พวกเขารู้สึกว่านี่ถึงจะเป็นสายเลือดแท้จริงของเผ่าเฮ่อเหลียน ดังนั้นคนที่มีดวงตาสีนี้ถึงจะได้รับความสำคัญและได้รับความเชื่อถือที่ราชาเฮ่อเหลียนก่อนหน้านี้ค่อนข้างปล่อยปละฟู่จาวเฟย ไม่ได้คิดจะชุบเขาให้มาสืบทอดต่อแต่เนิ่นๆ ก็เพราะฟู่จาวเฟยไม่มีดวงตาเช่นนี้เก๋อมู่กวงก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดจุดนี้เลย จนเซียวหลันยวนทักขึ้นมา เขาจึงเพิ่งนึกออกเหมือนจะเป็นเช่นนี้จริง!เขาที่เขาสังเกตเห็นโป๋จีระหว่าง อันที่จริงก็เพราะดวงตาเขาไม่เช่นนั้นโป๋จีที่แตี่งตัวเป็นประชาชนแคว้นเจาธรรมดา เขาจะมองออกได้อย่างไร"ไม่มีอะไรพูดแล้วหรือ?"เก๋อมู่กวงปากขยับ หันกลับมาเหลือบมองราชองครักษ์ที่ไม่กล้าขึ้นหน้า ในใจจู่ๆ ก็หมดเรี่ยวแรงขึ้นมาวันนี้ถ้าคิดจะดึงดันเอาตัวฟู่จาวเฟยกลับไป ดูท่านจะยากเสียแล้ว"แต่ไม่ว่าอย่างไร ฟู่จาวเฟยก็ยังเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่ ดังนั้นข้าต้องพาเขาไปสอบสวน ให้เขากับโป๋จีเผชิญหน้ากัน ถ้าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์จริง ข้าก็จะปล่อยคนทันที"เก๋อมู่กวงเจอเข้ากับสายตาของเซียวหลันยวน กัดเหงือก เอ่ยต่อว่า "ถ้าหากอ๋องเจวี้ยนยังไม่วางใจ จะส่งคนไปตรวจสอบตามไปตรวจสอบก้ได้ พวกเรา พวกเราไม่ลงโทษนอกกฏหมายอ
เก๋อมู่กวงรู้สึกว่าต้องเรียกฟู่จาวหนิงออกมา เรื่องก็น่าจะง่ายขึ้นเขารู้สึกว่าด้วยท่วงท่าของตนเอง ทหารหยาบกร้านที่คุ้มครองชายแดนมาหลายปี จะทำให้ฟู่จาวหนิงต้องกลั้นหายใจไม่กล้าส่งเสียงดังได้ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเช่นนี้ ดังั้นจึงตบลงที่ต้นขา พูดคำพูดในใจตนเองออกมาราชองครักษ์ในที่สุดก็ทนฟังต่อไม่ได้ ทำลายจินตนาการของเขาขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่"รองแม่ทัพเก๋อ พระชายาอ๋องเจวี้ยนก็กำเริบเสิบสานไม่แพ้กันเลย!""ชู่!"พอคนแรกร้องออกมา คนอื่นก็รีบชู่ใส่เขา เป็นสัญญาณว่าอย่าพูดเสียงดังนักถ้าอ๋องเจวี้ยนได้ยินเข้า ต้องมาหาเรื่องพวกเขาแน่"อ๋องเจวี้ยนปกป้องพระชายาแค่ไหนไม่รู้รึ?"เก๋อมู่กวงมองปฏิกิริยาพวกเขาแล้วก็ไม่อยากเชื่อ "ไม่ใช่สิ พระชายาอ๋องเจวี้ยนก็แค่หญิงสาวอ่อนแอคนหนึ่ง กล้ากำเริบเสิบสานขนาดนั้นเชียวหรือ?""หญิงสาวอ่อนแอ?""รองแม่ทัพเก๋ท่านเข้าใจอะไรผิดกับหญิงสาวอ่อนแอหรือเปล่า?""ใช่ ข้ารู้ว่านางเป็นหมอเทวดา วิชารักษาเก่งเกินใคร แต่นี่มันอาจจะมีส่วนที่เกินจริงหน่อยไหม? ถ้าหากคุยโม้ออกมาโดยอ้างชื่อเสียงของพระชายาอ๋องเจวี้ยน ใช้วิธีการบางอย่างเข้าร่วมสมาคมหมอใหญ่ เช่นนั้นกระทั่งวิชา
