ยามเช้าลู่อิงตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ไม่สดชื่นนัก เมื่อคืนนางนอนไม่หลับ ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไร ทั้งยังไม่ได้ยินเสียงเซี่ยหานปิงฝึกดาบยามเช้าเหมือนทุกวัน จึงตื่นเอาเสียสายโด่ง นางพยายามเริ่มเช้าวันใหม่ด้วยการทำอาหารง่าย ๆ มากิน แล้วออกไปเดินเล่นแถวละแวกบ้านเพื่อคลายความรู้สึกหงุดหงิดเล็ก ๆ ที่ค้างคาในใจ นางไม่ลืมหยิบเมล็ดผักติดมือไปด้วย เผื่อจะแบ่งปันให้กับเพื่อนบ้านบ้าง
คนแรกที่ลู่อิงเจอก็คือซูเจียว หญิงสาวเพื่อนบ้านที่นางสนิทด้วย ซูเจียวเชื้อเชิญให้ลู่อิงเข้าไปคุยกันในบ้าน พอเดินเข้าไปในบ้านของอีกฝ่าย เจ้าบ้านก็รีบยกขนมงาทอดกับน้ำชามาให้กินรองท้อง
ลู่อิงหยิบขนมงาทอดขึ้นมากินอย่างไม่เกรงใจ “อร่อยยิ่งนัก เจ้าทำเองหรือ”
ซูเจียวพยักหน้ายิ้มอาย “อืม อร่อยก็กินอีกเถอะ ข้าทำกับข้าวไม่เก่งนัก จึงทำได้เพียงเท่านี้แหละ”
ลู่อิงได้ฟังก็แย้มยิ้มก่อนจะวางขนมงาทอดที่กัดไปเพียงครึ่งคำลงบนจานแบ่งของตน ก่อนจะยื่นมือไปแตะไหล่ปลอบนาง “เจ้ายังดีกว่าข้าเสียอีก ข้าเองก็ทำได้ไม่กี่อย่าง แม้แต่จะหั่นหมูป่ายังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
“เอ่อจริงสิ พูดถึงเย็บเสื้อผ้า ข้าได้ยินมาว่าหมู่บ้านข้าง ๆ จะจัดงานเทศกาล ว่าง ๆ เจ้าลองชวนสามีของเจ้าไปดูสิ ไม่แน่ว่าอาจจะได้เนื้อผ้าดี ๆ” ซูเจียวเอ่ยขึ้น“ขอบใจเจ้ามากซูเจียว”หลังจากอ้อยอิ่งอยู่ที่บ้านของซูเจียวได้พักใหญ่ พอเข้าสู่ยามบ่ายคล้อย ลู่อิงก็ขอตัวกลับบ้าน ระหว่างทางนางปล่อยความคิดล่องลอยไปเรื่อยเปื่อย ใจหนึ่งก็ครุ่นคิดถึงเซี่ยหานปิง ไม่รู้ว่าคืนนี้เขาจะกลับบ้านหรือไม่ แม้ว่าเขามักหายตัวไปเช่นนี้บ่อย ๆ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่เกินสองวัน หากเป็นเช่นนั้น ไม่แน่อีกฝ่ายก็น่าจะกลับมาในคืนนี้ เมื่อคิดได้ดังนั้นใบหน้าที่เคยเศร้าหมองก็แปรเปลี่ยนเป็นเจิดจ้า นางจึงรีบเดินกลับบ้านไปเตรียมอาหารเย็นอย่างกระตือรือร้นจวบจนกระทั่งฟ้ามืดสนิท เซี่ยหานปิงก็ยังไม่กลับมา ลู่อิงเริ่มนั่งไม่ติด เดี๋ยวลุกเดินไปที่ประตู เดี๋ยวนั่งลง นางรู้สึกกระวนกระวาย ในใจทั้งเป็นห่วงและไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดี สุดท้ายนางจึงตัดสินใจอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอนคืนวันนั้นฟ้าร้องอย่างหนัก เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นราวกับจะแยกฟากฟ้าออกจากกัน สายฟ้าสีเงินส่องประกายสว่างวาบเป็นระยะ
