จ้าวหมิงใจสั่นวาบพวกเขาถ้ายังล้อมที่นี่ต่อ แล้วเกิดการปะทะกันขึ้นมา ก็คงจะจัดการได้ยากจริงๆนี่คือถ้าเป็นบ้านคนอื่น คนในที่ว่าการอย่างพวกเขา จะกลัวอะไรกับแค่พวกคนคุ้มครองเรือน? แต่ที่นี่คือบ้านตระกูลฟู่ ฟู่จาวหนิงตอนนี้ไม่ใช่แค่พระชายาอ๋องเจวี้ยนแล้ว นางยังเข้าร่วมกับสมาคมหมอใหญ่แล้วด้วยนะจากที่เขารู้ ถ้าไม่ใช่เพราะองค์จักรพรรดิสร้างความลำบากหลังจากที่ฟู่จาวหนิงกลับมาถึงเมืองหลวงล่ะก็ เอาแค่เรื่องที่นางเข้าร่วมสมาคมหมอใหญ่จนกลายเป็นหมอเทวดา ก็เพียงพอที่จะทำให้คนไม่น้อยอยากยื่นเทียบเชิญให้นางแล้ว เชิญนางไปกินเลี้ยงเป็นแขกตอนนี้หมอเทวดาคนไหนก็ตามที่เข้าร่วมสมาคมหมอใหญ่ ตัวตนฐานะล้วนสูงส่งอย่างมากอคง์จักรพรรดิเองก็ยังไม่ได้บอกว่าจะทำอะไรกับนาง"ไป กลับ" จ้าวหมิงทำได้แค่ออกคำสั่ง พาคนกลับไปเขาเองก็รีบไปหาอ๋องอี้ อ๋องอี้อันที่จริงอายุยังน้อยอยู่มาก เพิ่งจะสิบหกเท่านั้น หลายปีมานี้ ตัวตนการคงอยู่ของอ๋องอี่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ทุกคนแทบจะลืมเขาไปแล้วอ๋องอี้นั้นไม่เข้าไปร่วมงานอะไรทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะสุขภาพไม่ดี หรือเพราะตระกูลทางแม่เป็นอย่างไร แต่เพราะตอนเขายังเด็กเหมือนไปเจอกับเรื่อ
เซียวจืออี้หยุดพู่กันอย่างระมัดระวัง กลัวว่าสีบนพู่กันจะหยดลงมาแล้วทำให้ภาพไม่สมบูรณ์พอเงยหน้าขึ้น ก็สบตาเข้ากับสีหน้าที่มองมาอย่างพรั่นพรึง เขาจึงเม้มปากหัวเราะ"ท่านลุง ท่านลืมแล้วเหรอ ข้าก็แค่ชอบวาดพี่สาวคนสวยแค่นั้น ไม่มีความหมายอื่นหรอก ไม่ต้องกังวล"จ้าวหมิงผ่อนลมโล่งออกมาพูดอีกก็ถูก เซียวจืออี้นั้นชอบวาดรูปสาวงามก่อนนห้านี้เขาก็วาดซ่งอวิ๋นเหยา ปีที่แล้วก็ยังวาดองค์หญิงหนานอี๋ตอนนี้จะมาวาดพระชายาอ๋องเจวี้ยนก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรกระมัง?"ถึงแม้เจ้าจะไม่มีความคิดอื่น แต่ภาพวาดเช่นนี้ถ้าถูกคนอื่นมาเห็นเข้าจะเป็นเรื่องเอานะ""ข้าจะเก็บให้ดี" เซียวจืออี้ตอบจ้าวหมิงพยักหน้า "ข้าเพิ่งจะเจอกับพระชายาอ๋องเจวี้ยนมา นางยังคงกำเริบเสิบสานเหมือนเดิม ขนาดยกจักรพรรดิออกมาก็ยังไม่เห็นว่านางจะกลัวเลย""ท่านลุงรับงานอะไรมา ทำไมต้องไปเจอนางด้วยล่ะ?" เซียวจืออี้เดินเข้ามา รินน้ำชาให้เขาด้วยตนเองจ้าวหมิงเวลาที่รู้สึกไม่มั่นคง ก็มักจะวิ่งมาหาเซียวจืออี้เพื่อคุยกับเขาสองสามคำด้วยความเคยชินหลังจากคุยจบเขาก็จะเงียบไปนาน"พระชายาอ๋องเจวี้ยนเมื่อคืนกลับไปที่บ้านตระกูลฟู่มา เมื่อ