ห้องขังนั้น ก็จริง...เก๋อมู่กวงเองก็ไม่สงสังจะว่าป เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่สู้กับโป๋จี แขนของโป๋จีก็มีแผลอยู่จริงๆ"ดูแผลเขาหน่อย ถ้ามันหนักนักก็ให้ยาห้ามเลือดเสีย" ก่อนที่จะสอบสวนชัดเจน จะให้โป๋จีตายไม่ได้ยิ่งไปกว่นั้นยังต้องให้เขาตอบคำถามอีก"ขอรับ"ผู้คุมไปดูบาดแผลของโป๋จี จากนั้นจึงเห็นสิ่งแปลกปลอมชิ้นหนึ่งแหลมออกมาชิงอีดูถึงตรงนี้ก็วางใจ จดหมายนั่นถูกพบแล้ว"รองแม่ทัพเก๋อ! ในแผลนี้ยัดของเอาไว้!" ผู้คุมร้องขึ้นมาเก๋อมู่กวงตื่นเต้นขึ้นทันที รีบเดินเข้าไปดู ตรวจสอบด้วยตนเอง ดึงม้วนกระดาษนั่นออกมา"จดหมาย! ที่แท้เขาก็ซ่อนจดหมายไว้ในแผล! ฮ่าๆๆ! เจ้านี่มันใจหาญเสียจริง!"แต่จะมีประโยชน์อะไร? พระเจ้ายืนอยู่ข้างเขา นี่ไง เขาก็พบแล้วไม่ใช่เรอะ!เก๋อมู่กวงลิงโลดขึ้นมา แม้จดหมายนั่นจะชุ่มไปด้วยเลือด แต่เขาก็ยังดีอกดีใจถ้าหากบนจดหมายมีคำว่าเฮ่อเหลียนเฟยสามคำ ไม่ว่าจะเขียนอะไรไว้ ขอแค่มีชื่อนี้ เขาก็จะเข้าวังทันที!อ๋องเจวี้ยนก็จะกำเริบเสิบสานไม่ได้อีก!"ฮ่าๆๆ! คิดจะหลบรอดสายตาข้าเรอะ! อย่าหวัง!"เก๋อมกวงลิงโลดขึ้นมา กางจดหมายออกพอจดหมายกางออก ตาของเขาก็ปูดขึ้นมานี่
"เซียวหลันยวนรับปากแล้วว่าจะปกป้องเสี่ยวเฟย เช่นนั้นเขาจะไม่เกิดเรื่องอะไร"ฟู่จิ้นเชินเทน้ำให้ตนเองบ้าง ดื่มลงไปสองอึก ถึงหัวเราะเบาๆ มองฟู่จาวหนิง"เชื่อเขาขนาดนั้นเลยหรือ?""เชื่อสิ""เล่าเรื่องพวกเจ้าให้ข้าฟังบ้างสิ" ฟู่จิ้นเชินเอ่ยขึ้นมาตามสถานการณ์ฟู่จาวหนิงชะงักไป "เล่าอะไรล่ะ?""ข้ารู้คร่าวๆ ว่าพวกเจ้าเจอกันได้อย่างไร แต่งงานกันอย่างไร แต่เกิดเรื่องอะไรที่ทำให้เจ้าเชื่อใจเขาขนาดนี้ พวกนี้ไม่รู้เลย"น่าจะเพราะน้ำเสียงฟู่จิ้นเชินดูจริงใจ อยากจะรู้เรื่องราวของนางจริงๆ และเพราะเนื่องจากเพิ่งจะพูดเรื่องเฉพาะทางไปมากมาย ทำให้นางอยากจะคุยเรื่องอื่นบ้าง ฟู่จาวหนิงก็เลยเล่าออกมาจริงๆนางกับเซียวหลันยวนเหมือนจะผ่านเรื่องมาไม่น้อยเลย แต่เวลาที่ทั้งสองคนได้เปิดใจคุยกันก็ไม่นานนักแต่พวกเขาก็ผ่านความเป็นความตายด้วยกันมาไปเขาอวี้เหิงครั้งนั้น เซียวหลันยวนเกือบจะตายไปแล้วตอนที่นางถูกผู้บัญชาการกองธงมู่ที่ถูกลัทธิเทพทำลายล้างส่งมาจากต้าชื่อพาขึ้นไปบนภูเขาหิมะ เซียวหลันยวนก็หานางเจอแล้วช่วยนางไว้"อ๋องเจวี้ยนมาเจอกับเจ้า ไม่ใช่ว่าเขาก็โชคดีด้วยหรือ? ข้าได้ยินลุงเจ้าบอกว่า ถ้าไม่ม
