"นังหนู เวลาของเจ้าในภพนี้เหลือไม่มากแล้ว" ซูมี่ที่ฝันไป นางได้พบกับคุณยายที่สวมกำไลหยกให้นาง
"คุณยายหมายความว่ายังไงคะ" เธอเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
"ข้าให้เจ้าเตรียมตัวสามวัน และจะพาเจ้าย้อนกลับไปที่ที่เจ้าจากมา"
"ไม่ย้อนไปได้ไหมคะ ชีวิตฉันในตอนนี้ดีอยู่แล้วค่ะ" ซูมี่ส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย เธอไม่อยากกลับไปเจอชายหญิงสารเลวคู่นั้น และไม่อยากจะเป็นนางร้ายอีกด้วย
"ไม่ได้ ฟ้าดินลิขิตมาแล้ว กำไลที่ข้ามอบให้เจ้าอยากได้สิ่งใดไปด้วยก็สามารถใส่ลงไปได้ ข้าช่วยเจ้าได้เท่านี้" พอพูดจบซูมี่ยังไม่ทันได้ถามก็ต้องตื่นเสียก่อนแล้ว
เธอนั่งทบทวนเรื่องต่างๆ ที่เธอฝันไป ในเมื่อเป็นของวิเศษเช่นนั้นก็ลองเสียหน่อย ซูมี่หยิบหนังสือที่หัวเตียงแล้วลองพูดว่า เก็บ หนังสือในมือก็หายไปทันที
ซูมี่ตกตะลึงนิ่งค้าง เพราะเรื่องนี้ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ เธอเพียงจำมาจากเสี่ยวอีที่ชอบเล่าเรื่องในนิยายให้เธอฟัง เมื่อเธอพูดชื่อหนังสือแล้วบอกให้ออกมา หนังสือก็ปรากฏในมือของเธอ เช่นนั้นเรื่องที่คุณยายบอกก็คงเป็นเรื่องจริง
สามวันที่เธอต้องเตรียมตัว ซูมี่นำเงินที่เธอเก็บมาทั้งชีวิต พร้อมทั้งเงินมรดกที่คุณพ่อคุณแม่ในภพนี้ทิ้งไว้ให้
เธอกว้านซื้อของมากมาย สมุนไพร เครื่องมือการแพทย์ทั้งหมด เธอแทบจะไม่ปล่อยให้ขาดไปสักอย่าง เครื่องเรือน เครื่องใช้ ข่าวสาร ของแห้ง แม้แต่ผักและของสดเธอก็ซื้อไปอย่างมากมาย
หากจะถามว่าเยอะมากเพียงใด ของในห้างเธอก็มีแทบจะทุกอย่าง จนเงินที่เธอมีทั้งหมดหายไปราวกับสายน้ำไหล เพราะเธออยู่ที่หอพักแล้วกลัวว่าคนจะสงสัยจึงต้องไปเช่าโกดังเพื่อเก็บของ และเก็บของทั้งหมดเข้าไปในกำไลอีกที
สามวันของซูมี่จึงดูวุ่นวายอย่างมาก เธอมารู้ในวันที่สามว่าเธอสามารถเข้าไปในมิติได้ด้วย ของที่นำเขามาสามารถใช้ได้อย่างไม่รู้หมด กว่าจะรู้ตัวของที่เธอซื้อก็มากมายเสียแล้ว
เมื่อเห็นพื้นที่โล่งกว้างสุดลูกหูลูกตาซูมี่ก็คิดจะเพาะปลูกภายในมิติเช่นนิยายที่นางหาอ่านมาตลอดทั้งสามวัน ก็เป็นเสี่ยวอีที่แนะนำเธออีกเช่นกัน
ซูมี่ที่อยู่ภายในมิติ นางนำเมล็ดผัก ผลไม้ สมุนไพร มาแช่น้ำเพื่อทำการเพาะปลูก แต่น้ำในบึงน้ำก็ทำให้เธอต้องประหลาดใจ เพราะเพียงนำเมล็ดลงไปแช่ไม่นาน เมล็ดผัก สมุนไพรก็มีรากงอกเตรียมลงปลูกได้แล้ว
เธอจึงรู้ได้ทันทีว่าบึงน้ำนี้คือน้ำวิเศษ แต่พอนำมือที่มีแผลที่เธอถูกมีดบาดลงไปแช่ ก็ไม่เกิดอันใดขึ้น
"น้ำในบึงช่วยเพียงเรื่องการเพาะปลูกเจ้าค่ะ นายหญิง" เสียงแหลมเล็กดังขึ้นเบื้องหลังเธอ
"ใคร" ซูมี่มองหาเสียงที่ได้ยินเธอก็หาไม่เจอ
"เป่าเปา อยู่นี่เจ้าค่ะ"
ซูมี่เบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อมีมนุษย์ร่างเล็กเท่าฝ่ามือบินมาอยู่เบื้องหน้าเธอ
"เธอเป็นตัวอะไรเนี่ย" ซูมี่พึมพำเสียงเบา เพราะเธอยังตกใจไม่หาย
"เป่าเปา เป็นผู้ดูแลมิติแห่งนี้ และยังคอยช่วยเหลือนายหญิงด้วยเจ้าค่ะ" เป่าเปาจับชายกระโปรงย่อตัว
"เช่นนั้น เธอทำอะไรได้บ้าง" ซูมี่กอดอกถาม ตัวเล็กเพียงนี้จะทำสิ่งใดได้
"นายหญิง ดูให้ดีดีนะเจ้าค่ะ" เป่าเปาที่เห็นเมล็ดผักที่ซูมี่แช่น้ำไว้
เพียงนางโบกมือ พื้นดินที่ว่างด้านหน้าของซูมี่ก็ถูกปรับปรุงพื้นดินและเมล็ดที่แช่น้ำไว้ก็ถูกหว่านลงไปอย่างเป็นระเบียบ ซูมี่จุ๊ปากอย่างชื่นชม
