หลังจากสองพี่น้องสกุลฉีกลับมาจากท่องเที่ยวที่เมืองตงชวนได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ จวนสกุลฉีก็กลับมาชีวิตชีวาอีกครา เหตุเพราะพี่ชายใหญ่อย่างฉีอันหลงที่มีกำหนดการว่าจะกลับมาเยี่ยมเยือนครอบครัวก็กลับมาถึงในเช้าของวันนี้ เขาหยุดพักงานที่วังหลวงหนึ่งสัปดาห์ เขาจึงอยากจะใช้ระยะนี้คอยทำความสนิทสนมกับคู่หมั้นสาว
“คุณชายขอรับ… วันนี้เราจะไปเยือนจวนสกุลซ่งกันเลยหรือไม่ขอรับ” หวงเทาเอ่ยถามคุณชายใหญ่ออกมาขณะที่รินน้ำชาให้“อ่า… ยังไม่ไปหรอก ก็ข้าเพิ่งจะเดินทางมาถึงก็ต้องอยู่กับท่านพ่อ ท่านแม่และก็น้องๆ ก่อนถูกหรือไม่ล่ะ” คุณชายใหญ่ที่ยามนี้กลายเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มและยกถ้วยชาขึ้นมาจิบยามอยู่เมืองหลวงนั้นมีสตรีมากมายมาคอยเสนอตัวอยากที่เป็นฮูหยินของเขา แต่เขาก็ยังคงซื่อสัตย์และรักมั่นต่อคู่หมั้นสาวเพียงคนเดียวมิเสื่อมคลาย แม้นจะมีคนคิดว่าขุนนางมักจะเจ้าชู้หลายใจ แต่สำหรับสกุลฉีแล้วพวกเขายึดมั่นในคู่ผัวเมียเดียวมาตั้งแต่บรรพบุรุษ อีกสามปีเขาจะขอย้ายมาประจำการอยู่ที่เมืองตงหลางเพราะหากถึงยามนั้นเขาและคู่หมั้นคงจะออกเรือนด้วยกันแล้วจวนสกุลซ่งหน้าจวนสกุลซ่งยามนี้มีม้าศึกอยู่ด้านหน้าสองตัวทำให้คนที่เพิ่งจะเดินทางมาถึงรู้สึกประหลาดใจ ซ่งเจียวซินลงมาจากรถม้าตามด้วยฉีอันหนิง ส่วนรถมัาของสกุลฉีก็ขับเคลื่อนเข้ามาจอดข้างๆ กัน สองพี่น้องสกุลฉีจึงลงมาจากรถม้าแล้วมาสมทบกับน้องสาวและเจ้าของจวน“นั่นม้าของคุณชายซ่งหรือ” ฉีอันหลงเอ่ยถามคู่หมั้นสาวออกมาเมื่อมองเห็นม้าศึกสีดำสองตัว“เจ้าค่ะ เอ…น้องมิทราบมาก่อนเลยว่าท่านพี่ใหญ่จะกลับมา” ซ่งเจียวซินตอบพลางมองหน้าสหายสนิท“จะว่าไปม้าสองตัวนี้ก็คล้ายๆ กับม้าในภาพวาดที่หนิงเอ๋อร์ซื้อมาเลยนะขอรับท่านพี่ใหญ่” ฉีอันลิ่งแสดงความคิดเห็นออกมาเมื่อได้เห็นม้าศึกที่ยืนกินหญ้าอยู่ไม่ไกลจากรถม้าของพวกตน ซ่งเจียวซินมองตามสายตาของคู่หมั้นหนุ่มไป“ม้าสองตัวนี้ได้รับพระราชทานมาจากฮ่องเต้ตั้งแต่ท่านพี่ใหญ่กับจงฉียังเป็นเด็กแล้วเจ้าค่ะ จะว่าไปพวกมันก็อายุยืนเหมือนกันนะเจ้าคะ เพราะเทียบกับอายุของพี่ใหญ่ของข้าแล้วก็นับไปเกือบสิบปีแล้วที่เขาได้รับม้าสองตัวนี้มา”ซ่งเจียวซินเล่าออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเชิญให้ผู้มาเย