ในเดือนหนึ่ง แถบเมืองหลวงมีฝนตกน้อยมาก น่าจะต้องรอจนถึงเดือนสองแต่ว่าตอนนี้ฟ้าจู่ๆ ก็มืดลง หม่นๆ มืดครึ้ม เหมือนฝนจะตกกลุ่มนี้ของพวกขเายังไม่มีไปรวมกับขบวนพ่อค้าของตระกูลฟาง ยังต้องเดินอีกระยะหนึ่ง ขบวนพ่อค้าตระกูลฟางรอพวกเขาอยู่ที่ริมทางด้านหน้าหลังจากรวมกันต้องเร่งระยะทางอีกครึ่งวันจึงจะไปถึงสถานที่ที่เหมาะจะพักแรม แต่ถ้าถูกฝนนี้ทำให้ล่าช้า พวกเขาคืนนี้คงจะไปกันไม่ถึง แล้วต้องเดินทางกันตลอดทั้งคืน"ไปบอกพระชายาหน่อย พวกเราต้องเพิ่มความเร็ว"อันเหนียนกลัวว่าจู่ๆ ถ้าเพิ่มความเร็วขึ้น ฟู่จาวหนิงจะสงสัย ดังนั้นจึงต้องให้คนไปแจ้งนางหน่อย"่ขอรับ"อันเหนียนครั้งนี้พาผู้ติดตามมาสองคน คนหนึ่งชื่อเสี่ยวเจียง อีกคนหนึ่งชื่อเสี่ยวเจิ้งทั้งสองคนดูแล้วฉลาดเฉลียวคล่องแคล่ว เสียวเจียงพอได้ยินคำพูดของอันเนหียน ก็รีบวิ่งไปทางรถม้าของฟู่จาวหนิง เคาะๆ กำแพงรถม้าเสียก่อน"พระชายา ท้องฟ้าดูไม่ดีเลย เหมือนฝนกำลังจะตก ใต้เท้าของข้าบอกว่าต้องเร่งความเร็วเดินทาง รถม้าอาจจะเขย่าหน่อย พระชายาโปรดให้อภัยด้วย"ฟู่จาวหนิงเลิกม่านออก พอเห็นเสี่ยวเจียง ก็มองไปยังท้องฟ้า พยักหน้าให้"เข้าใจแล้ว"เสี่
ฟู่จาวหนิงในเมื่อถามขึ้นมาแล้ว เขาจึงบอกกับนางอย่างตั้งใจ"ยังมีอีกเรื่อง ข้าอยากจะเปิดโรงศึกษา ไปเป็นอาจารย์"ฟู่จาวหนิงคิดไม่ถึงว่าเขาอยากเป็นอาจารย์สอนหนังสือด้วย"อันที่จริงตอนนั้นถ้าหากข้าไม่ได้ออกไป ข้าก็เกือบได้เดินในสองเส้นทางนี้แล้ว ถ้าหากสอบติดขั้นสูง ก็เข้าวังเป็นข้าราชการ ถ้าหากสอบไม่ผ่าน ก็จะทำโรงศึกษาเพื่อสอนผู้คน"ฟู่จิ้นเชินยิ้มๆ นั่งลงให้สบายอีกหน่อยท่าทางของเขาดูมีรสนิยมอย่างเป็นธรรมชาติ แม้จะเข้าวัยกลางคนแล้ว แต่ก็ยังดูดีมีเสน่ห์กว่าคนหนุ่มสาวเสียอีก"แต่ว่า เรื่องเหล่านี้มันก็เป็นแค่ความฝัน"คำพูดฟู่จิ้นเชินหักเปลี่ยน มองฟู่จาวหนิง "ข้าไม่รีบร้อนตั้งเป้าหมายอะไรให้ตนเอง เพราะข้ายังรู้สึกได้รางๆ ว่าช่วงสองปีนี้สำหรับแคว้นเจาของพวกเราแล้ว อยู่ในจุดเปลี่ยนที่ยากจะคาดเดา""หมายความว่าอย่างไรหรือ?"ฟู่จาวหนิงนั่งตัวตรง"องค์จักรพรรดิไม่ยอมรับอ๋องเจวี้ยน"นี่คือความจริง แต่ที่ทำให้ฟู่จิ้นเชินพูดออกมาตรงๆ ฟู่จาวหนิงเองก็ยังรู้สึกหดหู่ขึ้นมาบ้าง"ใช่ไหมล่ะ? ท่านว่าทำไมองค์จักรพรรดิถึงได้ใจแคบนักนะ? อันที่จริงเซียวหลันยวนไม่ได้คิดจะนั่งตำแหน่งนั้นด้วยซ้ำ แต่องค์
ด้านนอกรถม้าจู่ๆ มีเสียงเคาะเปาะแปะ และถี่มากฝนตกแล้วเม็ดฝนค่อนข้างใหญ่ แรงที่กระทบตัวรถม้าไม่เบาเลยเสียงพูดคุยด้านนอกก็ดังเพิ่มขึ้นมา พวกเขาล้วนตะโกนให้เร่งความเร็ว วิ่งตรงไปอีกหน่อย ลองดูว่าข้างหน้ามีจุดให้หลบฝนบ้างไหมสองฟากฝั่งถนนทางการก็โล่งโจ้ง ไม่มีต้นไม้ไม่มีเพิ่งน้ำชา ชั่วขณะหนึ่งยังหาที่หลบฝนไม่ได้หิมะแม้จะละลายไปมากแล้ว แต่ตอนนี้พอฝนตกถนนก็เป็นดินโคลนและยังเปียกลื่นด้วยพวกเขานำของมาไม่น้อย หากพลิกคว่ำไปจะสกปรกเอา"ตอนนี้ทำไมมีฝนตกได้เนี่ย?"