“ไปไหนมา” มีคนถามหล่อนนับจากเปิดประตูกระจกเข้ามารับไอเย็นระรื่น “หน้าตาเหมือนไปกินรังแตนมา” เพราะหน้าหล่อนเป็นอย่างนั้นจริงๆ แม้จะยังนวลแป้งก็ไม่มีรอยยิ้มแถมยังมีดวงตาขวางๆ เหมือนจะบอกกล่าวผู้พบเห็นอีกด้วยว่า พูดผิดหูหรือมีอะไรขวางตาหล่อนอาจจะอาละวาดก็เป็นได้
“อยากฆ่าคน”
“เฮ้ย...”
เสียงขัดดังลั่น “ได้ติดคุกจนตายปะไร...แกยังเป็นสาวอยู่นา เจ้ามิน...ไปติดคุกแล้วจะเสียดายว่าหมดโอกาสมีผัว”
เท่านั้นเองก็ได้ยินเสียงกรี๊ดของหล่อนไปทั่วหน้า แต่ไม่ยักจะมีใครถือสากลับมีเสียงหัวเราะครื้นเครงประสานกันขึ้นมา
“เออ...ยังกรี๊ดเป็น ยังเป็นผู้หญิงอยู่ว่ะ”
นั่นเท่ากับว่าหล่อนจะถูกยั่วแหย่ หากไม่ยอมยุติ แม้จะทำตาขุ่นหน้าขึงเข้าใส่ก็หาได้มีคนกลัวเกรงหล่อนสักนิด
“ฉันอารมณ์ไม่ดีมาจริงๆ นะ อย่ามายั่ว...เดี๋ยวจะทลายห้องนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง”
“มันเอาจริงว่ะ”
ธันวาก้าวออกมาข้างหน้า มาเอียงคอมองดูเพื่อนสาวอย่างประหลาดใจในพฤติกรรมที่มินตาแสดงออก
มือข้างที่เจ็บยังอยู่ในผ้าพันแผลหนาๆ
“โมโหอะไรนักหนาเล่า มิน” ธันวาทำเสียงปลอบและนั่นทำให้มินตาอารมณ์ดีขึ้นมานิดหนึ่ง “ไอ้พวกปากหมานี่ถือสาได้ที่ไหนกัน มันพูดยั่วเล่น...ว่าแต่วันนี้เมนส์มาหรือไงวะ...”
เท่านั้นเองมินตาก็กระโจนเข้ามาหา แต่ธันวาไวนักที่หลบไปเสียก่อน มินตาเลยได้แต่เอามือเท้าเอวหมับ หล่อนโกรธเสียจนกลายเป็นอารมณ์ขัน เพราะรู้ว่าหากหล่อนยังโมโหอีกต่อไปหล่อนจะถูกยั่วจนไม่เป็นอันได้ทำงานอีก
“นั่นไง...” ธันวาชี้หน้าหล่อน “ก็ไอ้โรคผู้หญิงเมนส์มาทีไรสติก็ลงไปอยู่กับหัวแม่เท้า บ้าเลือดไปเลย กินยาแก้ปวดหรือยัง จะหาให้กิน”
“บ้าซิ...เมนส์ยังไม่มา”
หล่อนเดินไปที่โต๊ะทำงาน พยายามตั้งสมาธิจะทำงานแต่หล่อนก็ถูกรบกวนเสียแล้ว หล่อนเคยเชื่อมั่นอย่างหนึ่งว่าตัวเองควบคุมเรื่องของหัวใจเอาไว้ได้ มันจะไม่มีอาการกำเริบให้ต้องเจ็บปวดเลย แต่หล่อนคาดผิด เล่นกับเรื่องหัวใจ เรื่องความรักไม่ต่างอะไรไปจากเล่นกับไฟเลย สุดท้ายที่เคยคิดว่าจะไม่ร้อนก็ร้อนรุ่มกลายเป็นถูกไฟลวก
หล่อนทำงานไม่ได้จริงๆ ตอนยกมือกุมขมับทั้งสองหน้าตาบูดบึ้งก็ทำให้เพื่อนร่วมงานด้วยกระทุ้งถองให้ดูไปตามๆ กัน แล้วธันวาก็อาสาเป็นแนวหน้าเข้ามาถาม
“มิน...เป็นอะไรกันแน่ ทำท่าเหมือนถูกโลกถล่ม”
หล่อนมองเขา...จะบอกว่าอย่างไรดีเล่า หากบอกว่าหล่อนกำลังมีอาการเหมือนคนอกหัก ก็อาจจะได้ยินเสียงหัวเราะก๊าก กลายเป็นเรื่องโจ๊กของเพื่อนชายถ้วนหน้ากันไปอีก
และนั่นมินตารู้ว่าทำให้หล่อนเสียหน้าอย่างรุนแรงอีกด้วย ซึ่งหล่อนจะยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาด
“ฉัน...ฉัน” หล่อนนึกเรื่องจะเบนความสนใจของเพื่อนไปทางอื่นแล้วหล่อนก็นึกออก เมื่อผู้ชายคนนั้นแวบผ่านเข้ามา “นายจำได้ไหม อีตาคนที่เป็นมือขวาเจ้าแม่เนื้อสดน่ะ ฉันเพิ่งเจอเขาอีกนะ...”
“เรอะ” ธันวาตาลุกไปด้วย “หมอนั่นมันให้มินชดใช้ค่าเสียหายอีกหรือเปล่าล่ะ”
“แน่นอน ฉันก็ให้ไปนะ สิบบาท เพราะเขาว่าปากเขาเจ็บ...”
“สิบบาท” ธันวาทวน แล้วมินตาก็พยักหน้าหงึกๆ “คงจะโกรธจนตัวสั่นเชียว เงินสิบบาทสำหรับคนระดับนั้นน่ะมันกระจอกชะมัด”
“ไม่รู้ซิ ก็เห็นเฉยๆนะ”
“กับเรื่องแค่นี้น่ะรึที่อารมณ์เสีย”
“ฉันไปกินข้าวร้านบ้านั่นมา” หล่อนบอกชื่อร้านกับเขา “มันทำยังกะว่าฉันเป็นกุ๊ย ไม่ยอมให้เข้าร้าน”
“แล้วทำไมต้องไปกินข้าวร้านนั้น อ๊ะ...มีกินแพงๆ แล้วไม่ชวนเพื่อนฝูง”
“มีคนเลี้ยงย่ะ...เพื่อนบ้านเก่าแก่ฉัน...เขาจะเลี้ยงฉันก็ไปตามนัด ขืนเอาพวกนายไปด้วย ฉันก็จะโดนด่าเปิงไปเท่านั้น บ๋อยไม่ยอมให้ฉันเข้าร้าน จนอีตานั่นมาถึง...อีตาต่อ...”