ศาลาริมน้ำสกุลซ่งสองบุรุษหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่มีความแข็งแรงต่างกันกำลังนั่งเล่นหมากล้อมกันอยู่ตามลำพัง โดยฉีอันลิ่งเดินเลี่ยงออกไปชื่นชมสวนของจวนสกุลซ่งที่ต้องข้ามสะพานไม้ไป ส่วนบ่าวที่ติดตามฉีอันหลงและคนสนิทของซ่งมู่เฉินก็ยืนมองอยู่ไกลๆ เพราะรู้ว่าสองหนุ่มต้องการพูดคุยเรื่องส่วนตัวกัน“ท่านคิดว่าน้องเขยของท่านควรจะเป็นคนเช่นไรกันหรือ” คำถามที่ออกมาจากปากบุรุษหนุ่มตรงหน้าทำให้มือที่ถือหมากล้อมอยู่ค้างกลางอากาศ“เรื่องนั้น… ข้าตัดสินใจแทนน้องสาวของข้ามิได้หรอก นางชอบคนเช่นไร หรือนิสัยใจคอแบบไหน ข้าเองก็ยังมิเคยได้ถามนางสักครา”เป็นเพราะนางยังเด็กนักเขาจึงมิเคยไถ่ถามถึงความชอบเกี่ยวกับบุรุษกับนางสักครา แต่เขาก็พอจะมองออกว่าพี่ชายของว่าที่ภรรยาของเขาก็เป็นบุรุษเพียงผู้เดียวที่อยู่ในสายตาของน้องสี่ของตน แต่เขาก็เลือกที่จะมิเอ่ยออกมาเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายมีความหวัง หากสิ่งที่เขาคิดมิถูกต้อง มือหนาเอื้อมไปหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ“แล้วท่านว่าข้าเป็นเช่นไรบ้าง ข้าพอที่จะเป็นบุรุษที่อยู่ในสายตานางบ้างหรือไม่” คำถามที่เปล่งออกม
สามพี่น้องเยือนจวนสกุลซ่งอยู่หนึ่งชั่วยามกับหนึ่งก้านธูปจึงขอตัวลา และไม่ลืมแวะไปลาผู้ใหญ่ทั้งสองของจวนแล้วจึงพากันกลับจวนสกุลฉีทันที โดยวันพรุ่งนี้ฉีอันหลงได้เชิญชวนให้อสองพี่น้องสกุลซ่งไปเที่ยวตลาดด้วยกัน และนี่ก็เป็นแผนการที่จะทำให้พี่ชายของคู่หมั้นสาวได้ใกล้ชิดกับน้องสาวของตนมากขึ้น ซ่งมู่เฉินพอจะเดาทางออกจึงไม่ปฏิเสธ และดูเหมือนแผนการจะเป็นไปด้วยดีเพราะฉีอันลิ่งมีนัดหมายกับเหล่านักปราชญ์ในวันรุ่งขึ้น“เสียดายนะขอรับ หากข้าว่างข้าคงจะไปกับท่านพี่ใหญ่และน้องสี่ด้วย” ฉีอันลิ่งเอ่ยออกมาขณะที่นั่งอยู่บนรถม้า“มิเป็นอันใดหรอก เอาไว้คราวหน้าค่อยไปเที่ยวด้วยกัน” ฉีอันหลงปลอบใจนักปราชญ์หนุ่มจึงยิ้มออกมาได้ เพราะการได้ใช้ทุกช่วงยามอยู่กับพี่น้องนั้นเขามีความสุขยิ่งนัก อีกไม่นานทุกคนก็ต้องแยกย้ายกันไปมีครอบครัวใหม่ โดยเฉพาะน้องสาวของเขาที่ต้องแต่งออกจากสกุลฉีไป“เหตุใดถึงต้องชวนพี่ชายของซ่งเจียวซินไปด้วยล่ะเจ้าคะ” จู่ๆ ฉีอันหนิงก็เอ่ยถามออกมา“ไปกันหลายๆ คนจะได้สนุกอย่างไรล่ะ เจ้ามิคิดเช่นนั้นหรอกหรือ” ฉีอันหลงตอบยิ
หลังจากเพลิดเพลินกับการเดินเที่ยวในตลาดไปเกือบหนึ่งชั่วยาม สองหนุ่มและสองสาวน้อยวัยแรกแย้มพร้อมทั้งผู้ติดตามก็พากันแยกย้ายกลับจวนของตน เป็นเพราะซ่งมู่เฉินมาด้วยกัน ฉีอันหลงจึงมิได้ไปส่งคู่หมั้นที่จวนสกุลซ่งด้วยตนเอง แต่พรุ่งนี้เขามีกำหนดการไปเยือนจวนสกุลซ่งอีกคราเพราะได้รับคำขอมาจากพี่ชายของคู่หมั้นให้เขาพาน้องสาวไป ยามนี้เขาทำตัวราวกับเป็นพ่อสื่อโดยที่ผู้เป็นน้องมิได้รู้ตัว“น้องสี่…เจ้าคิดว่าบุรุษเช่นไรที่เจ้าอยากจะฝากชีวิตเอาไว้กับเขาในภายภาคหน้า” คำถามของพี่ชายใหญ่สร้างความงุนงงให้แก่เด็กสาววัยแรกแย้มเป็นอย่างมาก“เหตุใดจึงถามเรื่องนี้กันล่ะเจ้าคะ”“มิมีอันใดหรอก พี่แค่อยากรู้ในความคิดเห็นของสตรีน่ะ” ฉีอันหลงตอบราวกับว่าเป็นคำถามที่เขาอยากจะถามนางอย่างแท้จริง“สำหรับน้อง… น้องมิเคยได้คาดหวังว่าจะฝากชีวิตนี้ไว้แก่ผู้ใดหรอกเจ้าค่ะ เพราะน้องสามารถดูแลตัวเองได้ แต่ถ้าถามว่าบุรุษเช่นไรที่สตรีทั้งหลายนั้นใฝ่ฝันอยากจะฝากชีวิตที่เหลือไว้ด้วยก็คงจะไม่พ้นหนุ่มรูปงาม มีสติปัญญา ปกป้องภรรยาและตระกูลได้ ส่วนมากก็น่าจ
