ฟู่จาวเฟยบอกกับนางเบาๆ "พี่สาวข้ากล่อมน้าเซี่ยแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องออกไปแล้ว ยังอยู่ที่บ้านนี่ล่ะ"อันห่าวถอนใจโล่งนางยิ้มขึ้นมา ยิ้มอย่างเจิดจ้า"ข้ามีของขวัญจะให้พี่จาวหนิง"นางรีบวิ่งกลับไปห้องของตนเองหยิบของขวัญที่เตรียมไว้แล้วล่วงหน้า วิ่งไปส่งให้ฟู่จาวหนิง"อันห่าวยังมีของขวัญให้ข้าด้วยหรือ? ดีจังเลย ข้าดีใจมาก"ฟู่จาวหนิงรับมาอย่างดีใจ"เป็นงานปักชิ้นหนึ่ง ใส่กรอบไม้พะยูงไว้แล้ว เอาไปแขวนได้" เซี่ยซื่อปิดปากมองนางยิ้มๆ "อันห่าวปักอยู่นานมากเลย"นางเฝ้ารอฟู่จาวหนิงกลับมาเห็นงานปักแล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร"ขอบคุณนะเซี่ยอันห่าว ไว้ข้ากลับมาจะเอามาแขวนไว้ที่ห้องหนังสือแน่นอน จะได้เห็นทุกวัน!"ฟู่จาวหนิงเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ"จริงหรือ?" เซี่ยอันห่าวเห็นนางดีใจ ก็เบิกบานตามไปด้วย"แน่นอน..."คำนี้ของฟู่จาวหนิงยังพูดไม่ทันจบ ก็มองเห็นรูปภาพที่ปักอยู่บนชิ้นงาน ครึ่งประโยคหลังของนางก็ติดอยู่ที่คอหอยทันที"แค่กๆๆ"นางจะชมว่าฝีมือปักของเซี่ยอันห่าวดีมากหรือ?!เสิ่นเชี่ยวเองก็เข้ามาดูด้วย น้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาแต่เดิม ก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้เพราะบนงานปักเป็นรูปคนสี่คน!ร่างสูง
"ท่านอ๋อง"ด้านนอกมีเสียงเสี่ยวเถาคารวะอ๋องเจวี้ยนดังลอดเข้ามาเซียวหลันยวนเดินเข้ามาแล้วส่วนประโยคครึ่งหลังของเซี่ยซื่อตอนนี้ก็เพิ่งจะดังขึ้นมา..."ยังไหวอยู่ใช่ไหม?"พอสิ้นเสียงนางก็เห็นอ๋องเจวี้ยนเดินเข้ามา แทบจะสำลักขึ้นทันที รีบลุกขึ้นยืน"คารวะท่านอ๋อง! อันห่าว พวกเราไปให้อาหารไก่กัน!"เซี่ยซื่อรีบพูดประโยคนี้ ดึงเซี่ยอันห่าวรีบเดินออกไปแล้วให้ตายเถอะ ตอนที่นางพูดอะไรแบบนี้ ทำไมถึงมาถูกอ๋องเจวี้ยนจับได้กัน? จาวหนิงเองทำไมไม่บอก ว่าอ๋องเจวี้ยนจะเข้ามารับนาง?ฟู่จาวหนิงไม่รู้ว่าเซียวหลันยวนจะมารับด้วยซ้ำวันนี้นางกลับมาบ้านตระกูลฟู่ เซียวหลันยวนเองก็ออกไปทำธุระแท้ๆ ทำไมถึงเข้ามาได้กัน?"ท่านมาได้อย่างไรกันนี่?"หลังจากนางถามก็รีบปิดงานปักชิ้นนั้นไว้ด้วยสัญชาตญาณแต่หลังจากทำท่าทางนี้ นางก็รู้สึกประหม่า ทำไมนางต้องมีปฏิกิริยาแบบนี้ด้วยล่ะ? ประหม่าอะไรกัน?ด้วยสมองของเซียวหลันยวน ไม่มีทางมองข้ามการกระทำนี้ของนางแน่ ยิ่งไปกว่นั้น คงคิดได้แล้วว่าเจ้าสิ่งนี้มีอะไรผิดปกติแล้วก็ตามคาด สายตาของเซียวหลันยวนตกไปอยู่บนของขวัญชิ้นนั้นเสิ่นเชี่ยวเองก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกใน
ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่ ตอนนี้คนก็แวะเข้ามาหาแล้ว ฟู่จาวหนิงจึงเตรียมจะไปพบที่โถงหน้า"ท่านจะไปด้วยกันไหม?" ตอนนางออกประตูยังหันหน้ากลับมามองเซียวหลันยวน"ไปสิ ภรรยาสั่งแล้วสามีก็ต้องทำตาม" เซียวหลันยวนหยิบหน้ากากขึ้นมาสวมอีกครั้งฟู่จาวหนิงรู้สึกขำๆเรื่องแบบนี้ยังจะใช้คำว่าภรรยาสั่งสามีต้องทำตามอีกหรือ?นางเหลือบมองหน้ากากเขาผาดหนึ่ง อดถามขึ้นมาไม่ได้ "ท่านคิดจะปลดหน้ากากออกมาตอนไหนกัน?"หน้าของเขาหายดีแล้ว ตอนนี้ยังจะสวมหน้ากากเอาไว้ทำไมกัน? หรือว่าสวมจนชินแล้ว ตอนไม่มีหน้ากากก็ไม่รู้จะพบกับผู้คนอย่างไร?"ยังไม่ถึงเวลาน่ะ""เวลาอะไรหรือ?"จะปลดหน้ากากยังต้องมีเวลาอีกหรือ?"กลับไปจะบอกเจ้านะ" เซียวหลันยวนจูงมือนางและตอนนี้เอง ฮูหยินอู๋กำลังนั่งอยู่ที่โถงหน้าของบ้านตระกูลฟู่ จ้องมองภาพที่แขวนอยู่บนกำแพง สายตาตกอยู่บนลายนามที่อยู่บนรูปรูปใบนี้ฟู่จิ้นเชินเป็นคนวาด ลายนามนั้นจึงเป็นชื่อของเขาเฉินซานเฝ้าอยู่นอกประตูโถง ยื่นหัวเหลือบมองเข้ามาด้านใน ฮูหยินอู๋ก็หมุนตัวกลับมาพอดี สายตาถูกเขาจับได้ เหมือนมีความคมกริบอยู่หน่อยๆภาพนี้ทำไมถึงมีสายตาแบบนี้?เฉินซานใจสั่นกึก พอกำลั
เป็นคนชั้นสูง แล้วยังสวยขนาดนี้ เฉินซานน่าจะรู้จักตัวตนของอีกฝ่ายถึงจะถูกเฉินซานเข้าใจสายตาซักถามของนาง เขาส่ายหัว แสดงออกมาว่าไม่รู้จักไม่ใช่แค่ไม่รุ้จัก กระทั่งสกุลอู๋นี้ ฮูหยินอู๋ เขาก็เหมือนไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยดูแล้วเหมือนจะไม่ใช่คนของเมืองหลวงตอนนี้ฟู่จาวหนิงจึงมองไปทางเซียวหลันยวน เซ๊ยวหลันยวนกลับกำลังมองมาที่นาง ข้างหูของฟู่จาวหนิงก็มีสื่อเสียงรหัสลับส่งเข้ามา"หนิงหนิง ระวังหน่อย หญิงสาวคนนี้ เป็นไปได้มากว่าจะเป็นคนที่วางยาพิษคนคนนั้น"คนคนไหน?ฟู่จาวหนิงครุ่นคิด จึงเข้าใจว่าเขาพูดถึงใครคนที่วางยา 'มหารัญจวน' ใส่จูเฉียนเฉี่ยนหรือ?หรือก็คือ อาจจะเป็นคนของลัทธิเทพทำลายล้าง?ถ้าหากเป็นนางจาิง เช่นนั้นนางก็กล้าหาญมาก วางยามหารัญจวนใส่จูเฉียนเฉี่ยน ให้จูเฉียนเฉี่ยนมารังควาญพ่อนาง ตอนนี้ตัวเองก็ยังกล้ามาหาถึงที่อีก?ถ้าไม่ได้มีเบื้องหลังดีจนไม่กลัว ก็น่าจะเป็นคนฝีมือดีจึงกล้าหาญกระมัง?ฟู่จาวหนิงไม่สนใจ"อนุผู้ต่ำต้อยอย่างข้านามสกุลอู๋ คารวะอ๋องเจวี้ยน พระชายา"ฮูหยินอู๋คารวะทักทายมาทางพวกนางทั้งที่เป็นแค่การคารวะง่ายๆ แต่นางก็ทำออกมาได้ดูมีเสน่ห์ยวนใจ ทำให้คนร
"พระชายาเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ ข้าชอบพระชายามาก""ขอบคุณที่ท่านชอบ" ฟู่จาวหนิงเก็บรอยยิ้มลงมา "เช่นนั้นฮูหยินอู๋ก็อธิบายเจตนามาเถิด เชื่อว่าอูหยินอู๋คงจะหาข่าวมาแล้ว ว่าข้าเพิ่งกลับมาจากเมืองเจ้อ เหนื่อยมาก ดังนั้นไม่มีเวลากับอารมณ์มาเล่นใบ้คำกับคนแปลกหน้าที่นี่"ฟู่จาวหนิงพูดออกมาตรงๆนี่เท่ากับบอกฮูหยินอู๋ว่า พวกเขาเดาตัวตนฐานะนางได้แล้ว รู้ว่าก่อนหน้านี้นางทำอะไรมา จนทำให้จูเฉียนเฉี่ยนโดนพิษมหารัญจวนเข้า