เมื่อหย่งฟางกลับมาถึงวัดเสวียนเว่ย ก็พบว่าวันนี้ปิดไม่รับแขกไม่มีผู้แสวงบุญเลยสักคนเลย เฒ่ากัวและพรรคพวกนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กในลานกลาง ขณะที่พวกคุณนายอย่างหยู่ถัง, หนิวลี่ และซ่งเสี่ยวฮุ่ยก็มาอยู่ที่นี่เช่นกัน ทุกคนดูท่าทางกระวนกระวายเดินไปมาไม่หยุดเมื่อหย่งฟางเปิดประตูเข้ามา ทำให้ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียวกัน คุณนายพากันเดินเข้ามาหาหย่งฟางทันที ล้อมรอบและเดินวนรอบเธอสำรวจ ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียด กลัวว่าจะพลาดร่องรอยบาดแผลใดๆ เมื่อมั่นใจว่าหย่งฟางไม่ได้บาดเจ็บอะไรแล้ว ทุกคนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกลุงกัวและคนอื่นๆ ดูผ่อนคลายและกล่าวว่า “บอกแล้วว่าวัดของเรามีเทพเจ้าคุ้มครองอย่างดี แต่พวกคุณก็ยังไม่เชื่อกัน”ซ่งเสี่ยวฮุ่ยไม่สนใจพวกผู้ชาย พุ่งเข้ามาพูดกับหย่งฟางทันที “อาจารย์หย่ง เธอทำเอาพวกเรากลัวแทบตาย!”พวกเธอเห็นประกาศจากตำรวจเมืองถานจิง ถึงกับขาอ่อนแทบทรุด เลยรีบมาที่วัดแต่ก็ไม่เจอหย่งฟางอยู่ที่นี่ ไม่นานก็เห็นเรื่องราวที่หญิงสาวโพสต์ลงเว่ยป๋อ ประกอบกับประกาศจากตำรวจ ทำให้รู้ที่มาที่ไปทั้งหมด ใบหน้าของคุณนายฉู่ซีดเผือด แม้เธอจะรู้ว่าหย่งฟางเก่งเรื่องปราบผี แต่ก็ไม่เคยคิ
พนักงานหญิงทั้งแปดคนตกลงกันว่า จะไปวัดเสวียนเว่ยในสุดสัปดาห์นี้ ไป๋เมียนเมียนจึงพูดขึ้น “งั้นฉันไปอีกครั้งด้วยก็แล้วกัน”เธอมองไปที่หัวหน้าและถาม “หัวหน้าเจี่ย จะไปด้วยกันไหมคะ?”เจี่ยหลันเหนียนหน้าซูบและมีรอยคล้ำใต้ตา ร่างกายดูโทรมมาก เธอจิบกาแฟไปหนึ่งอึกแล้วตอบ “ฉันไม่ว่าง พวกเธอไปสนุกกันเถอะ” จากนั้นก็เดินเข้าห้องทำงานไปเพราะเป็นเวลาพักเที่ยง พนักงานหญิงทั้งแปดก็เริ่มถามไป๋เมียนเมียน “ไปวัดต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง?”เธอเองก็ไม่ชำนาญเท่าไหร่ แต่ก็พอแนะนำได้ “ฉันได้ยินมาว่าห้ามเหยียบธรณีประตู และต้องไม่ยกเท้าขวาก่อน”“ฉันได้ยินมาว่าการไหว้เทพเจ้าก็มีวิธีเฉพาะนะ เมียนเมียน ครั้งที่แล้วเธอไหว้ยังไง? ช่วยสอนพวกเราหน่อยสิ!”ไป๋เมียนเมียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบ “ไม่ค่อยมีอะไรนะ ข้างในมีอาจารย์คอยให้คำแนะนำ”พนักงานหญิงจึงเริ่มค้นหาข้อมูล วิธีการไหว้เทพเจ้าในวัดเสวียนเว่ยจากอินเทอร์เน็ต พวกเธอไม่เจอกฎอะไรแปลกๆ นอกจาก…โพสต์ที่กำลังเป็นที่นิยมเมื่อวันก่อนพร้อมรูปภาพ ทำให้พวกเธอสนใจ ในวิหารของเทพเจ้าที่วัดเสวียนเว่ย มีจอไฟฟ้าเลื่อนข้อความที่แสดงข้อห้ามต่างๆเช่น:**ห้ามส่งเสียงดัง****ห้ามทะเล