แท้จริงแล้วซ่งมู่เฉินกับซ่งเจียวซินนั้นเป็นพี่น้องที่ไม่ได้เติบโตมาด้วยกันจึงเกิดระยะห่าง อีกทั้งช่วงวัยยังห่างกันถึงหกปีเหมือนกับฉีอันหลงกับฉีอันหนิง แต่ทว่าต่างกันตรงที่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของสกุลฉีจะดีกว่าสกุลซ่งมาก“ถ้าเช่นนั้นเอาไว้ค่อยแก้มือกับเขาใหม่อีกหนก็แล้วกัน”หนึ่งหนุ่มสองเด็กสาวนั่งพูดคุยกันอยู่ที่ศาลาริมน้ำของจวนสกุลซ่งเกือบหนึ่งชั่วยาม สองพี่น้องสกุลฉีจึงขอตัวกลับจวนก่อนเพราะยังต้องแวะไปกินมื้อกลางวันที่จวนพร้อมหน้าพร้อมตา ซ่งเจียวซินมิได้รั้งสหายสนิทหรือคู่หมั้นของนางไว้ เพราะนางก็มีเรียนเรื่องงานดูแลเรือนหลังกับมารดาต่อเช่นกันทางด้านผู้ที่มีความคิดอยากจะสานสัมพันธ์กับบุตรีสกุลซ่งก็กำลังวุ่นวายอยู่กับการวางแผนจัดการกับกลุ่มค้าสตรีที่จะมีความเคลื่อนไหวในค่ำคืนนี้ ทั้งที่เขาเคยคิดว่ามันหมดไปจากเมืองตงหลางแล้ว แต่ทว่ากลับลักลอบกระทำกันโดยคนของทางการมิมีผู้ใดรับรู้เรื่องนี้เลยสักคน หลังจากที่ห่างหายไปนานเกือบสามปี บางทีเรื่องนี้ก็อาจจะมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังเป็นผู้เดียวกันกับพวกที่เขากำลังให้ลูกน้องในหน่วยพยัคฆ์ดำตามสืบอยู่“พ
การเข้าให้ความช่วยเหลือเหล่าสตรีที่ถูกขายมาในครานี้นั้น หัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำเลือกที่จะเลี่ยงส่งพวกนางให้กับทางการในทันที และเลือกที่จะสอบสวนผู้กระทำผิดเองก่อนที่จะส่งให้ศาลตงหลางจัดการต่อ เพราะเขาเชื่อว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลังเป็นคนของทางการ เพราะทุกคราที่ส่งพวกนักเลงเหล่านี้เข้าคุกไป พวกมันก็จะกลับออกมาได้ทุกหนไป ครานี้เขาจะมิทำเช่นนั้น แต่จะสอบสวนจนกว่าพวกมันจะยอมรับสารภาพว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือขุนนางคนใด“โอ๊ย!!! ก็ข้าบอกว่าไม่รู้ ข้ารับงานมาจากบุรุษผู้หนึ่งเขาบอกเพียงว่ามิต้องกังวลกับพวกทหารตรวจตราเพราะเขาได้เปิดทางให้พวกข้าแล้ว” หัวหน้านักเลงเลือกที่จะไม่สารภาพความจริง“ยามที่ข้ายังใจดีกับพวกเจ้าอยู่ก็รีบบอกมา ก่อนที่ข้าจะโมโหแล้วเลือกเฉือนเนื้อพวกเจ้าสองคนออกมาแทน” เสียงเข้มคำรามขึ้นมา ปลายดาบจ่อไปที่คอของลูกน้องแทนที่จะเป็นหัวหน้าเพราะคนพวกนี้รักตัวกลัวตาย“ขะ…ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าเพียงแค่ติดตามท่านหัวหน้าของข้ามาทำงานแลกเงินก็เท่านั้น” ลูกน้องละล่ำละลักออกมาด้วยความหวาดกลัว“ถึงพวกเจ้าจะฆ่าจะฟันพวกข้าให้ตาย พวก
หนึ่งก้านธูปต่อมาฉีอันหนิงที่เตรียมตัวพร้อมแล้วจึงเดินไปที่เรือนใหญ่เพื่อรับมื้อเช้ากันพร้อมหน้ากับคนในสกุลฉี ซึ่งในยามนี้ขาดเพียงพี่สามของนางเท่านั้นที่ยังคงอยู่แนวรบที่ชายแดน แม้ยามนี้จะมิได้มีข้าศึกแต่เขาก็ไปประจำการอยู่ที่นั่นเพื่อรักษาความสงบ“หนิงเอ๋อร์คารวะท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ใหญ่ และท่านพี่รองเจ้าค่ะ” บุตรีคนเล็กของสกุลฉีคำนับบิดามารดาและพี่ชายทั้งสองไปตามลำดับก่อนที่จะนั่งลงประจำที่ของนาง“นอนไม่หลับหรือ เหตุใดใต้ตาของเจ้าดูคล้ำยิ่งนัก แววตาก็ดูล้าๆ” ฉีอันลิ่งทักน้องสาวขึ้นมาหลังจากที่นางมานั่งลงข้างๆ“นั่นสิ… ถึงว่าเมื่อเช้าพี่ไปหาถึงได้ยังมิตื่นนอน” ฉีอันหลงเห็นด้วยกับผู้เป็นน้องชายเมื่อได้สำรวจดวงหน้างามแต่ทว่ากลับดูเหนื่อยล้าของน้องสาวคนเล็ก“เจ้าค่ะ พอดีมีเรื่องให้คิดนิดหน่อย” เสียงหวานตอบพร้อมกับส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้รอบวงที่กำลังมองมาที่นางเป็นจุดเดียวกัน“เป็นเด็กเป็นเล็ก มีเรื่องให้คิดมากอันใดกันหรือหนิงเอ๋อร์ หรือมีสิ่งใดที่เจ้าอยากจะทำแล้วยังมิได้ทำอย่างนั้นหรือ”ฉีฮูห
แม้นว่าวันนั้นจะล่วงรู้ถึงแผนการของพวกลอบค้าขายสตรี แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกหน่วยพยัคฆ์ดำก็ไม่พบกับผู้กระทำความผิดหรือเหล่าสตรีที่คาดว่าน่าจะถูกขายให้แก่หอนางโลมหรือพวกขุนนางต่างเมืองเลยแม้แต่เส้นทางเดียว หัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำจึงคาดว่าพวกมันไหวตัวทันและหยุดการกระทำดังกล่าวเพียงชั่วคราวเพียงเพราะถูกพวกเขาก่อกวนและปราบปราม เรื่องนี้ทางการมิได้ล่วงรู้ว่าหน่วยพยัคฆ์ดำเป็นผู้เกี่ยวข้องในการส่งผู้กระทำผิดไปที่ศาลตงหลาง ได้แต่คิดว่าเป็นเพียงพลเมืองดีเท่านั้น“วันนี้ข้าจะแวะไปที่จวนของเจ้าด้วยได้หรือไม่เจียวซิน" เสียงหวานของฉีอันหนิงดังขึ้นข้างกายขณะที่สองเด็กสาวเยื้องย่างออกมาจากสำนักศึกษา“อื้อ…ดีเลย วันนี้เราไปอ่านตำราด้วยกัน”ซ่งเจียวซินเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น นางอยู่ที่จวนลำพังก็รู้สึกเหงาอยู่ไม่น้อย หากมีสหายแวะเวียนไปเที่ยวเล่นบ่อยๆ นางก็จะได้คลายความเหงาลงบ้าง คุณหนูทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปก่อนที่จะแยกย้ายกันขึ้นรถม้าของจวนตนเองเพื่อเดินทางไปยังจวนสกุลซ่งจวนสกุลซ่งคุณหนูรองเยื้องย่างเข้าจวนสกุลซ่งไปพร้อมกับสหายสนิทที่วันนี้แวะมาเยือนจวน