ลู่อิงรู้สึกดีใจมากเป็นพิเศษ หลังจากกลับมาจากบ้านของซูเจียวนางก็รีบเร่งเก็บสัมภาระอย่างมีความสุข เป็นเพราะนางอยู่ในบ้านมากเกินไป การออกไปต่างหมู่บ้านครั้งนี้จึงทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนักเมื่อขึ้นเกวียนกับซูเจียว ลมเย็นพัดผ่าน ทำให้รู้สึกสดชื่น พวกนางยังไม่รู้ว่าเซี่ยหานปิงไปหายืมเกวียนมาจากที่ใด แต่ถึงอย่างนั้น ความตื่นเต้นที่มีอยู่รอบตัวทำให้พวกนางไม่ใส่ใจอะไรอื่น เพราะรอบด้านมีสิ่งตื่นตาตื่นใจมากกว่าเมื่อเข้ามาในตลาดใหญ่ที่กว้างสุดลูกหูลูกตา นางสองคนยิ่งตื่นเต้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงขานเรียกของพ่อค้าแม่ขาย กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมา หรือสีสันของสินค้าแต่ละอย่างที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ ลู่อิงแทบไม่สามารถกลั้นยิ้มได้ ขนาดนางเคยอยู่ในเมืองหลวงตั้งแต่เด็ก แต่นานแล้วที่นางไม่ได้ออกไปไหนเลย ครั้งนี้จึงเหมือนกับการเปิดหูเปิดตามากขึ้นอย่างที่นางไม่เคยคาดคิดนางสำรวจสินค้าไปเรื่อย ๆ ภายในใจเกิดความอยากได้สิ่งต่าง ๆ เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นผ้าสีสันสดใส เครื่องประดับ หรือขนมแปลกใหม่ แต่ลู่อิงก็รู้ดีว่านางต้องระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นอาจเปิดพิรุธได้ ดังนั้นนางจึงค่อย ๆ เดินชมสินค
ลู่อิงยิ้มอาย ๆ พลางคิดในใจว่าเซี่ยหานปิงที่นางเคยเห็นเงียบขรึมและเย็นชา กลับมีมุมที่น่าประทับใจและทำให้นางรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกทั้งสามคนเช่าโรงเตี๊ยมสองห้อง แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย เซี่ยหานปิงจึงให้ลู่อิงพักกับเขาในห้องเดียวกัน ส่วนซูเจียวพักอีกห้องที่อยู่ห่างออกไป ลู่อิงรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ต้องนอนร่วมห้องกับเซี่ยหานปิง แต่เมื่อเห็นว่าเขาปูผ้าห่มลงที่พื้น เตรียมนอนแยก นางก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ไม่ใช่เพราะความไม่สะดวก แต่เพราะหัวใจของนางที่เต้นแรงขึ้นอย่างห้ามไม่ได้เซี่ยหานปิงเห็นนางยังนั่งนิ่ง ก็เอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ “ล้างหน้าแล้วเจ้านอนเถอะ พรุ่งนี้ข้าได้ยินมาว่าที่ตลาดเช้ามีร้านอาหารที่ขึ้นชื่อ ข้าจะพาเจ้าไปลองกิน” ลู่อิงเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความแปลกใจ เซี่ยหานปิงเห็นสายตาของนาง จึงรีบพูดต่อ “เพราะเจ้าไม่ได้กินอาหารดี ๆ มานานแล้ว ในเมื่อมาแล้วก็ลองดูเสียหน่อยเถอะ”“อืม” ลู่อิงรับคำเบา ๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนเงียบ ๆ แต่ใจกลับว้าวุ่นจนยากจะหลับกลางดึก ท้องฟ้านอกหน้าต่างก็คำรามขึ้นอย่างกะทันหัน สายฟ้าเส้นยาววาบ