***อาจมีฉากทำให้สะเทือนใจ!!!!!***วิญญาณแมวสองตัวโปร่งแสง กำลังกอดหางและหลับตา ในท่าทางผ่อนคลายบนไหล่ของเสวี่ยหยาง เด็กชายตกใจจนไม่กล้าขยับตัวเจี่ยหลันเหนียนและเสวี่ยหมิงพูดพร้อมกัน "นี่มันอะไร?!"หย่งฟางมองไปที่เสวี่ยหยางแล้วถาม "เธอรู้จักมันไหม?"เสวี่ยหยางหน้าแดงขึ้นและส่ายหัว "ไม่ ไม่รู้จัก!!""ยังไม่พูดความจริงอีก!!" เจี่ยหลันเหนียนตบหัวลูกชายแรงๆ ไปทีเธอทำงานในบริษัทใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับโซเชียลมิเดีย จึงคุ้นเคยกับข่าวเรื่องเด็กวัยรุ่นที่ทารุณสัตว์ เมื่อเห็นวิญญาณแมวน้อยสองตัวตามลูกชายมา ก็เริ่มเดาออกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น"เสวี่ยหยาง! แกป่วยทางจิตใช่ไหม?! แกทำตัวแบบนี้เพราะว่าเราปล่อยปะละเลยแกหรือเปล่า เราไม่เคยดุแกจึงได้ใจ ตอนนี้แม้กระทั่งสัตว์ตัวเล็กๆ แกก็กล้าฆ่ามัน?! เจ้าเด็กเลวเหลือขอ ฉันจะไม่ขอให้ท่านอาจารย์หย่งช่วยแล้ว วันนี้แกต้องไปอยู่ในสถานกักกันเด็ก!"เจี่ยหลันเหนียนตำหนิลูกชายด้วยความโกรธจนตัวสั่น เธอนึกย้อนถึงการเลี้ยงดูลูกชาย ที่ผ่านมาทั้งสองคนพยายามให้การศึกษาที่ดี ตามใจทุกอย่างสนับสนุนทุกเรื่อง แต่ตอนนี้เธอรู้สึกหมดแรง"เราทำลูกเสียคนแล้วจริงๆ" เธอสามารถยอมรับได้หาก
เจี่ยหลันเหนียนยังไม่รู้ว่าสามีกำลังคิดอะไรอยู่ จึงขอบคุณหย่งฟางอีกครั้ง ก่อนจะออกจากห้องน้ำชาและกลับไปยังวิหารของเทพเจ้า สามคนพ่อแม่ลูกต่างคนต่างจุดธูปคนละสามดอก ขณะบริจาคเงินทำบุญ เจี่ยหลันเหนียนสแกนคิวอาร์โค้ด ส่วนเสวี่ยหมิงกำลังคุยในกลุ่มบริษัทอยู่[พวกนายเคยไปวัดเสวียนเว่ยไหม? ที่นี่ไม่ธรรมดาเลย การบริจาคแล้วแต่ศรัทธานี่ ดีกว่าการดูไพ่ทาโรต์ที่พวกนายเคยถามหรือเปล่า]ยังไม่ทันจะมีสาวๆ ที่ชอบดูดวงเข้ามาแสดงความคิดเห็น ปรากฏว่า... CEO โผล่ขึ้นมาแทน เสวี่ยหมิงตกใจแทบตาย เขาพิมพ์ผิดกลุ่ม! ตอนแรกตั้งใจจะพิมพ์ในกลุ่มแชทสบายๆ กลับพิมพ์ลงในกลุ่มใหญ่ของบริษัทซะได้! กำลังจะลบข้อความ แต่แชทของซีอีโอก็ทำให้เขาหยุดมือไปถังเฟยเฮ่อ: [นายอยู่ที่วัดเสวียนเว่ยเหรอ?]ถังเฟยเฮ่อ: [[โอนเงินให้เสวี่ยหมิง - 8888 หยวน]]ถังเฟยเฮ่อ: [ช่วยบริจาคเงินธูปเทียนให้ด้วย จำไว้นะว่าต้องเขียนหมายเหตุว่า เป็นของเฟยเฮ่ มอบให้เทพเจ้าที่เครารพรัก]เสวี่ยหมิง: ……?เมื่อกลับไปยังกลุ่มแชทสบายๆ ทุกคนก็ต่าง @เสวี่ยหมิง เพื่อสอบถามซ่งเสี่ยวอวี๋: [พี่เสวี่ยยังไม่รู้เหรอว่า วัดประจำบริษัทเราคือวัดเสวียนเว่ยน่ะ?]หยวนเหวิน: [