จนเกือบได้ไปพัวพันกับฟู่จิ้นเชินแล้วยิ่งไปกว่านั้นยังแสดงท่าที ว่าพวกเขาตอนนี้ตั้งตัวเป็นศัตรูอยู่ ไม่ต้องเปลืองแรงเสแสร้งแล้ว แล้วก็ไม่ต้องคิดจะตีสนิท มีเรื่องอะไรก็พูดมาฮูหยินอู๋ตอนนี้ก็เหมือนจะปรับตัวกับความตรงไปตรงมาของฟู่จาวหนิงได้แล้วลักยิ้มที่มุมปากนางเดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือน "พระชายา ข้ายอมรับ ว่าระหว่างทางที่มาเมืองหลวงเจอเข้ากับแม่นางจูจริงๆ ได้ยินความในใจของแม่นางจูมา ดังนั้นจึงช่วยนางไป"เซียวหลันยวนสบตากับฟู่จาวหนิงผาดหนึ่งพวกเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าตู้ถังจะสารภาพตรงๆ ขนาดนี้ ยอมรับว่าเรื่องนั้นนางเป็ฯคนทำนางไม่กังวลว่าตัวตนสาวกลัทธิเทพทำลายล้างของตนเองจะถูกเปิดเผย
ฟู่จาวหนิงรู้สึกนับถือฮูหยินอู๋จริงๆ ขณะเดียวกันก็ไม่เข้าใจด้วยว่านางคิดจะทำอะไรกันแน่แต่นางก็สังเกตได้ถึงจิตสังหารที่ทะลักออกมาของเซียวหลันยวนได้อย่างรวดเร็วฟู่จาวหนิงยื่นมือไปกดหลังมือเซียวหลันยวนไว้ เขาพลิกมือมากุมมือนาง เก็บจิตสังหารลงมาลัทธิเทพทำลายล้างส่งคนมาไล่สังหารสามีภรรยาฟู่จิ้นเชิน ไม่ใช่เพราะเรื่องที่วางยาเขาตอนนั้นหรือ? พอพูดถึงความแค้นนี้ เขาก็แทบจะควบคุมไม่อยู่"ลัทธิเทพทำลายล้างนี่ดีเสียจริง"เซียวหลันยวนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงสงบคำหนึ่งนี่เป็นประโยคแรกที่เขาพูดขึ้นมา ฮูหยินอู๋มองเขา แม้น้ำเสียงประโยคนี้ของเขาจะค่อนข้างสงบ แต่นางก็ยังฟังออกว่ามีความเย็นเยียบซ่อนอยู่ด้านในประโยคนั้นของเซียวหลันยวนยังพูดไม่จบ เขานั่งยองลงมาแล้วเอ่ยต่อว่า "ดังนั้นลัทธิเทพทำลายล้างตอนนี้ถึงได้กำเริบเสิบสานนัก คิดจะอธิบายสาเหตุที่วางพิษใส่ข้าในตอนนั้นให้ชัดเจนแล้วหรือยัง?"เรื่องนี้จึงเปิดออกมาอย่างตรงไปตรงมาสมเป็นลัทธิเทพทำลายล้างจริงๆ ไม่หลบไม่เลี่ยงอีกแล้ว"อ๋องเจวี้ยน ตอนแรกข้าขออธิบายหน่อย เรื่องในตอนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้าเลย ตอนนั้นข้าเพิ่งจะกี่ขวบเอง? ยังไม่ได้เข้าร่วมล
ฟู่จิ้นเชินมองฮูหยินอู๋ผาดหนึ่ง มีสีหน้าประชดประชันขึ้นมา"ฮูหยินอู๋ฆ่าสามีตัวเองแล้วหนีออกมาหรือ?"พรวดประโยคนี้แทบจะทำให้ฟู่จาวหนิงสำลักนี่มันเรื่องอะไรกัน?"ท่านพ่อรู้จักนางหรือ?"นี่ทำให้พวกเขาตกตะลึงมาก คิดไม่ถึงว่าฟู่จิ้นเชินไม่ใช่แค่เคยได้ยินชื่อผู้คุมกฏซ้ายของลัทธิเทพทำลายล้าง แต่ยังรู้จักฮูหยินอู๋แปลกๆ คนนี้ด้วยยิ่งไปกว่านั้นแค่ประโยคสั้นๆ ประโยคเดียว ก็มีปริมาณข้อมูลอยู่ไม่น้อยเขาไม่ใช่แค่รู้จักนาง แต่ยังรู้เรื่องส่วนตัวนางด้วย? ฆ่าสามีหรือ?"