สืออีที่ขี่ม้าอยู่ด้านนอกก็พูดกับสือซานขึ้นมา"อากาศช่วงครึ่งปีนี้เดิมทีก็ประหลาดอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นจะมีผู้ประสบภัยตั้งมากมายได้อย่างไร" สือซานถอนใจ "ไม่เช่นนั้นผู้คนจะพูดหรือว่าดวงชะตาของแคว้นเจาเดินมาถึงปลายทางแล้ว?"ดวงชะตาเดินถึงปลายทางแล้ว เช่นนั้นก็อาจจะเกิดภัยธรรมชาติหรือหายนะจากมนุษย์ได้สินะ?ถึงอย่างไรสถานที่ต่างๆ ก็ล้วนประสับภัยกัน พวกเขาทางนี้จู่ๆ ฝนตกหนักก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร"อย่าพูดจาไร้สาระ รีบเร่งเดินทางเถอะ เพิ่มความระมัดระวังด้วย" สืออีตะคอกขึ้นมาคนตระกูลฟางที่รออยู่ในวัดภูเขาแห่งหนึ่งด้าน
อันเหนียนยื่นมือไปประคองฟู่จาวหนิง แต่เขาเพิ่งยื่นมือออกไป ตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้ากับเสียงฟางซือฉิงด้านหลัง สีหน้าก็จริงจังขึ้นมา หดมือกลับไปเขาเอียงตัว ให้ฟางซือฉิงผ่านเข้าไปจากนั้นก็ส่งสายตากับฟู่จิ้นเชิน"คุณชายฟู่ เข้าไปในวัดหลบฝนก่อนเถิด" อันเหนียนเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนโยน"เชิญท่านผู้ตรวจการอัน"ฟู่จิ้นเชินส่งร่มให้ฟู่จาวหนิง ส่วนตนเองก็เข้าไปในร่มของอันเหนียนฟู่จาวหนิงกางร่ม กระโดดลงมาจากรถม้า ยื่นร่มไปกางบนหัวฟางซือฉิง "ทำไมถึงวิ่งมาที่นี่ล่ะ? ระวังเปียก""จาวหนิง" ฟางซือฉิงใช้ศอกสะกิดนาง จากนั้นมองไปทางอันเหนียน ประชิดตัวนางเอ่ยขึ้นเบาๆ "ผู้ตรวจการชิงนี่อ่อนโยนดีจัง"ภาพที่อันเหนียนกางร่ม แล้วยื่นมือไปหาฟู่จาวหนิงนั่น น่าดูจริงๆแต่นางก็กล้าคิดแค่ในใจ ไม่กล้าพูดออกมาแค่คิดเช่นนั้นก็รู้สึกผิดต่ออ๋องเจวี้ยนแล้วฟู่จาวหนิงตีนาง "ผู้ตรวจการอันโอ่นโยนกับองค์หญิงหนานฉือมากกว่าอีก""อืมอืม"ฟางซือฉินเองก็ไม่กล้าพูดมากกว่านี้"พระชายา รีบเดินเร็ว" ฮูหยินฟางกวักมือหาพวกนาง "ซือฉิงเด็กคนนี้นี่ อายุตั้งเท่าไรแล้ว ยังจะกระโดดโลดเต้นแบบนี้อีก"ยืนรออยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว จะวิ่งแจ
"ต้นผลอายุวัฒนะ?"ฟู่จาวหนิงพอเห็นสิ่งนี้ก็รู้สึกประหลาดใจ ไม่คิดว่าจะมีของแบบนี้อยู่จริงๆ?"ต้นผลอายุวัฒนะอะไร?" ฟู่จิ้นเชินเดินเข้ามาฟู่จาวหนิงส่งจดหมายให้เขา ครั้งนี้จดหมายของเซียวหลันยวนเขียนถึงสี่หน้า หน้าสุดท้ายคือคำรักที่เขาให้คนอื่นเห็นไม่ได้ แต่สามหน้าด้านหน้า ฟู่จาวหนิงไม่ติดใจที่จะให้ฟู่จิ้นเชินเห็นและเพราะในช่วงหลายวันนี้นางคุยกับคนป่วยมาก วันๆ วุ่นจนไม่ได้ดื่มน้ำ คอเองก็ปวดขึ้นมาหน่อยๆ กล่องเสียงก็แหบพร่า ตอนนี้พูดได้น้อยเท่าไรก็จะยิ่งดีอธิบายขึ้นมาต้องพูดหลายประโยคฟู่จิ้นเชินลิงโลดในใจถึงอย่างไรฟู่จาวหนิงก็ไม่เลี่ยงเขาแล้ว