ลู่อิงตื่นแต่เช้าด้วยความสดชื่น แต่เมื่อมองไปรอบห้องก็ไม่พบเซี่ยหานปิงแล้ว นางรีบล้างหน้าบ้วนปากและเดินไปหาซูเจียวที่ห้อง ทว่ากลับไม่เจอ ซักถามจากหลงจู้ถึงได้รู้ว่านางออกไปเดินเล่นในตลาดตั้งแต่เช้าแล้วเมื่อเดินกลับมาที่ห้อง นางก็พบว่าเซี่ยหานปิงกลับมาพอดี นางยิ้มถามด้วยความสงสัย “ท่านไปไหนมาหรือ”“ไปสืบข่าวมานิดหน่อย เจ้าอยากออกไปหรือยัง” เซี่ยหานปิงตอบเรียบ ๆ แต่น้ำเสียงชวนให้รู้สึกอบอุ่น“อืม ไปกันเถอะ” ลู่อิงตอบรับอย่างกระตือรือร้นทั้งสองเดินลงไปด้านล่างด้วยกัน เซี่ยหานปิงพานางไปกินอาหารเช้าที่เขาได้บอกไว้ อาจเพราะร้านนี้ขึ้นชื่อมากจริง ๆ ที่นั่งจึงแบ่งสันปันส่วนเป็นอย่างดี ตอนที่ทั้งคู่มาถึงในร้านก็มีที่ว่างพอดี เซี่ยหานปิงโจ๊กโสมชามใหญ่ให้นาง ก่อนจะตามด้วยเปาะเปี๊ยะทอด ฮะเก๋า ฝั่นโก๋ เกี๊ยวต้ม ขนมจีบ ซุปเกี๊ยว ก๋วยเตี๋ยวหลอด และฟองเต้าหู้ม้วนมาให้เพิ่มเติมอีกหลายอย่าง“พอแล้ว ๆ ท่านอย่าสั่งเยอะจนเกินไป ข้ากินไม่หมดแน่” หากนางไม่รีบห้าม เกรงว่าเขาคงจะสั่งมาเยอะมากกว่านี้เป็นแน่“กิน
“ท่านพูดถูกข้าจะพยายามไม่คิดมากไปกว่านี้”“ตราบใดที่ข้ายังอยู่ ข้าจะปกป้องเจ้าและองค์หญิงหยางจูจนสุดกำลัง” เสียหานปิงสำทับอย่างแน่วแน่ลู่อิงนั่งเงียบพลางฟังคำพูดของเซี่ยหานปิง หัวใจที่ว้าวุ่นเริ่มสงบลงบ้าง แต่ความกังวลก็ยังคงอยู่ในสายตา นางไม่มีคำพูดใดตอบโต้ เพียงแค่คีบอาหารใส่จานให้เซี่ยหานปิงอย่างเงียบเชียบ การกระทำของนางบอกถึงความใส่ใจที่ไม่ต้องเอ่ยคำพูดใด ๆเซี่ยหานปิงสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของนาง เขารู้ว่านางยังคงกังวลอยู่ แต่ก็ไม่ได้เร่งให้นางพูดอะไรออกมา เขาเองก็กินอาหารที่นางคีบให้เรื่อย ๆ โดยไม่แสดงท่าทีใดเป็นพิเศษเมื่ออาหารบนโต๊ะพร่องไปจนแทบหมด เซี่ยหานปิงก็เหลือบมองลู่อิงอีกครั้ง ความเงียบระหว่างทั้งสองกลับไม่ได้ทำให้บรรยากาศอึดอัด แต่เป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ“ไปเถอะ” เซี่ยหานปิงพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าอาหารหมดแล้ว “ข้าจะพาเจ้าไปเดินตลาด”ลู่อิงเงยหน้าขึ้นมองเขา แววตาของนางเต็มไปด้วยความขอบคุณ แม้จะยังมีความกังวลหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ความอบอุ่นที่เซี่ยหานปิงส่งมาให
ยามนี้ท้องฟ้าคล้อยสู่ความมืด ลู่อิงกับเซี่ยหานปิงก้าวเท้าเคียงกันไปในงานเทศกาล ทั้งคู่เดินอย่างเชื่องช้า ลมเย็นพลิ้วผ่านพัดมากับเสียงเพลงและความครึกครื้นของงาน บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยแสงโคมไฟสลัวไหววูบ ในเวลานี้มีเพียงเสียงฝีเท้าของพวกเขาที่ก้าวไปด้วยกันอย่างเงียบงัน ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่างอยู่กลางฟ้า มือใหญ่ของเซี่ยหานปิงจับกุมมือนางไว้อย่างมั่นคง มือนั้นที่เต็มไปด้วยตาปลาจากการฝึกฝนและการต่อสู้กลับทำให้นางรู้สึกอบอุ่น ไม่ใช่ความหยาบกร้านที่นางเคยคิดไว้ลู่อิงแอบมองใบหน้าคมสันของเขา นัยน์ตานางวาววับด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะระงับ หน้าแดงระเรื่อขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ขณะที่มองสันจมูกคมและริมฝีปากหยักได้รูปของเขา นางอดนึกไม่ได้ว่าชายผู้นี้เปลี่ยนไปมากเพียงใด ยามที่เขาตำหนินางให้ปฏิบัติภารกิจอย่างเคร่งครัดยังติดอยู่ในใจ แต่บัดนี้กลับอ่อนโยน ราวกับเป็นคนละคน“ท่านทั้งสอง ซื้อโคมไฟหรือไม่” เสียงพ่อค้าขายโคมกระดาษดังขึ้นจากข้างทาง ทำให้นางหลุดจากความคิด นางหันไปมองเห็นโคมกระต่ายที่แขวนอยู่เข้าพอดี นางยิ้มมอง คิดว่าโคมที่ทำเป็นรูปกระต่ายนี้น่ารักยิ่ง