แต่ไม่ว่าจะบ่นเท่าไหร่ฟ้าสวรรค์ก็ไม่รับฟัง ทิ้งให้หย่งฟางยืนเจ็บใจอยู่คนเดียว ข้างนอกหนิงหมี่ที่ถูกโยนออกมา เหล่าผู้ศรัทธาที่ต่อแถวอยู่ตรงลานกลาง เห็นเทพธิดาในชุดโบราณ ก็คิดว่าเป็นกิจกรรมเผยแพร่วัฒนธรรม จึงไม่ได้มองอย่างแปลกใจเพียงแต่สนใจเป็นพิเศษ เพราะถูกหย่งฟางโยนออกมา หนิงหมี่ไม่สามารถใช้พลังเทพ ท่ามกลางสายตาผู้คนได้จึงลุกขึ้นมาเคาะประตู“หย่งฟาง! เปิดประตูเดี๋ยวนี้! ถ้าเจ้ามีปัญญารับสุขาคารวะจากท่านย่าได้ 81 ไห! ถ้าแน่จริงก็เปิดสิ!”ห่าวจาวไฉกับจินเหยาไต้ที่ดูแลความเรียบร้อยอยู่ ได้ยินเสียงก็จึงหันไปมอง และเมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคยดวงตาพวกเขาก็เบิกกว้างน…นั่นเทพธิดาน้อยหนิงหมี่!?ตอนเที่ยงคนอื่นๆ ทยอยกลับออกไป เฒ่ากัวทำอาหารสี่อย่างกับซุปหนึ่งหม้อ ทุกคนจ้องมองเจ้าเทพธิดาตัวน้อยที่ดูช่างสบายใจ ราวกับมีกลิ่นอายเทพเจ้าจอมพลังลอยรอบตัว“สรุปว่าอาจารย์หย่ง ต้องเป็นอาจารย์ของเทพธิดาน้อยเหรอครับ…?” จินเหยาไต้ถามหนิงหมี่พยักหน้า เคี้ยวหมูเปรี้ยวหวาน แล้วตักยอดคะน้าเต้าหู้ใส่ปาก “ต่อไปนี้ก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ!” จินเหยาไต้ถึงกับตาวาว ได้เป็นศิษย์สำนักเดียวกับเทพธิดา นี่ไม่แน่ว่าในป
หย่งฟางรู้สึกว่าเธอประมาทไป แม้จะยังไม่ได้ทำพิธีรับหนิงหมี่เป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ แต่หนิงหมี่ก็ไม่ใช่คนธรรมดา เธอเป็นเทพธิดาที่อยู่ในระดับเดียวกับเทพเจ้า ดังนั้นธูปที่จุดเพื่อเทพเจ้า หนิงหมี่สามารถตีความคำอธิษฐานได้หากต้องการหลังจากหย่งฟางตระหนักถึงจุดนี้ เธอก็รีบยกเลิก "การทำนายคำอธิฐานจากธูป" นี้อย่างรวดเร็ว จนแม้แต่เฒ่ากัวและพรรคพวกก็ยังไม่รู้เรื่อง แต่ตอนนี้วิหารเล็กๆ กลับแน่นไปด้วยผู้คนหลากอารมณ์ บ้างก็ร้องไห้ บ้างก็หัวเราะ บ้างก็ดูเหมือนสติไม่อยู่กับตัว บ้างก็เหมือนสูญเสียแสงในดวงตา ราวกับพบเจอความจริงที่ไม่น่ารับได้ ความลับดำมืดที่ถูกปิดบังมานานถูกเปิดเผยออกมา ทุกคนรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าหนีกลับทำไมคนอื่นได้ฟังความลับของฉัน แต่ฉันกลับไม่ได้ฟังความลับของคนอื่นล่ะ?! จะยอมกันไปไม่ได้! ต่างคนต่างคิดในใจว่าจะถอยก็ไม่ได้ จะชนะก็ไม่มีทาง“พ่อของหมิงจื้อ อย่าเพิ่งรีบ ฉันจะตีความคำอธิษฐานของแม่ของเสี่ยวคังก่อน”“แม่ของเสี่ยวคัง ลูกสาวคนโตของคุณที่เพิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ กำลังมีรักในวัยเรียนกับลูกชายวัย 23 ของป้าโรงอาหารที่ยังไม่มีงานทำ สองแม่ลูกกำลังวางแผนให้ลูกสาวคุณไม่ต้อ
[ฉันอธิษฐานกับศาลบรรพบุรุษ ขอให้สอบขับรถภาคปฏิบัติ (วิชาที่สอง) ผ่าน ท่านเซียนบอกว่าฉันเป็นคนที่พลังอ่อน เวลาเจอปัญหาก็จะตกใจจนสั่น บอกว่าถ้าฉันขับรถออกถนนน่ะ อาจจะกลายเป็นภัยต่อคนอื่น…ซึ่งก็เหมือนที่มีคนเคยทำนายไว้ไม่มีผิดเลยนะ แต่ท่านเซียนบรรพบุรุษให้กำลังใจมากกว่า บอกว่าฉันเกิดมาเพื่อมีชีวิตสุขสบาย แค่นั่งรถก็พอ ไม่ต้องลำบากขับเอง / ขำทั้งน้ำตา][ทำไมท่านเซียนบรรพบุรุษดีกับเธอขนาดนี้ ฉันโดนด่าจนร้องไห้ QAQ][ถึงคนนั้นที่อยู่ข้างบน: แล้วเป็นไงล่ะ ฟังบรรพบุรุษด่าแบบนี้ ชีวิตสงบขึ้นบ้างมั้ย?][สรุปเลย ฉันค้นพบว่าทั้งเทพเจ้าและเทพเซียนบรรพบุรุษที่วัดเสวียนเว่ย น่ะมีอารมณ์จริงๆ เกลียดความชั่วช้า ดังนั้นพวกที่คิดอะไรแปลกๆ แล้วยังกล้ามาขอพรตรงหน้า จะได้รับผลกรรมทันที]เสียงฮือฮาบนเว่ยป๋อ ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับคนในวัดเสวียนเว่ย หลังจากมื้ออาหารเสร็จ ห่าวจาวไฉล้างจาน จินเหยาไต้กับกุ่นกุ่นเปลี่ยนของบูชา เฒ่ากัวกับหนิงหมี่ทำความสะอาดบริเวณโดยรอบ หย่งฟางเตรียมการสำหรับพิธีรับศิษย์อย่างเป็นทางการ อยู่หน้ากระถางธูปในลานกลางบ้านเมื่อทุกคนพร้อมแล้ว หย่งฟางก็เตรียมการเสร็จเช่นกัน เบื้องบนคือท้องฟ
หนิงหมี่ศิษย์เทพของหย่งฟางไม่รู้หนังสือเลยสักตัว นักพรตสาวจึงส่งโทรศัพท์แล้วเปิดแอปโต่วอิน หาครูสอนภาษาจีนระดับชั้นประถมปีที่หนึ่งที่กำลังไลฟ์สด ให้เทพธิดาน้อยเรียนออนไลน์ไปพร้อมๆ กัน จากนั้นก็ค้นหาสมุดกับดินสอไว้ให้จดบันทึก นี่คงเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยให้รู้หนังสือได้ในขณะที่หย่งฟางกำลังตั้งใจสวดมนต์ เพื่อส่งวิญญาณลูกแมว เธอก็หยิบลูกแก้วสีเทาจากครอบครัวตระกูลฉู่ขึ้นมาให้ฟังบทสวดไปด้วย หวังว่าลูกแก้วนั้นจะจางสีลงบ้าง แต่ลูกแก้วไม่พอใจและกระโดดดิ้นพล่าน "เจ้ากล้า ‘ส่งวิญญาณ’ ของข้าไม่มั่วๆ พร้อมเจ้าแมวนี่เหรอ! ข้าไม่ต้องการ! ข้าต้องการให้เป็นพิธีเฉพาะของข้าเท่านั้น!"หย่งฟางขมวดคิ้ว "เธอคิดว่าตัวเองเป็นเทพผู้สูงส่งหรือยังไง? ฟังไปซะ!"ลูกแก้วบินวนไปรอบๆ ไม่ยอ มจนกระทั่งไปเห็นว่าวัดแห่งนี้มีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามา มันบินตรงไปหาหนิงหมี่เพราะสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณอ่อนเยาว์ ทั้งเทพน้อยและลูกแก้ววิญญาณ จ้องมองกันอย่างสนใจ หนิงหมี่ถามด้วยความอยากรู้ “อาจารย์ ลูกแก้วนี้คือ…?”ลูกแก้วส่งเสียง “เจ้าเป็นใคร? ข้าไม่เคยเห็นหน้าเจ้า”หนิงหมี่ยิ้ม “ข้าพึ่งมาวันนี้เอง ข้าเป็นศิษย์ของอาจารย์”“เจ้ามองอ
หอพักหญิง อาคาร 3A หน้าห้อง 702หลังจากหญิงสาวในห้อง 701 บอกว่า “ห้อง 702 ไม่มีคนอยู่” คำพูดนั้นทำเอาสาวๆ จากห้อง 602 กรีดร้องด้วยความตกใจสุดขีด ถ้าห้อง 702 ไม่มีใครอยู่ แล้วเสียงฝีเท้าเหล่านั้นมาจากไหน?เสียงกรีดร้องทำลายความเงียบของค่ำคืน ไฟทางเดินที่ควบคุมด้วยเซ็นเซอร์เสียงสว่างวาบขึ้นทีละชั้น เสียงโลหะขูดพื้นดังมาจากชั้นล่าง คุณป้าผู้ดูแลหอพักเปิดประตูห้องพัก รีบมองจอมอนิเตอร์กล้องวงจรปิด แล้วกดลิฟต์ขึ้นมายังชั้น 7“เอะอะอะไรกัน! เสียงดังจนคนทั้งตึกได้ยิน!” เมื่อมาถึง คุณป้าผู้ดูแลตำหนิ ก่อนหันไปมองเด็กๆ “พวกเธอห้อง 602 ใช่ไหม? มาเดินเพ่นพ่านอะไรตอนนี้? ไม่รู้เหรอว่าห้ามออกจากห้องหลังไฟดับ?”