ฮูหยินอู๋คนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา "ฟู่จิ้นเชินเดินผ่านข้างตัวฮูหยินอู๋ไป นั่งลงอีกด้านของฟู่จาวหนิง "นางเป็นฮูหยินของเจ้าแท่นบูชาที่มีชื่อคนหนึ่งของลัทธิเทพทำลายล้าง และเจ้าแท่นบูชาคนนั้นเดิมทีก็มีความเป็นไปได้ที่จะมานั่งในตำแหน่งผู้คุมกฏขวาด้วย"ฮูหยินอู๋หันตัวกลับมา มองฟู่จิ้นเชินอย่างตกตะลึงเช่นกันมองปฏิกิริยาของนาง ก็เหมือนจะไม่รู้ว่าฟู่จิ้นเชินจะรู้เรื่องของตัวเองมากขนาดนี้ทั้งสามคนที่นี่ล้วนถูกฟู่จิ้นเชินทำให้ตกตะลึงนิ่งไปแล้ว จนต้องฟังเขาพูดต่อไป"ช่วงปีนั้น จานเหลียนเหริ่นส่งคนไปจับข้ากับเสิ่นเชี่ยวอยู่ตลอด แต่เจ้าแ
ฮูหยินอู๋สีหน้าดูปั้นยากขึ้นหน่อยๆแต่ความอดทนของนางเองก็ไม่เลวเลย เป็นแบบนี้ แต่สายตายังคงไม่หลบไม่หลีก ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีความประหม่าอีกด้วยตอนที่ฟู่จิ้นเชินพูดจบแล้วมองเข้ามา นางก็ยิ้มตอบมาคำหนึ่ง"เหล่านี้คือการคาดเดาของคุณชายฟู่ ข้ากับพี่ชายก็รักกันดีจริงๆ แต่ความรักกับสามีเองก็ไม่ใช่จะแย่อะไร"พูดคำเหล่านี้ ฮูหยินอู๋ก็ยังดูอ่อนแอไร้ที่พึ่งอยู่ แม้นางจะดูงดงามมากจริงๆ ทำท่าทางอ่อนแอออกมาก็ไม่ได้ดูน่าสงสารขนาดนั้น แต่ดูไร้เดียงสาอย่างเห็นได้ชัด"การทะเลาะกันระหว่างสามีภรรยาไม่มีอะไรแปลกนี่ ทะเลาะกันเสร็จแล้วคืนดีกันไม่ใช่เรื่องปกติหรือไร? เขาก็พูดมาแล้ว ว่าเรื่องของพี่ชายข้าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา ข้าเองก็ไม่ได้คิดว่าความตายของพี่ชายคือความรับผิดชอบของเขา ยิ่งวางยาพิษฆ่าเขาไม่ได้เลย""เจ้าแท่นบูชาอู๋จะเป็นเจ้าฆ่าหรือไม่ อันที่จริงข้าก็ไม่ได้สนใจ" ฟู่จิ้นเชินเอ่ยขึ้นเสียงเรียบเขาแค่อยากบอกเซียวหลันยวนกับฟู่จาวหนิงเท่านั้น ว่าฮูหยินอู๋คนนี้เป็นคนเช่นไรฮูหยินอู๋เองก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าฟู่จิ้นเชินจะรู้รายละเอียดมากขนาดนี้นี่มันทำแผนนางปั่นป่วนไปหมด
เขามองไปทางเจ้าอารามอีกครั้ง น้ำเสียงเข้มงวดขึ้นมา"ท่านน้าเฉิงถ้าพูดแบบนี้จริง เช่นนั้นสายตานางก็ตื้นเขินไม่รู้จักกาลเทศะ นางเองก็ไม่เข้าใจจาวหนิง และยิ่งไม่เข้าใจว่าจาวหนิงผ่านอะไรมาบ้าง แล้วมีสิทธิ์อะไรถึงใช้ความคิดของตัวเองมาสรุป ดูท่าหลายปีนี้คงถูกเอาอกเอาใจในเมืองจื่อซวีจนเสียคนแล้วจริงๆ"เดิมทีเขาได้ยินว่าฮูหยินเฉิงตาแดงก่ำลงจากเขาไป ยังเคยคิดว่าว่าเพราะช่วยนี้เย็นชากับนางมากเกินไปหรือเปล่า เอาไว้ตอนที่จะกลับ พอผ่านอุทยานเขาเฉิงอวิ๋น ยังคิดจะเข้าไปบอกลานางเสียหน่อยแต่ตอนนี้เขารู้สึกแล้วจริงๆ ว่าใจคนมันพังไปแล้ว เช่นนั้นก็ยากที่จะได้รับการเคารพจากคนอื่นจริงๆ"ข้าจดจำได้ว่าตอนที่ข้ายังเล็กท่านน้าเฉิงเคยมาดูแลอยู่หลายครั้ง แต่อันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น หลังจากข้าโตมา พวกเราก็เจอกันน้อยครั้งมาก เจอกันก็เพียงแค่ทักทาย ข้าเรียกนางว่าท่านน้า ก็เพราะเคยชินมาจากตอนเด็กเท่านั้น"เซียวหลันยวนตอนพูดถึงจุดนี้น้ำเสียงก็เย็นลงมา"ตอนยังเล็กนางดูแลข้ามาหลายครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาเจ้าอุทยานกำชับไว้ ข้าจึงเคารพนาง แต่นางก็ควรวางตัวให้ถูก ไม่ใช่จะขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสของข้าจริ