"เธอเก่งมากจริงๆ เป่าเปา" เป่าเปาที่ได้รับคำชม บินวนรอบตัวซูมี่อย่างดีใจ
"แล้วในมิติแห่งนี้ทำอะไรได้อีกบ้าง" ซูมี่มองไปรอบๆ พื้นที่กว้างอย่างสงสัย
"ของที่นายหญิงนำเข้ามาในครั้งแรกจะคงอยู่เท่าเดิม แม้จะนำออกไปด้านนอกบ้างแล้ว แต่ของสิ่งใหม่ที่นายหญิงนำเข้ามาจะไม่เพิ่มขึ้นเจ้าค่ะ ป่าด้านหลังในตอนนี้นายหญิงยังเข้าไปไม่ได้ แต่ต่อไปที่มิติยกระดับขึ้นนายหญิงจะพบของมีค่ามากมายภายในนั้นเจ้าค่ะ" ซูมี่มองไปที่ป่าตามนิ้วมือของเป่าเปา
"มิติยกระดับ ต้องทำยังไง" ซูมี่หันไปถามเป่าเปาด้วยใบหน้าที่สงสัย
"หากนายหญิงช่วยเหลือคนครบ ห้าสิบครั้ง บึงน้ำจะสามารถรักษาโรคต่างๆ ได้ หนึ่งร้อยครั้งป่าชั้นนอกจะเข้าไปได้ สามร้อยครั้งป่าชั้นในถึงจะเข้าไปได้ ห้าร้อยครั้งป่าชั้นในถึงจะเปิดเจ้าค่ะ"
ซูมี่ยิ้มไม่ออก เธอต้องช่วยเหลือคนมากเพียงนี้เลยหรอกว่าจะเข้าไปหาสมบัติด้านในได้
"เอาไว้ก่อนเหอะ" ซูมี่โบกมือให้เป่าเปา ก่อนที่นางจะฝากให้ช่วยดูแลแปลงเพาะปลูกของเธอ และกลับออกไปด้านนอก
ซูมี่เมื่อกลับมาอยู่ภายในห้องพัก เธอก็ลืมตัวลงนอนที่เตียงอย่างหมดแรง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในสามวันที่ผ่านมามันเหลือเชื่อเกินกว่าที่เธอจะยอมรับได้
แล้วไหนจะเรื่องของเป่าเปาทูตตัวน้อยที่อยู่ในมิติอีก หากเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเธอแต่มีคนมาเล่าให้ฟัง เธอก็คงทำใจให้เชื่อไม่ลง
"ถึงเวลาแล้วที่เจ้าต้องกลับไป" ซูมี่ที่เผลอหลับไป เธอฝันเห็นทางเดินโล่งๆ ที่มีแต่แสงจ้าแสบตา พร้อมเสียงของคุณยายเจ้าของกำไลเท่านั้น
เพราะแสงที่สว่างที่มากเกินไปทำให้สายตาของเธอลืมมองสู้แสงไม่ไหว เมื่อซูมี่หลับตาลง เมื่อเธอก็ตื่นขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ภายในห้องที่เรือนหลังน้อยในยุคโบราณซูมี่ลืมตานอนนิ่งๆ เพื่อปรับความรู้สึก ก่อนที่จะมองฝ่าความมืดมองไปทั่วห้อง ยังเป็นเช่นเดิมที่ไม่มีสิ่งใดมีเพียงเตียงไม้ ตู้เก็บเสื้อผ้าที่ปลายเตียง ซูมี่เดินออกไปด้านนอกห้องเพื่อสำรวจบ้านที่นางเคยอยู่ทุกอย่างยังเป็นเช่นที่เคยเป็น หากจะนึกเสียดายสิ่งที่อยู่ในภพนี้คงวเป็นบิดามารดาที่รักนางที่สุด นอกนั้นก็ไม่มีสิ่งใดให้จดจำ ในตอนนี้ที่นางย้อนกลับมาเป็นช่วงก่อนที่นางจะรับรู้เรื่องของถิงถิงในเมื่อเป็นเช่นนี้ซูมี่ก็คิดที่จะทำให้ครอบครัวของนางเห็นธาตุแท้ของชิงฉาง เพื่อจะได้หยุดให้การช่วยเหลือเรื่องต่างๆ กับเขา ในเมื่อกล้าทรยศต่อความหวังดีที่ท่านพ่อท่านแม่นางมอบให้ เขาก็ควรจะได้รับผลที่เขาได้กระทำไว้เช้าวันรุ่งขึ้น นางจางกุ้ย มารดาของซูมี่ก็เดินมาดูบุตรสาวที่ล้มป่วยลงเมื่อสองวันก่อนที่นอนพักอยู่ในห้อง"มี่เออร์เจ้าหายดีแล้วหรือ" นางจางกุ้ยเดินเข้ามาจับหน้าผากของบุตรสาวที่นั่งอยู่ที่เตียงซูมี่ที่เห็นหน้ามารดาก็โผล่เข้าหาด้วยความ