ฉีหงซวนและซ่งมู่หยางวัยสามขวบวิ่งไล่จับกันอยู่ภายในสวนดอกไม้ มีน้องเล็กอย่างฉีซูหลิง บุตรคนโตของฉีอันลิ่งและอิ่นซูหรงวัยหนึ่งขวบครึ่งวิ่งไล่ตามรั้งท้ายของพี่ชายทั้งสองอย่างทุลักทุเลเพราะเยาว์วัยกว่าพี่ๆ ผู้เป็นบิดานั่งจิบสุราอยู่ในศาลาริมน้ำแล้วมองมายังลูกๆ ของตนด้วยแววตาเอ็นดู ส่วนผู้เป็นมารดาทั้งสามก็นั่งมองไปยังลูกๆ อยู่แทบจะไม่ละสายตาเช่นกันเด็กๆ มีบ่าวและสาวรับใช้คนสนิทของตนที่คอยดูแลไม่ให้คุณชายและคุณหนูไม่ได้รับอันตราย ซ่งมู่หยางฉายแววความเฉลียวฉลาดมาจากมารดา เขามักจะถามนั่นถามนี่จากสาวรับใช้และบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลตนเอง ยิ่งกับท่านพ่อท่านแม่ของเขานั้นไม่เคยสักครั้งที่จะไม่ได้ยินคำถามที่ดังมาจากปากลูก แม้จะวัยเพียงสามขวบแต่ซ่งมู่หยางก็ช่างเจรจายิ่งนัก“ท่านพ่อ…นก”มือเล็กหอบเอาลูกนกที่ตกลงมาจากรังบนต้นไม้กลับมาให้บิดา ซ่งมู่เฉินรีบลุกขึ้นไปดู ฉีอันหนิงเองก็เช่นกัน สองสามีภรรยานั่งยองๆ อยู่ด้านหน้าของบุตรชายตัวน้อยก่อนที่จะรับลูกนกมา“อยากให้พ่อพาลูกนกกลับบ้านของมันใช่หรือไม่….หยางเอ๋อร์”บุตรชายพยักหน้า ซ่งมู่เฉิน
ภายในจวนสกุลฉียามนี้กำลังวุ่นวายเพราะวันนี้เป็นกำหนดคลอดของสะใภ้คนโต ซ่งเจียวซินนอนใบหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียงนอน มีสาวรับใช้คนสนิทคอยซับเหงื่อให้ หมอตำแยทำหน้าที่ของนางเป็นอย่างดี ใต้เท้าฉี ฉีฮูหยิน ฉีอันหลง ฉีอันลิ่ง อิ่นซูหรงและฉีอันลู่กำลังรอฟังข่าวดีกันอยู่ข้างนอกห้อง ส่วนฉีอันหนิงนั้นท้องแก่ใกล้คลอดเช่นกันจึงมิอาจเดินทางมาให้กำลังใจพี่สะใภ้คนโตกำเนิดหลานคนแรกของสกุลฉีได้“ฮูหยินเป็นเช่นไรบ้าง” ฉีอันหลงเอ่ยถามสาวรับใช้ที่เข้าไปช่วยทำคลอด“ใกล้แล้วเจ้าค่ะคุณชายใหญ่ ข้าน้อยขอตัวไปเอาน้ำร้อนก่อนนะเจ้าคะ” สาวรับใช้ตอบก่อนที่จะรีบเดินแกมวิ่งไปยังห้องครัวที่พวกบ่าวรับใช้ต้มน้ำร้อนรออยู่“ใจเย็นๆ ก่อนเถิดหลงเอ๋อร์ แม่หมอตำแยนางนี้ทำคลอดไม่เคยผิดพลาดเลยสักหน อีกอย่างเราก็ตามท่านหมอหลวงมาดูอาการของซินเอ๋อร์ก่อนที่หมอตำแยจะมาถึงแล้วนี่ลูก”ฉีฮูหยินเดินไปจับแขนบุตรชายที่กำลังเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจ เพราะนึกเป็นห่วงทั้งภรรยาและลูกน้อยในครรภ์ของนาง“ข้าใจร้อนยิ่งนักขอรับ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดแล้ว เหตุใดคลอดลูกถึงได้ช้าย
