"ควันพิษ กลั้นหายใจ!"หัวโจกตกตะลึง ร้องขึ้นมาทันทีพวกเขาติดกับหรือ!แต่ว่าตำแหน่งเมื
"พระชายา หญ้าควันพิษพวกนี้ร้ายกาจจริงๆ คนพวกนี้ขนาดพันหน้าพันตา ก็ยังล้มลงในชั่วพริบตาเลย"ชิงอีเข้ามาพูดกับฟู่จาวหนิงฟู่จาวหนิงเหลือบมองผ้าผันหน้าขององครักษ์ลับผาดหนึ่ง "ของพวกนี้กันควันพิษไม่อยู่หรอก ที่สูดได้ไปก็คงเข้าไปหมด พวกเจ้าหลังจากเก็บกวาดเสร็จก็มาให้ข้าดูหน่อยนะ ป้องกันไว้ก่อน"ดูว่าพวกเขาติดพิษจนบาดเจ็บบ้างหรือไม่ลูกกลอนแก้พิษเองก้ไม่ใช่จะรับประกันผลลัพธ์ได้ร้อยทั้งร้อย"ขอบคุณพระชายา"หลังจากจัดการคนเหล่านี้ทั้งหมด ฟู่จาวหนิงก็จับชีพจรให้กับพวกเขาเซียวหลันยวนกลับสั่งพวกเขาจัดการซ่อมแซมสะพานหินที่ขาดนี้ใหม่อีกครั้งฟู่จาวหนิงหลังจากตรวจอาการคนทั้งหมดแล้วก็คอยมองพวกเขาทำงานอยู่ข้างๆเซียวหลันยวนถึงแม้ตนเองจะไม่ได้ลงมือ แต่เขาก็ยังตรวจสอบพวกตอหินท่อนหินที่ล้มระเกะระกะ มองร่องรอยด้านบนที่ยังเหลืออยู่ แล้วทำสัญลักษณ์ว่าพวกมันต้องไปเสียบเข้ากับตำแหน่งไหนก่อน จากนั้นจึงสั่งให้พวกเขาวางสะพาน"แผ่นหินก้อนนี้น่าจะหักไปแล้ว ไปหาแผ่นอื่นมาแทนที่ แล้วก็ด้านใต้ตำแหน่งเดิมที่วางตอหินก็หลวมไปแล้ว ลงไปที่แม่น้ำแล้วไปทำพื้นให้เรียบ ย้ายตำแหน่งมันเสียหน่อย"ฟู่จาวหนิงนั่งอยู่บน
ตอนที่เข้าใกล้เมืองหลวง คนรอบๆ ก็เพิ่มมากขึ้น แล้วยังมีบางส่วนที่เข้ามาสำรวจ รู้ว่าคงปิดบังอ๋องเจวี้ยนไม่ได้ จึงไม่มีปิดบังอำพรางแต่อย่างใดกระทั่งมีบางส่วนกล้าเข้ามาทักทายอีกด้วย"อ๋องเจวี้ยนไปที่ไหนมาหรือจึงเพิ่งกลับเมืองหลวง? ออกจากเมืองหลวงไปเป็นเดือนเลย"เซียวหลันยวนได้ยินคำทักทายที่ด้านในรถม้า แต่ก็นิ่งงันไม่ส่งเสียง"ใครน่ะ?" ฟู่จาวหนิงถามเขาเสียงต่ำ"ฟังจากเสียง คงเป็นลูกชายคนโตของบ้านหวางเก๋อเหล่า" เซียวหลันยวนเอ่ยตอบเสียงต่ำฟู่จาวหนิงพอได้ยินคำว่าหวางเก๋อเหล่า ในความทรงจำจู่ๆ ก็มีเรื่องหนึ่งแล่นออกมาหวางเก๋อเหล่าเป็นตาแก่ตัณหากลับคนหนึ่งนี่นายิ่งไปกว่านั้นเจ้าของร่างเดิมยังเคยเจอด้วย คุณหนูฟู่ตอนนั้นได้ยินว่าเซียวเหยียนจิ่งไปที่วัดบนเขาแห่งหนึ่ง จึงคิดจะตามไป แล้วยังคิดว่าที่วัดนั่นเผาธูปได้แม่นยำอีกด้วย จึงหวังว่าพระพุทธเจ้าจะช่วยปกป้องท่านปู่ให้หายวันหายคืนแต่ว่านางก็ถูกพวกคุณชายที่ตามเซียวเหยียนจิ่งไปพวกนั้นหลอกเอา พอไปได้ครึ่งทางเจอกับคนหลายคนนางจึงถามดู พอรู้ว่าถูกหลอกก็เตรียมจะหมุนตัวกลับตอนนั้นฝนก็ตกลงมาด้านหลังมีรถม้าขับเข้ามา คนบนรถม้าบอกให้นางติดรถไ