ชิงฉางยืนอึ้งอย่างตกใจ เพราะเขาไม่คิดว่าเหตุผลที่ท่านป้าจางไม่ส่งอาหารไปที่เรือนของเขาเป็นเพราะต้องบำรุงซูมี่เขาจำต้องกลับเรือนไปเพราะไม่อาจทนอับอายอยู่ที่เรือนตระกูลซูได้ เรื่องที่เขาไม่เคยมาเยี่ยมซูมี่ตอนที่นางป่วยก็นับเป็นเรื่องที่เขาละเลยไปจริงๆซูมี่เมื่อล้างจานเรียบร้อยนางก็เดินออกมาจากห้องครัว ก็ทันได้เห็นแผ่นหลังของชิงฉางที่เดินจากไปแล้ว นางเลิกสนใจในตัวเขาแล้วหันมาช่วยบิดามารดากำจัดหญ้าที่อยู่ในแปลงผักแทนตลอดครึ่งวันเช้า ซูมี่นางช่วยเหลือบิดามารดาโดยหาได้ยาก เพราะส่วนมากเมื่อก่อนนางจะไปอยู่ที่เรือนของชิงฉางเพื่อทำความสะอาดเรือนให้เขาหรือเก็บผ้าไปซักให้เขาต้าหลางกับจางกุ้ยมองบุตรสาวด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ ว่าบุตรสาวที่วิ่งตามคู่หมั้นอย่างชิงฉางทั้งวันจะตัดใจจากเขาได้จริงในตอนบ่ายซูมี่ก็ช่วยบิดาจัดการของป่าที่หามาได้ เพื่อนำไปขายในวันพรุ่งนี้ นางอยากจะนำของที่อยู่ในมิติออกมาใจจะขาดแต่ต้องรอให้เรื่องของถิงถิงที่บิดาของนางไปสืบวันนั้นพรุ่งนี้ทำให้บิดามารดาเชื่อว่าชิงฉางต้องการจะถอนหมั้นนางเพื่อไปแต่งถิงถิงจริงๆ นางถึงจะยอมนำของออกมาซูมี่ช่วยเตรียมของให้บิดาเพื่อเดินทางเ
ซูมี่ที่เห็นบิดาเดินเข้าเรือนมาอย่างเร่งรีบนางก็เตรียมผ้าให้เขาได้เช็ดหน้าและรินน้ำไว้ให้เขาดื่มอย่างเอาใจ เพียงแค่ดูจากหน้านางก็รู้แล้วว่าบิดาของนางคงไปพบเรื่องใดมาแน่"ท่านพ่อดื่มน้ำก่อนเจ้าค่ะ" ซูมี่ส่งถ้วยน้ำให้บิดา เมื่อเห็นบิดามองมาที่นางอย่างเห็นใจ"มี่เออร์ เรื่องที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริง" เมื่อนางจางกุ้ยเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะแล้วต้าหลางจึงเล่าเรื่องที่ตนไปพบเห็นมานางจางกุ้ยยกมือขึ้นตบอก เพราะนึกไม่ถึงว่าชิงฉางที่เป็นถึงบัณฑิตมีความรู้จะกล้าทำเรื่องเช่นนี้และเขายังมีสัญญาหมั้นหมายกับบุตรสาวของนางอยู่ด้วยกลายเป็นซูมี่ที่นางเหมือนไม่เดือดร้อนอันใดเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวอันใดกับนาง"แล้วจะทำเช่นใดดี" นางจางกุ้ยเอ่ยถามอย่างกังวล"ไม่เห็นจะต้องกังวลเรื่องอันใดเลยเจ้าค่ะ ก็เพียงแค่ถอนหมั้นเท่านั้น""หากอาฉางไม่ยินยอมเล่า" ต้าหลางเอ่ยขึ้นอย่างกังวล"เหอะ เขาคงอยากจะถอนหมั้นใจแทบขาด" ซูมี่ร้องเหอะออกมาเสียงดัง มีหรือคนอย่างชิงฉางมิอยากถอนหมั้น คงอยากหลุดพ้นจากนางเพื่อไปหมั้นหมายกับบุตรสาวของคหบดีเฉียวใจแทบขาด"เช่นนั้นก็เรียกอาฉางมาพูดคุยเสียก่อนเถิด" ต้าหลางคิดไว้แล้วว่าวันน
เสี่ยวเจียหน้าซีดลง นางไม่คิดว่าอาเต๋อจะยอมรับออกมาตรงๆ ยามนั้นนางออกไปพบกับชิงฉางที่นัดพบนางและเห็นทั้งคู่เข้า ก่อนที่ชิงฉางจะเอ่ยว่าเขาคิดจะถอนหมั้นกับซูมี่เพื่อมาหมั้นหมายกับนางทำให้เสี่ยวเจียคิดแผนนี้ขึ้นมาทันที เพราะนางคิดว่าอาเต๋อที่ชื่นชอบซูมี่อยู่แล้วคงจะยอมรับออกมาเพื่อให้ได้แต่งกับนาง"เจ้าทำให้ชื่อเสียงของข้าเสียหาย เจ้าต้องชดใช้" ซูมี่หันไปหาเสี่ยวเจียอย่างดุดันก่อนที่จะแบมือแล้วขอค่าทำขวัญจากเสี่ยวเจียห้าตำลึง"แล้วก็ไปบอกบุรุษที่เจ้านัดพบให้นำหนังสือหมั้นมาคืนข้า มิเช่นนั้นข้าจะนำเรื่องที่พวกเจ้าลอบพบกันประกาศไปทั่วหมู่บ้าน" ซูมี่เดินไปกระซิบที่ข้างหูของเสี่ยวเจียเสี่ยวเจียล้มลงไปกองกับพื้น นางไม่คิดว่าเรื่องที่นางนัดพบกับชิงฉาง ซูมี่นางจะพบเห็นเข้า ซูมี่ยัดเงินห้าตำลึงใส่ถุงเงินของนางก่อนจะเดินกลับเรือนของนางไปอย่างสบายใจในเมื่ออยากให้นางเป็นนางร้าย นางก็จะร้ายให้เต็มที่ เช้าวันรุ่งขึ้น ชิงฉางก็นำสัญญาหมั้นหมายมาคืนให้ซูมี่ พร้อมทั้งให้ผู้นำหมู่บ้านมารับรู้ด้วย ชาวบ้านที่มาร่วมรับรู้ต่างคิดว่าซูมี่จะร้องห่มร้องไห้ แต่เมื่อเห็นนางมองหนังสือสัญญาถอนหมั้นที่มือแล้วยิ้ม