ในยามเช้าตรู่ของสองวันถัดมาหลังจากพิธีแต่งงานของฉีอันลิ่ง ฉีอันหนิงที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียงกับผู้เป็นสามี ก็ต้องรีบผุดลุกขึ้นจากเตียงเพื่อออกจากห้องไปอาเจียนด้านนอก นางรู้สึกว่าร่างกายของนางเองนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่กลับมาจากเมืองตงฉวน หรืออาจจะก่อนหน้านั้นนางเองก็มิอาจจะจดจำได้ มือเล็กเปิดประตูห้องนอนออกไปก่อนที่จะโก่งคออาเจียนจนเสียงดังจนสองสาวรับใช้คนสนิทพากันตกอกตกใจ“แอว๊ะ!!! อุ….แหวะ….” สองสาวรับใช้รีบเข้าไปปรนนิบัตินายหญิงทันทีเสียงอาเจียนของฉีอันหนิงดังขึ้นปลุกให้ผู้เป็นสามีต้องรีบลุกจากที่นอนแล้วรีบสาวเท้าตามร่างเล็กของนางออกไปด้านนอก“ยี่หรุน!!! เจ้าให้คนรีบไปเชิญท่านหมอมาดูอาการของนายหญิงเร็วเข้า”ซ่งมู่เฉินออกคำสั่งออกมาเมื่อเห็นอาการของภรรยาผิดแปลกไปจากทุกวัน ซุนซุนลูบแผ่นหลังและส่งน้ำให้นายหญิงของตนเพื่อใช้กลั้วปาก ฉีอันหนิงรับมาแต่ยังไม่ทันได้กลั้วปากด้วยน้ำสะอาดนางก็อาเจียนออกไปอีกหน“เจ้าค่ะท่านเขยสี่”ยี่หรุนรีบวิ่งออกไปบอกให้บ่าวที่อยู่ด้านหน้าจวนรีบไปตามท่านหมอมาดูอาการนายหญิงเล็ก ก่อนท
ความเก่งกาจของฉีอันหนิง และความดีของซ่งมู่เฉินถูกกล่าวขานไปทั่วทั้งเมืองตงฉวน และเล่าลือมาจนถึงเมืองตงหลางเช่นกัน ชาวเมืองตงหลางนั้นมิได้ประหลาดใจเลยที่ฉีอันหนิงนั้นจะสามารถช่วยชีวิตสามีของนางเอาไว้ได้ด้วยฝีมือการยิงธนูของนาง เพราะเรื่องที่ถูกเล่าลือที่นางเก่งเกินสตรีนั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของเหล่าชาวเมืองบ่อยครั้งนางมักจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกขอทานหรือไม่ก็พวกพ่อค้าแม่ค้าที่ถูกพวกนักเลงรีดไถ ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งที่นางยังมิได้ออกเรือน จนบุรุษทั่วทั้งเมืองตงหลางต่างพากันอิจฉาซ่งมู่เฉิน ที่สามารถคว้าหัวใจของสตรีที่เพียบพร้อมเช่นนางไปครอบครองได้“ข้าเคยเห็นกับตาว่าฮูหยินเล็กสกุลซ่งนะสู้กับพวกนักเลงด้วยพัดเล่มเดียว ครานั้นนางยังเยาว์วัยอยู่เลย สักห้าหกปีได้แล้วล่ะ ข้ายังคิดอยู่ว่าชายใดจะคว้าใจนางไปครอง สุดท้ายคุณชายใหญ่สกุลซ่งก็ได้ใจของนางไปครอง” ชาวเมืองตงหลางผู้หนึ่งเอ่ยออกมาขณะที่กำลังจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องที่กำลังเป็นที่พูดถึงในยามนี้“คุณชายซ่งช่างโชคดีเสียจริง แต่เขาก็เป็นถึงคนของฮ่องเต้มิใช่หรือ”ไม่มีผู้ใ
ในยามเหม่าม้าสองตัวที่มีผู้ที่กำลังขี่อยู่ข้างบนหลังของพวกมันคือบุรุษรูปร่างองอาจและสตรีรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร ด้านหลังมีม้าของผู้ติดตามอีกสามตัว ส่วนสองสาวรับใช้มิได้ติดตามมาด้วยกัน ดวงหน้างามปะทะกับสายลมที่พัดโชยมา เสียงวิหคขับขานราวกับเป็นท่วงทำนอง เสียงฝีเท้าของม้าและเสียงของผู้ที่กำลังบังคับม้าดังไปทั่วทั้งสนามหญ้า แสงจากพระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า ฉีอันหนิงรู้สึกสนุกและมีความสุขไปกับการได้ทำในสิ่งที่นางชื่นชอบโดยที่ผู้เป็นสามีสนับสนุน“ดีที่อากาศมิได้หนาวเย็นเท่าใดนัก