“รู้ชื่อเล่นเขาด้วยหรือ”
“ฉันว่าใช่เขานะ...ต้องใช่เขาแน่ๆ อีตาต่อ...เพื่อนเก่าในอดีตของฉัน...ถึงเขาจะเปลี่ยนไปแยะ ฉันก็จำเขาได้ฉันจำคนแม่นนะ...”
“ไม่ใช่มั้ง คนเรานี่เหมือนกันได้ ละม้ายๆ กันบางทีก็ทำให้เราทึกทักผิดคน...”
“คงจะไม่ได้หมายความว่าจะเข้าไปพัวพันกับคนอย่างเขา...อันตรายนะ มิน...เขากับยัยแหม่มน่ะช่วยกันค้าขายเนื้อสดเป็นล่ำเป็นสัน”
“กลัวอะไร กลัวเขาจะเอาฉันไปขายรึ...ก็ดีซิ เผื่อขายออกจะได้ไม่ต้องอยู่ขึ้นคานให้คนที่นี่กระแนะกระแหนอยู่นั่นแล้ว” หล่อนทำเสียงสะบัดๆ ให้รู้ว่าแกล้งทำมากกว่าจะเกิดน้อยใจจริงจัง
“อย่าเข้าใกล้เขา นั่นน่ะอันตรายเกินพอ...ขอเตือนนะ...ด้วยความหวังดี”
///////////////////////////
จากกระจกหน้าต่างบานยาวใสสะอาดนี้ สามารถมองออกไปเห็นอาณาบริเวณด้านหน้าได้จนทั่ว ดังนั้นเมื่อรถยนต์หรูสีเขียวก้านมะลิแล่นเข้ามาจอดนั้น จึงมองเห็นได้เต็มตา...รอยยิ้มน้อยๆ ผุดพรายออกมาเมื่อมองเห็นเจ้าของรถเปิดประตูก้าวลงมา เป็นยิ้มที่บ่งบอกถึงความยินดีเมื่อพบเห็น...และคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันนั้นก็รับรู้ได้โดยอัตโนมัติว่าถึงเวลาที่จะต้องฉากหลบไปก่อน
“แววไปก่อนนะคะ คุณแหม่ม”
เธอพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้ทักท้วงเอาไว้ และไม่ได้ขยับจากท่านั่งในอิริยาบถสบายๆ เท้าแขนข้างหนึ่งกับแก้ม หันหน้ามองออกไปยังภายนอก ในห้องหับอันแสนสบาย เพดานสูงขึ้นไปให้ลมโกรกเข้ามาได้ยามที่ไม่ได้เปิดแอร์ เป็นห้องที่จัดแต่งตามสไตล์ชอบของเจ้าบ้านโดยแท้ ตรงนี้เป็นมุมของโซฟาหนังนิ่มที่นั่งแล้วแทบจะจมหาย ไม่อยากจะลุกขึ้นมาอีกเพราะความนุ่มสบายเหลือเกิน
“อย่าเพิ่งกลับแล้วกันนะ แวว เดี๋ยวเราค่อยคุยกันต่อแล้วค่ำๆ ฉันจะแวะไปเยี่ยมยัยอ้อยด้วย”
“ค่ะ คุณแหม่ม”
คนรับคำเสียงอ่อนโยนบอกความยำเกรง ทั้งที่หญิงคนออกคำสั่งก็ไม่ใช่คนดุร้ายหรือน่ากลัวสักนิด หากแต่เป็นหญิงสาวใหญ่วัยห้าสิบ...ย่างห้าสิบเอ็ด ห้าสิบกะรัตที่กำลังกรุ่นกลิ่นหอมของแม่ดอกกระดังงาลนไฟ ไม่มีใครรู้ว่ากี่ไฟที่ย่างลนกระดังงาดอกนี้จนขจรขจาย
แต่พิมสุดาก็ก่อให้เกิดความยำเกรงต่อผู้คนของเธอเสมอมา ด้วยความเด็ดขาดเฉพาะตัวและใจที่ถึง กล้าได้กล้าเสีย...
“แวว...”
เขาเรียกหล่อนเอาไว้เสียก่อน หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้น อกใจร้อนได้ทุกครั้งอยากอยู่ใกล้เขาได้เห็นเขา...และรู้ว่าไม่อาจจะครอบครองเป็นเจ้าของเขาได้
“ไปเยี่ยมอ้อยหรือยัง”
“ไปแล้วค่ะ”
“เป็นไงบ้าง ฉันยังไม่ได้แวะไปดูอีกเลย”
“ก็ยังสะลึมสะลืออยู่นะคะ หมอให้ยาระงับประสาทด้วย อ้อยฟุ้งซ่านมากเหลือเกิน”
”คอยเฝ้าๆ เอาไว้หน่อยนะ ฉันน่ะเกรงว่าอ้อยจะคิดสั้นเอาง่ายๆ ลองบ้าได้ถึงขนาดนั้นแล้ว ชีวิตตัวอาจจะไม่ห่วงอีก”
“ค่ะ แววจะดูแลอย่างดีที่สุด นอกจากจ้างพยาบาลพิเศษเฝ้าตลอดแล้ว แววก็ยังไปเฝ้าอยู่ด้วยเมื่อคืนก็ทั้งคืน”
“มิน่า หน้าตาดูโรยๆ บำรุงกำลังตัวเองเอาไว้บ้าง” ในน้ำเสียงนั้นเหมือนห่วงใย แต่แววรัตน์ก็เตือนตัวเองว่าหล่อนจะต้องไม่คิดมากเลยเถิดไป ศิลาห่วงใยคนทุกคนที่ทำงานให้กับพิมสุดา เขาดูแลพวกหล่อนอย่างดี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะรักใคร่ไยดีแบบชู้สาว หล่อนต้องไม่คิดทึกทักและตีความเข้าข้างตัวเองหากไม่ต้องการจะเจ็บปวดแก่หัวใจเอง
เขาเดินเลยไปแล้ว แววรัตน์หันมามองตามหลังเขาด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์ หล่อนยังจดจำครั้งที่มีความสัมพันธ์กับเขาได้ มันยังกำซาบซ่าน ยังถวิลหา ยังปรารถนาให้เกิดขึ้นอีกสักครั้งหนึ่ง แต่มันก็ช่างเป็นไปได้ยากเย็นเสียเหลือเกิน มันเป็นเรื่องประเภทที่เรียกได้ว่าครั้งเดียวก็เกินพอ เหมือนสายน้ำที่ไหลล่วงผ่านไปแล้วไม่ไหลย้อนกลับมาทำความเย็นชื่นฉ่ำใจให้อีกแล้ว
ทิ้งไว้แต่ความทรงจำ...