ส่วนฟู่จาวหนิงเองก็มองมาทางเขา เพราะเซียวหลันยวนไม่ได้ยื่นมือมาประคองนางในตอนแรก แต่กลับมองนางอย่างงงงันหน่อยๆฟู่จาวหนิงยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไร ใจก็ดำดิ่งหน่อยๆยังดีที่ตอนนางมองไปอีกครั้ง เซียวหลันยวนก็ยื่นมือมาดึงนางลุกขึ้นแล้ว จากนั้นไข่มุกหมึกในมือนางก็ส่งคืนไปยังเจ้าอาราม"คืนให้ท่าน"พริบตาที่เจ้าอารามยื่นมารับ เสียงเปรี๊ยะก็ดังขึ้น ไข่มุกหมึกลูกนั้นแตกละเอียดกะทันหันคนทั้งหมดล้วนตกตะลึง มองไปทางเศษหินที่รวงลงมานั่นพวกเขาล้วนถือไข่มุกหมึกกันมาแล้ว เดิมทีก็ยังดีดีอยู่ ไม่มีรอยร้าวอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นตัวลูกปัดหยกก็ตันและแข็งแกร่ง หล่นลงพื้นก็ไม่แน่ว่าจะแตกด้วยซ้ำแต่ตอนนี้จู่ๆ มันก็เป็นแบบนี้ไปแล้วเจ้าอารามโค้งตัวลงเก็บชิ้นส่วนหยกขึ้นมา หยิบขึ้นมามองๆ"ไข่มุกหมึกทำนายดารา ข้าเองก็เหลืออยู่แค่เม็ดเดียวด้วย"อยู่กับเขามาหลายสิบปี ใช้มาก็ตั้งหลายครั้ง ตอนนี้จู่ๆ ก็แตกเสียแล้วเซียวหลันยวนยื่นมือตัวเองออกมา "ข้าไม่ได้ออกแรงนะ""แล้วก็ไม่เหมือนบีบจนแตกด้วย"เจ้าอารามพูดพลางมองไปทางฟู่จาวหนิงฟู่จาวหนิงหรุบตาลง เศษหินบนพื้นเหล่านั้น "หรือพวกท่านสงสัยว่าข้าทำ
เจ้าอารามสูดลมหายใจลึก"ผลลัพธ์นี้ไม่ค่อยดีนัก สิ่งที่มันชี้นำไป ทำให้อายวนเดินไปยังทางเลือกที่จะพาสู่ความพินาศ"พอได้ยินคำพูดเขา ฟู่จาวหนิงก็หน้าเปลี่ยนสีแต่นางกลับโมโหขึ้นมา"เฮอะ"ก่อนหน้านี้นางยังรู้สึกว่าจะอย่างไรก็ได้แต่ว่าตัวนางจะเป็นอย่างไร นางก็ยังไม่สนใจได้ เพราะนางไม่ใส่ใจ และไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบกับตัวนางแต่เรื่องดันไปอยู่บนตัวเซียวหลันยวน นางก็ไม่ชอบใจขึ้นมาแล้วยิ่งไปกว่านั้น นางไม่รู้ว่าเซียวหลันยวนจะได้รัรบผลกระทบไหม ตัวนางเป็นคนที่ผ่านการข้ามภพมา แต่เขาไม่ใช่"อายวน" นางยื่นมือไปประคองเซียวหลันยวนเขาจับมือนางลุกขึ้นยืน มองดุนาง ยื่นมือลูบใบหน้านาง สีหน้าดูซับซ้อน"เจ้าลองดู"ฟู่จาวหนิงใจดำดิ่งหน่อยๆเพราะเขารู้สึกแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด ปฏิกิริยานี้คือถูกส่งผลกระทบเข้าแล้วเมื่อครู่เขายังบอกนางอยู่เลยว่าถ้าไม่อยากคะเนทำนายก็ไม่ต้องทำ ตอนนี้เขากลับบอกว่าให้ลองดูเสียแล้วจิตใจต่อต้านกับความอยากเอาชนะของฟุ่จาวหนิงถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว"ได้"นางขานรับ และไม่ลังเลอีก นั่งลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามผืนนั้น"ไข่มุกหมึก"เซียวหลันยวนส่งไข่มุกหมึก