รุ่งเช้าทั้งสองเดินทางกลับอย่างยากลำบาก เพราะลู่อิงและเซี่ยหานปิงไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านเมื่อสองวันก่อน จึงไม่อาจรู้ได้ว่าเกิดฝนตกติดต่อกันอย่างหนัก น้ำป่าไหลหลากเข้ามา ท่วมบ้านเรือนของชาวบ้านเสียหาย ตอนมาถึง น้ำก็ลดลงแล้ว ทิ้งไว้เพียงดินโคลนและซากปรักหักพังให้เห็นอยู่ทั่วไปเคราะห์ซ้ำกำซัดไม่หยุด ไม่กี่วันต่อมาหลังจากน้ำท่วมขัง ก็เกิดโรคระบาดขึ้นในหมู่บ้าน น้ำที่ท่วมขังสร้างความชื้นหนาแน่นทำให้หลายคนเริ่มป่วยเป็นไข้สูง โดยเฉพาะในลำไส้ที่มีความร้อนสะสม พวกเขาจึงต้องเผชิญกับภาวะที่ยากลำบากยิ่งขึ้น จากที่เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ยากจนอยู่แล้ว อาหารที่ชาวบ้านมีส่วนใหญ่ไม่สะอาด ทั้งหมดนี้ทำให้การรักษาเป็นไปอย่างยากลำบากตอนที่ลู่อิงมาถึงหมอจางก็ว้าวุ่นอยู่กับการรักษาแล้ว“ท่านหมอ ข้าจะช่วยท่าน ข้าพอมีความรู้เรื่องยาอยู่บ้าง” ลู่อิงขันอาสาด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว ขณะมองสภาพของคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียง“ขอบใจเจ้ามากแม่นางลู่อิง” หมอจางตอบรับอย่างยินดี เขาให้ลู่อิงช่วยเตรียมยา ความรู้ของนางเรื่องสมุนไพรเป็นประโยชน์อย่างมากนางกางสูตรยาที่ได้รับม
หลายวันผ่านไป ผู้คนในหมู่บ้านเริ่มหายดีแล้ว ทางการส่งคนเข้ามาช่วยเหลือเยียวยาชาวบ้าน พร้อมกับเหล่าทหารที่ช่วยสร้างบ้านที่เสียหายขึ้นใหม่ ลู่อิงมองไปที่ไก่ที่รอดชีวิตจากน้ำท่วม นางยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหันไปขอให้เซี่ยหานปิงทำเล้าให้พวกมันใหม่ ส่วนตัวนางเองก็เริ่มทำการเพาะปลูกอีกครั้งในที่ดินรอบบ้านหลังจากเซี่ยหานปิงทำเล้าไก่เสร็จเรียบร้อย เขาก็หยิบธนูกับดาบของเขาออกมาเช็ด นางมองเขาด้วยความสงสัย ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นว่า “คืนนี้ข้ามิกลับ”“ต้องไปอีกแล้วหรือ” ลู่อิงถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเป็นห่วง นางวางสิ่งที่ทำอยู่แล้วเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ เขา“ครานี้ข้าต้องไปเสียหลายวัน มีเรื่องต้องหารือกับแม่ทัพจางเสียหน่อย” เซี่ยหานปิงตอบขณะเช็ดอาวุธของตนลู่อิงนิ่งไปสักครู่ ความกังวลฉายชัดบนใบหน้าของนาง “ท่านหมายถึง...เรื่องพวกกบฏใช่หรือไม่” นางรู้สึกได้ว่าเหตุการณ์รอบ ๆ เริ่มไม่สงบ ทั้งจากสิ่งที่พ่อค้าในตลาดพูดกัน รวมถึงบรรยากาศที่หมู่บ้านใกล้ชายแดนเช่นนี้ย่อมรู้ถึงความเคลื่อนไหวก่อนใครเซี่ยหานปิงหลบสายตาของนางเล็กน้อย