แววรัตน์รู้ว่าหากไม่ใช่ศิลา...ไม่ใช่ผู้ชายที่พิมสุดาหวงแหน...หล่อนจะลองตามตื้อเขา...หล่อนมั่นใจในเสน่ห์และมารยาหญิงของตัวเองอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเป็นเขาสมชื่อศิลา...ที่ตระหง่านมั่นคงและยังเป็นผู้ชายของพิมสุดา หล่อนจะต้องหักห้ามใจตัวเองไว้เท่านั้น
เขาก้าวเข้ามา...พอดีกับพิมสุดาเบือนหน้ามาช้าๆ เธอยิ้มให้กับเขา ยิ้มสวยเหมือนนางฟ้าที่ศิลาคุ้นเคยดี เป็นยิ้มที่พิมสุดาให้กับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ยิ้มแบบเสแสร้งอันใดเลยชุดผ้าเพ้นท์ลายกล้วยไม้อ่อนหวานเข้ากันได้ดีกับชุดโซฟาสีครีมและหมอนอิงโทนสีน้ำตาลหวานนุ่มนวล...พิมสุดางดงามเสมอ ดวงหน้าของเธอเนียนด้วยเครื่องสำอางไม่มากและไม่น้อยเกินไปยังสวยพริ้ง...และสาวแฉล้มราวกับไม่ใช่วัยห้าสิบกระนั้น“ไปไหนมาจ๊ะ”คำทักทายอ่อนโยนัก“ลักษมีนัดทานมื้อเที่ยง”“อือม์...” เสียงรับคำอือออ “เป็นไงบ้างล่ะ แม่ดาราดังนั่น”“ก็ย่ำแย่ฮะ ยังไม่ยอมเลิกสักที”“นี่แหละน้า เป็นทาสแล้วก็ยากจะถอนตัว เตือนๆ หน่อยซิ ไม่อยากจะเห็นอนาคตที่รุ่งโรจน์ดับวูบ”“ผมก็เตือนแล้วนะฮะ ไม่รู้จะได้ผลแค่ไหน ถลำลงไปมากแล้วนี่ ผมก็ห่วง”พิมสุดามองเขาเหมือนจะค้นหา และนั่นทำให้ชายหนุ่มรีบพูดต่อโดยเร็ว“แค่ห่วงใยฉันท์เพื่อนเท่านั้นฮะ ไม่ได้มีอะไรเกินเลยกัน”เธอถึงกับหัวเราะออกมา “โธ่...ศิลา ทำราวกับว่าแก้ตัวไม่มีผิด นี่ไม่ได้จ้องจับผิดเธอเลยนะ”“ไม่รู้ซิ เห็นมองแปลกๆ แล้วยังทำท่าเหมือนคาดคั้นผมซะอีก”เขานั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน กางแข
พิมสุดาไม่ใช่ผู้หญิงเลวมาก่อน ที่ผลักดันเธอมาอยู่ตรงนี้รุนแรงเกินพอ และเขาก็รู้ว่ามันเป็นธุรกิจที่คนดีๆ หลายคนเมินหน้าหนีและยังประณามหยามเหยียดสาปแช่ง แต่มันก็ทำให้คนอีกหลายคนมีกินมีใช้ มีชีวิตอยู่ได้...และนี่เป็นธุรกิจหนึ่งในหลายสิ่งที่พิมสุดาทำ...แต่เธอก็กำลังจะวางมือ ล้างตัวออกไปจากแวดวงนี้ หลังจากคลุกคลีมานานปี จนอาบอิ่มไปด้วยสิ่งที่คนอื่นๆ เรียกกันว่าน้ำกาม...เขาเข้าใจเธอไม่ใช่เพราะลำเอียงจนมองไม่เห็นเขารู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งดีงามอันใด แต่ตราบใดที่พิมสุดาไม่ได้ทำร้ายใคร...และต่อสู้อยู่บนหนทางของเธอ เขาไม่อาจจะซ้ำเติมเธอได้ นอกจากคอยช่วยเหลือดูแลสมญามือขวาของเจ้าแม่แหม่มจึงปรากฏอยู่ในเมื่อเขาเติบโตเป็นหนุ่ม เขาก็อยู่ข้างกายพิมสุดามาตลอด...โดยไม่มีใครรู้ถึงความสัมพันธ์แท้จริงของเขากับเธอผู้ชายหลายคนเขม่นหน้าเขา เรียกเขาว่าแมงดาบรรดาศักดิ์ เกาะพิมสุดาไม่ยอมปล่อยซึ่งศิลาก็ไม่ใส่ใจกับเรื่องนั้นสักนิดเขามองดูเธอเดินกลับมา...ผมสีแดงจ้าของหล่อนเหมือนเปลวเพลิง...ล้อมดวงหน้าเนียนผ่อง...ผิวขาวลออที่ทำให้เธอเหมือนลูกครึ่งฝรั่ง...หลายคนคิดว่าย้อมสีผม...แต่เขาซิรู้ว่าผมเดิมของพิมสุดาก็ไม่เค
“วันนี้คุณเอนัดมินไปกินข้าวกลางวัน” หล่อนบอก เห็นคุณมารศรีหันขวับมาโดยเร็ว รู้ได้ว่ากับเรื่องแบบนี้จะต้องรายงานปิดบังเอาไว้ไม่ได้เป็นอันขาด และก็เห็นสีหน้าแวบๆ ราวกับจะฉายชัดถึงความไม่พอใจให้หล่อนรับรู้“เขานัดแก หรือแกนัดเขากันแน่”“โธ่! แม่ มินจะเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงข้าวเขา...เงินมินหมดแล้ว”“อ้อ...