เขาไม่อยากให้นางต้องฝืนตัวทำอะไรเพื่อตัวเขา"ข้ายินยอมทดสอบดู ไม่เป็นไร" ฟู่จาวหนิงบอกเขาเซียวหลันยวนชะงักไป "เช่นนั้นข้าก่อนแล้วกัน เจ้าลองดูผลลัพธ์ของข้าก่อนว่าเป็นอย่างไร แล้วค่อยตัดสินใจ"ตอนนี้เขาเองก็ยอมที่จะคะเนทำนายด้วย เพราะคำพูดประโยคนั้นที่เจ้าอารามพูดเมื่อครู่สามปีก่อนตอนที่เขาจะกลับเมืองหลวง ก็มีการวัดคะเนดาราไว้จริงๆ ทำให้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าเขาควรจะออกจากยอดเขาโยวชิงเวลานั้น และไปถึงเมืองหลวงในวันนั้นเขาเจอกับจาวหนิงถอนหมั้นกลางถนนในวันนั้น แต่งงานกับนางในวันนั้น ตอนนี้พอมาคิดก็ดูจะเป็นคู่รักวาสนาที่ฟ้าประทานมาจริงๆเพื่อความแม่นยำครั้งนี้ เขาเองก็ไม่กังขากับการวัดคะเนดาราเซียวหลันยวนนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามชิ้น ยื่นมือไปทางเจ้าอาราม "ไข่มุกหมึก""เจ้าจำไว้ด้วยว่าต้องขจัดสิ่งรบกวนออก อย่าต่อต้านการชี้นำ" เจ้าอารามส่งไข่มุกหมึกให้เขา จากนั้นจึงจุดธูปขึ้นเซียวหลันยวนหลับตา สองมือกุมไข่มุกหมึกตอนที่เขาเข้าสู่สภาวะลืมตนอย่างสมบูรณ์ ฟู่จาวหนิงก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยสัญชาตญาณ เหมือนจะพบว่าแสงดาวเต็มท้องฟ้าจะสว่างเจิดจ้ากว่าเดิมเซียวหลันยวน
เจ้าอารามถอนใจอย่างจนใจอีกครั้ง ร้องเรียกพวกเขาไว้"กลับมาก่อน ทำไมพูดไม่ถูกหูหน่อยเดียวก็จะไปแล้วล่ะ? เดี๋ยวนี้อารมณ์ขึ้นง่ายขนาดนี้เชียว? ข้าก็แค่พูดเฉยๆ ไม่ใช่ว่ามองเสี่ยวฟู่แบบนี้เสียหน่อย"ฟู่จาวหนิงเองก็ยืนนิ่ง นางดึงเซียวหลันยวนไว้ตอนนี้นางเองก็น่าจะมองการวัดคะเนดาราของเจ้าอารามเป็นเหมือนเกมลึกลับเกมนึง เมื่อครู่ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงขององค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น นางรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งไปกว่านั้น ฟู่จาวหนิงรู้สึกว่าเจ้าอารามทำให้นางจับทางไม่ถูกเหมือนกัน คนผู้นี้ต้องมีตัวตนที่ไม่ธรรมดาสำหรับเซียวหลันยวนแน่นอนสำหรับฮูหยินเฉิง เซียวหลันยวนบทจะไม่ยอมรับก็ไม่ยอมรับได้ จะหมดความผูกพันนั่นก็หมดไป แต่สำหรับเจ้าอารามนั้นไม่ได้เด็ดขาดไม่เช่นนั้นคงไม่พานางเดินทางนับพันลี้มายอดเขาโยวชิงแค่เพราะคำๆ เดียวของเจ้าอารามหรอกนางเองก็อยากรู้มาก สาเหตุอะไรที่ต้องให้พวกเขามาทำนายชะตาอะไรนี่ เจ้าอารามคิดจะทำอะไรกันแน่นอกเหนือจากนี้ ตัวนางเองก็ยังอยากรู้ ว่าการที่นางมายังแคว้นเจานี่ เป็นเพราะมีพลังลึกลับอะไรหรือเปล่าถ้าไม่ทำให้ชัดเจน หลังจากนี้นางคงจะตั้งรับไม่ไหวองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นถึ
เขามองไปทางเจ้าอารามอีกครั้ง น้ำเสียงเข้มงวดขึ้นมา"ท่านน้าเฉิงถ้าพูดแบบนี้จริง เช่นนั้นสายตานางก็ตื้นเขินไม่รู้จักกาลเทศะ นางเองก็ไม่เข้าใจจาวหนิง และยิ่งไม่เข้าใจว่าจาวหนิงผ่านอะไรมาบ้าง แล้วมีสิทธิ์อะไรถึงใช้ความคิดของตัวเองมาสรุป ดูท่าหลายปีนี้คงถูกเอาอกเอาใจในเมืองจื่อซวีจนเสียคนแล้วจริงๆ"เดิมทีเขาได้ยินว่าฮูหยินเฉิงตาแดงก่ำลงจากเขาไป ยังเคยคิดว่าว่าเพราะช่วยนี้เย็นชากับนางมากเกินไปหรือเปล่า เอาไว้ตอนที่จะกลับ พอผ่านอุทยานเขาเฉิงอวิ๋น ยังคิดจะเข้าไปบอกลานางเสียหน่อยแต่ตอนนี้เขารู้สึกแล้วจริงๆ ว่าใจคนมันพังไปแล้ว เช่นนั้นก็ยากที่จะได้รับการเคารพจากคนอื่นจริงๆ"ข้าจดจำได้ว่าตอนที่ข้ายังเล็กท่านน้าเฉิงเคยมาดูแลอยู่หลายครั้ง แต่อันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น หลังจากข้าโตมา พวกเราก็เจอกันน้อยครั้งมาก เจอกันก็เพียงแค่ทักทาย ข้าเรียกนางว่าท่านน้า ก็เพราะเคยชินมาจากตอนเด็กเท่านั้น"เซียวหลันยวนตอนพูดถึงจุดนี้น้ำเสียงก็เย็นลงมา"ตอนยังเล็กนางดูแลข้ามาหลายครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาเจ้าอุทยานกำชับไว้ ข้าจึงเคารพนาง แต่นางก็ควรวางตัวให้ถูก ไม่ใช่จะขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสของข้าจริ
สายตาที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองเซียวหลันยวนดูซับซ้อนมาก ดูลังเล กำลังตัดสินใจและดูเจ็บปวดทรมานมากแต่หลังจากนี้นางกลับละทิ้งเรื่องที่จะกลับเมืองหลวงหาคนอื่นหรือกระทั่งเรื่องไปแคว้นหมิ่น แล้วิคดจะอยู่ข้างกายเจ้าอารามแทนหรือ?นี่มัน...ฟู่จาวหนิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนความคิดกะทันหันของนางมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรตอนนี้นางกลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็นต่อวัดคะเนดารานี้เสียแล้ว องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นสัมผัสได้ถึงอะไรกันนะ?"