สายตาที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองเซียวหลันยวนดูซับซ้อนมาก ดูลังเล กำลังตัดสินใจและดูเจ็บปวดทรมานมากแต่หลังจากนี้นางกลับละทิ้งเรื่องที่จะกลับเมืองหลวงหาคนอื่นหรือกระทั่งเรื่องไปแคว้นหมิ่น แล้วิคดจะอยู่ข้างกายเจ้าอารามแทนหรือ?นี่มัน...ฟู่จาวหนิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนความคิดกะทันหันของนางมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรตอนนี้นางกลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็นต่อวัดคะเนดารานี้เสียแล้ว องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นสัมผัสได้ถึงอะไรกันนะ?"องค์หญิงใหญ่พักอยู่ที่นี่สองสามวันก่อนก็ได้ เอาไว้ค่อยว่ากัน"เจ้าอารามเหลือบมองกระจกทรงมุมที่แสงดับไปแล้วผาดหนึ่ง จากนั้นก็มองใบหน้าองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แอบถอนหายใจในใจเขาเองก็ทำไม่สำเร็จ บิดชะตาฝูอวิ้นกลับมาไม่ได้ชั่วคราวผิดพลาดตรงไหนกันแน่นะ?เจ้าอารามมองต่อไปทางฟู่จาวหนิง จากการทำนายส่วนตัวของเขา ทำนายไปทำนายมา ต้นกำเนิดตัวแปรทั้งหมดก็คือฟู่จาวหนิงดังนั้น เรื่องที่เกี่ยวกับฟู่จาวหนิง เขาต้องมาขบคิดให้ดีจริงจัง""เจ้าอารามรับข้าไว้เถอะ แม้ข้าจะทำอะไรไม่เป็นเลย แต่ก็ยังเรียนรู้ได้ ข้าเรียนรู้ทำกับข้าว จริงด้วย ข้าเป็นแแม่สื่อได้ด้วยนะ หลังจากนี้ชายเส
บนพื้นมีสามจุดเปล่งแสงขึ้นรางๆ ปรากฏรูปร่างสามแบบคือ แปดเหลี่ยม ทรงกลม ทรงมุมฟู่จาวหนิงเดินเข้าไปสองก้าว จึงพบว่านั่นเป็นกระจกหลากสีเรียบลื่นสามชิ้นสลักฝังอยู่บนพื้น ใต้กระจกน่าจะเป็นหินหยกผิวเรียบ และระหว่างหยกกับกระจกมีของเหลวสีแดงเจือสีเงินไหลเอื่อยๆ อยู่ยิ่งไปกว่านั้น เพียงไม่นาน ด้านบนยังมีแสงระยิบเหมือนดวงดาว ราวกับจำลองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวออกมาเจ้าอารามเดินเข้าไปใกล้ กวักมือให้กับองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น"มานี่"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็ค่อนข้างว่าง่าย เดินเข้าไปทันทีเจ้าอารามส่งลูกปัดหยกสีดำเม็ดหนึ่งให้นาง"นั่งขัดสมาธิ กำลูกปัดเม็ดนี้ไว้ สัมผัสดูว่ามันนำเจ้าไปยังมิติดาราไหน แล้วจงชี้ออกมา"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ทำตามที่เขาบอกนั่งลงขัดสมาธิบนพื้น สองมือกุมลูกปัดนั้น ตั้งสมาธิสัมผัสผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงหันหลังอย่างลังเลไปทางทรงมุมนั้น"ทางนี้"ฟู่จาวหนิงยืนมองอยู่ข้างๆจากที่นางเห็น เจ้าอารามเหมือนคนที่กำลังเล่นละครหลอกคนอย่างไรอย่างนั้น เรื่องแบบนี้จะทำนายดวงชะตาออกมาได้อย่างไร?กำลูกปัดลูกหนึ่งไว้ ก็สามารถชักนำให้ตนเองเลือกกระจกหลากสีแผ่นไหนแบ