อย่างน้อย พอถึงเวลาถูกคนอื่นลือออกไป ทุกคนก็จะรู้ว่าเขาอยู่ฝ่ายไหนถ้าหากเขาพูดให้รุนแรงหน่อย แล้วถ้าลือไปถึงหูอ๋องเจวี้ยน ก็จะกลายเป็นเขาไม่สบอารมณ์กับพระชายาอ๋องเจวี้ยนไปแล้วอ๋องเจวี้ยนเองก็เป็นพวกใจคับแคบปกป้องพวกพ้องด้วย หลังจากนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะมาเจ้าคิดเจ้าแค้นกับเขาไหม พอสบโอกาสก็จะจัดการเขาเสียแต่ถ้าพูดเบาไป แล้วเผื่อพระชายาเยว่รู้เข้า นั่นก็จะกลายเป็นว่าเขาทำผิดอีกแค่เรื่องเล็กๆ แค่นี้ จ้าวหมิงกลับรู้สึกว่าจะทางไหนก็ลำบากทั้งนั้นเขาเลยรู้สึกว่าเข้ามาฟังเซียวจืออี้ดีกว่าว่าจะพูดอย่างไรเซียวจืออี้บอกว่า "ท่านกลับไปบอกตามความจริงกับใต้เท้าเกิงก็พอ ไม่ต้องตีไข่ใส่สี แล้วก็ไม่ต้องอารมณ์หรือมุมมองอะไรด้วย ก็แค่พูดคำพูดที่พระชายาอ๋องเจวี้ยนพูดออกมาเสียรอบหนึ่งก็พอ""แบบนี้หรือ? ถ้าอย่างนั้นข้ารู้แล้ว" จ้าวหมิงพิจารณามองเขา อดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า "อี้เอ๋อร์ อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะอายุสิบปกแล้ว ครั้งนี้ก็ไม่คิดจะฉลองหรือ?"วันเกิดหลายครั้งก่อนหน้านี้ เซียวจืออี้แค่ให้คนใช้ต้มบะหมี่อายุยืนให้ชามหนึ่ง กระทั่งเขายังไม่ให้พวกเขามาอยู่ด้วยอีก ตัวเองกินบะหมี่ไปเงียบๆ คนเดียวแต่ว่า
พระชายาเยว่ไม่สบอารมณ์พระชายาอ๋องเจวี้ยนมาโดยตลอดดังนั้นขอแค่สามารถสร้างความลำบากให้กับพระชายาอ๋องเจวี้ยนได้ เรื่องที่ทำให้พระชายาอ๋องเจวี้ยนเจ็บช้ำเจ็บใจได้ พระชายาเยว่ก็ยินดีที่จะทำแล้วไอ้เรื่องแค่นี้จ้าวหมิงก็ยังทำได้ไม่ดี แล้วมันจะกลายเป็นอะไรไปได้"ใต้เท้าเกิง ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ แค่รู้สึกว่าจะไปหาเรื่องพระชายาอ๋องเจวี้ยนมากเกินไปไม่ได้...""จ้าวหมิง เจ้านี่มันโง่เสียจริง แล้วจะไปหาที่พึ่งให้กับอ๋องอี้ได้อย่างไรกัน?" ใต้เท้าเกิงเอียงตามองประชดประชันเขาอันที่จริงจ้าวหมิงคนนี้ก็ไม่ได้มีความทะเยอทะยานอะไรนัก เป็นเขาที่พาจ้าวหมิงพบเพราะอ๋องอี้อายุสิบหกแล้ว หลังจากนี้หากคิดจะมีที่พึ่งพาในวัง ถ้าอยากจะแต่งงานดีดี อยากจะหาภรรยาที่มีพลังอำนาจ อยากจะใช้ชีวิตให้ยาวนานต่อไปในเมืองหลวง เช่นนั้นก้ต้องพยายามหน่อยสิ?ก่อนหน้านี้อ๋องอี้ยังเด็ก จะอยู่อย่างไร้ตัวตนก็ไร้ตัวตนไป แต่นี่เขาเติบโตแล้ว องค์จักรพรรดิเองก็อายุขนาดนี้แล้ว ไอ้ตำแหน่งบนนั้นไม่ใช่ว่าใกล้จะแย่งชิงกันแล้วหรือไร?ตอนที่เริ่มช่วงชิงตำแหน่งนั้น ขอแค่เขาเป็นองค์ชาย ใครจะไปสนว่าก่อนหน้านี้ทำตัวไร้ตัวตนหรือเปล่า ทำตัวเป็น
"เจ้าคิดว่าอ๋องเจวี้ยนไม่มีประโยชน์หรือ?" เจ้าแท่นบูชาผังเอียงตามองใต้เท้าเกิงผาดหนึ่ง "เช่นนั้นก็อธิบายได้ว่าเขาแสร้งทำตัวสำเร็จสินะ""อ๋า?" ใต้เท้าเกิงตื่นเต้นขึ้นมา เขาเข้าใจความหมายของเจ้าแท่นบูชาผัง จะบอกว่าอ๋องอี้จริงๆ แล้วเป็นพวกคมในฝักหรือ? "แต่ว่าอ๋องอี้ไม่มีที่พึ่งอะไรเลย ต่อให้เขาไม่คิดอะไรจริงๆ แต่เขาก็ไม่มีกำลังจะทำนี่นา"แม่ของอ๋องอี้จนตายก็เป็นได้แค่นางสนมธรรมดา นางสนมจ้าว และตระกูลจ้าว