ต้าหลางนำออกมาเพียงสามหัวเท่านั้นมิได้นำออกไปขายมาก เพราะเขาอยากจะนำเงินไปสร้างเรือนหลังใหม่ หากจะนำของในมิติออกไปก็ต้องหลบสายตาของชาวบ้าน จึงอยากให้มีกำแพงเรือนที่สูงขึ้น และบ้านที่แข็งแรงเพื่อให้ผ่านหน้าหนาวไปได้ซูมี่นางรู้สึกหิวจึงชวนบิดามารดาออกจากมิติเพื่อไปทำอาหารที่เรือน ซูมี่ที่เห็นมารดาหอบของอยู่ในอ้อมแขนมากมายก็ส่ายหัว ก่อนที่จะพาทั้งสองออกไป ต้าหลางกับจางกุ้ยก็ยังเอ่ยลาและบอกจะเข้ามาหาเป่าเปาบ่อยๆอีกด้วยเมื่อออกมาด้านนอกแล้ว เวลาที่ผ่านไปเหมือนพวกเขาเข้าไปได้ไม่นาน ต้าหลางกับจางกุ้ยที่คิดว่าออกมาฟ้าจะมืดเสียแล้วต่างก็แปลกใจ"ท่านแม่ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ" เมื่อได้ยินสิ่งที่ซูมี่พูด นางจางกุ้ยก็รีบร้อนหอบของเข้าครัวไปก่อนจะรีบลงมือเร่งทำอาหารอย่างรวดเร็วทั้งสามนั่งกินข้าวอย่างรวดเร็ว เมื่อมีเครื่องปรุงที่มากกว่าเดิมอาหารที่ทำออกมาจึงมีรสชาติที่หน่อยกว่าในทุกวัน กับข้าวที่มากมายบนโต๊ะทั้งสามก็กินเสียหมดเรียบชิงฉางที่อ่านหนังสืออยู่ในเรือน เพราะเรือนของเขาอยู่ติดกับตระกูลซูย่อมต้องได้กลิ่นอาหารที่ลอยมาถึงเรือนของเขา ชิงฉางต้องปิดตำราลงเพราะอ่านไม่รู้เรื่อง และเขาก็เดินไปดื่มน้ำ
ท่านผู้นำหมู่บ้านก็รับไว้อย่างเต็มใจ แต่ก่อนที่ต้าหลางจะกลับเขาได้สอบถามเรื่องหาคนสร้างเรือนหลังใหม่ ผู้นำหมู่บ้านก็รับปากว่าจะจัดหาคนให้อย่างเต้มที่ เพราะบุตรชายคนโตของเขารับสร้างเรือนอยู่ ในช่วงนี้ก็ยังว่างพอดีจึงเริ่มสร้างเรือนให้ต้าหลางได้เลยต้าหลางเมื่อเสร็จเรื่องที่บ้านท่านผู้นำหมู่บ้านเขาก็ตรงกลับเรือนเพื่อนำเรื่องไปแจ้งให้สองแม่ลูกได้รับรู้ ทั้งสามเดินไปดูที่ดินที่ต้าหลางได้ทำการซื้อไว้เรียบร้อยแล้วซูมี่มองที่สองร้อยหมู่แล้วถอนหายใจ ที่มากเพียงนี้คงต้องหาคนเพิ่มเสียแล้ว "ท่านพ่อ ท่านแม่ สร้างเรือนตรงนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ" ซูมี่ต้องการสร้างเรือนให้อยู่ไม่ห่างจากแม่น้ำมากนัก เพราะนางอยากดึงน้ำเข้ามาใช้ที่เรือนโดยไม่ต้องเดินไปหาบน้ำอีกแล้วต้าหลางเมื่อมองไปทิศที่บุตรสาวชี้ก็หยุดนิ่งคิด เพราะใกล้แม่น้ำมากไปก็ไม่ดี ช่วงน้ำมากอาจจะท่วมมาถึงเรือนได้ เมื่อได้ฟังและคิดตามที่บิดาพูดก็เห็นจะเป็นจริง เพราะตอนที่นางยังเล็กก็เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอยู่เรือนหลังใหม่จึงถูกสร้างด้านหน้าของที่ดิน ด้านหลังก็ปลูกข้าว ผัก ผลไม้ และสมุนไพรแทน จางกุ้ยที่นางไม่ได้แสดงความคิดเห็นเพราะยังตกตะลึงกับจำ
ของที่ขนมานำมาไว้ที่ห้องโถง เมื่อชาวบ้านเข้ามาภายในเรือนก็ต้องตกตะลึงกับความกว้างขวางภายใน และห้องนอนที่มีมากถึงห้าห้องนอนซูมี่นำของไปเก็บไว้ที่ห้องของนาง เมื่อเดินออกมาชาวบ้านก็เดินชมเรือนเสร็จแล้ว นางเห็นมารดายืนคุยอยู่กับท่านป้าฝูก็เลยเดินเข้าไปหา"มี่เออร์มาพอดี ป้าฝูถามแม่เรื่องหมั้นหมายของเจ้า" จางกุ้ยเมื่อเห็นบุตรสาวส่งสายตาให้จึงได้หันไปปฏิเสธป้าฝูที่ต้องการจะหาคู่หมั้นคนใหม่ให้ซูมี่เมื่อส่งชาวบ้านกลับไปหมดแล้ว ซูมี่นางก็เริ่มนำของออกมาใช้แต่เพียงภายในห้องนอนของนางและบิดามารดาก่อน เพราะยังมีคนงานและชาวบ้านที่ยังมาทำงานอยู่ ของในเรือนจึงยังนำออกมาไม่ได้สองเดือนต่อมาเรือนข้างกับห้องพักคนงานก็เสร็จลง จางกุ้ยที่จ่ายเงินครั้งสุดท้ายให้กับฉินโกวก็อดที่จะเสียดายมิได้ เพราะว่าค่าสร้างเรือนก็หมดไปถึงหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงทอง"ท่านแม่ หากท่านอยากมีเงินเพิ่มก็ให้ท่านพ่อนำโสมไปขายอีกดีหรือไม่เจ้าคะ""ไม่ได้ ไม่ได้ จะมีผู้ใดโชคดีพบโสมปีหนึ่งสองสามครั้ง" ต้าหลางโบกมืออย่างไม่เห็นด้วย"เช่นนั้นก็หาคนงาน เพื่อปลูกผัก สมุนไพรขายเถิดเจ้าค่ะ" ต้าหลางกับจางกุ้ยพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแต่ความกังวลใ