ยังเอาจดหมายของเซียวหลันยวนมาคุยกับเขาได้ น่าจะอธิบายได้ว่านางเองก็เริ่มเชื่อใจเขาขึ้นมาแล้วไม่เสียแรงที่ตามนางมาถึงเมืองเจ้อเพียงแต่ว่า ฟู่จาวหนิงกลับคิดไม่ถึง ว่าเขาอ่านจดหมายถเสร็จก็ให้คำตอบยืนยันกับนางมา"ผลอายุวัฒนะ มีอยู่จริงๆ มีบทบาทการบำรุงและการรักษามาก"ฟู่จาวหนิงตกตะลึง "ท่านรู้จักหรือ?"ยืนยันมาได้ขนาดนี้ เขาคงไม่ได้เคยเห็นมาก่อนหรอกนะ?"เจ้าจำเรื่องที่ข้ากับแม่เจ้าไปที่ตงฉิงมาก่อนได้ไหม?""อืม"พวกเราเดิมทีไม่ได้จะตรงไ
"อ๋องเจวี้ยน?"คนวังที่คอยเฝ้าของเหล่านี้พอเห็นเซียวหลันยวนเข้ามาก็รีบทำความเคารพขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้สึกแปลกหน่อยๆ อ๋องเจวี้ยนเข้ามาทำอะไร?"อืม"เซียวหลันยวนขานรับคำหนึ่ง มองไปยังเครื่องปั้นหยกน้ำงามเหล่านั้น"เปิดฝาให้ข้าดูหน่อย""ขอรับ" คนวังแม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธหลังจากเปิดฝาทั้งหกออก เซียวหลันยวนก็เหลือบไปทางกล่องแต่งหน้าหยกม่วงใบนั้น แล้วจึงปิดฝาลงมา แล้วอุ้มขึ้นตั้งท่าจะเดิน"อ๋องเจวี้ยน!"คนวังตกตะลึง รีบเข้ามาขวาง"อื๋อ?""อ๋องเจวี้ยน นี่ นี่ องค์จักรพรรดิให้ท่านนำไปที่ตำหนักใหญ่หรือ?" คนวังไม่กล้าเงยหน้ามองเขา ทำได้แค่ถามเขาตะกุกตะกัก"เปล่า""เช่นนั้นท่านอ๋องจะทำสิ่งนี้ไปไหนหรือ?" คนวังแทบจะร้องไห้แล้ว"กลับจวนอ๋อง""อ๋า?" คนวังยิ่งลนลานเข้าไปใหญ่ "ท่านอ๋อง นี่ นี่มันเป็นของที่ทูตแคว้นหมิ่นส่งเข้าวังมานะ...""คิดว่าข้าไม่รู้เรอะ? คณะทูตข้าก็เป็นคนไปรับกลับเมืองหลวง ดังนั้นข้าเลือกของไปสักชิ้นเป็นค่าจ้างก็ไม่ได้เกินเลยนี่ ถ้าจักรพรรดิถามมา เจ้าก็บอกกับเขาแบบนี้เลย บอกว่าข้าชอบสิ่งนี้ เลยเอามันไป"เซียวหลันยวนพูดจบ ก็เดินผ่านคนคนนั้นออกไปอย่า
หลังจากแคว้นหมิ่นส่งต้นไม้นี้แล้ว ก็ยังส่งเมล็ดพันธุ์อาหารมาให้อีกหลายชนิด สิ่งเหล่านี้ล้ำค่ามาก เพราะเป็นพืชที่ไม่มีในแคว้นเจา!ได้ยินว่าผลผลิตต่อไร่ก็ยังสูงมาก ถ้าพวกเขาสามารถปลูกได้ เช่นนั้นเรื่องเสบียงหลังจากนี้ก็จะไม่ขาดแล้ว!สิ่งนี้สำหรับคลังหลวงแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียวเพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนต้องถ่ายทอดประสบการณ์ แคว้นหมิ่นเองก็พาขุนนางเกษตรหลายคนเข้ามา คงต้องอยู่ในแคว้นเจาระยะหนึ่งองค์จักรพรรดิตอนนี้จึงคาดหวังว่าพวกเขาจะอยู่กันนานหน่อย จะได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้มานอกเหนือจากนี้ พวกเขาเองก็ต้องหาข่าวเรื่องแคว้นหมิ่นจากคนเหล่านี้ด้วยของขวัญพวกนี้ ทำให้จักรพรรดิหน้าบาน