ตอนนี้คนที่ได้ดีสุดก็คือจ้าวหมิง แล้วจ้าวหมิงที่สมองไม่มีรอยหยักแบบนั้น ไปอยู่ในวงล้อมที่คนเขากินกัน คนอื่นแค่ถือโอกาสลงมือเขาก็ตายหยังเขียดแล้วไม่ใช่พวกนี่เก่งกลยุทธ์หรือฉลาดอะไรนักด้วยจ้าวหมิงได้ดีมาถึงตอนนี้ก็เพราะไม่ได้ขวางหูขวางตาใครเท่านั้น แล้วยังไม่เตะตาใคร เป็นคนค่อนข้างซื่อสัตย์ด้วยขยันขันแข็งแบบนี้ไปก็ยังพอได้อยู่"ก็เพราะเขาไม่มีพลังนี่ล่ะ แต่ในฐานะองค์ชายกลับยังรอดมาได้ถึงป่านนี้ ยังรักษาความไร้ตัวตนแบบตอนเด็กๆ เอาไว้ได้ นี่ก็อธิบายได้แล้วว่าเขาฉลาดแค่ไหน"เจ้าแท่นบูชาผังหลังจากที่ครั้งหนึ่งสังเกตเห็นอ๋องอี้โดยไม่ตั้งใจ ก็เริ่มจับจ้องเขามาตลอดยิ่งจับจ้องก็ยิ่งรู้
"ไม่เป็นไรเลย ไทเฮายังหน้าตาเปล่งปลั่งอยู่""ให้พระชายาเยว่ไปดูหน่อย พระชายาเยว่เห็นแล้วข้าถึงจะวางใจ" องค์จักรพรรดิรีบเอ่ยขึ้นพระชายาเยว่พอได้ยินรับสั่งนี้ก็โมโหจนแทบจะหักเล็บทิ้งนางยังคิดว่าตนเองเป็นคนที่องค์จักรพรรดิโปรดปรานจริงๆ ผลลัพธ์คือพอเจอเรื่องแบบนี้ องค์จักรพรรดิกลับให้นางไปรับหน้าเรอะองค์จักรพรรดิไม่กลัวว่านางจะติดโรคหรือไรกัน? ถ้าหากนางไปพบไทเฮา แล้วองค์จักรพรรดิยังจะกล้าเจอนางอีกไหม?พระชายาเยว่ในใจเริ่มหวาดกลัว ก็เลยคิดวิธีขึ้นมา คือส่งพวกสาวใช้และสนมไปกราบทูลแสดงความเคารพกับไทเฮาดูก่อนตอนนี้ให้พวกนางได้แสดงตัวหน่อย ไทเฮาอาจจะคิดว่าพวกนางรีบจะให้นางมาเป็นที่พึ่งของพวกนาง ถึงได้มาเสนอหน้ากันแบบนี้เหล่าคนเล็กคนน้อยพวกนั้นพอได้รับคำสั่งก็ไม่มีทางเลือก ทำได้แค่ไปพบกับไทเฮาด้วยกันเท่านั้นไทเฮาเพิ่งกลับมาในวังก็เจอกับเหล่าบรรดาสาวใช้นางสนม พวกนางเองก็มีมารยาทและรอบคอบมาก พูดจาน่าฟัง ดูเป็นห่วงเป็นใยนางมากแต่ว่าในใจไทเฮาก็เข้าใจเป็นอย่างดี ว่านี่ต้องถูกสั่งให้เข้ามาแน่นอนพวกนางล้วนล้อมหน้าล้อมหลังกันถามสถานการณ์ของอ๋องเจวี้ยน ไทเฮาก็เผยกับพวกนางไปไม่กี่คำด้วยส
เมืองหวงเจียงคือแหล่งผลิตทองคำของแคว้นเจาทองคำส่วนใหญ่ของแคว้นเจาถูกขุดขึ้นมาจากที่นั่นภูเขาหวงเป็นเหมืองทอง ห่างจากภูเขาหวงไม่ไกลนักจึงสร้างเมืองหนึ่งที่ชื่อว่าเมืองหวงเจียงขึ้นมาเมืองหวงเจียงทางนั้นมีทหารคุ้มกันแน่นหนา ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่หลายวันก่อน เหมืองภูเขาหวงถลมลงมา บาดเจ็บล้มตายไปนับไม่ถ้วนพอเหมืองภูเขาหวงเกิดเรื่องขึ้นวันที่สอง ในค่ายทหารที่คุ้มกันเหมืองจู่ๆ ก็เกิดไฟไหม้ เผาเหล่าทหารที่ยังหลับฝันบาดเจ็บล้มตายไปมากคลังทองในเมืองหวงเจียงก็ถูกปล้น ทองก้อนที่เพิ่งขุดขึ้นมาชุดใหม่ที่ผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ ไม่เหลือเลยแม้แต่ก้อนเดียวองค์จักรพรรดิเดิมทีก็กำลังรอทองชุดนี้มาตลอด ผลลัพธ์คือตนนี้ไม่เหลือเลยแม้แต่ก้อนเดียวตอนที่ข่าวส่งเข้ามาในเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน องค์จักรพรรดิยังกำลังคิดว่าจะปลดหน้ากากอ๋องเจวี้ยนออกอย่างไรพอได้ยินเนื้อหาของข่าว องค์จักรพรรดิก็วิ้งไปทั้งหัว กระอักเลือดออกมาโฮกหนึ่ง"องค์จักรพรรดิ!!" ขันทีหน้าถอดสีองค์จักรพรรดิหน้ามืด พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ล้มพับลงไปแล้ว"รีบแจ้งหมอหลวงเร็ว!!"