หนึ่งเดือนผ่านไป…
ดูเหมือนความสัมพันธ์ของจอมขวัญกับพลาธิปจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีตั้งแต่วันที่เขาอุ้มเธอมายังบ้านหลังนี้ คอยดูแลเธอในยามป่วยไม่ห่างพลอยให้ให้ดวงใจดวงน้อยนี้เต้นระส่ำยามอยู่ใกล้ ได้แต่บอกกตัวเองว่าอย่าไปเผลอไผลหลงไหลกับการกระทำของเขา เขามันคนใจร้ายจะมาเปลี่ยนเป็นดีภายในเวลาไม่นานคงเป็นไปไม่ได้
วันนี้พลาธิปไม่ได้ออกไปดูงานที่ฟาร์มเหมือนทุกครั้ง แต่เขามีประชุมสำคัญบางอย่างอยู่ในห้องทำงานตั้งแต่เช้าจนเวลานี้ก็จวนจะบ่าย จอมขวัญมุ่งหน้าเข้าครัวเพื่อเตรียมอาหารไว้ให้เขา เพราะเธอก็ไม่รู้ได้ว่าพลาธิปนั้นจะอารมณ์ดีแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน อาหารกลางวันสองสามอย่างที่เธอทำส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่วห้องครัว
“อืม… อร่อยแล้ว”
ช้อนกลางสำหรับชิมรสชาติอาหารถูกวางลงหลังจากรับรู้รสของมัน มือเล็กจัดการปิดเตา
จอมขวัญถอยหลังเล็กน้อยเพื่อที่จะก้มหยิบบางอย่างที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นก็ต้องตกใจ เมื่อบั้นท้ายของเธอชนกับอะไรบางอย่างจนต้องดีดกายยืนขึ้น แต่แล้วก็ถูกรวบเอวบางเอาไว้
“หอมจัง… วันนี้ทำอะไรให้ฉันกิน” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงอ่อนโยน พลางสูดกลิ่นหอม ๆ ตรงหน้า
“โอ๊ย! เจ็บ!” จอมขวัญหลุดพูดออกมาเมื่อเขานั้นใช้มือของเขาบีบเคล้นร่างกายสาวที่เผลอทำรุนแรงกับเธอ แต่เหมือนกับว่าเขาจะไม่สนใจยังทำมันต่อไป ทั้งที่สมองสั่งให้หยุดเขาแต่ทำไมร่างกายหล่อนถึงได้ตอบสนองเขาทุกสัมผัสที่เขามอบให้จอมขวัญได้แต่สับสนในความคิดตัวเองแต่สุดท้ายหล่อนก็ปล่อยให้เขานำพาเมื่อร่างกายของหล่อนนั้นก็ต้องการเขาไม่ต่างกันเพราะมันถูกคนช่ำชองอย่างเขาเป็นคนทำให้ความรู้สึกต้องการนี้เกิดมาอย่างไม่สามารถเลี่ยงได้บทรักที่รุนแรงบ้าง อบอุ่นบ้าง ตามความต้องการของพลาธิปดำเนินไปครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงแม้คนใต้ร่างจะต่อต้านและถอยห่างในบางครั้ง สุดท้ายต้องพ่ายแพ้ให้กับคนเอาแต่ใจอย่างพลาธิปอยู่ดี ร่างสูงก้มจูบที่ขมับของหญิงสาวเบาราวกับปลอบโยนคนใต้ร่างที่หลับไปด้วยความเพลียที่โดนเขารังแกเกือบทั้งคืนด้วยสายตาอ่อนโยนโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว แล้วใช้มือปัดปอยผมที่ลงมาคลอเคลียใบหน้านวลออกแล้วดึงผ้าห่มมาห่มให้คนตัวเล็กส่วนตัวเขาก็ซุกตัวลงนอนในผ้าห่มผืนเดียวกันกับเธอแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำให้ใบหน้าหล่อเหล่าค่อย ๆ เลื่อนเข้ามองคนหลับเล็กน้อยก่อนสอดแขนแล้วตลบให้เธอมานอนซุกเข้าอกแกร่งของเ