"นายท่านขอรับ" ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินตามนายหน้าไปทำสัญญา ก็ถูกหนึ่งในทาสที่ซื้อไว้ดึงรั้งชายเสื้อของต้าหลาง"มีอันใด" ต้าหลางหันไปมองอย่างข้องใจ เมื่อเห็นทาสนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น"ทะท่าน ช่วยพาภรรยากับบุตรสาวของข้าไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ" ต้าหลางหันมาหาซูมี่อย่างหนักใจก่อนที่ซูมี่จะเอ่ยพูด ทาสอีกห้าคนก็คุกเข่าลงเสียงดังและบอกความต้องการที่เหมือนกัน"เช่นนั้นก็ซื้อไปทั้งหมดเถิดท่านพ่อ" ซูมี่ถอนหายใจ หากมิใช่เป่าเปารับรองนางก็ไม่กล้าพาทุกคนกลับไปที่เรือน เพราะกลัวจะล่วงรู้เรื่องของนางนายหน้าที่ได้ยินก็ยิ้มกริ่ม ก่อนจะให้คนไปพาครอบครัวของทั้งห้าออกมา แล้วเดินนำต้าหลางกับซูมี่ไปห้องรับรองเพื่อจ่ายเงินและมอบสัญญาของทาสทั้งหมดให้จากที่ต้าหลางจะได้ทาสบุรุษไปทำงานเพียงยี่สิบคน กับต้องพากลับถึงสามสิบสองคน"ท่านมีรถม้าไปส่งที่จวนข้าหรือไม่" ซูมี่หันไปถามนายหน้า เขาก็รีบสอบถามที่อยู่ก่อนจะรับปากว่าจะไปส่งคนที่หมู่บ้านให้ซูมี่เดินไปที่กลุ่มคนที่นางซื้อไว้ ก่อนจะมอบเงินให้เขาสิบตำลึงทองเพื่อไปซื้อเสื้อผ้าให้กับทุกคน โดยนางยกให้เขาเป็นพ่อบ้านจัดการเรื่องทุกเรื่องไปเลย เมื่อสอบถามความได้ว่าเขาเคยเป
ซูมี่นางส่งฮ่องเต้และฮองเฮาลงแช่น้ำโดยให้ มามาและหยางกงกงคอยดูแลแล้วก็พาองค์รัชทายาทไปที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋"เพราะพระองค์เห็นหม่อมฉันเป็นน้องสาว และหม่อมฉันก็เห็นพระองค์เป็นพี่ชาย จึงได้พามาที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋" ซูมี่นางอธิบายเรื่องการเปลี่ยนไขกระดูกและการฝึกวรยุทธให้องค์รัชทายาทได้เข้าใจอย่างน้อยองค์รัชทายาทก็ต้องมีวรยุทธไว้ปกป้องพระองค์เอง เพื่อเกิดเหตุการณ์เช่นกบฏองค์ชายรองอีกครั้ง"มี่เออร์ เปิ่นหวางไม่เสียทีที่รักเจ้าเหมือนดั่งน้องสาว" องค์รัชทายาทเอ่ยออกมาจากใจ เพราะเขารักนางเหมือนน้องสาวตั้งแต่ครั้งแรกที่นางช่วยเสด็จพ่อของตนไว้ ไม่คิดว่านางจะไว้ใจตนจนมอบเรื่องวิเศษเช่นนี้ให้"พระองค์อดทนให้ได้นะเพคะ" ซูมี่บอกองค์รัชทายาทเมื่อมาถึงด้านในถ้ำของเสี่ยวไป๋"เปิ่นหวางจะอดทน" ซูมี่พยักหน้าให้ฮุ่ยหมิ่นคอยดูแลองค์รัชทายาท ส่วนนางจะกลับไปดูทางฮ่องเต้ ฮองเฮาก่อนเสียงกรีดร้องขององค์รัชทายาทดังออกมาจากนอกถ้ำ เสี่ยวไป๋ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างดูแคลน"ร้องดังกว่าเจ้าในยามนั้นเสียอีก" ซูมี่อดจะหัวเราะเสียงดังออกมามิได้เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวไป๋เมื่อกลับมาถึงถ้ำของเสี่ยวเฮย ฮ่องเต้ก็ขึ้นจากน้ำมาเรี
นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตรงหน้าของตนได้เปลี่ยนไป แปลงสมุนไพรที่มีสมุนไพรหายากมากมาย ผัก ผลไม้ที่ขึ้นเต็มไปหมดเสี่ยวไป๋ในยามนี้ตัวใหญ่จนน่าตกตะลึง แล้วไหนจะหมาป่าสี่ตัวกับหมีควายที่กำลังวิ่งมาทางนี้อีก ฮูหยินไป๋เกือบจะเป็นลมแต่ถูกฮุ่ยหมิ่นประคองไว้เสียก่อนเป่าเปาที่ปรากฏกายด้วยรูปร่างที่แท้จริงบินไปตรงหน้าของนายท่านไป๋ เขาจ้องมองทุกสิ่งอย่างไม่อยากเชื่อสายตา แม้จะผ่านเรื่องน่าเหลือเชื่อมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้นับว่าเกินเขาจะรับไว้"มี่เออร์นี่เรื่องอันใด" เขาเอ่ยเสียงที่แทบหาไม่เจอออกมาอย่างอยากเย็นซูมี่เล่าเรื่องภายในมิติของนางให้นายท่านไป๋และฮูหยินไป๋ได้ฟัง นางพาทั้งคู่ไปที่ถ้ำของเสี่ยวเฮย เพื่อให้พวกเขาลงไปแช่ในน้ำ เพราะทั้งคู่ไม่ต้องเปลี่ยนไขกระดูกเช่นนางกับฮุ่ยหมิ่นจึงไม่ต้องไปที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋เมื่อทั้งสองลงไปแช่ในน้ำ เพียงหนึ่งชั่วยามเมื่อขึ้นมาจากน้ำต่างก็พบความเปลี่ยนแปลงของตน นายท่านไป๋ที่มีโรคปวดตามข้อตามอายุของตนก็หายเป็นปลิดทิ้ง แม้ก่อนหน้านี้จะกินผักผลไม้ของตระกูลซูแต่ก็ต้องกินเป็นระยะเวลานานถึงจะเห็นผลรูปลักษณ์ของทั้งคู่ก็ดูจะอ่อนเยาว์ขึ้นอ
เสี่ยวซานก็จัดการหาฤกษ์มงคล พร้อมทั้งหาแม่สื่อไปพูดคุยกับซูถัง ป้าอวี้ บิดามารดาของโม่ลี่เพื่อสุ่ขอนางตามธรรมเนียม เรื่องสินสอดและสินเดิมซูมี่นางก็จัดการให้อย่างใจกว้างจนบ่าวในเรือนที่ชอบพอกันมาบอกกล่าวนางว่าตนอยากจะแต่งกับคนนั้น คนนี้ ซูมี่ก็ไม่ขัดข้องพร้อมทั้งจัดการให้ทุกคน เพราะทุกคนที่กล้ามาพูดกับนางล้วนอยู่กับนางมาตั้งแต่ที่เมืองเจียงซวนงานมงคลของบ่าวในจวนแม่ทัพจัดขึ้นภายในเรือน แม้แต่จวนอื่นก็ไม่อยากจะเชื่อว่า แม่ทัพไป๋กับฮูหยินจะใจกว้างถึงกับจัดงานในบ่าวของตนด้วยเพียงวันเดียวก็มีคู่แต่งงานในจวนถึงห้าคู่ ซูมี่แบกท้องที่ใหญ่โตของนางไปร่วมงานด้วย ทั้งยังอยู่ร่วมรับประทานอาหารกับทุกคน ต้าหลาง จางกุ้ยก็พาบ่าวในจวนของเขามาร่วมงานด้วยเช่นกัน"ท่านพี่ ข้าคิดว่าข้าจะคลอดแล้วเจ้าค่ะ"ซูมี่ดึงแขนเสื้อของฮุ่ยหมิ่นที่ร่วมดื่มเหล้ามงคล"ตามหมอตำแยประเดี๋ยวนี้" ฮุ่ยหมิ่นตกตะลึง เมื่อดึงสติมาได้ เขาก็ตะโกนเสียงดังภายในจวนจึงได้วุ่นวายไปหมด โม่ลี่ที่อยู่ในห้องหอก็อยากจะออกมาดูนายหญิงของตนใจแทบขาด แต่ก็โดนสั่งห้ามไว้ เพราะมีคนอยู่ในจวนมากมายให้นางวางใจได้ แต่นางก็มิยอมฟังยังออกจากห้องหอมาที่เ
คุณหนูหานร้องอย่างตกใจ พร้อมทั้งกระโดดไปที่ฮุ่ยหมิ่น แต่มีหรือที่คนอย่างฮุ่ยหมิ่นจะยอมให้สตรีนางอื่นมาโดนตัว เขาพุ่งหลบไปอีกทางอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะดึงซูมี่ออกห่างมาด้วยคุณหนูหานจึงล้มลงไปกองที่พื้นเสียงดัง สาวใช้ของนางต้องรีบเข้ามาประคองนายของตนอย่างเสียขวัญไหนจะมีเสือขาวที่นอนหมอบจ้องมาทางพวกนางเหมือนจ้องตะครุบเหยื่อ แต่ก็ไม่กล้าที่จะทิ้งนายตนเองมิเช่นนั้นเมื่อกลับจวนไม่รู้ว่าจะโดนลงโทษเช่นใด"ไล่มันออกไปสิเจ้าค่ะ" นางร้องสั่งฮุ่ยหมิ่นให้ไล่เสือขาว"เป็นเจ้าที่ต้องออกไป เสี่ยวไป๋เป็นสัตว์เลี้ยงของมี่มี่" ฮุ่ยหมิ่นเอ่ยเสียงเย็นอย่างไม่ไว้หน้าคุณหนูหานไม่คิดว่าฮุ่ยหมิ่นไม่รับตัวนางไว้ แล้วยังออกปากไล่นางออกจากจวนอีก นางจึงร้องไห้รีบร้อนออกจากจวนท่านแม่ทัพไปอย่างอับอาย"นางเข้ามาได้อย่างไร" ฮุ่ยหมิ่นเอ่ยถามบ่าวเสียงเข้ม"ข้าให้นางเข้ามาเองเจ้าค่ะ อยากรู้ว่านางมาด้วยเรื่องอันใด" ซูมี่ถูกฮุ่ยหมิ่นประคองมายังที่นั่ง"แล้วรู้หรือยังว่านางเข้ามาด้วยเรื่องอันใด" เขาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เพราะเขากับตระกูลหานไม่ได้สนิทถึงขั้นต้องไปมาหาสู่กัน อีกอย่างฮูหยินรองก็ไม่ถูกกับมารดาของตนอีกด้