บรรยากากาศในเมืองหลวงเคร่งเครียดขึ้นมาทั
ฟู่จาวหนิงสูดลมหายใจลึก เรื่องนี้ นางเองก็โกรธมาก เพราะบาดเจ็บล้มตายไปมากมายเลยนี่นา นางได้ยินว่าเหมืองภูเขาหวงทางนั้นมีคนงานเหมืองอยู่มากมายไปหมดคนพวกนั้นล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์"การจะทำให้เหมืองภูเขาถล่มลงมาไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่งานที่ใช้เวลาไม่กี่วันจะทำสำเร็จด้วย การเตรียมงานใหญ๋ขนาดนี้ แค่เพื่อจะแย่งทองชุดเดียวหรือ?""บางที ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการแค่ทองล่ะ?"เซียวหลันยวนมองฟู่จาวหนิง พอเห็นนางคิ้วขมวดกัน ก็อดใจอ่อนขึ้นมาไม่ได้ ยื่นมือไปลูบคิ้วของนางให้เรียบ"เอาล่ะ หนิงหนิง เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว เรื่องพวกนี้ไม่ต้องให้เจ้ามากังวลหรอก เจ้าไม่ใช่จะไปหาผู้อาวุโสจี้หรือ? ไปเถอะ"ฟู่จาวหนิงก่อนหน้านี้ไปขอวัตถุดิบยาชุดหนึ่งจากต่งฮ่วนจือ ให้เวลาเขาเตรียมตัวสองวัน ตอนนี้น่าจะเตรียมเสร็จแล้ว นางต้องพาคนไปเอากลับมาเรื่องเหมืองภูเขาหวงทางนั้น มันก็ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องกังวลจริงๆนางถอนหายใจ "ถ้าอย่างนั้นก็เอาเถอะ ข้าจะไปหาท่านอาจารย์แล้วนะ ท่านก็อย่าเหนื่อยเกินไปล่ะ"ฟู่จาวหนิงเองก็รู้ว่าเรื่องนี้ถึงแม้จะไม่ต้องให้นางมากังวล นางกังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่เซียวหลันยวนจะต้องไตปรวจสอ
ส่วนฟู่จาวหนิงเองก็มองมาทางเขา เพราะเซียวหลันยวนไม่ได้ยื่นมือมาประคองนางในตอนแรก แต่กลับมองนางอย่างงงงันหน่อยๆฟู่จาวหนิงยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไร ใจก็ดำดิ่งหน่อยๆยังดีที่ตอนนางมองไปอีกครั้ง เซียวหลันยวนก็ยื่นมือมาดึงนางลุกขึ้นแล้ว จากนั้นไข่มุกหมึกในมือนางก็ส่งคืนไปยังเจ้าอาราม"คืนให้ท่าน"พริบตาที่เจ้าอารามยื่นมารับ เสียงเปรี๊ยะก็ดังขึ้น ไข่มุกหมึกลูกนั้นแตกละเอียดกะทันหันคนทั้งหมดล้วนตกตะลึง มองไปทางเศษหินที่รวงลงมานั่นพวกเขาล้วนถือไข่มุกหมึกกันมาแล้ว เดิมทีก็ยังดีดีอยู่ ไม่มีรอยร้าวอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นตัวลูกปัดหยกก็ตันและแข็งแกร่ง หล่นลงพื้นก็ไม่แน่ว่าจะแตกด้วยซ้ำแต่ตอนนี้จู่ๆ มันก็เป็นแบบนี้ไปแล้วเจ้าอารามโค้งตัวลงเก็บชิ้นส่วนหยกขึ้นมา หยิบขึ้นมามองๆ"ไข่มุกหมึกทำนายดารา ข้าเองก็เหลืออยู่แค่เม็ดเดียวด้วย"อยู่กับเขามาหลายสิบปี ใช้มาก็ตั้งหลายครั้ง ตอนนี้จู่ๆ ก็แตกเสียแล้วเซียวหลันยวนยื่นมือตัวเองออกมา "ข้าไม่ได้ออกแรงนะ""แล้วก็ไม่เหมือนบีบจนแตกด้วย"เจ้าอารามพูดพลางมองไปทางฟู่จาวหนิงฟู่จาวหนิงหรุบตาลง เศษหินบนพื้นเหล่านั้น "หรือพวกท่านสงสัยว่าข้าทำ