มิเช่นนั้นพี่คงมิให้เจ้านั่งควบม้าตามลำพังเป็นแน่”ซ่งมู่เฉินตะโกนบอกภรรยาที่ควบม้าอยู่ไม่ห่างกันมาก ฉีอันหนิงส่งยิ้มให้สามีก่อนที่จะตะโกนตอบเขากลับไป“ท่านพี่ก็รู้ดีว่าน้องชื่นชอบอากาศที่หนาวเย็น มิต้องกังวลไปหรอกนะเจ้าคะ น้องน่ะมิป่วยง่ายๆ หรอกเจ้าค่ะ”สองสามีภรรยาและสามผู้ติดตามควบขี่ม้าชื่นชมธรรมชาติในยามเช้าตรู่อยู่จนเวลาล่วงเลยไปยามเฉิน ซ่งมู่เฉินจึงเอ่ยชวนภรรยากลับเรือนพักเพื่อที่จะได้เตรียมตัวออกไปล่าสัตว์ในป่าที่อยู่ทางเขาด้านหลังของสำนักวารีพยัคฆ์ เมื่อไปถึงเรือ
สองฝั่งข้างทางที่เป็นธรรมชาติเรียกสายตาของฉีอันหนิงให้มองออกไปผ่านหน้าต่างของรถม้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ นางเคยเห็นภาพเช่นนี้ยามเมื่อคราที่เดินทางไปยังเมืองตงยางกับตงชวน หนทางจากเมืองตงหลางมายังเมืองตงฉวนนั้นค่อนข้างไกล ทำให้นางรู้สึกปวดเมื่อยจากการนั่งอยู่บนรถม้าที่วิ่งไปบนเส้นทางที่ขรุขระอยู่ไม่น้อย“ท่านพี่นี่เราใกล้จะถึงที่หมายหรือยังเจ้าคะ น้องรู้สึกเมื่อยล้ายิ่งนัก อีกอย่างน้องว่าม้าของเราต้องการพักนะเจ้าคะ” ฉีอันหนิงเปิดม่านบอกผู้เป็นสามีที่นั่งอยู่บนหลังม้าด้านนอก“อีกไม่ไกลแล้วล่ะน้องหญิง แต่ถ้าหากว่าเจ้าอยากจะพักก่อน ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยม""ถ้าเช่นนั้นเราแวะพักกันสักครึ่งชั่วยามเถิดเจ้าค่ะ หากยังไปอีกไม่ไกลมันก็คงยังมิมืดค่ำเท่าใดนัก”ซ่งมู่เฉินเห็นด้วยกับภรรยา ครานี้เขามิได้มาแต่กับเหล่าบุรุษแต่ทว่าเขาพาสตรีมาด้วย ชายหนุ่มจึงหันไปสั่งผู้ติดตามให้หยุดพักที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมสุดท้ายของเมืองนี้ก่อนเข้าสู่เมืองตงฉวนที่โรงเตี๊ยมยามนี้มีลูกค้าไม่มากเท่าใดนักเพราะส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้ที่เดินทางผ่านไปผ่านมา กลิ่น
“ข้าดีใจด้วยนะเจียวซิน นี่หลานคนแรกของข้าอยู่ในท้องน้อยๆ ของเจ้าเช่นนั้นหรือนี่” ฉีอันหนิงยกมือไปวางบนหน้าท้องที่ยังคงไม่ใหญ่โตเพราะเพิ่งจะมีครรภ์ของซ่งเจียวซินพลางเอ่ยแสดงความยินดีกับสหายสนิทที่มีสถานะเป็นทั้งพี่สะใภ้ และน้องสามี“ขอบน้ำใจเจ้านะอันหนิง ข้าก็ไม่คิดเช่นกันว่าเขาจะมาเกิดไวเช่นนี้ เพียงปีเดียวเขาก็มาเลย พี่ชายของเจ้าน่ะเขาทะนุถนอมข้ามาก เจ้ามิต้องเป็นห่วงหรือเป็นกังวลไปหรอกหนา”“ได้ยินเช่นนี้ก็ค่อยสบายใจ อืม…ท่านพี่รองของข้าจะแต่งงานอีกสามเดือนข้างหน้านี้แล้วใช่หรือไม่”“อื้อ… เห็นท่านพ่อท่านแม่บอกว่าเช่นนั้นหนา ยามนี้ก็เริ่มเตรียมเรือนหอเอาไว้แล้ว”“ถ้าเช่นนั้นเจ้าทั้งสองนั่งคุยกันก่อนเถิด พี่ขอตัวไปดูพี่สามของน้องหญิงฝึกซ้อมที่ลานฝึกซ้อมด้านหลังจวนก่อน” ซ่งมู่เฉินลุกขึ้นและเอ่ยออกมา“เจ้าค่ะท่านพี่ แต่เราต้องกลับเรือนก่อนยามเว่ยนะเจ้าคะ น้องอยากจะแวะตลาดซื้อผ้าไหมเอาไปปักยามว่างเสียหน่อย” ฉีอันหนิงรั้งแขนของสามีพลางเอ่ยออกมา“ได้สิ พี่จะมิห่างเจ้า