ลู่อิงหน้าแดงเรื่อเมื่อถูกถามอย่างตรงไปตรงมา เซี่ยหานปิงไม่เพียงอนุญาตแต่ยังค่อย ๆ ดึงลู่อิงให้เอนตัวขึ้นมา ก่อนจะลูบผมสลวยเพื่อให้คลายกังวล ไม่อยากให้คิดว่าเป็นการกระทำที่ยากหรือน่ากลัว“ข้า...ข้ามิเคยทำมาก่อน”“ข้ารู้ เจ้าแค่อ้าปากแล้วกินมันเข้าไปเท่านั้น” เขาส่งยิ้มบางเบาแล้วค่อย ๆ ประคองใบหน้างดงามให้เคลื่อนเข้ามาใกล้ ๆพอริมฝีปากแทบจะจ่ออยู่ปลายหัวของแก่นกายลู่อิงจึงค่อยยื่นลิ้นออกมา นางใช้ปลายลิ้นแตะลงบนปลายหัวสีแดงระเรื่อ แต่พอสัมผัสก็ได้ยินเสียงเซี่ยหานปิงครางต่ำออกมา นางจึงช้อนสายตาขึ้นไปมองก็“อืม...ดี ดียิ่งนัก” เซี่ยหานปิงก้มมองคนเบื้องล่างที่เรียนรู้ว่องไว เขารู้อยู่แล้วนางจะทำได้เพราะเรื่องแบบนี้มันอยู่ในสัญชาตญาณ แม้ว่าแรก ๆ ลู่อิงจะเคลื่อนไหวติด ๆ ขัด ๆ ไปบ้าง แต่ไม่ได้ทำให้อารมณ์หยุดชะงักลู่อิงตาลอยเล็กน้อย รู้สึกถึงความยาวดุนดันอยู่ในลำคอของนาง น้ำตาหยดเล็ก ๆ เปียกชื้น ทว่านางก็กลืนกินมันจนเกิดเสียงหยาบโลน เซี่ยหานปิงลูบผมนาง ก่อนจะสาวเอวสอบเข้าออกช้า ๆ และจากจังหวะเนิบช้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเร็ว
ลู่อิงนั่งอยู่ในเกี้ยวหามที่โคลงเคลงไปมาตลอดทาง นางพยายามสงบจิตใจของตัวเอง แต่ก็ไม่อาจห้ามหัวใจที่เต้นแรงด้วยความตื่นเต้นได้ เสียงตีฆ้องร้องป่าวจากด้านนอกบ่งบอกว่าขบวนแห่นำเจ้าสาวกำลังเดินทางมาถึงจวนของเซี่ยหานปิง ผู้ที่วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่ราชองครักษ์ แต่เป็นเจ้าบ่าวของนางจวนหลังนี้ไม่ใช่จวนธรรมดา เพราะเป็นจวนที่ได้รับพระราชทานจากองค์หญิงหยางจู และองค์ชายชาง ว่าที่องค์รัชทายาท ผู้เป็นพระเชษฐาขององค์หญิงหยางจู และเป็นผู้ให้การช่วยเหลืออย่างลับ ๆ ตอนที่องค์หญิงหยางจูปลอมตัวไปอยู่ในค่ายทหาร เพื่อเป็นของขวัญสำหรับการที่เซี่ยหานปิงรับใช้และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์มาโดยตลอด จวนนี้แม้อยู่ในเมืองหลวง แต่ค่อนไปทางชานเมือง เนื่องจากเซี่ยหานปิงและลู่อิงชอบความเรียบง่าย มิอยากเผชิญความวุ่นวายในตัวเมือง แต่แม้จะห่างไกลออกมา จวนแห่งนี้ก็ยังโดดเด่น สง่างาม สมกับตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ของเขาเมื่อขบวนเจ้าสาวไปถึงหน้าจวน เกี้ยวได้ถูกวางลงบนพื้นช้า ๆ ลู่อิงไม่คุ้นเคยกับพิธีการเหล่านี้มากนัก เพราะเป็นเพียงนางกำนัลที่เติบโตอยู่ในวังหลวงมาตลอด ไม่มีครอบครัวที่ไหนจะส่งตัวนางออกมาเช่นนี