เจ้าอารามสูดลมหายใจลึก"ผลลัพธ์นี้ไม่ค่อยดีนัก สิ่งที่มันชี้นำไป ทำให้อายวนเดินไปยังทางเลือกที่จะพาสู่ความพินาศ"พอได้ยินคำพูดเขา ฟู่จาวหนิงก็หน้าเปลี่ยนสีแต่นางกลับโมโหขึ้นมา"เฮอะ"ก่อนหน้านี้นางยังรู้สึกว่าจะอย่างไรก็ได้แต่ว่าตัวนางจะเป็นอย่างไร นางก็ยังไม่สนใจได้ เพราะนางไม่ใส่ใจ และไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบกับตัวนางแต่เรื่องดันไปอยู่บนตัวเซียวหลันยวน นางก็ไม่ชอบใจขึ้นมาแล้วยิ่งไปกว่านั้น นางไม่รู้ว่าเซียวหลันยวนจะได้รัรบผลกระทบไหม ตัวนางเป็นคนที่ผ่านการข้ามภพมา แต่เขาไม่ใช่"อายวน" นางยื่นมือไปประคองเซียวหลันยวนเขาจับมือนางลุกขึ้นยืน มองดุนาง ยื่นมือลูบใบหน้านาง สีหน้าดูซับซ้อน"เจ้าลองดู"ฟู่จาวหนิงใจดำดิ่งหน่อยๆเพราะเขารู้สึกแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด ปฏิกิริยานี้คือถูกส่งผลกระทบเข้าแล้วเมื่อครู่เขายังบอกนางอยู่เลยว่าถ้าไม่อยากคะเนทำนายก็ไม่ต้องทำ ตอนนี้เขากลับบอกว่าให้ลองดูเสียแล้วจิตใจต่อต้านกับความอยากเอาชนะของฟุ่จาวหนิงถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว"ได้"นางขานรับ และไม่ลังเลอีก นั่งลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามผืนนั้น"ไข่มุกหมึก"เซียวหลันยวนส่งไข่มุกหมึก
เขาไม่อยากให้นางต้องฝืนตัวทำอะไรเพื่อตัวเขา"ข้ายินยอมทดสอบดู ไม่เป็นไร" ฟู่จาวหนิงบอกเขาเซียวหลันยวนชะงักไป "เช่นนั้นข้าก่อนแล้วกัน เจ้าลองดูผลลัพธ์ของข้าก่อนว่าเป็นอย่างไร แล้วค่อยตัดสินใจ"ตอนนี้เขาเองก็ยอมที่จะคะเนทำนายด้วย เพราะคำพูดประโยคนั้นที่เจ้าอารามพูดเมื่อครู่สามปีก่อนตอนที่เขาจะกลับเมืองหลวง ก็มีการวัดคะเนดาราไว้จริงๆ ทำให้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าเขาควรจะออกจากยอดเขาโยวชิงเวลานั้น และไปถึงเมืองหลวงในวันนั้นเขาเจอกับจาวหนิงถอนหมั้นกลางถนนในวันนั้น แต่งงานกับนางในวันนั้น ตอนนี้พอมาคิดก็ดูจะเป็นคู่รักวาสนาที่ฟ้าประทานมาจริงๆเพื่อความแม่นยำครั้งนี้ เขาเองก็ไม่กังขากับการวัดคะเนดาราเซียวหลันยวนนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามชิ้น ยื่นมือไปทางเจ้าอาราม "ไข่มุกหมึก""เจ้าจำไว้ด้วยว่าต้องขจัดสิ่งรบกวนออก อย่าต่อต้านการชี้นำ" เจ้าอารามส่งไข่มุกหมึกให้เขา จากนั้นจึงจุดธูปขึ้นเซียวหลันยวนหลับตา สองมือกุมไข่มุกหมึกตอนที่เขาเข้าสู่สภาวะลืมตนอย่างสมบูรณ์ ฟู่จาวหนิงก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยสัญชาตญาณ เหมือนจะพบว่าแสงดาวเต็มท้องฟ้าจะสว่างเจิดจ้ากว่าเดิมเซียวหลันยวน