หญิงสาวจากห้อง 701 รีบช่วยอธิบาย “พวกเธอบอกว่าได้ยินเสียงคนเดินในห้อง 702 เลยขึ้นมาดู...คุณป้า ห้อง 702 มีใครอยู่หรือเปล่าคะ?”คุณป้ามองพวกเธอด้วยสายตานิ่งเรียบ “ห้อง 702 ไม่มีคนอยู่มานานแล้ว”คำตอบนั้นทำให้สาวๆ จากห้อง 602 ใจหายวาบ หญิงสาวจากห้อง 701 เริ่มลังเลก่อนถามด้วยเสียงสั่น “ป้า... รุ่นพี่บอกว่าหอพักหญิงที่นี่มีผี เรื่องนั้นจริงหรือเปล่าคะ?”“พวกเธออย่าไปเชื่อเรื่องไร้สาระแบบนั้น” คุณป้
"รับคำทำนายก่อนเถอะ แล้วค่อยคุยกัน" หย่งฟางเอ่ยขึ้นพลางมองแถวคนที่ยืนรออยู่ด้านหลังมีผู้หญิงสี่คนเข้ามาถามคำทำนายทีละคน สองคนถามเรื่องการเรียน อีกสองคนถามเรื่องความรัก กุ่นกุ่นช่วยตอบคำทำนาย หย่งฟางไม่ได้พูดเสริมอะไร มีเพียงกระซิบเบาๆ "ทำนายได้ดีมาก จากนี้ลูกค้าอื่นๆ ให้คุณดูแลคนเดียวเลย ทำให้มั่นใจหน่อย อย่าพูดติดขัด ถ้าคิดว่าจะติดก็พูดคำสำคัญสั้นๆ ก็พอ"กุ่นกุ่นพยักหน้า เรื่องนี้เฒ่ากัวเคยสอนเขามาก่อนแล้ว แนะนำให้พูดแบบเว้นจังหวะบ้างเพื่อให้ดูเป็นปริศนาและน่าเกรงขาม จากนั้นหย่งฟางพาผู้หญิงสี่คนไปยังห้องน้ำชา ขอให้พวกเธอดื่มชากันคนละแก้ว"ฉันก็ไม่คิดว่าเราจะได้เป็นเพื่อนร่วมสถาบันกัน ฉันเพิ่งรู้ว่าพี่เรียนที่วิทยาลัยศิลปะถานจิง ตอนฉันเห็นภาพวาดกับชื่อพี่ในห้องแสดงผลงาน" ฉู่เสี่ยวเฉียวพูดขึ้นรูมเมตของเธอพยักหน้า "ใช่เลย หย่ง...อาจารย์" ผู้หญิงคนนั้นลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะเรียกหย่งฟางว่าอะไรดี"ทำไมเธอถึงไม่มีรูปอยู่ในชั้นวางศิษย์เก่าที่โดดเด่นล่ะ?"หย่งฟางยิ้มก่อนตอบ "เคยเห็นใครทำงานด้านศาสตร์ลึกลับ แล้วไปเป็นศิษย์เก่าที่โดดเด่นบ้างไหม?"คำพูดนั้นทำให้ผู้หญิงทั้งหมดหัวเราะออกมา ข
[สุดยอดไปเลย หย่งฟางไปหาลูกศิษย์มาจากที่ไหนนะ ทั้งหนิงหมี่และหลงหยวนหยวนเ หมาะจะไปเป็นไอดอลทั้งกลุ่มหญิงและชายได้เลย][หย่งฟางเปิดบริษัทจัดการบันเทิงไปเลยเถอะ]ในที่สุด #เสวียนเว่ยเอ็นเตอร์เทนเมนท์ (#บริษัทบันเทิงเสวียนเว่ย) ก็กลายเป็นคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับ #วัดเสวียนเว่ย (#ศาสตร์ลึกลับของหย่งฟาง)เหล่าชาวเน็ตช่วยกันแบ่งตำแหน่งให้เสร็จสรรพแล้ว[#บริษัทบันเทิงเสวียนเว่ยCEO: หย่งฟาง อันดับหนึ่งฝ่ายหญิง: หนิงหมี่ อันดับหนึ่งฝ่ายชาย: หลงหยวนหยวน][ส่วนอาจารย์อ้วน กับอีกสามคนก็เป็นผู้จัดการไปละกัน]เหล่าลูกศิษย์มนุษย์ที่คอยติดตามข่าวในโซเชียลเกี่ยวกับวัด: หือ?หยิบโทรศัพท์เก็บกลับไป มองดู ‘อันดับหนึ่งฝ่ายชาย’ และ ‘อันดับหนึ่งฝ่ายหญิง’ตอนนี้เป็นช่วงหกโมงเย็น หลังจากทานอาหารเสร็จ สองคนนี้ก็สู้กันตั้งแต่ฝั่งตะวันออกไปจนถึงฝั่งตะวันตก เพื่อแย่งควันธูปกัน นี่กลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ของอันดับหนึ่งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายที่ต้องทำทุกวันไปแล้วเพราะหย่งฟางแจกควันธูปอย่างเท่าเทียม ตอนแรกให้ทั้งคู่คนละสองแท่ง แต่หนิงหมี่ไม่พอใจ “ข้าทำงานตั้งขนาดนี้ ส่วนเขาไม่ได้ทำอะไรเลย ทำไมถึงได้เท่ากับข้า! ข้าไม่สน จ