ดังนั้นจึงรับรองพวกเขาไว้ในวังราชนิเวศน์"องค์จักรพรรดิ อ๋องฉยงยังพักฟื้นอยู่ในวังราชนิเวศน์..." ขันทีรีบเตือนองค์จักรพรรดิขึ้นมาคำหนึ่ง"ข้าลืมที่ไหนเล่า? ให้อ๋องฉยงย้ายไป..." องค์จักรพรรดิคิดๆ "ข้าไม่ใช้มอบบ้านให้ท่านหญิงปิงอวี้ไปหลังหนึ่งหรือ? ให้อ๋องฉยงย้ายไปที่นั่นก่อน ให้พ่อลูกได้อยู่ด้วยกันด้วย มีลูกสาวกับภรรยาผู้น้อยดูแล ก็ไม่ได้แย่กว่าสาวใช้หรอกนี่?""องค์จักรพรรดิปราดเปรื่องนัก"ดังนั้
ผลอายุวัฒนะ!"ผลชนิดนี้ ไม่ใช่ปรากฏแค่ในหนังสือที่เล่าเรื่องในตำนานหรอกหรือ?" มีขุนนางใหญ่สงสัยขึ้นมา"ใต้เท้าคำนี้กล่าวผิดไปแล้ว คนที่บันทึกหนังสือไม่มีทางเขียนอะไรมั่วซั่วแน่นอน ในเมื่อหนังสือยังมีการพูดถึงผลอายุวัฒนะ เช่นนั้นก็ต้องมีผลไม้ชนิดนี้อยู่จริงๆ"หยวนกังส่ายหัว สายตาเหลือบมองไปยังขุนนางใหญ่ที่สงสัยคนนั้น สายตานั่นเหมือนกำลังบอกว่า: เจ้านี่มันความรู้ตื้นเขินเสียจริง"เพียงแต่ยาอายุวัฒนะนี้ก็ไม่ได้มหัศจรรย์สุดยอดดั่งที่หนังสือกับตำนานพรรณนาไว้ แน่นอนว่าไม่ใช่กินแค่ผลเดียวก็เพิ่มพลังภายในถึงหกสิบปี หรือกินแล้วผมขาวจะเปลี่ยนเป็นผมดำทันที ทำให้คนหนุ่มขึ้นสิบปี แล้วก็ไม่สามารถทำให้เลือดกระดูกงอกใหม่ออกมาได้ด้วย""แล้วก็เป็นแค่ชื่อหรือ?"ถ้าหากไม่ได้ยอดเยี่ยมขนาดนั้น แล้วทำไมถึงเรียกว่าผลอายุวัฒนะ"ไม่ๆๆ แน่นอนว่ามันมีสรรพคุณอยู่ สิ่งนี้ฝ่าบาทของพวกเราเคยประสบมากับตัว มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฝ่าบาทของเราจู่ๆ ก็ปวดแน่นหน้าอก หน้าขาวซีดไปในพริบตา หน้ามืด หายใจไม่ทัน นิ้วมือเองก็เริ่มชักกระตุก...""รุนแรงขนาดนั้นเชียว" องค์จักรพรรดิร้องตกใจ"พะย่ะค่ะ ตอนนั้นฝ่าบาอทของเราล้มลงไปแล้ว
"เชิงเทียนชิ้นนี้ องค์จักรพรรดิสามารถสังคนให้ลองจุดเทียนดูได้"มีคนวังเข้ามา จุดเทียนขึ้นแสงเทียนถูกหยกน้ำงามที่ใสบริสุทธิ์ส่องกระทบ จนเปล่งวงแสงเล็กๆ ออกมานับไม่ถ้วน ตัวหยกน้ำงามก็ถูกยอมไปดวงแสงระยับจับตา มองแล้วงดงามอย่างมาก"สวย สวยงามมากจริงๆ!""นี่คือกล่องแต่งหน้า ด้านบนสลักดอกนกกระเรียนที่เป็นตัวแทนความมั่งคั่งและอายุยืนของแคว้นหมิ่นเราไว้ เห็นหรือยัง? แกนกลางดอกไม้นี้เป็นสีม่วง และหยกน้ำงามชิ้นนี้ก็มีหลายจุดที่เปล่งแสงม่วงด้วย สอดคล้องกับดอกนกกระเรียนได้อย่างสมบูรณ์ กล่องแต่งหน้าทั้งใบจึงเปล่งแสงสีม่วงออกมา งดงามจับตามาก"หยวนอี้อธิบายให้กับพวกเขาอยู่ข้างๆ พูดขึ้นอย่างภูมิใจพระชายาเยว่พอได้ยินก็นั่งไม่อยู่แล้ว อย่างอื่นนางฟังอย่างใจเย็นได้ แต่พอได้ยินสิ่งที่เป็นตัวแทนของความมั่งคั่งอายุยืน แล้วยังเป็นกล่องแต่งหน้าหยกน้ำงามสีม่วง นางก็ลุกขึ้นเดินเข้ามาทันทีไม่ได้ นางต้องรีบดูเสียหน่อยพอมองไป กล่องแต่งหน้าหยกน้ำงามสีม่วงนี้ดูซับซ้อนและหรูหรามาก จุดกึ่งโปรงใสนั่น แสงม่วงวิบวับ งดงามจนส่องประกายในตานางสวยมากเลย!นี่เป็นของชิ้นเดียวในแคว้นเจาแน่นอน!ของที่งดงามขนาดนี