แกหมดเงินเพราะจ่ายค่าโต๊ะนี่ใช่ไหมล่ะ แกจะโทษว่าแม่เอาเงินแกอีกใช่หรือเปล่า”มินตาได้แต่ครางอย่างอ่อนใจอยู่ในใจ หล่อนพูดผิดไปอีกแล้ว สาบานได้ว่าหล่อนไม่คิดดังเช่นที่คุณมารศรีกำลังตีโพยตีพายอยู่เลย เธอคิดไปเองทั้งนั้น และที่ดีที่สุดก็คือเงียบเฉยเสียไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วยเป็นดีที่สุด“ก็ได้ ยายมิน ฉันจะหาเงินมาใช้คืนแก จะได้ไม่มาลำเลิกเบิกประจานกัน”“มินไม่ได้คิด” หล่อนแย้งเบาๆ อ่อนใจนักหนา...เคยหลายครั้งที่มินตานึกถึงโลกภายนอกบ้าน นึกถึงการโบยบินจากบ้านไปสู่อิสระ และความโล่งสบายภายนอกปราศจากเสียงพูดเหน็บแนม ดุด่าว่าทำนองนี้ เพียงแต่หล่อนจะใจแข็งสักหน่อยเท่านั้น แต่หล่อนใจแข็งไม่พอ หล่อนยังใจอ่อนยังมีห่วงใยต่อพ่อแม่อยู่โดยเฉพาะกับพ่อ...ที่ห่วงใยมากกว่าแม่หลายเท่าตัว“คุณเอนัดมินไปเพราะอยากรู
“เด็กเป็นไงบ้างฮะ”“ไม่ไหวจ้ะ...นี่ขนาดคุณยายฝึกมาแล้วนะ ยังไม่ค่อยจะได้ดังใจ แม่ละเบื่อต้องเอามาฝึกกันอีก เก็บห้องครัวก็ไม่เรียบร้อย ดูซิ จะเที่ยงคืนอยู่รอมร่อแล้วแม่ยังไม่ได้นอนยังต้องมาดู”“ถ้าไม่ไหวก็ส่งกลับไปหาคุณยาย หาเด็กใหม่มาแล้วกันฮะ”เขาตอบง่ายๆ ไม่ใส่ใจมากนัก“กว่าจะได้อีก แม่ก็เหนื่อย...แม่ทองก็ไม่ไหวแล้ว แกแก่มากแล้วงกๆ เงิ่นๆ...นี่แหละน้า...แม่บอกแล้ว ตาเอ...ให้ลูกหาสะใภ้ให้แม่สักคน เอามาคุมคนในบ้าน ดูแลบ้านและดูแลเอด้วย...เรื่องยายมิ่งไปถึงไหนแล้วจ๊ะ”“ก็คงจะกลับมาเร็วๆ นี้มังฮะ ตอนแวะไปบ้านคุณยายก็เห็นถามถึงมิ่ง...ผมไม่ได้บอกแม่ตอนพาเด็กนี่มา...” เขาพยักพเยิดไปทางสาวใช้คนใหม่ “ชื่ออะไรล่ะฮะ แม่...หน้าตาดีเชียว”“ชื่อแม่แหวน...” เธอบอก ดึงเขาออกมา “เออย่าไปชมมันต่อหน้าซิว่ามันหน้าตาดี...แม่ยิ่งกลัวๆ อยู่ว่าหน้าตาอย่างนี้ จะอยู่ทนเป็นคนใช้ไปได้สักกี่มากน้อย เรื่องยายมิ่งต่อเถอะ...คนกันเองไม่ใช่อื่นไกล เทือกเถาเหล่ากอตื้นลึกหนาบางก็พอจะรู้เห็น...กำพืดเดิมก็ดี จะมีเมียสักคนก็ต้องเลือกหน่อยละ ถึงยายมิ่งแกจะเรียนไม่สู้ดีไปนิด แต่อย่างอื่นก็ชดเชยกันได้”เขาไม่พูดสักคำ...เรื่
แม้จะยังฉงนฉงายว่าทำไมศิลาสั่งให้หล่อนทำเช่นนั้น แต่ลักษมีก็รับคำสั่งนั้นไปปฏิบัติอย่างไม่เกี่ยงงอนและไม่ถามซอกแซกให้ยาวความต่อไป หล่อนรู้นิสัยของเขาอยู่บ้างว่าเขาไม่ชอบให้ถามจุกจิก และที่เขาขอร้องให้ทำก็เป็นเรื่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเองจริงๆ ในเมื่อสิ่งที่เขาให้กับหล่อนนั้นมันมากมายกว่านั้น หลายหนที่เขาให้ความช่วยเหลือเพียงเอ่ยปากประโยคเดียว ไม่เคยพูดให้เจ็บช้ำน้ำใจ ไม่เคยซ้ำเติม ไม่เคยขอสิ่งแลกเปลี่ยน ไม่ได้มุ่งหวังในเรือนกายของหล่อน แม้จะเต็มอกเต็มใจให้ฟรีๆ ก็น้อยครั้งนักที่เขาจะตกลงด้วย“ดีแล้ว สนิทกับเขาไว้บ้าง แล้วผมจะให้หมีแนะนำเขากับผมสักหน่อย”“ค่ะ”หล่อนรับคำ“ขอบคุณนะ คุณหมี...นี่ใจคงจะเข้าไปข้างในละมั้ง ผมไม่ดึงเวลาสนุกของคุณดีกว่า” เขาควานหามือของหล่อนมาบีบเบาๆ “โชคดีนะ คุณหมีขอให้ได้”“นี่เป็นคำพรนะคะ หมีจะเฮงแน่ คืนนี้”ลักษมีเปิดประตูก้าวลงไป หล่อนเดินผ่านหน้ารถแสงไฟสาดจับร่างของหล่อน ลักษมีนุ่งกางเกงยีนส์กระชับช่วงขาและเสื้อยืดอีกตัวหนึ่ง สวมแว่นตาสีเข้มทั้งที่เป็นเวลากลางคืน หน้าตาไม่เติมเครื่องสำอาง เกลี้ยงเกลา และทิ้งมาดดาราไปอีกด้วยสถานที่ที่หล่อนกำลังจะเข้าไปนั