ดาวสองดวงนั้นประกายจ้ามาก แล้วยังอยู่ใกล้มากด้วย ส่องประกายให้กันและกัน เหมือนขานรับกันและกันไม่รู้เพราะอะไร พอเห็นดาวสองดวงนี้ ฟู่จาวหนิงรู้สึกมีความสุขขึ้นมานางมองไปทางเซียวหลันยวน ถามขึ้นเสียงแผ่วเบา "ท่านเห็นดาวดวงไหนหรือ?"เซียวหลันยวนไม่ตอบ แต่กุมมือนางมัน จับนิ้วนางชี้ออกไป"เอ๋?"ที่เซียวหลันยวนชี้ก็คือดาวสองดวงนั้น!หรือพวกเขาจะมองเห็นแบบเดียวกัน?แน่นอนว่าอาจจะเพราะดาวสองดวงนั้นสว่างไสวมากที่สุด คนอื่นเองก็อาจจะมองเห็นพวกมันด้วยฟู่จาวหนิงคิดเช่นนี้ เลยมองไปทางองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แต่กลับเห็นนางมองไปทางอื่นนางมองไล่ตามสายตาองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไป ตรงนั้นมีดาวดวงหนึ่ง สว่างอยู่เหมือนกัน แต่ดาวที่อยู่รอบๆ เล็กเอามากๆ จึงส่องระยับอยู่เพียงดวงเดียวที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองอยู่น่าจะเป็นดวงนั้นกระมัง?ตอนที่นางจะเก็บสายตาก็กวาดไปเห็นซางจื่อพอดี และเห็นซางจื่อก็กำลังมองท้องฟ้า แต่สายตาของเขาดูสับสน สีหน้าเองก็ตกตะลึงไปฟู่จาวหนิงคิดๆ ถอยหลังสองก้าวไปอยู่ข้างๆ ซางจื่อซางจื่อเก็บสายตากลับ มองไปทางนาง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ นางก็มาอยู่ข้างๆ"ซางจื่อ เจ้าชอบดาวดวงไหน?"ซา
"แต่ก่อนท่านเคยเห็นเขาระบำมาก่อนไหม?""ไม่มีเคยเลย"ตอนที่พวกเขาหยุดเท้ายืนมอง องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็มาถึงข้างกายพวกเขานางเองก็มองการร่ายรำบนแท่นชมดาว สายตาดูเคลิบเคลิ้มหน่อยๆ"ข้าได้ยินว่า แต่ก่อนตงฉิงก็มีระบำทำนายดวงดาวอยู่ประเภทหนึ่ง คิดค้นขึ้นมาโดยตระกูลราชครูตงฉิง นี่เป็นระบำที่ลึกลับมาก จังหวะก้าวเท้าทุกก้าวล้วนพิถีพิถัน นำมาซึ่งพลังแห่งดวงดาว ทำให้ผู้ทำนายดวงดาวมีพลังที่ลึกลับมากขึ้น ผลลัพธ์การทำนายเองก็แม่นยำขึ้น"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเองก็ลืมสิ่งที่เซียวหลันยวนพูดไว้เมื่อครู่ เรื่องที่ไม่ให้นางเข้ามาใกล้นัก แต่มายืนอยู่ข้างกายพวกเขา พูดเรื่องที่ตนเองรู้มาก่อนหน้านี้ออกมาอย่างอดไม่อยู่"ตระกูลราชครูของตงฉิง?" ฟู่จาวหนิงเหลือบมองนางผาดหนึ่ง"ใช่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้ยินองค์จักรพรรดิของข้าบอกมา" องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นพอเห็นว่านางยอมพูดกับตนเอง ก็รู้สึกเหมือนได้รับเกียรติจนประหลาดใจขึ้นมา "ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ได้ยินว่าองค์จักรพรรดิข้าค้นหาตระกูลราชครูตงฉิงอยู่ตลอด ว่ากันว่า ตระกูลราชครูนั้นรู้ความลับมากมายของตงฉิง สามารถช่วยให้อาณาจักรมั่นคงได้ด้วย"เซียวหลันยวนร้องเฮอะขึ้นมาต้