ณ จุดนี้ในวัดเสวียนเว่ยมีสมาชิกทั้งหมดแปดคนเจ้าของอาราม: หย่งฟางศิษย์: หนิงหมี่, เฒ่ากัว, ห่าวจาวไฉ, จินเหยาไต้ ,ไฉหยวนกุ่นกุ่นผู้พักชั่วคราว: วิญญาณลูกกลมสีเทาผู้ไม่ได้รับเชิญ: หลงหยวนหยวนทั้งแปดคนนี้ประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตจากสี่ประเภท ได้แก่ คน เทพ วิญญาณ และปีศาจ"อาจารย์หย่ง คุณคิดจะเก็บสิ่งมีชีวิตทั้งหกไว้ที่นี่หรือ?" ห่าวจาวไฉโบกพัดกระดาษพร้อมถามหย่งฟางเผยยิ้มขมเล็กน้อย จะพูดอย่างไรดี? ตัวตนของหนิงหมี่กับหลงหยวนหยวนนั้น ไม่ใช่ว่าเธอเต็มใจรับเข้ามา คืนนี้พระจันทร์สีเงินส่องสว่างกลางท้องฟ้า หลังจากที่หย่งฟางไหว้เทพเจ้าวัดเสร็จ เธอก็เดินออกจากวิหารหลัก หนิงหมี่กับวิญญาณลูกบอลกลมสีเทา ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะเรียนในลาน กำลังตั้งใจเรียนวิชาภาษาชั้นประถมปีที่ 1 ที่ถ่ายทอดสด คราวนี้หย่งฟางเรียนรู้แล้ว เธอจึงหยิบโทรศัพท์เครื่องเก่าที่ตั้งค่าใหม่ให้พวกเขาใช้ขณะเดียวกัน หลงหยวนหยวนที่โดนสองสาวรังเกียจ นั่งอยู่ที่เก้าอี้ในสวนอีกฝั่ง เจ้าหนุ่มชุดดำไม่สนใจเลยที่ตนเองไม่ได้รับความชื่นชอบจากใคร แค่เอนตัวรับลมเย็นอย่างสบายใจ ด้านเฒ่ากัวกับคนอื่นๆ เตรียมไฟฉายและพร้อมจะลงจากภูเขากลับบ้าน"เดี
"อย่างพี่สาวเหอ ฉันรู้สึกว่าเธอเป็นคนดีมากๆ ไม่เคยทำเรื่องไม่ดีเลย แถมครอบครัวก็ใจดี แม้ว่าเราจะพูดกันไม่นาน แต่ก็เริ่มรู้สึกอึดอัดอยู่เหมือนกัน แต่อย่างที่บอก พราะเธอเป็นคนดี ฉันก็ไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกอึดอัดหรือไม่""ส่วนเรื่องจางยู่เฟ่ย ตั้งแต่ฉันมาที่โลกมนุษย์ ฉันก็เริ่มรู้แล้วว่ามีคนที่ไม่อยากทำอะไรด้วยตัวเอง หลายคนชอบหาทางลัด ถ้ามันเป็นทางที่ถูกต้องก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ค่อยเจอคนที่พยายามหาทางพึ่งพาคนอื่นแบบเธอ ทั้งที่เธอก็มีแขนขาครบ มีโอกาสมากมาย แต่กลับเหมือนมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง คิดแค่ว่าจะฝากชีวิตไว้กับผู้ชาย" หนิงหมี่พูดไปพร้อมกับทำท่าห่อไหล่เหมือนแมวน้อยที่กำลังครุ่นคิด"แต่พอคิดถึงเป่าฟู่กุ้ยและภรรยาของเขา ฉันก็รู้สึกว่าในโลกมนุษย์ก็ยังมีสิ่งดีๆ บ้างเหมือนกัน" หนิงหมี่พูดสรุปว่า "มนุษย์นี่ซับซ้อนจริงๆ ฉันไม่เข้าใจเลย"หลังจากที่ออกไปทำงานนอกสถานที่มาแค่สองวัน เทพธิดาน้อยก็ได้สัมผัสกับความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ พนักงานบนเครื่องบินเชิญพวกเธอไปยังห้องอาหาร หลังจากทานอาหารจนอิ่มหนำแล้ว หนิงหมี่ก็รู้สึกดีขึ้น"เป่าฟู่กุ้ยสุดยอดจริงๆ!" หนิงหมี่คิด "อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องนอนขดตัวอ