จะมีอะไรดีไปกว่ากระวีดกระวาดตามเขาที่ก้าวยาวๆ ออกไปก่อนหน้านั้นแล้วอีกแววรัตน์นึกอยากตามตัวพิมสุดามาอีกคนหนึ่ง หล่อนรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก ลองเรื่องถึงมือศิลาแล้วละก้อ เรื่องอาจจะขมวดจบลงสั้นๆ แต่หล่อนกลัวใจยุพาวรรณด้วย นังเพื่อนของหล่อนกำลังบ้าคลั่ง ไม่ใช่อกหักธรรมดาๆ เสียด้วย มันยิ่งกว่ายับเยินเหมือนยุพาวรรณจะถูกกรีดอกควักหัวใจออกมากรีดเป็นริ้วๆ แล้วไม่ใช่แค่นั้น ความเป็นจริงโหดร้ายกับยุพาวรรณไปมากกว่านั้นอีกหลายเท่า ชายที่หลงรักทำร้ายด้วยเจตนาจะให้แท้งลูกที่ยุพาวรรณหวังจะให้เป็นสายโซ่คล้องใจชายผู้เป็นที่รักเอาไว้ผู้หญิงอย่างพวกหล่อนมักจะเจอดีแบบนี้เสมอ หากไม่รู้จักประมาณตัวเองหรือประมาณสถานการณ์ให้ดี“คุณศิ แววขอร้องนะ อ้อยกำลังบอบช้ำมาก”“ฉันรู้ แล้วก็ไม่ได้ไปเพื่อทำร้ายอ้อยด้วย เพียงแต่ฉันควรจะได้พูดกับอ้อยบ้าง ก่อนที่จะแย่ไปกว่านี้ อ้อยน่าจะได้พักผ่อน พักนานเท่าที่ต้องการหลังออกจากโรงพยาบาลแล้ว ไม่ต้องทำงาน แต่ฉันจะจ่ายเงินให้ไม่ให้เดือดร้อนเลยจะเลือกพักในประเทศหรือไปต่างประเทศก็ได้ ฉันจะจัดการเป็นธุระให้ทุกอย่าง”“แววกลัวนังอ้อยมันจะไม่ยอมไปไหนเลยซิคะ กลัวมันจะตามตื้อเข
พอเห็นศิลาเข้าเท่านั้น ปากที่เผยออยู่ก็มีอันหุบลงท่าทีที่เตรียมพร้อมจะเกรี้ยวกราดใส่คนที่เปิดประตูเข้ามาก็พลอยกลายเป็นเสงี่ยมลง นัยน์ตาตกลงสู่มือตัวเองที่วางอยู่บนอก...“มาเยี่ยมอ้อยหรือคะ”ถามแผ่วๆ “หรือจะมาเทศน์โปรดอีอ้อยคนนี้สักกัณฑ์หนึ่ง” ไม่วายจะประชดประชัน แต่ก็ไม่กล้าจะกระแทกเสียงใส่มากนัก ยังเกรงกลัวกันอยู่ว่าศิลาไม่ใช่คนที่จะตอแยเล่นได้แบบนั้น“ฉันอยากมาพูดด้วย ดูเหมือนเรายังไม่ได้คุยกันเลยนะตั้งแต่เกิดเรื่องนี่น่ะ”“ดึกแล้วนะคะ คุณศิมาคุยกันตอนนี้จะดีหรืออ้อยอยากพักผ่อน”“ถ้าอยากจะพักจริงๆ ฉันกลับก็ได้ แต่เธอไม่ได้พักจริงนี่...ใจเธอกำลังฟุ้งซ่าน คิดสับสนไปใหญ่แล้ว”แววรัตน์ยกเก้าอี้มาให้เขาได้นั่ง แล้วเลี่ยงออกไปยืนอีกมุมหนึ่ง แต่ไม่ยอมให้ทั้งภาพและเสียงที่เกิดขึ้นคลาดจากสายตาและหูของหล่อนไปได้เลย“อ้อย...ฉันมีข้อเสนอให้เธอนะ ออกจากโรงพยาบาลแล้วไปพักผ่อนให้ไกลๆ ให้ใจสบาย พร้อมเมื่อไหร่ค่อยกลับมาทำงาน หรือถ้าหากอยากจะเลิกไปจากงานนี้ ก็บอกมาสักคำ ฉันจะหางานออฟฟิศให้ไปนั่งทำ ความรู้เธอก็มีติดตัวอยู่”ผู้หญิงของพิมสุดาความรู้อย่างต่ำปริญญาตรี และอายุของยุพาวรรณก็ยังน้อย ยังไม่ถึ
“ศินั่นเธอคิดมากอีกแล้วซินะ...”“ผมเลิกคิดไม่ได้หรอกฮะ น้าแหม่ม...ยังคิดอยู่เสมอแล้วพรุ่งนี้ก็ถึงวันที่ผมได้เกิดใหม่อีกแล้ว...”“จริงซิ” พิมสุดาพึมพำ “กลับบ้านไปเถอะงั้น...เพราะเธอจะต้องตื่นแต่เช้าไปทำบุญที่วัด...”“น้าแหม่มไปกับผมด้วยนะ...ไปทำบุญด้วยกัน เกิดชาติหน้าจะได้มีโอกาสเป็นน้าหลานกันใหม่...หรือถ้าจะให้ดีผมอยากเกิดเป็นแม่ลูกกับน้าแหม่มด้วยซ้ำไป”เขาไม่ได้พูดเพราะเพียงเรียงร้อยให้เป็นคำหวานไพเราะแต่พูดออกมาจากใจจริงของเขา กลั่นกรองด้วยความรู้สึกลึกๆ ที่เขามี...เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพังเขาก็คือเด็กชายคนหนึ่ง กับแผลลึกยากจะเยียวยากับแววตาอ้างว้าง ขาดแคลนความรักหิวกระหายความเป็นครอบครัว...ศิลาไม่ใช่คนแกร่งดังที่ใครต่อใครเห็น เขายังมีจุดอ่อนเปราะบางอยู่อีกมากมายและเธอก็เข้าใจเขา เป็นคนเดียวที่เข้าใจเขา“จะไปทำบุญเช้า เตรียมการหรือยัง...”“ก็ตื่นแต่เช้าสักนิด แล้วไปแวะซื้อข้าวซื้อกับดอกไม้ผลไม้กับถวายเงิน...”“เลือกวัดไหนล่ะ...”“ผมจะออกไปชานเมืองหน่อยฮะ...น้าแหม่ม จะเลือกไปวัดย่านบางกะปิ...”พิมสุดาฉุกใจคิดนิดหนึ่ง“น้าแหม่มคิดถูก ผมจะไปแถวๆ นั้น ผมกำลังจะเฉียดใกล้เข้าไปทุกทีแล้ว...