ทางที่ไปแท่นชมดาวค่อนข้างคดเคี้ยว สองข้างทางก็ปลูกต้นเหมยอยู่ไม่น้อย พอถูกแสงจันทร์ส่องกระทบ เงาทอดจากกิ่งไม้ก็นาบไปบนกำแพงขาว ราวกับเป็นภาพหมึกลายน้ำที่เย็นชาภาพหนึ่งรอบด้านนิ่งสงัดเอามากๆหากมีแค่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นคนเดียว นางรู้สึกว่าตนเองคงไม่กล้าเดินถนนเส้นนี้ แม้จะไม่ได้มืดครึ้มนัก แต่มันเงียบเกินไปคืนนี้มีแสงจันทร์ยังพอไหว ถ้าหากไม่มีแสงจันทร์ ที่นี่คงจะมืดมากนางกระทั่งเคยได้ยินฮูหยินเฉิงเล่าถึงแท่นชมดาวมาแล้ว ระหว่างทางที่มาเขาโยวชิง พวกนางว่างกันมาก ฮูหยินเฉิงจึงเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับยอดเขาโยวชิงมามากมาย แล้วก็บังเอิญเสียจริง เรื่องของแท่นชมดาวเองก็เล่าให้นางฟังด้วยฮูหยินเฉิงพูดออกมาละเอียดกว่าเซียวหลันยวนเสียอีก ศิษย์คนนั้นไปแท่นชมดาวอย่างไร ทำอะไรบนนั้น แล้วพลัดตกลงไปได้อย่างไร ตกลงมาเป็นอย่างไรบ้าง เล่าออกมาอย่างละเอียดดังนั้นตอนนี้พอคิดถึงว่าต้องไปสถานที่นั้น องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นจึงรู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมานางมองไปยังคู่สามีภรรยาที่เดินเคียงบ่าไหล่ตรงหน้า ฝีเท้าก็ไม่กล้าผ่อนช้าลง แต่รีบเดินตามไปแต่ว่าเซียวหลันยวนก็ไม่ให้นางตามมาใกล้นัก แต่พอนางเข้ามาใกล้หน่อย เ
กลางดึกทั้งยอดเขาโยวชิงถูกปกคลุมไปด้วยแสงจันทร์เย็นเยียบพอเดินออกมาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นดาวถร่างเต็มฟ้า ส่องแสงระยิบระวับ ทั้งสว่างทั้งใหญ๋เพราะยอดเขาโยวชิงอยู่สูง เหมือนใกล้ชิดท้องฟ้ามากอย่างไรอย่างนั้น ดวงดาวเหล่านั้นก็ราวกับอยู่ตรงหน้า ยื่นมือไปเด็ดลงมาได้เลยแสงจันทร์สว่างไสว สายตาของพวกฟู่จาวหนิงเดิมทีก็ดีมากอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องถือตะเกียงก็มองเห็นทางได้ชัดเจนเซียวหลันยวนจูงมือฟู่จาวหนิงอารามโยวชิงเองก็เงียบมาก ในที่แบบนี้แค่แมลงร้องก็ยังได้ยินสายลมกลางคืนพัดเข้ามา ได้กลิ่นเครื่องหอมในอาราม เสียงฝีเท้าการเดินของพวกเขาดังขึ้นอย่างชัดเจนในกลางดึกนี้ฟู่จาวหนิงพอนึกถึงสิบกว่าปีก่อนเซียวหลันยวนพักอยู่ในสถานที่หนาวเย็นแบบนี้ ผ่านไปทีละวันทีละคืน ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ "แต่ก่อนตอนที่ท่านอยุ่ที่นี่ อยากจะลงเขากลับเมืองหลวงบ้างไหม?"สำหรับเด็กอายุสิบกว่าขวบคนหนึ่ง ความคึกคักทางโลกก็มีแรงดึงดูดมากอยู่กระมัง เขาเองก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นมาก่อน การออกจากในเมืองหลวงที่คึกคักมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ ความรู้สึกมันแตกต่างกันมากเกินไปแล้วยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครมาอยู่คุยกับเขา เ