เมื่อเซี่ยหานปิงกลับถึงเมืองหลวง เขาถูกภารกิจมากมายถาโถมเข้ามาจนแทบไม่มีเวลาหยุดพัก แต่ละวันเต็มไปด้วยเรื่องที่ต้องจัดการอย่างไม่หยุดยั้ง จนเวลาผ่านไปหลายวันโดยที่เขาไม่ได้พบกับลู่อิงเลยสักครั้งแม้ตนจะเป็นองครักษ์ประจำตัวขององค์หญิงหยางจูก็ตามในหัวใจเขานั้นเต็มไปด้วยความคิดถึง ไม่เพียงแต่งานที่ทำให้เหนื่อยล้า แต่ความรู้สึกโหยหาสตรีนางหนึ่งที่เขาใส่ใจมากขึ้นทุกวันก็ทำให้จิตใจของเขายิ่งเหน็ดเหนื่อยยิ่งขึ้นไปอีก แต่ก็พยายามข่มใจ ไม่อยากเร่งรีบอะไรจนเกินไป เพราะเขาต้องการจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนจะไปหานางฝ่ายลู่อิงเองก็เฝ้ารอคอยการกลับมาของเซี่ยหานปิงด้วยใจจดจ่อ แต่หลายวันผ่านไปแล้วนางก็ยังไม่เห็นหน้าเขา จิตใจที่เคยสงบสุขจึงเริ่มร้อนรุ่มขึ้นมา นางไม่อาจห้ามความคิดถึงเขาได้ ทุกคืนที่หลับตานอน ก็ได้แต่ครุ่นคิดถึงว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ จนหัวใจเต็มไปด้วยความกังวลและโหยหาสุดท้าย ความคิดถึงของทั้งสองก็ถึงจุดที่ไม่อาจต้านทานได้ เซี่ยหานปิงอดทนไม่ไหวอีกต่อไป จนในคืนนั้นเขาตัดสินใจว่าอย่างไรจะต้องเจอหน้านางให้จงได้ลู่อิงที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงกลับสะดุ้งตื่นขึ้
เมื่อเซี่ยหานปิงกลับถึงบ้าน พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นลู่อิงนั่งกระวนกระวายใจอยู่ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวล“ท่านหายไปไหนมาเสียตั้งนาน” ลู่อิงรีบถลาเข้ามาหาเขา ดึงตัวเขาเข้าไปในบ้านพร้อมกับปิดประตูแน่นหนา นางดูร้อนรนเกินปกติ หัวใจของนางเต้นระส่ำ ไม่คิดว่าเขาจะหายไปโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เซี่ยหานปิงถามด้วยเสียงนุ่ม พยายามไม่ให้ดูผิดปกติเกินไป แต่ก็เห็นชัดว่าลู่อิงไม่ได้สงบอย่างที่ควรจะเป็น“องค์หญิงทรงเป็นอย่างไรบ้าง ท่านเห็นนางกับตาหรือไม่ หรือเพียงไต่ถามสายข่าวของท่านเท่านั้น” ลู่อิงถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นางไม่อาจปิดบังความวิตกกังวลในใจได้ การที่เขาหายตัวไปเช่นนี้ทำให้นางคิดว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับองค์หญิงหยางจูโดยตรง“องค์หญิงถูกจับไป”เซี่ยหานปิงตอบด้วยเสียงสงบนิ่ง ใบหน้าไร้ความตระหนก และเตรียมพร้อมยอมรับปฏิกิริยาตอบสนองทุกรูปแบบของลู่อิงสิ้นคำพูดนั้น ลู่อิงราวกับถูกทุบเข้าที่ศีรษะ นางนิ่งไปชั่วขณะ พยายามเรียบเรียงคำพูด แต่สิ่งที่ได้มีเพียงความหวาดกลัวจับใจเสียจนพูดไม่ออก เซี่ยหานปิงจึงพูดต่อ“พวกกบฏกับห
เซี่ยหานปิงนอนกอดลู่อิงไว้ภายใต้แสงจันทร์ ทว่าเขากลับต้องตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ แม้ผู้มาเยือนจะระมัดระวังเพียงใด แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสัญชาตญาณฉับไวขององครักษ์ผู้ชำนาญได้ เขาลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบที่สุดเพราะเกรงว่าคนข้างกายจะรู้สึกตัวตื่น หยิบดาบของตนติดมือไปด้วย แล้วเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับผู้มาเยือนชายในชุดดำคลุมหน้าปรากฏตัวอยู่ในลานบ้าน พอเห็นเซี่ยหานปิงเดินออกมาพร้อมดาบ ชายผู้นั้นรีบคุกเข่าลงในทันทีเพื่อแสดงความเคารพ“หัวหน้าเซี่ย!” ชายคนนั้นเอ่ยด้วยเสียงเบาแต่ชัดเจนเซี่ยหานปิงจำเสียงนี้ได้ทันทีว่าเป็นไป๋ซื่อเซิง ลูกน้องคนสนิทที่เขาส่งไปสังเกตการณ์ใกล้ค่ายทหาร“ไป๋ซื่อเซิง...