เจ้าอารามถอนใจอย่างจนใจอีกครั้ง ร้องเรียกพวกเขาไว้"กลับมาก่อน ทำไมพูดไม่ถูกหูหน่อยเดียวก็จะไปแล้วล่ะ? เดี๋ยวนี้อารมณ์ขึ้นง่ายขนาดนี้เชียว? ข้าก็แค่พูดเฉยๆ ไม่ใช่ว่ามองเสี่ยวฟู่แบบนี้เสียหน่อย"ฟู่จาวหนิงเองก็ยืนนิ่ง นางดึงเซียวหลันยวนไว้ตอนนี้นางเองก็น่าจะมองการวัดคะเนดาราของเจ้าอารามเป็นเหมือนเกมลึกลับเกมนึง เมื่อครู่ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงขององค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น นางรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งไปกว่านั้น ฟู่จาวหนิงรู้สึกว่าเจ้าอารามทำให้นางจับทางไม่ถูกเหมือนกัน คนผู้นี้ต้องมีตัวตนที่ไม่ธรรมดาสำหรับเซียวหลันยวนแน่นอนสำหรับฮูหยินเฉิง เซียวหลันยวนบทจะไม่ยอมรับก็ไม่ยอมรับได้ จะหมดความผูกพันนั่นก็หมดไป แต่สำหรับเจ้าอารามนั้นไม่ได้เด็ดขาดไม่เช่นนั้นคงไม่พานางเดินทางนับพันลี้มายอดเขาโยวชิงแค่เพราะคำๆ เดียวของเจ้าอารามหรอกนางเองก็อยากรู้มาก สาเหตุอะไรที่ต้องให้พวกเขามาทำนายชะตาอะไรนี่ เจ้าอารามคิดจะทำอะไรกันแน่นอกเหนือจากนี้ ตัวนางเองก็ยังอยากรู้ ว่าการที่นางมายังแคว้นเจานี่ เป็นเพราะมีพลังลึกลับอะไรหรือเปล่าถ้าไม่ทำให้ชัดเจน หลังจากนี้นางคงจะตั้งรับไม่ไหวองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นถึ
เขามองไปทางเจ้าอารามอีกครั้ง น้ำเสียงเข้มงวดขึ้นมา"ท่านน้าเฉิงถ้าพูดแบบนี้จริง เช่นนั้นสายตานางก็ตื้นเขินไม่รู้จักกาลเทศะ นางเองก็ไม่เข้าใจจาวหนิง และยิ่งไม่เข้าใจว่าจาวหนิงผ่านอะไรมาบ้าง แล้วมีสิทธิ์อะไรถึงใช้ความคิดของตัวเองมาสรุป ดูท่าหลายปีนี้คงถูกเอาอกเอาใจในเมืองจื่อซวีจนเสียคนแล้วจริงๆ"เดิมทีเขาได้ยินว่าฮูหยินเฉิงตาแดงก่ำลงจากเขาไป ยังเคยคิดว่าว่าเพราะช่วยนี้เย็นชากับนางมากเกินไปหรือเปล่า เอาไว้ตอนที่จะกลับ พอผ่านอุทยานเขาเฉิงอวิ๋น ยังคิดจะเข้าไปบอกลานางเสียหน่อยแต่ตอนนี้เขารู้สึกแล้วจริงๆ ว่าใจคนมันพังไปแล้ว เช่นนั้นก็ยากที่จะได้รับการเคารพจากคนอื่นจริงๆ"ข้าจดจำได้ว่าตอนที่ข้ายังเล็กท่านน้าเฉิงเคยมาดูแลอยู่หลายครั้ง แต่อันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น หลังจากข้าโตมา พวกเราก็เจอกันน้อยครั้งมาก เจอกันก็เพียงแค่ทักทาย ข้าเรียกนางว่าท่านน้า ก็เพราะเคยชินมาจากตอนเด็กเท่านั้น"เซียวหลันยวนตอนพูดถึงจุดนี้น้ำเสียงก็เย็นลงมา"ตอนยังเล็กนางดูแลข้ามาหลายครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาเจ้าอุทยานกำชับไว้ ข้าจึงเคารพนาง แต่นางก็ควรวางตัวให้ถูก ไม่ใช่จะขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสของข้าจริ