องค์หญิงใหญ่พักอยู่ที่นี่สองสามวันก่อนก็ได้ เอาไว้ค่อยว่ากัน"เจ้าอารามเหลือบมองกระจกทรงมุมที่แสงดับไปแล้วผาดหนึ่ง จากนั้นก็มองใบหน้าองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แอบถอนหายใจในใจเขาเองก็ทำไม่สำเร็จ บิดชะตาฝูอวิ้นกลับมาไม่ได้ชั่วคราวผิดพลาดตรงไหนกันแน่นะ?เจ้าอารามมองต่อไปทางฟู่จาวหนิง จากการทำนายส่วนตัวของเขา ทำนายไปทำนายมา ต้นกำเนิดตัวแปรทั้งหมดก็คือฟู่จาวหนิงดังนั้น เรื่องที่เกี่ยวกับฟู่จาวหนิง เขาต้องมาขบคิดให้ดีจริงจัง""เจ้าอารามรับข้าไว้เถอะ แม้ข้าจะทำอะไรไม่เป็นเลย แต่ก็ยังเรียนรู้ได้ ข้าเรียนรู้ทำกับข้าว จริงด้วย ข้าเป็นแแม่สื่อได้ด้วยนะ หลังจากนี้ชายเส
บนพื้นมีสามจุดเปล่งแสงขึ้นรางๆ ปรากฏรูปร่างสามแบบคือ แปดเหลี่ยม ทรงกลม ทรงมุมฟู่จาวหนิงเดินเข้าไปสองก้าว จึงพบว่านั่นเป็นกระจกหลากสีเรียบลื่นสามชิ้นสลักฝังอยู่บนพื้น ใต้กระจกน่าจะเป็นหินหยกผิวเรียบ และระหว่างหยกกับกระจกมีของเหลวสีแดงเจือสีเงินไหลเอื่อยๆ อยู่ยิ่งไปกว่านั้น เพียงไม่นาน ด้านบนยังมีแสงระยิบเหมือนดวงดาว ราวกับจำลองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวออกมาเจ้าอารามเดินเข้าไปใกล้ กวักมือให้กับองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น"มานี่"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็ค่อนข้างว่าง่าย เดินเข้าไปทันทีเจ้าอารามส่งลูกปัดหยกสีดำเม็ดหนึ่งให้นาง"นั่งขัดสมาธิ กำลูกปัดเม็ดนี้ไว้ สัมผัสดูว่ามันนำเจ้าไปยังมิติดาราไหน แล้วจงชี้ออกมา"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ทำตามที่เขาบอกนั่งลงขัดสมาธิบนพื้น สองมือกุมลูกปัดนั้น ตั้งสมาธิสัมผัสผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงหันหลังอย่างลังเลไปทางทรงมุมนั้น"ทางนี้"ฟู่จาวหนิงยืนมองอยู่ข้างๆจากที่นางเห็น เจ้าอารามเหมือนคนที่กำลังเล่นละครหลอกคนอย่างไรอย่างนั้น เรื่องแบบนี้จะทำนายดวงชะตาออกมาได้อย่างไร?กำลูกปัดลูกหนึ่งไว้ ก็สามารถชักนำให้ตนเองเลือกกระจกหลากสีแผ่นไหนแบ