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเจอนักพรตสาวตัวน้อย กลุ่มเฮ่ยไป่อู่ฉางก็รีบตื่นเต้นและวิ่งเข้าหาเธอ “หย่งน้อย เธอดูอ้วนขึ้นนะ!”“จะทักทายกันแบบสุภาพกว่านี้ไม่ได้หรือไงคะ?” หย่งฟางพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงอารมณ์ยมทูตขาวผู้เป็นพี่สาว ยื่นมือไปหยิกแก้มเธอทันที “ฉันหมายถึงหน้าเธอดูมีเนื้อขึ้นนะ! เมื่อก่อนเธอผอมกว่านี้”หย่งฟางสะบัดมือของเธอออกเหมือนปัดแมลงวันยมทูตดำก็ทักขึ้นบ้าง “ถ้าจะให้สุภาพ ฉันก็ทำได้” จากนั้นเขาก็พูดต่อ “หย่งน้อย เราเสมือนญาติผู้ใหญ่เห็นเธอเติบโตมาตลอด เธอก็ไม่ได้มาเยี่ยมเราเลย เราคิดถึงเธอ…”ยมทูตขาวพูดเสริมทันที “…พวกเราอยากได้ธูปหอมบ้างน่ะ”นี่แหละคือวิธีทักทายของพวกเขา หย่งฟางไม่ได้พูดอะไร เธอแค่ย่อตัวลงเปิดกระเป๋าเดินทาง แล้วหยิบธูปสองดอกออกมาหนิงหมี่เบิกตากว้าง “นั่นมันของฉันนะ!!” พูดจบก็พยายามจะแย่ง แต่หย่งฟางก็หลบมือไปจุดไฟ แล้วส่งให้ยมทูตขาวดำทันที“แค่นิดเดียว อย่าไปหวงนักเลย เด็กเล็กก็แบบนี้แหละ ชอบหวงของ”ยมทูตขาวดำกินควันธูปอย่างพอใจจนตาหรี่ลงเป่าฟู่กุ้ยมองยมทูตทั้งสองที่กำลังเคลิบเคลิ้ม…พวกเขาไม่ได้มารับเมียเขาไปโลกหลังความตายเหรอ? แล้วทำไมมานั่งกินของฝากที่บ้า
เปาฟู่กุ้ยมองนักพรตสาวด้วยความงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงลังเล "ผม...ผมจะได้เจอเธอจริงๆ เหรอ? ภรรยาของผมไม่ได้...ไปอยู่ที่ยมโลกแล้วหรอกเหรอ?""ภรรยาของคุณน่าจะอยู่ข้างคุณตลอดเวลา เพียงแต่ช่วงนี้เธอคอยเฝ้าดูจางยู่เฟ่ยอยู่ เพราะสงสัยว่าคนคนนั้นจะทำอะไรแปลกๆ เราเลยไม่เห็นวิญญาณเธออยู่ในบ้านคุณตั้งแต่แรก" หนิงหมี่อธิบาย"ผม...ผมอยากเจอเธอ!" เปาฟู่กุ้ยพูดด้วยความรู้สึกสดใสขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับได้รับพลังชีวิต ใบหน้าของเขาดูเปล่งปลั่งทันที ทันใดนั้นก็นึกถึงสภาพตัวเอง จึงรีบลูบหนวดเคราที่เพิ่งงอกยาวและกล่าวออกไป "เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวผมต้องจัดการตัวเองก่อน ภรรยาผมไม่ชอบที่ผมดูสกปรกแบบนี้"หลังจากพูดจบ เปาฟู่กุ้ยลากตัวที่ดูอ้วนกลมขึ้นไปชั้นบน เพราะอาการบวมจากยาต้านซึมเศร้า เมื่อเขากลับลงมาอีกครั้ง หย่งฟางและหนิงหมี่ ก็ได้เห็นเปาฟู่กุ้ยในลุคใหม่ที่สะอาดสะอ้าน เขาโกนหนวดโกนเคราจนเกลี้ยงเกลา สระผมจนหอมสะอาด ใบหน้ากลมอวบอิ่มดูสดใสขึ้นทันที เขาใส่สูทสากลและเนคไทเรียบร้อย สวมรองเท้าหนังแม้หน้าตาของเขาจะไม่หล่อเหลามากนัก โดยเฉพาะส่วนแก้มที่อ้วนดูเหมือนผู้ชายธรรมดา แต่ในลุคนี้เขากลับดูอ