ฮุ่ยหมิ่นก็ตั้งใจทำเช่นที่เขาพูดจริง นับตั้งแต่วันนั้นมา ฮุ่ยหมิ่นก็เหมือนจะเร่งมือเรื่องทำบุตรทุกค่ำคืน เพราะซูมี่นางกลับไปที่จวนโหวทุกวันเพื่อดูน้องชายบ้างวันฮุ่ยหมิ่นกลับมาจากค่ายทหารยังหาภรรยารักไม่พบ จนต้องตามไปที่จวนท่านพ่อตาเพื่อรับนางกลับจวน"เกิดอันใดขึ้น" ฮุ่ยหมิ่นที่เพิ่งกลับมาถึงเรือน ก็เห็นบ่าววิ่งกันให้วุ่น"ท่านแม่ทัพ ฮูหยินนางกินอันใดมิได้ขอรับ บ่าวในเรือนจึงต้องไปทำใหม่เสียหลายรอบ" พ่อบ้านซานรีบบอกฮุ่ยหมิ่น"ตามหมอหรือยัง" ฮุ่ยหมิ่นเหมือนจะลืมไปว่าซูมี่นางรู้วิชาแพทย์"ฮูหยินมิได้ตามขอรับ" พ่อบ้านซานหลบสายตาของฮุ่ยหมิ่น"ประเสริฐ" เขารีบร้อนเดินไปที่เรือนของตนเพื่อดูอาการของซูมี่ และอยากจะตำหนินางที่ไม่ยอมตามหมอ"มี่มี่ เหตุใด เจ้าถึงไม่ตามหมอ" ฮุ่ยหมิ่นเข้ามาถึงก็เอ่ยถามทันทีแต่เมื่อเห็นโม่ลี่ประคองกระโถนในมือเพื่อให้ซูมี่นางอาเจียนก็รีบร้อนเข้ามานั่งข้างนางทันที"ท่านยังมิรู้อีกหรือว่าข้าเป็นอันใด" ซูมี่เอ่ยถามอย่างอ่อนแรง เสี่ยวไป๋ก็เข้ามาซุกอยู่ที่ท้องของนางอย่างห่วงใย"ดื่มก่อนเจ้าค่ะนายหญิง" เป่าเปาส่งถ้วยน้ำในมือของนางให้ซูมี่ เมื่อนางดื่มเข้าไปอาการอยากอาเจี
ภายในห้องโถงเรือนหลักของจวนแม่ทัพ ในยามนี้มีเพียงบิดามารดาของฮุ่ยหมิ่นเท่านั้น เพราะเขาแยกจวนมาอยู่ที่จวนท่านแม่ทัพแล้ว วันนี้นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋เพียงมาพักช่วงรับตัวเจ้าสาวเข้าจวน"คารวะท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ" ซูมี่ยกน้ำชาขึ้นเหนือคิ้วของนาง ส่งให้นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋"นับจากนี้เจ้าเป็นบุตรสาวของข้าอีกคนแล้ว" ฮูหยินไป๋จินชาเล็กน้อย ก่อนจะวางโฉนดที่ดินนอกเมืองให้ซูมี่ห้าร้อยหมู่เพื่อรับขวัญลูกสะใภ้"หากมีเรื่องอันใดที่จัดการไม่ได้ ก็บอกแม่สามีของเจ้าแล้วกัน" นายท่านไป๋ก็ชาขึ้นดื่มเล็กน้อยพร้อมทั้งโบ้ยให้ทางฮูหยินไป๋รับเรื่องไว้ฮุ่ยหมิ่นส่ายหัว เมื่อเห็นมารดาทำหน้าเหมือนอยากจะทุบบิดาของตน ซูมี่นำของที่นางเตรียมไว้มอบให้นายท่านไป๋และฮูหยินไป๋ เมื่อทั้งคู่เปิดดูก็ต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เพราะนางให้โสมที่นางปลูกไว้ให้ทั้งสองถึงห้าหัวแต่ถ้าทั้งคู่รู้ว่าโสมของนางมีเป็นพันหัวไม่รู้จะแสดงสีหน้าเช่นไร แม้โสมทั้งห้าหัวจะไม่ได้มีขนาดใหญ่เช่นที่เสี่ยวเฮยนำมาให้ซูมี่ แต่ถ้าเทียบกับที่จวนอื่นมี ในมือของทั้งคู่ตอนนี้ก็ถือว่าใหญ่ที่สุด ฮูหยินไป๋กอดกล่องไม้ไม่ยอมส่งให้สาวใช้ถือ เมื่อทานอาหารเช
ขบวนรับเจ้าสาวออกจากจวนโหวไปจวนแม่ทัพอย่างยิ่งใหญ่ ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คงจะเป็นสินเดิมของเจ้าสาวที่มีมากมาย ภายในหีบนอกจากเงินทองแล้ว ของทุกอย่างมีค่าควรเมือง แม้แต่ในราชวังของบางอย่างที่ซูมี่นางมีคงไม่เคยได้พบเห็นตามธรรมเนียมต้องเปิดหีบทุกใบออกเพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าได้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านในมิใช่หีบเปล่า หรือใส่ก้อนหินไว้แทน กล่องที่ดูจะเด่นที่สุดเห็นจะเป็นโสมหัวใหญ่ของเสี่ยวเฮย