ดาวสองดวงนั้นประกายจ้ามาก แล้วยังอยู่ใกล้มากด้วย ส่องประกายให้กันและกัน เหมือนขานรับกันและกันไม่รู้เพราะอะไร พอเห็นดาวสองดวงนี้ ฟู่จาวหนิงรู้สึกมีความสุขขึ้นมานางมองไปทางเซียวหลันยวน ถามขึ้นเสียงแผ่วเบา "ท่านเห็นดาวดวงไหนหรือ?"เซียวหลันยวนไม่ตอบ แต่กุมมือนางมัน จับนิ้วนางชี้ออกไป"เอ๋?"ที่เซียวหลันยวนชี้ก็คือดาวสองดวงนั้น!หรือพวกเขาจะมองเห็นแบบเดียวกัน?แน่นอนว่าอาจจะเพราะดาวสองดวงนั้นสว่างไสวมากที่สุด คนอื่นเองก็อาจจะมองเห็นพวกมันด้วยฟู่จาวหนิงคิดเช่นนี้ เลยมองไปทางองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แต่กลับเห็นนางมองไปทางอื่นนางมองไล่ตามสายตาองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไป ตรงนั้นมีดาวดวงหนึ่ง สว่างอยู่เหมือนกัน แต่ดาวที่อยู่รอบๆ เล็กเอามากๆ จึงส่องระยับอยู่เพียงดวงเดียวที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองอยู่น่าจะเป็นดวงนั้นกระมัง?ตอนที่นางจะเก็บสายตาก็กวาดไปเห็นซางจื่อพอดี และเห็นซางจื่อก็กำลังมองท้องฟ้า แต่สายตาของเขาดูสับสน สีหน้าเองก็ตกตะลึงไปฟู่จาวหนิงคิดๆ ถอยหลังสองก้าวไปอยู่ข้างๆ ซางจื่อซางจื่อเก็บสายตากลับ มองไปทางนาง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ นางก็มาอยู่ข้างๆ"ซางจื่อ เจ้าชอบดาวดวงไหน?"ซา
"แต่ก่อนท่านเคยเห็นเขาระบำมาก่อนไหม?""ไม่มีเคยเลย"ตอนที่พวกเขาหยุดเท้ายืนมอง องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็มาถึงข้างกายพวกเขานางเองก็มองการร่ายรำบนแท่นชมดาว สายตาดูเคลิบเคลิ้มหน่อยๆ"ข้าได้ยินว่า แต่ก่อนตงฉิงก็มีระบำทำนายดวงดาวอยู่ประเภทหนึ่ง คิดค้นขึ้นมาโดยตระกูลราชครูตงฉิง นี่เป็นระบำที่ลึกลับมาก จังหวะก้าวเท้าทุกก้าวล้วนพิถีพิถัน นำมาซึ่งพลังแห่งดวงดาว ทำให้ผู้ทำนายดวงดาวมีพลังที่ลึกลับมากขึ้น ผลลัพธ์การทำนายเองก็แม่นยำขึ้น"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเองก็ลืมสิ่งที่เซียวหลันยวนพูดไว้เมื่อครู่ เรื่องที่ไม่ให้นางเข้ามาใกล้นัก แต่มายืนอยู่ข้างกายพวกเขา พูดเรื่องที่ตนเองรู้มาก่อนหน้านี้ออกมาอย่างอดไม่อยู่"ตระกูลราชครูของตงฉิง?" ฟู่จาวหนิงเหลือบมองนางผาดหนึ่ง"ใช่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้ยินองค์จักรพรรดิของข้าบอกมา" องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นพอเห็นว่านางยอมพูดกับตนเอง ก็รู้สึกเหมือนได้รับเกียรติจนประหลาดใจขึ้นมา "ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ได้ยินว่าองค์จักรพรรดิข้าค้นหาตระกูลราชครูตงฉิงอยู่ตลอด ว่ากันว่า ตระกูลราชครูนั้นรู้ความลับมากมายของตงฉิง สามารถช่วยให้อาณาจักรมั่นคงได้ด้วย"เซียวหลันยวนร้องเฮอะขึ้นมาต้