หลังจากที่จางยู่เฟ่ยพ่นเลือดออกมา หมอกสีเทาที่วนเวียนอยู่ระหว่างคิ้วของเปาฟู่กุ้ย ก็พลันสลายหายไปทันที แม้ว่าจางยู่เฟ่ยจะมองไม่เห็นพลังงานลี้ลับเหล่านี้ แต่เธอกลับรู้สึกถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อท่านประธานทำตามคำแนะนำของสาวน้อยข้างกายเถ้าแก่เปาเปิดตาขึ้น ยกมือออกหู และมองเลขาอีกครั้งด้วยสายตาที่กลับมาสดใส ปราศจากอาการลุ่มหลงผิดปกติใดๆ จางยู่เฟ่ยตกใจ รีบควานหาบางสิ่งในกระเป๋าของตัวเอง แต่กลับพบว่ามันหายไป“หาอันนี้อยู่หรือเปล่า?” น้ำเสียงเย็นชาแฝงความเหนือชั้นดังมาจากหย่งฟางเมื่อจางยู่เฟ่ยหันไปมอง ก็พบว่ากระดาษยันต์สามเหลี่ยมในมือของหย่งฟาง ถูกฉีกเป็นสองส่วนอย่างเรียบร้อยหนิงมี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มขำ ส่วนหญิงสาวในชุดขาวร่างโปร่งแสงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กับจางยู่เฟ่ย เธอยกนิ้วโป้งให้หนิงมี่ด้วยความชื่นชมใบหน้าของวิญญาณสาวผู้นี้ คือใบหน้าเดียวกันกับหญิงสาว ในภาพถ่ายที่พบในห้องใต้หลังคา ใช่แล้ว... ภรรยาของเปาฟู่กุ้ยยังไม่ได้ไปสู่สุคติ ช่วงนี้เธอสังเกตเห็นความผิดปกติของสามี และหลังจากจับตามองเลขาส่วนตัว ก็พบว่าคู่กรณีใช้คาถามาควบคุมใจสามีของเธอเธอก็พบว่านักพรตสาวจากสำนั
เมื่อวางสายไปใบหน้าของเถ้าแก่เปาแสดงอาการหลงใหล ราวกับถูกบางสิ่งควบคุม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรักและความคิดถึงอย่างท่วมท้น หย่งฟางรีบสวดคาถาเคลียร์จิตใจ ก่อนจะใช้นิ้วแตะเบาๆ ที่หน้าผากของเขา ความอ่อนโยนที่เคยแสดงบนใบหน้าของเปาฟู่กุ้ย หยุดชะงักราวกับถูกหยุดเวลา หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กลับมาเป็นปกติ แต่ยังคงมีท่าทางงุนงงหย่งฟางเปิดปากถาม "คนที่โทรหาคุณเมื่อกี้คือใคร?""คะ...คือ...เลขาของผม จางยู่เฟ่ย..." เปาฟู่กุ้ยมองหน้าหย่งฟางและหนิงหมี่ด้วยความสงสัย "มีอะไรเหรอครับ?" ดูเหมือนเขาจะไม่สามารถจำความรู้สึกอ่อนโยน และความรักใคร่ที่เคยมีเมื่อครู่ได้เลยหนิงหมี่หันไปมองอาจารย์และกระซิบเบาๆ "คาถาชิงรัก"หย่งฟางพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเปาฟู่กุ้ย "ตอนที่คุณโชคร้ายก่อนหน้านี้ มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่คุณคุยกับเลขาของคุณเสร็จใช่ไหม?"เปาฟู่กุ้ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มจำได้ "เหมือนจะใช่ แต่ว่าช่วงนี้ผมก็ไม่ค่อยเจอโชคร้ายแล้วนะ"หย่งฟางอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบ "เพราะช่วงนี้คุณไม่ได้ปฏิเสธคำขอของเธอเลย คาถาชิงรักคือการที่คุณถูกทำให้ตกหลุมรักคนที่ร่ายคาถานี้ ในตอนแรกคุณยังมีสติ คุณสาม