สายตาที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองเซียวหลันยวนดูซับซ้อนมาก ดูลังเล กำลังตัดสินใจและดูเจ็บปวดทรมานมากแต่หลังจากนี้นางกลับละทิ้งเรื่องที่จะกลับเมืองหลวงหาคนอื่นหรือกระทั่งเรื่องไปแคว้นหมิ่น แล้วิคดจะอยู่ข้างกายเจ้าอารามแทนหรือ?นี่มัน...ฟู่จาวหนิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนความคิดกะทันหันของนางมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรตอนนี้นางกลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็นต่อวัดคะเนดารานี้เสียแล้ว องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นสัมผัสได้ถึงอะไรกันนะ?"องค์หญิงใหญ่พักอยู่ที่นี่สองสามวันก่อนก็ได้ เอาไว้ค่อยว่ากัน"เจ้าอารามเหลือบมองกระจกทรงมุมที่แสงดับไปแล้วผาดหนึ่ง จากนั้นก็มองใบหน้าองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แอบถอนหายใจในใจเขาเองก็ทำไม่สำเร็จ บิดชะตาฝูอวิ้นกลับมาไม่ได้ชั่วคราวผิดพลาดตรงไหนกันแน่นะ?เจ้าอารามมองต่อไปทางฟู่จาวหนิง จากการทำนายส่วนตัวของเขา ทำนายไปทำนายมา ต้นกำเนิดตัวแปรทั้งหมดก็คือฟู่จาวหนิงดังนั้น เรื่องที่เกี่ยวกับฟู่จาวหนิง เขาต้องมาขบคิดให้ดีจริงจัง""เจ้าอารามรับข้าไว้เถอะ แม้ข้าจะทำอะไรไม่เป็นเลย แต่ก็ยังเรียนรู้ได้ ข้าเรียนรู้ทำกับข้าว จริงด้วย ข้าเป็นแแม่สื่อได้ด้วยนะ หลังจากนี้ชายเส
บนพื้นมีสามจุดเปล่งแสงขึ้นรางๆ ปรากฏรูปร่างสามแบบคือ แปดเหลี่ยม ทรงกลม ทรงมุมฟู่จาวหนิงเดินเข้าไปสองก้าว จึงพบว่านั่นเป็นกระจกหลากสีเรียบลื่นสามชิ้นสลักฝังอยู่บนพื้น ใต้กระจกน่าจะเป็นหินหยกผิวเรียบ และระหว่างหยกกับกระจกมีของเหลวสีแดงเจือสีเงินไหลเอื่อยๆ อยู่ยิ่งไปกว่านั้น เพียงไม่นาน ด้านบนยังมีแสงระยิบเหมือนดวงดาว ราวกับจำลองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวออกมาเจ้าอารามเดินเข้าไปใกล้ กวักมือให้กับองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น"มานี่"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็ค่อนข้างว่าง่าย เดินเข้าไปทันทีเจ้าอารามส่งลูกปัดหยกสีดำเม็ดหนึ่งให้นาง"นั่งขัดสมาธิ กำลูกปัดเม็ดนี้ไว้ สัมผัสดูว่ามันนำเจ้าไปยังมิติดาราไหน แล้วจงชี้ออกมา"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ทำตามที่เขาบอกนั่งลงขัดสมาธิบนพื้น สองมือกุมลูกปัดนั้น ตั้งสมาธิสัมผัสผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงหันหลังอย่างลังเลไปทางทรงมุมนั้น"ทางนี้"ฟู่จาวหนิงยืนมองอยู่ข้างๆจากที่นางเห็น เจ้าอารามเหมือนคนที่กำลังเล่นละครหลอกคนอย่างไรอย่างนั้น เรื่องแบบนี้จะทำนายดวงชะตาออกมาได้อย่างไร?กำลูกปัดลูกหนึ่งไว้ ก็สามารถชักนำให้ตนเองเลือกกระจกหลากสีแผ่นไหนแบ