ถึงตอนนั้นถ้ามีใครไม่เจียมตัว เขาจะลงมือเอง ไม่มีเกรงใจ"ขอแค่ศิษย์น้องหญิงออกไปตรวจได้ วัตถุดิบยาทุกอย่างบนเขาชิงถง ศิษย์น้องเลือกขุดได้ตามสะดวกทุกเวลาเลย ขอแค่ศิษย์น้องหญิงต้องการ ส่งจดหมายหาข้าได้ ข้าจะจัดการส่งคนออกไปหาไปขุดวัตถุดิบยามาให้"ถังอู๋เจวี้ยนหยิบป้ายตราชิ้นหนึ่งออกมาจากในอก ยื่นส่งมาตรงหน้าฟู่จาวหนิง"ป้ายตรานี้เจ้าเก็บเอาไว้ เห็นป้ายตรานี้ก็เหมือนเจอข้า หลังจากนี้ถ้าเจอคนเขาชิงถงข้างนอก เจ้าก็หยิบป้ายตรานี้มาสั่งพวกเขาทำงานได้เลย"ถังอู๋เจวี้ยนก็จริงใจพอเหมือนกันเขาเองก็ไม่ได้ปิดบังอะไร พูดออกมาตรงๆว่านางกับลุงของเขามีความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์กัน ดังนั้นคนตระกูลถังจึงถือว่านางเป็นพวกเดียวกัน"ถ้าไปถึงเขาชิงถง เหล่าผู้อาวุโสก็คงจะมอบของขวัญต้อนรับเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าเก็บไว้ก็พอแล้ว อย่างเกรงใจกับพวกเขาเด็ดขาด" ถังอู๋เจวี้ยนบอกกับฟู่จาวหนิงผู้อาวุโสพวกนั้นของเขาชิงถง ของดีดีในมือมีอยู่ไม่น้อย แต่ละคนรวยล้นฟ้ากันทั้งนั้นเขาออกมาครั้งนี้ ก็เอาคำกำชับของพวกเขามาด้วย ผู้อาวุโสเหล่านั้นให้เขาคอยสังเกตนิสัยของฟู่จาวหนิงเดิมทีถังอู๋เจวี้ยนรู้สึกว่าตนเองอาจจะไม่ชอบฟู่
ฟู่จาวหนิงนิ่งงันไปครู่หนึ่งนางพบว่า คนเหล่านี้น่าจะเกี่ยวข้องกับนางอยู่บ้างไม่มากก็น้อยน่าจะเพราะแบบนี้ นางถึงได้มาถึงที่นี่?"ขอถามหน่อยนะ น้องชายท่านตอนนี้อายุเท่าไรแล้ว?" ความสนใจของนางยังคงอยู่บนตัวคนไข้"ยี่สิบพอดี" ถังอู๋เจวี้ยนชะงักไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยต่อว่า "ส่วนข้ายี่สิบสี่""ไม่ได้ถามเจ้า" เซียวหลันยวนตอบเขามาคำถังอู๋เจวี้ยนหัวเรา แต่รอยยิ้มนี้ดูขมขื่นหน่อยๆ"ถ้าหากพวกเจ้าเห็นน้องชายข้า จะต้องมองไม่ออกแน่ เขาเด็กกว่าข้าสี่ปี แต่ภายนอกดูแล้วเหมือนโตกว่าข้าสิบปีเลย ถ้าโรคนี้ไม่ได้รับการยับยั้งบรรเทาลง เขาคงจะแก่อย่างรวดเร็วต่อไปแน่"และเท่ากับเขาเดินเข้าหาความตายไวขึ้นคำนี้เขาทนพูดออกมาไม่ได้ แต่ฟู่จาวหนิงรู้ตอนนี้นางกำลังคิด เพื่อนออนไลน์ถังอู๋เจวี้ยนในอดีตจู่ๆ ก็หายตัวไปไม่ออนไลน์ จะเป็นเพราะแก่ชราลงอย่างรวดเร็วจนถึงบั้นปลายชีวิตหรือเปล่านะ?โรคแก่ชราอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนนางก็เคยเข้าใจมาบ้าง และเคยมีการค้นคว้าไว้บ้าง แต่ถังอู๋เจวี้ยนสุดท้ายก็อยู่ไม่ถึงฟู่จาวหนิงตอนนั้นเองก็ขาดวัตถุดิบยาอยู่ไม่น้อยนางเตรียมใช้การผสานกันของจีนและตะวันตก แต่ในตัวยาของจีน มีวัต