หลังจากออกเรือนไปฉีอันหนิงกับซ่งมู่เฉินก็ครองคู่และใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขเรื่อยมา แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบปีแล้ว แต่ทว่าฉีอันหนิงก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีครรภ์เสียที ในขณะที่สะใภ้คนโตของสกุลฉีนั้นมีข่าวดีแล้ว ใต้เท้าซ่งกับซ่งฮูหยินนั้นมิได้รบเร้าให้บุตรชายกับสะใภ้เร่งมีทายาทในยามนี้เพราะเข้าใจดีว่าสะใภ้สุดโปรดนั้นยังเด็กนัก รออีกปีสองปีค่อยมีก็ยังไม่สาย“ท่านพี่ น้องต้องขออภัยท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ” จู่ๆ ภรรยาที่อยู่ในอ้อมกอดก็ปริปากออกมา“หืม…ขออภัยเรื่องอันใดหรือน้องหญิง”“ก็เรื่องที่เรายังไม่มีลูกอย่างไรล่ะเจ้าคะ” เสียงหวานตอบอ้อมแอ้ม“ไม่เป็นอันใดหรอกหนา พี่มิได้รีบ”‘มิได้รีบ….แต่ก็มิเคยว่างเว้น’ ฉีอันหนิงนึกค่อนขอดสามีอยู่ภายในใจ“แล้วงานของท่านพี่พักนี้มิได้พบกับความยุ่งยากใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางกล้าปริปากเอ่ยถามถึงงานของสามีเป็นเพราะเขาบอกมาตั้งแต่ต้นว่าเขาอนุญาตให้นางถามไถ่เขาได้“ไม่เลยล่ะ พักนี้พี่ถึงได้อยู่กับน้องหญิงบ่อยๆ แบบมิต้องกังวลใดๆ เช่นไรล่ะ&rdq
เกือบสองชั่วยามที่ซ่งมู่เฉินพาภรรยามาเยี่ยมบ้านเดิม สองสามีภรรยาคำนับลาบิดามารดาและพี่ชายก่อนที่จะกลับจวนสกุลซ่งกัน แต่ระหว่างทางนั้นฉีอันหนิงอยากแวะตลาดเพื่อหาซื้อผ้าแพรเอาไปเย็บปลอกหมอนและผ้าม่านในเรือนที่ตนและสามีพักอยู่ ซ่งมู่เฉินเองก็ไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด เขาตามใจภรรยามากเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดี“ท่านพี่ สีของปลอกหมอนกับผ้าม่านภายในห้องของเราเปลี่ยนเป็นสีฟ้าได้หรือไม่เจ้าคะ น้องอยากให้ห้องนอนของเราสดใสขึ้นน่ะเจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงถามความคิดเห็นของสามีที่เดินเคียงข้างกันเข้าไปภายในร้านขายผ้าไหมผ้าแพร“ตามใจเจ้าเถิดน้องหญิง หากเจ้าอยากจะปรับเปลี่ยนสิ่งใดในเรือนของเราก็ขอให้บอก พี่จะสั่งให้คนมาทำให้ใหม่”สุ้มเสียงที่อ่อนโยนกระซิบบอกภรรยาสาว ฉีอันหนิงจึงยิ้มให้ผู้เป็นสามีทั้งสองจึงเดินไปเลือกดูผ้าแพรที่ต้องการ สาวรับใช้สองนางกับจูจงฉีก็ติดตามคอยรับใช้นายท่านกับนายหญิงไม่ห่างเมื่อเดินเลือกสิ่งของที่ต้องการจนพอใจแล้ว ซ่งมู่เฉินจึงพาภรรยาเดินทางกลับจวนสกุลซ่ง และกว่าจะเดินทางไปถึงก็เป็นมื้อเย็นพอดี ใต้เท้าซ่งและซ่งฮูหยินต่างยิ้มแย้มออกมาอย่า