ดาวสองดวงนั้นประกายจ้ามาก แล้วยังอยู่ใกล้มากด้วย ส่องประกายให้กันและกัน เหมือนขานรับกันและกันไม่รู้เพราะอะไร พอเห็นดาวสองดวงนี้ ฟู่จาวหนิงรู้สึกมีความสุขขึ้นมานางมองไปทางเซียวหลันยวน ถามขึ้นเสียงแผ่วเบา "ท่านเห็นดาวดวงไหนหรือ?"เซียวหลันยวนไม่ตอบ แต่กุมมือนางมัน จับนิ้วนางชี้ออกไป"เอ๋?"ที่เซียวหลันยวนชี้ก็คือดาวสองดวงนั้น!หรือพวกเขาจะมองเห็นแบบเดียวกัน?แน่นอนว่าอาจจะเพราะดาวสองดวงนั้นสว่างไสวมากที่สุด คนอื่นเองก็อาจจะมองเห็นพวกมันด้วยฟู่จาวหนิงคิดเช่นนี้ เลยมองไปทางองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แต่กลับเห็นนางมองไปทางอื่นนางมองไล่ตามสายตาองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไป ตรงนั้นมีดาวดวงหนึ่ง สว่างอยู่เหมือนกัน แต่ดาวที่อยู่รอบๆ เล็กเอามากๆ จึงส่องระยับอยู่เพียงดวงเดียวที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองอยู่น่าจะเป็นดวงนั้นกระมัง?ตอนที่นางจะเก็บสายตาก็กวาดไปเห็นซางจื่อพอดี และเห็นซางจื่อก็กำลังมองท้องฟ้า แต่สายตาของเขาดูสับสน สีหน้าเองก็ตกตะลึงไปฟู่จาวหนิงคิดๆ ถอยหลังสองก้าวไปอยู่ข้างๆ ซางจื่อซางจื่อเก็บสายตากลับ มองไปทางนาง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ นางก็มาอยู่ข้างๆ"ซางจื่อ เจ้าชอบดาวดวงไหน?"ซา
"แต่ก่อนท่านเคยเห็นเขาระบำมาก่อนไหม?""ไม่มีเคยเลย"ตอนที่พวกเขาหยุดเท้ายืนมอง องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็มาถึงข้างกายพวกเขานางเองก็มองการร่ายรำบนแท่นชมดาว สายตาดูเคลิบเคลิ้มหน่อยๆ"ข้าได้ยินว่า แต่ก่อนตงฉิงก็มีระบำทำนายดวงดาวอยู่ประเภทหนึ่ง คิดค้นขึ้นมาโดยตระกูลราชครูตงฉิง นี่เป็นระบำที่ลึกลับมาก จังหวะก้าวเท้าทุกก้าวล้วนพิถีพิถัน นำมาซึ่งพลังแห่งดวงดาว ทำให้ผู้ทำนายดวงดาวมีพลังที่ลึกลับมากขึ้น ผลลัพธ์การทำนายเองก็แม่นยำขึ้น"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเองก็ลืมสิ่งที่เซียวหลันยวนพูดไว้เมื่อครู่ เรื่องที่ไม่ให้นางเข้ามาใกล้นัก แต่มายืนอยู่ข้างกายพวกเขา พูดเรื่องที่ตนเองรู้มาก่อนหน้านี้ออกมาอย่างอดไม่อยู่"ตระกูลราชครูของตงฉิง?" ฟู่จาวหนิงเหลือบมองนางผาดหนึ่ง"ใช่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้ยินองค์จักรพรรดิของข้าบอกมา" องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นพอเห็นว่านางยอมพูดกับตนเอง ก็รู้สึกเหมือนได้รับเกียรติจนประหลาดใจขึ้นมา "ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ได้ยินว่าองค์จักรพรรดิข้าค้นหาตระกูลราชครูตงฉิงอยู่ตลอด ว่ากันว่า ตระกูลราชครูนั้นรู้ความลับมากมายของตงฉิง สามารถช่วยให้อาณาจักรมั่นคงได้ด้วย"เซียวหลันยวนร้องเฮอะขึ้นมาต้