“ไม่ใช่ห้องนี้”มินตาตัวแข็ง เมื่อเขาเปิดประตูห้องที่หล่อนเป็นคนตกแต่งเพื่อเป็นห้องหอของเขากับมิ่งขวัญหล่อนพยายามจะถอยกลับ แต่ศิลาผลักหล่อนออกเดินไปข้างหน้า“ฉันยอมมาที่นี่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ห้องนี้” หล่อนยังเสียงแข็งและมีท่าทีปฏิเสธ ไม่ยอมรับ“คุณแต่งมันเอง...ก็ใช้เสียเองซิ” เขาบอกนุ่มๆ “ที่ทางของคุณเอง“ฉันทำเพื่อพี่มิ่ง” หล่อนยืนยัน หล่อนรักมิ่งขวัญไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น“แต่มันเป็นสิ่งที่คุณชอบ” เขาดักคอ “ผมรู้ว่ารสนิยมของมิ่งขวัญเกิดจากตัวคุณเป็นหลัก...ลืมซะว่าผมเคยสั่งว่าอย่างไร นั่นเป็นข้ออ้างจะเอาตัวคุณมาทำงานต่างหากเล่า ถ้าผมไม่บอกว่าเป็นห้องหอมีหรือที่คุณจะยอมมาทำ ตอนนั้นคุณชังน้ำหน้าผมจะแย่”“ตอนนี้ก็ใช่”“ผมไม่เชื่อ ไม่มีวันเชื่อ...”เขาปิดประตูไว้ข้างหลังแล้วยืนพิงอยู่อย่างนั้น ตอบหล่อนด้วยถ้อยคำหนักแน่นเขาจะไม่ยอมเสียหล่อนไปศิลาบอกตัวเองว่าเขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสมปรารถนาให้จงได้ ต่อให้ยากเท่ายากก็ตามที“เราจะต้องคุยกันตามลำพังสองต่อสองแล้วละ มินตา”เขาบอกด้วยเสียงนุ่มทุ้ม และแน่นอนว่ามีกังวานของความรักอยู่มากมาย เขาไม้ปฏิเสธใจตัวเอง“ไม่...” หล่อนป
พิมสุดามาแล้วกลับไปแล้ว ปล่อยให้มินตาได้ครุ่นคิดตามลำพัง แม้จะมีปรางคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ แต่มินตาก็เหมือนอยู่คนเดียว...หล่อนคิดถึงอนาคตวันข้างหน้าเมื่อไม่มีบ้าน ไม่มีพ่อ ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้คว้าติดอีกหล่อนจะทำอย่างไรดีนั่นคือสิ่งที่มินตาต้องคิด...มันไม่ใช่เรื่องเล็กเสียด้วย เพราะเท่ากับต้องเอาอนาคตมาเป็นเดิมพัน...อนาคตที่มินตาไม่แน่ใจ และหล่อนก็รู้ว่าเพราะตัวเขานั่นแหละที่ทำให้หล่อนเกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นมา/////////////////////////////ผู้ชายสองคนต่างวัยแต่มีสายเลือดส่วนหนึ่งเหมือนกันได้เผชิญหน้ากันอีกครั้ง คนแก่ดูจะยิ่งแก่ ในขณะที่คนหนุ่มก็มิได้ทำท่าลำพองว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ ต่างคนต่างมองกันชั่วอึดใจในความเงียบงันแล้วศิลาก็เป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน “สาวิตต์เป็นอย่างไรบ้าง”“ก็ยังเหมือนเดิม...เก็บตัวเอง...และไม่พูดไม่จากับใครเลย”“เขาคงจะหายสักวันหนึ่ง“นั่นคือความหวัง”“ผมจะเอาใจช่วยแล้วกัน”คุณทรงศักดิ์ทำท่าเหมือนไม่คาดคิดเมื่อได้ยินเช่นนั้น“ต่อ...ให้อภัยพ่อกับพี่แล้วใช่ไหม”ชายหนุ่มส่ายหน้า นั่นคือความจริง เขายังไม่อาจจะให้อภัย เพียงแต่เขาคิดว่าเขาจะวางมือในส่วนนี้...หลายปีที่เ
“ไล่ปรางหรือคะ...” มินตาแสนจะตกใจ “ทำไมล่ะคะ ปรางทำผิดตรงไหน”“มันเป็นพวกแกนี่ รับเอาไปซิ นังนั่นมันเลี้ยงไม่เชื่อง หวังว่าที่พูดมานี่แกคงจะเข้าใจนะ”“ค่ะ มินตารับคำ ดวงหน้าสลด ครอบครัวของหล่อนคือซาก...มันคืออดีตที่เหมือนจะเนิ่นนานผ่านมาแล้ว ดวงตาของหล่อนซุ่มไปด้วนน้ำตา ป่วยการจะพูดมากไปกว่านี้อีกเมื่อคุณมารศรีและมิ่งขวัญปั้นปึ่งใส่ มินตามาไหว้พ่อ นั่งพับเพียบอยู่นานจนศิลาต้องเป็นฝ่ายสะกิดหล่อน“กลับดีกว่ามั้ง มินตา...เขาประคองหล่อนลุกขึ้น ท่าทีถนอมเป็นนักหนาบาดตาของมิ่งขวัญสุดขีด หล่อนไม่อาจจะยอมรับออกมาดังๆ ว่าลึกลงไปนั้นหล่อนเจ็บปวดกับการที่ถูกทิ้ง...ทั้งที่หล่อนเคยทระนงในตัวเองมาตลอด ผู้ชายคนนั้นคือชายที่หล่อนรักและเมื่อความจริงเปิดเผยออกมารักกลายเป็นร้าง และขมขื่นที่สุดจะหารสชาติใดมากกว่านี้ ในชีวิตคงจะไม่มีอีกแล้วแน่นอน“แม่คะ...มิ่งตัดสินใจแน่นอนแล้ว พอเสร็จงานพ่อ มิ่งจะไปอยู่เมืองนอก เราไปด้วยกันไหนคะ แม่...เอาบ้านนี้ให้เช่า...ถ้าไม่คิดจะขาย เราคงจะพอมีเงินสักก้อนไปเที่ยวเล่นด้วยกัน พอให้มิ่งหายช้ำใจแล้วค่อยกลับมาใหม่...หรือบางทีเราอยู่ทางโน้นกันเลยก็ได้ มิ่งก็พอจะมีเพื่อนที
ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง และมินตาก็นิ่งงันปราศจากเสียงกรีดร้องจนเขาใจเต้นแรง ไม่รู้ว่าหล่อนเสียใจแค่ไหนกันการรับรู้ในการสูญเสียหนนี้ มือของเขาลูบไล้เส้นผม“มินตา ได้ยินผมหรือเปล่า”“ก็ดีเหมือนกัน” หล่อนพึมพำออกมา “จะได้จบสิ้นกันแท้จริงๆ”“ไม่....” เขาปฏิเสธเสียงลั่น“เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”“อย่าพูดแบบนี้...ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ข้างหลัง แล้วเราเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน ที่ผ่านมาผมรู้ว่าผมผิด จะไม่ให้อภัยคนที่รู้สำนึกหรอกหรือ มินตา...ใช่ว่าผมจะไม่เสียใจหรือไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ เพียงแต่ ตอนนั้นความแค้นทำให้ผมบ้าเลือดและลากคุณเข้ามาพัวพันด้วย”“ฉันให้อภัย แล้วก็โยนมันทิ้งเอาไว้ตรงนั้นแหละ...”ศิลากำลังจะพูดอีก แต่เสียงเคาะประตูห้องขัดจังหวะเสียงก่อนและประตูเปิดเข้ามาหลังจากนั้นครรชิตเดินนำหน้าธันวาเข้ามาพร้อมกับกระเช้าดอกไม้ใหญ่ที่บรรจุดอกไม้สวยงามสีสันสดใสชายหนุ่มขยับห่างออกจากเตียงนิดหนึ่ง ครรชิตทักทายและแสดงความห่วงใย ต่อสภาพบาดเจ็บของเขาสักห้านาทีก่อนจะหันไปหามินตา“ไง...มิน หน้าตาเหมือนคนเจ็บหนัก”“เกือบจะตายแต่ไม่ยักจะตาย...”“ประชดใครล่ะนั่น”ถูกดักคอแบบนี้มินตาทำตาวาว “มินไม่มี
สาวิตต์นอนอยู่บนเตียง...ขาของเขาข้างหนึ่งที่ถกขากางเกงขึ้นไปถูกพันด้วยผ้าขาวหนาเปอะ แล้วหน้าตาของเขาก็เหมือนไม่ใช่ลูกชายคนเดิมของเธอ มีรอยช้ำปูดโปนนั่นยังทำใจได้ว่ามันจะหาย แต่ดูซิ...ดูสีหน้าและแววตาของเขามันดูเลื่อนลอย...และมองมาทางเธอย่างว่างเปล่า“เอ...”เธอถลาเข้าไปหาเขา แล้วก็หยุดอีกหนหนึ่ง เมื่อสาวิตต์ทำเหมือนไม่รับรู้ด้วย เขายังมองเบิ่งไปทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าเธอ คุณสีดาหันขวับมาหาสามี ถามเสียงสั่น“อะไรกันคะนี่ ตาเอเป็นอะไร...ทำไมเขาทำหน้าตาแบบนั้น”คุณทรงศักดิ์โอบบ่าของภรรยาเอาไว้ ร่างแบบบางของเธอสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น“หมอบอกว่าเหมือนเขาจะช็อก พูดกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เป็นพักๆ เหมือนคนสะเทือนใจมากเกินไป”“แล้วแกจะหายไหม”“ต้องอาศัยเวลา แต่ตอนนี้เขาต้องรักษาตัว บางทีอาจจะต้องลางาน...หรืออาจจะต้องถึงขั้นลาออกก็ได้”“ไม่!”เธอร้อง หันมาซบหน้ากับบ่าของสามี นานแล้วที่คนสองคนไม่เคยหันหน้าเข้าหากันอีก ต่างมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเอง ความบาดหมางในเรื่องเล็กน้อยถูกทำให้ใหญ่มากขึ้น และไม่อาจจะเชื่อมต่อติดกันได้อีกเลยแต่ตอนนี้หัวอกของความเป็นพ่อแม่ที่จะต้องรับผิดชอ
ปืน...มินตาบอกเมื่อเห็นสาวิตต์หยิบมันออกมาวางไว้บนโต๊ะกลมเล็กข้างๆ เก้าอี้ที่เขานั่งลง แววตาที่เขามองดูศิลาทำให้มินตายะเยือกไปตลอดตัว มันบ่งบอกว่าหากเขาจะลั่นไกปืน เขาก็จะทำได้โดยไม่ต้องหยุดคิดชั่งใจอีกเลย มินตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อพูดกับสาวิตต์ดีๆ“คุณเอ ขอให้มินนะ...อย่าถึงกับฆ่ากันเลย...”“บอกแล้วว่าอย่ายุ่ง ไม่ฆ่าเธอด้วยก็บุญเท่าไหร่รึว่าอยากตายตามผัว”“คุณเอจะทำไมได้นะคะ”“ทำไมพี่จะทำไม่ได้ นึกถึงที่มันทำกับพี่ซิ เพราะมัน...” สาวิตต์ชี้มือไปยังศิลาอย่างคั่งแค้น นั่นคือชายที่ร่วมสายเลือดเดียวกัน แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็กึ่งหนึ่งที่เหมือนกัน เขาไม่เคยเชื่อใครพูดอย่างไร เขาก็มักจะหัวเราะขบขันเสียเสมอว่าทุกคนที่พูดนั้น ล้วนแล้วแต่มีอาการทางจิตที่คิดมากเกินการไปเองทั้งนั้น แต่แล้วเขากลับมารู้เป็นคนสุดท้าย รู้เพื่อทำให้โลกที่เคยสวยงามสำหรับเขามันพังทลายลงมาต่อหน้าต่อตาเขาจึงมองหาทางออกใดไม่พบนอกจากทางนี้ ฆ่าศิลาเสีย ก็เท่ากับฆ่าไอ้เด็กเวรคนนั้นด้วย เมื่อหนนั้นมันเลือกรอดได้อาจจะเพราะดวงมันแข็ง แต่คราวนี้ไม่มีวันที่ดวงมันจะแข็งเท่าครั้งนั้นอีก มันจะต้องตายนั่นคือทางที่เขาเลือกให้มั