เพียงมองด้วยตาเปล่าก็คำนวณอายุออกมาน่าจะไม่น้อยกว่าพันปีเป็นแน่ไม่รู้ว่าจวนโหวไปหาของเหล่านี้มาจากที่ใด เพราะข่าวลือที่รู้มา ซูมี่นางเป็นเพียงหญิงชาวบ้านเท่านั้น ต่างคนต่างความคิด ซูมี่อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ เพราะนางล่วงรู้ความคิดของคนทั้งหมดบางคนคิดว่าจวนท่านแม่ทัพให้นางมา บางคนกล่าวว่าเป็นสินสงครามที่ฮุ่ยหมิ่นยึดมาได้แต่ไม่ส่งเข้าคลังหลวง เรื่องทั้งหมดไม่ว่าชาวเมืองจะคิดเช่นไร แต่คนของราชวงศ์อย่างฮ่องเต้และฮองเฮาล้วนรู้ดีถึงความพิเศษของนาง แต่เขามิได้พูดเรื่องของซูมี่ออกมาเพราะได้รับปากนางไว้แล้ว โสมในวังไม่ใช่จะไม่มีที่อายุนับพันปี แต่เมื่อเทียบกับของที่ซูมี่นำมามอบไว้ให้ย่อมเทียบกันไม่ติดเมื่อมาถึงจวนแม่
ฮุ่ยหมิ่นเดินเข้ามาซูมี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ซูมี่เห็นท่าไม่ดีนางจึงหายเข้าไปในมิติ ฮุ่ยหมิ่นยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างตกตะลึง ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ เขานั่งรอซูมี่อยู่บนเตียง แต่ไม่เห็นนางออกมาเสียทีจึงได้เขียนจดหมายทิ้งไว้ให้นาง แล้วกลับจวนของตนเองไป เพราะพรุ่งนี้เช้าเขาก็ต้องมารับตัวนางไปอยู่ด้วยที่จวนแล้วซูมี่ที่แอบหลบอยู่ในมิติ นางยังเห็นด้านนอกว่าฮุ่ยหมิ่นทำสิ่งใด เมื่อเขากลับออกไปจากห้องของนางแล้ว ซูมี่ที่กำลังจะออกจากมิติ เสี่ยวไป๋ก็เดินเข้ามาหานาง"ข้าให้ท่านนายหญิง" "นี่คืออันใด" ซูมี่หยิบสิ่งที่เสี่ยวไป๋ให้ขึ้นมา มันเหมือนลูกแก้วกลมใส ขนาดเท่าหัวนิ้วมือ"ท่านกลืนลงไปก็จะรู้" เสี่ยวไป๋มองสบตากับซูมี่ซูมี่นางกลืนลงไปทันที เพราะเชื่อใจเสี่ยวไป๋ เพียงไม่นานภาพเหตุการณ์ต่างๆก็ปรากฏขึ้น ภาพด้านนอกมิติ และภาพชีวิตของสัตว์ป่าทุกตัวที่อยู่ในมิติปรากฏชัดเหมือนนางอยู่ตรงนั้นด้วยตนเองด้านในมิตินางมิได้แปลกใจสักเท่าใด แต่ภาพในเรือนของนางไม่ว่าใครจะทำสิ่งใด เมื่อนางนึกถึงก็จะเห็นผู้นั้นทำสิ่งต่างๆ ทันที แล้วยังล่วงรู้ความคิดของทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องพูดออกมาอีกด้วย"นี่มัน"
ฮุ่ยหมิ่นนับว่าได้ความดีความชอบที่กลับมาช่วยจัดการกลุ่มกบฏขององค์ชายรองไว้ได้ทัน ฮ่องเต้จะให้ฮุ่ยหมิ่นกลับมาดูแลเมืองหลวง พร้อมทั้งพระราชทานจวนท่านแม่ทัพให้แก่เขาส่วนทางชายแดนเหนือยกให้รองแม่ทัพขึ้นเป็นแม่ทัพแทน ฮุ่ยหมิ่นจึงต้องส่งทหารทางชายแดนเหนือที่ตนพามาด้วยกลับชายแดนไปหลังจากจบเรื่องกบฏองค์ชายรอง ฮุ่ยหมิ่นก็ต้องจัดระเบียบทหารในค่ายของเมืองหลวงเสียใหม่ และต้องใช้เวลาฝึกทหารที่ไม่ได้เรื่องอีกมากนักที่ดินที่ใช้ปลูกเสบียงสำหรับกองทัพ ฮุ่ยหมิ่นก็ใช้น้ำวิเศษของซูมี่ในแปลงผัก และนาข้าว ฮุ่ยหมิ่นจัดการฝึกวรยุทธให้ทหารในค่ายด้วยตนเอง จนใกล้ถึงวันงานเขาจึงได้กลับไปที่เรือนตระกูลไป๋"หมิ่นเออร์ จวนหลังใหม่ของเจ้าจะเข้าไปอยู่เลยหรือไม่" ฮูหยินไป๋เอ่ยถามบุตรชายเมื่อเขาเข้ามาพบนางที่ห้องโถง"ข้าจะเข้าไปอยู่เลยขอรับ เรื่องบ่าวหรือข่าวของในจวนข้าจะจัดการเองขอรับ" เพราะเขาจะให้ซูมี่นางจัดการให้"เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า" ฮูหยินไป๋มิได้เข้าไปจัดการ เพราะเห็นว่าบุตรชายและซูมี่นางน่าจะจัดการได้ดีตกดึกฮุ่ยหมิ่นก็ไปหาซูมี่ที่เรือนของนาง เพราะเขามิได้พบหน้านางมาหลายวัน นับตั้งแต่ต้องไปจัดการเรื่องภายใ