องค์จักรพรรดิพอรับหมอหญิงสองคนนี้ ก็ให้คนพาพวกนางไปที่วังหลังทันทีพระชายาเยว่แทบจะทำเล็บตัวเองหักแล้วนางสูดหายใจลึก ดวงตาเต็มไปด้วยความชิงชัง แต่ก็ข่มระงับเอาไว้อย่าคิดว่าประโยคเมื่อกี้นางไม่ได้ยินนะ นางอยู่ใกล้องค์จักรพรรดิมากที่สุด ต่อให้เป็นหมอหญิงอะไรนั่น? ก็ไม่ควรมาวุ่นวายในวังไหม?แต่ว่าสายตานางกวาดไปยังเหล่าขุนนาง กลับพบว่าบนหน้าพวกเขาล้วนมีสีหน้าชื่นชอบกันทั้งนั้นผู้ชายเฮงซวยพวกนี้ ล้วนรู้สึกว่าหมอหญิงจากแคว้นหมิ่นนี้ส่งมาได้ดีมาก!พระชายาเยว่มองไปทางอ๋องเจวี้ยน แต่หน้ากากบนหน้าเขานั้นก็เกะกะเสียจริง มองไม่เห็นหน้าตาของเขาเลย และไม่รู้ว่าเขาเป็นเหมือนพวกผู้ชายคนอื่นไหม ที่จะน้ำลายไหลต่อหมอหญิงเอวบางสองคนนั่น"องค์จักรพรรดิแคว้นหมิ่นก็เกรงใจจริงๆ ดูท่าแคว้นเจาพวกเราคงต้องเรียนรู้จากแคว้นหมิ่นบ้างแล้ว ผลักดันเรื่องหมอหญิง" องค์จักรพรรดิพูดมาคำหนึ่งเหล่าขุนนางทยอยกันขานรับ"มีหมอหญิงไว้ก็ไม่เลวจริงๆ""พวกเจ้าหลังจากกลับไปก็ลองดูลูสาวว่าสนใจเรียนแพทย์ไหม" องค์จักรพรรดิมองเซียวหลันยวน "ถึงตอนนั้นก็ให้พระชายาอ๋องเจวี้ยนรับศิษย์เสีย ร่ำเรียนวิชาแพทย์กับพระชายาอ๋องเจวี้ย
คณะทูตเข้ามาในตำหนักใหญ่"หยวนกังทูตจากแคว้นหมิ่น คารวะองค์จักรพรรดิแคว้นเจา!"หยวนกังพาลูกชายเข้ามา พ่อลูกทั้งสองคนล้วนประสานมือคารวะกับองค์จักรพรรดิ ไม่ได้ลงขุกเข่าโขกศีรษะพระชายาเยว่มององค์จักรพรรดิ เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว "ฝ่าบาท ทูตไม่คุกเข่าหรือ?"ที่ไม่คุกเข่าด้วยยังมีอ๋องเจวี้ยนอีกอ๋องเจวี้ยนพเข้ามาก็เอาแต่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไรเลยสักคำเดียว นี่คือเมินองค์จักรพรรดิอย่างสมบูรณ์พระชายาเยว่เองก็ขัดตามาก แต่นางก็ไม่กล้าพูดอะไร"ไม่คุกเข่าก็ไม่คุกเข่าสิ"องค์จักรพรรดิแม้จะรู้สึกไม่ค่อยชอบใจ แต่เขาก็ไม่คิดจะทำให้ทูตแคว้นหมิ่นดูแย่ตั้งแต่พบเขาหัวเราะร่า พิจารณาพ่อลูกหยวนกัง "ทูตหยวน แล้วคนนี้คือ?""กระหม่อมหยวนอี้""เป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาจริงๆ" องค์จักรพรรดิรีบชมขึ้นมา"ขอบพระทัยฝ่าบาท" หยวนอี้ขานรับมาทันที"ทั้งสองท่านเหน็ดเหนื่อยเสียแล้ว ข้าได้ยินว่าพวกท่านจะมา จึงค่อนข้างเบิกบาน สั่งให้คนไปเตรียมอาหารและสุราเลิศรสไว้แล้ว รอพวกท่านไปพักผ่อนกันก่อน ค่ำๆ พวกเราค่อยมาชมระบำร่ำสุรา แล้วค่อยคุยกัน!"องค์จักรพรรดิพูด มองออกไปด้านนอกตำหนักได้ยินว่ามีรถม้าหลายคันนี่นา เอาอะไ