สาวิตต์เดินปังๆ จากไปแล้ว ก่อนที่เขาจะกระแทกประตูบ้านด้านหน้าปิดลั่นกุญแจ ปรางก็เสนอหน้าเข้ามา“จะช่วยคุณมินทำแผลให้กับเขา”ปรางบอก หล่อนยืนให้ห่างจากสาวิตต์เข้าไว้ ด้วยไม่แน่ใจในความบ้าของเขาและเขาก็ยอมปล่อยปรางเข้ามาโดยดี ปรางมาคุกเข่าดูศิลาอยู่อีกด้านหนึ่งของเขา“เลือดทั้งนั้นเลย...” ปรางพึมพำ “ทำแผลก่อนนะคะ คุณมินจะเอาอะไรบ้าง”“ต้มน้ำร้อนให้ฉันสักกระติก แล้วหาผ้าสะอาดๆ มา...มีพวกผ้าเช็ดหน้าของฉันเหลืออยู่บ้างมั้งในตู้...แล้วก็พวกผ้าขนหนูผืนเล็กๆ นั่นด้วยก็ได้ คุณเอขังเราเอาไว้ในบ้านแล้วนี่ หยูกยาที่นี่ไม่มีสักอย่าง”“ปรางมีทิงเจอร์กับยาแดง...แล้วก็ยาล้างแผล...” ปรางบอกล้วงมือเข้าไปในกางเกงสามส่วนหยิบยาที่บอกออกมา “เอามาได้แค่นี้ค่ะ จะเอาสำลีกับผ้าพันแผลมาด้วย กลัวคุณมิ่งจะเห็น จะเอาอะไรมาไม่ได้สักอย่าง”“ขอบใจมา ปราง”มินตาคว้าขวดยาพวกนั้นมาด้วยมืออันสั่นเทา ตัวหล่อนเองนั้นสภาพก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนที่ยังนอนทอดร่างนิ่งๆ นี่สักเท่าไหร่ หล่อนรู้ตัวว่าตัวเองก็แย่ เจ็บในช่องท้องจี๊ดๆ เตือนเป็นระยะอย่างไม่เคยเป็น แล้วหล่อนก็อยากล้มตัวลงนอน แล้วหลับให้นานโดยไม่ต้องตื่นขึ้นมารับรู้ใดๆ อีกเ
“คุณมินเป็นอะไร...”แตะตัวมินตาแล้วก็พอว่าไม่ขยับสักนิด ปรางเงยหน้าหล่อนได้เห็นสาวิตต์นั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง สีหน้าของเขาดูน่ากลัวอย่างไม่เห็นมาก่อนเลยหันกลับมามองมิ่งขวัญก็เห็นสีหน้าแย้มเยาะประหลาดนัก“คุณมินสลบนะคะ”“ฉันให้แกมาดู ไม่ได้ให้มาพูดมาก แกมีหน้าที่คอยพยาบาลเอาไว้ แต่แกห้ามยุ่งมากไปกว่านี้อีก”“ค่ะ”“พาเข้าไปในห้องนอนซะ”มิ่งขวัญออกคำสั่ง แล้วหล่อนจึงเดินเข้ามาหาสาวิตต์...จับมือของเขาไปบีบเหมือนจะให้กำลังใจแก่เขา“มิ่งเข้าใจว่าคุณเอกำลังเฮิร์ทมาก อีกไม่นานค่ะทุกอย่างจะเรียบร้อยมันจะกลายเป็นปุ๋ยจมดินไปเลย จะไม่มีใครเห็นซากของมันอีก...อย่างนั้นใช่ไหมคะ...ที่นี่มีที่มากมายให้ฝังมัน...”“เมื่อไหร่มันจะมา” คำถามของสาวิตต์เลื่อนลอย“ใจเย็นหน่อยค่ะ ยังไงซะมันก็จะต้องมา”“มันทำกับพี่เจ็บปวดนัก...” เขาหลับตาลง “รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”“จะไม่มีใครรู้...” หล่อนลูบบ่าของเขาเบาๆ ด้วยมือที่เหลืออยู่ปลอบโยนเขา “มิ่งสัญญาว่าจะเอาตัวมันมาให้”“แล้วยายมินล่ะ...”“ขายมันซิ คุณเอ...หลังจากจัดการหมอนั่นแล้ว เอายายมินไปขาย” น้ำเสียงของมิ่งขวัญเหี้ยมเกรียม เขาแหงนหน้ามอง “มิ่งพูดจริงๆ นะ ไม่
“คุณมินเป็นอะไร...”แตะตัวมินตาแล้วก็พอว่าไม่ขยับสักนิด ปรางเงยหน้าหล่อนได้เห็นสาวิตต์นั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง สีหน้าของเขาดูน่ากลัวอย่างไม่เห็นมาก่อนเลยหันกลับมามองมิ่งขวัญก็เห็นสีหน้าแย้มเยาะประหลาดนัก“คุณมินสลบนะคะ”“ฉันให้แกมาดู ไม่ได้ให้มาพูดมาก แกมีหน้าที่คอยพยาบาลเอาไว้ แต่แกห้ามยุ่งมากไปกว่านี้อีก”“ค่ะ”“พาเข้าไปในห้องนอนซะ”มิ่งขวัญออกคำสั่ง แล้วหล่อนจึงเดินเข้ามาหาสาวิตต์...จับมือของเขาไปบีบเหมือนจะให้กำลังใจแก่เขา“มิ่งเข้าใจว่าคุณเอกำลังเฮิร์ทมาก อีกไม่นานค่ะทุกอย่างจะเรียบร้อยมันจะกลายเป็นปุ๋ยจมดินไปเลย จะไม่มีใครเห็นซากของมันอีก...อย่างนั้นใช่ไหมคะ...ที่นี่มีที่มากมายให้ฝังมัน...”“เมื่อไหร่มันจะมา” คำถามของสาวิตต์เลื่อนลอย“ใจเย็นหน่อยค่ะ ยังไงซะมันก็จะต้องมา”“มันทำกับพี่เจ็บปวดนัก...” เขาหลับตาลง “รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”“จะไม่มีใครรู้...” หล่อนลูบบ่าของเขาเบาๆ ด้วยมือที่เหลืออยู่ปลอบโยนเขา “มิ่งสัญญาว่าจะเอาตัวมันมาให้”“แล้วยายมินล่ะ...”“ขายมันซิ คุณเอ...หลังจากจัดการหมอนั่นแล้ว เอายายมินไปขาย” น้ำเสียงของมิ่งขวัญเหี้ยมเกรียม เขาแหงนหน้ามอง “มิ่งพูดจริงๆ นะ ไม่