เจ้าทำอะไรดึกดื่นเช่นนี้”“ขออภัยขอรับ ข้ามีองค์หญิงหยางจูมารายงาน พระองค์ถูกกบฏจับตัวไปขอรับ!”เซี่ยหานปิงนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาตึงเครียดขึ้นในทันที เขาพยักหน้าให้ไป๋ซื่อเซิงลุกขึ้น ก่อนจะผายมือเชิญให้อีกฝ่ายเข้าไปด้านใน “ไปคุยกันข้างในเถอะ” เมื่อทั้งสองนั่งที่โต๊ะน้ำชาภา
ยามเช้า พิษในตัวนางถูกถอนออกไปหมดดังคาด หมอจางเข้ามาดูอาการ เขียนเทียบยาบำรุงร่างกายอีกเล็กน้อยแล้วก็ขอตัวลากลับออกไปหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เซี่ยหานปิงก็ประคองนางเดินมายังลานหน้าบ้าน ตอนนี้ย่างเข้าฤดูร้อน ใบหลิวปลิวไสวงดงาม อำลาฤดูใบไม้ผลิ“มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปที่หนึ่ง” เซี่ยหานปิงยื่นมือไปให้นาง ก่อนทั้งสองจะเดินไปยังเนินเขา ที่ตรงนั้นเป็นทุ่งดอกไม้ รอบด้านจึงเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีลู่อิงรู้สึกผ่อนคลาย นางเดินจูงมือใหญ่ของเซี่ยหานปิงไปเรื่อย ๆ ยามนี้ดวงตะวันสาดแสงอ่อน ๆ ลงมาจากฟากฟ้า แม้จะย่างเข้าฤดูร้อน แต่อากาศยังไม่ร้อนนัก ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าใสปนขาว เมฆลอยละล่องราวกับสำลีเบาบาง ยิ่งเมื่อได้ยินเสียงลำธารไหลเอื่อย ๆ อยู่ใกล้ ๆ ยิ่งทำให้นางรู้สึกสงบและสบายใจเป็นที่สุดความเงียบสงบรายล้อมอยู่โดยรอบ ทั้งสองก้าวเดินช้า ๆ ในทุ่งดอกไม้ ลู่อิงรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากมือของเซี่ยหานปิงที่ประสานกันอย่างแนบแน่น ใบหน้าของนางระบายด้วยรอยยิ้มบางเบา มองไปยังดอกไม้ที่เบ่งบานและสายลมที่พัดเอื่อย กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าผสมกลิ่นต้นไม้ใบหญ้า ทำให้หัวใจนางเบาสบายแ
เซี่ยหานปิงขยับตัวขึ้นนั่ง ส่วนนั้นแข็งขืนปลายยอดมีน้ำซึมออกมา ลู่อิงเพิ่งเคยเห็นสิ่งใหญ่โตของบุรุษเป็นครั้งแรก นางไม่กล้ามองจึงเอาแต่หลับตาองครักษ์หนุ่มเห็นท่าทางของนางก็จำต้องสะกดอารมณ์เอาไว้พร้อมกับชักรูดแก่นกายของตนเองช้า ๆ ก่อนจะก้มลงจูบเปลือกตาของนางแล้วปลอบโยน“ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเจ็บ จะค่อย ๆ ทำ จะทะนุถนอมเจ้า เจ้าไม่ต้องกลัว”ลู่อิงลืมตาขึ้น นางสบตาเขา เมื่อเห็นความจริงใจนางจึงพยักหน้ารับช้า ๆ อย่างเขินอาย เซี่ยหานปิงใช้มือจับท่อนล่างของตนถูไถไปกับความอ่อนนุ่มที่กำลังชุ่มฉ่ำ ลู่อิงไม่กล้าขยับเขยื้อนได้แต่กะพริบตามองแม้จะเขินอายแต่ก็เต็มไปด้วยความสนใจใคร่รู้ขณะที่เซี่ยหานปิงสอดแทรกความเป็นชายเข้าไปทีละนิดอย่างช้า ๆ นางก็ส่งเสียงครางปนสะอื้นออกมาเป็นครั้งคราว คิ้วเรียวยาวขมวดเข้าเพราะนางรู้สึกเจ็บ“อย่าเกร็ง ครั้งแรกจะเจ็บเล็กน้อย จากนั้นเจ้าก็ไม่เจ็บแล้ว”ลู่อิงมีน้ำตารื้นออกมาตรงหางตา เซี่ยหานปิงจึงจูบซับน้ำตาให้นาง พอเขาสัมผัสได้ว่าความอ่อนนุ่มชุ่มชื้นเปิดรับเขามากขึ้น มิได้เกร็งอย่างเช่นตอนแรก ก็ค่อย ๆ เริ่