เขาไม่หยุด เดินขึ้นรถม้าไปชิงอีคารวะให้กับพ่อลูกหยวนกัง ทำสัญญาณมือ "เชิญ" "ใต้เท้าทูต คุณชายหยวน เชิญ"ทางนั้น เยว่เจียกุ้ยเดิมทียังรอให้เซียวหลันยวนผิดใจกับทูต ให้สองฝ่ายปะทะกันขึ้นมาเมื่อครู่เขามองออกไป แม้จะไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกัน แต่ชัดเจนมาก ท่าทีของอ๋องเจวี้ยนไม่ได้มีไมตรีเลยออกจากเมืองมาต้อนรับ พูดแค่คำสองคำก็หมุนตัวขึ้นรถม้าเนี่ยนะ?แต่คิดไม่ถึงว่าทางกลุ่มทูตจะไม่มีความเห็นอะไร กลับขึ้นรถม้าไปใหม่จริงๆ ขบวนก็ติดตามรถม้าอ๋องเจวี้ยนไปยังเมืองหลวง"เร็ว พวกเราก็ตามไปด้วย"ชาและของว่างจากในวังที่เขานำมา แล้วก็สาวงามที่เขาเลือกมาอย่างดี ล้วนไม่ได้ส่งออกไปเลยนี่คงต้องหาโอกาสใหม่สินะ?ทูตแคว้นหมิ่นพอออกเดินทาง ก็เข้าเมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่นี่ยังมีอ๋องเจวี้ยนออกไปต้อนรับด้วยเหล่าประชาชนล้วนรู้สึกอยากรู้อยากเห็นต่อแคว้นหมิ่น ดังนั้นสองฟากถนนจึงแน่นด้วยผู้คน ล้วนอยากมาเห็นว่าคนของแคว้นหมิ่นหน้าตาเป็นอย่างไรก่อนหน้านี้เพราะโรคนั้นของชินอ๋องเซียว ทุกคนล้วนกลัวติดโรคระบาด บรรยากาศเมืองหลวงถูกกดลงไปช่วยหนึ่ง และเพราะได้ยินเรื่องผู้ประสบภัยเมืองเจ้อ พวกเขาเองก็กังวลว่า
"ข้าคือหยวนกัง ได้รับพระราชโองการจากองค์จักรพรรดิ ให้เป็นทูตมายังแคว้นเจา""ใต้เท้าหยวนเป็นแม่ทัพบู๊หรือ?" เซียวหลันยวนามออกมาตรงๆ"ฮ่าๆๆ" หยวนกังหัวเราะร่าออกมา "ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าพอเห็นข้า จะต้องประหลาดใจ ถูกต้อง ข้าคือขุนพลบู๊ เพราะจากแคว้นหมิ่นมายังเมืองหลวงแคว้นเจาค่อนข้างไกล ต้องเดินทางนาน ลมพายุหิมะอะไรอีก เกรงว่าร่างกายข้าราชการพลเรือนจะไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น จึงทำได้แค่ส่งแม่ทัพบู๊เข้ามา"แบบนี้เองหรือ?"แต่ว่า ข้าเองก็ได้ทั้งบู๊บุ๋นนะ ไม่ใช่แค่หยาบกระด้างอย่างเดียว"ชิงอีมองหยวนกังอย่างอยากรู้อยากเห็น ใต้เท้าทูตคนนี้ความมั่นใจในตนเองแข็งแกร่งมาก ยังกล้าชมตนเองแบบนี้ด้วย"ท่านพ่อ"ชายหนุ่มข้างกายหยวนกังคนนั้นส่งเสียงขึ้นพวกเขามองข้ามเขาไปเลยหยวนกังจึงเอ่ยขึ้น "จริงด้วย รู้จักกันหน่อย นี่คือลูกชายข้า หยวนอี้! เขามาเพราะท่านเลยนะ!""มาเพราะข้าหรือ?"เซียวหลันยวนตอนนี้จึงมองไปทางหยวนอี้เขารูปร่างสูงแต่ไม่เท่าคนพ่อ รูปร่างเล็กกว่าพอควร แต่คิ้วตาคมคาย หล่อเหลาเอาการ"ใช่แล้ว ข้าได้ยินชื่อเสียงของอ๋องเจวี้ยนมานาน จึงอยากมาเห็นกับตาสักครั้ง อ้อนวอนท่านพ่ออยู่นา