ลู่อิงเงียบกริบ นางก้มหน้างุดลงกว่าเดิม ความอับอายท่วมท้น ที่เซี่ยหานปิงพูดมาไม่ใช่ว่านางไม่เข้าใจ แต่เพราะเข้าใจนางจึงไม่กล้าแสดงความเห็น เพราะไม่รู้ว่าเซี่ยหานปิงจะคิดเช่นไร“หากเจ้าไม่เต็มใจก็ช่างเถิด ข้าว่าคงจะมีวิธีอื่นอีก” เซี่ยหานปิงเอ่ยปลอบ เขารู้ว่าลู่อิงต้องรู้สึกไม่ดีเป็นแน่ แม้ตัวเขาเองก็ยังลังเลไม่ต่าง การให้หญิงสาวต้องฝืนใจทำสิ่งใดคงไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ“ไม่...ไม่ใช่ ข้ากลัวว่าจะรบกวนท่าน” นางรีบร้อนห้าม คว้าแขนของเขาที่กำลังจะลุกจากไป“ข้าก็กลัวเจ้าจะเสื่อมเสียชื่อเสียง ลู่อิง ที่เจ้าบอกว่าชอบข้าจริงหรือไม่” เซี่ยหานปิงหันมาถามเต็มตา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบจากนาง“จริงเจ้าค่ะ แต่ถ้าท่านไม่ดีมีใจตรงกับข้า ก็อย่าได้รักษาน้ำใจ” ลู่อิงตอบอย่างกล้าหาญ แม้ในใจจะหวั่นไหวและกังวลว่าเขาจะตอบเช่นไรเซี่ยหานปิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเชิดคางเรียวของนางขึ้นมา สบตานางอย่างลึกซึ้ง “แล้วถ้าหากว่าข้าก็รู้สึกเช่นเดียวกับเจ้าล่ะ”“จริงหรือ” ลู่อิงตาโตขึ้ ใบ
ลู่อิงตื่นขึ้นมาอย่างอ่อนแรง รู้สึกเหมือนถูกถ่วงด้วยความเหนื่อยล้าเกินกว่าจะขยับตัวได้ นางพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงในบ้าน แต่ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนกลับพร่ามัวเกินกว่าจะนึกถึงได้ถี่ถ้วน หลังจากลืมตาขึ้นเพียงครู่เดียว นางก็หลับลงไปอีกครั้งด้วยความอ่อนล้าไม่นานหลังจากนั้น เซี่ยหานปิงก็เข้ามาในห้อง เขาวางป้านยาลงบนโต๊ะเล็กข้างเตียงอย่างเบามือ ก่อนจะประคองร่างบอบบางของลู่อิงขึ้นมาเพื่อให้ดื่มยา ใบหน้าของเขาเคร่งเครียด ดูท่าแล้วพิษกำหนัดที่ลู่อิงถูกบังคับให้กลืนเข้าไปนั้นคงจะร้ายแรงมาก อีกทั้งเมื่อคืน นางยังต้องแช่อยู่ในน้ำเย็นตลอดคืน ทำให้ร่างกายของนางอ่อนแอ จับบัดนี้ก็ยังไม่ฟื้นตัวตลอดช่วงเช้า ลู่อิงยังคงนอนซมอยู่บนเตียง ไร้ท่าทีว่าจะดีขึ้น เซี่ยหานปิงเองก็กังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงตัดสินใจไปตามหมอจางมาดูอาการของนาง หมอจางเดินทางมาถึงพร้อมกับอุปกรณ์ในการรักษา ก่อนจะทำการตรวจอาการอย่างละเอียดและฝังเข็มเพื่อกระตุ้นพลังชี่ของนาง“อาการของนางเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ” เซี่ยหานปิงถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“พิษที่นางได้รับนั้นร้ายแรงมาก แต่ว่ายังไม