สหัสวิ่งกระหืดหระหอบมาแต่ไกลเมื่อเขาเองเพิ่งทราบว่ากัณฑ์ธรณ์เพื่อนสนิทของเจ้านายที่กำลังเดินทางมาพร้อมกับรินวราคู่หมั้นของเจ้านาย ปากก็ร้องตะโดนเรียกชื่อเจ้านายหนุ่มถึงแม้เรียกเท่าไรก็ไม่มีเสียงตอบรับ ถามใครก็ไม่รู้ไม่เห็น ลูกน้องหนุ่มคนสนิทจึงต้องวิ่งขึ้นไปดูในห้องนอนรวมทั้งห้องทำงานก็ไม่พอสหัสยืนเกาศีรษะอย่างใช้ความคิดพลางสายตาเหลือบไปเห็นประตูห้องนอนเล็กที่พลาธิปให้จอมขวัญมานอน เขาจึงตัดสินเคาะเรียกสักสองสามครั้งหมายจะถามจอมขวัญว่าเห็นพลาธิปบ้างหรือไม่“คุณจอมครับ คุณจอม!” แต่แล้วสหัสก็ต้องตกใจคนที่มาเปิดประตูไม่ใช่จอมขวัญคนสวย แต่เป็นเจ้านายของเขาคนที่ตามหาออกมาเปิดประตูห้องของจอมขวัญในสภาพที่มีผ้าเช็ดตัวพันเอวสอบเอาไว้“มาเคาะห้องเมียกูทำไม” คนถูกถามงงไม่น้อย เพราะตั้งแต่จับตัวหญิงสาวมาคำนี้แทบจะไม่มีอยู่ในระบบความคิดของเจ้านายเขาแม้แต่น้อย“เอ่อ... คือ”“มึงจะเอ่อคืออีกนานมั้ย แล้วก็ไม่ต้องมองไปข้างใน”“คุณกัณเพื่อนของนายมาครับ” ชายหนุ่มพยักหน้าเขาไม่ได้ตกใจมากนักเพราะกัณฑ์ธรณ์มาที่นี่บ่อยครั้งอยู่แล้ว แต่ชายหนุ่มก็ต้องตกใจกับประโยคต่
พลาธิปเดินคุยกับกัณฑ์ธรณ์ตามทางเลียบชายหาดบนเกาะของเขา หาดทรายสีขาวละเอียด เสียงคลื่นที่ซัดสาดกระทบฝั่งเป็นระลอกทำให้ทั้งสองเดินคุยกันอย่างผ่อนคลายในยามเย็นที่ดวงตะวันกำลังจะลาลับขอบฟ้า“มึงมาทำอะไรที่นี่วะ”“กูก็มาหามึงนั่นแหละ… หายไปเป็นเดือน ๆ นึกว่าตายเป็นผีเฝ้าเกาะไปแล้ว” ผู้เป็นเพื่อนเอ่ยแซว“กูก็อยู่นี่แหละ… ไม่ได้ไปไหน” ร่างสูงตอบกลับสายตามองไปรอบ ๆ แล้วเห็นคู่หมั้นของตนกำลังยืนถ่ายรูปอยู่ทางหน้าบ้านเขา “เออ แล้วมึงพารินมาทำไมวะ”“มึงดูปากกูนะ” กัณฑ์ธรณ์ชี้นิ้วไปที่ปากของตนแล้วเอ่ยบอกเพื่อน “กูไม่ได้พามา คู่หมั้นมึงตามกูมาเอง ห้ามแล้วก็ไม่ฟัง”“รำคาญว่ะ” ร่างสูงมองไปยังเจ้าหล่อนแล้วเอ่ยเบา ๆ จนคนเป็นเพื่อนเอ่ยปราม “เฮ้ย ๆ นั่นคู่หมั้นมึงนะเว้ย”“แล้วไงวะ กูไม่ได้อยากได้หรืออยากแต่งงานกับรินซะหน่อย”ผู้เป็นเพื่อนหันมองหน้าราวกับจับผิด“มึงไปแอบมีใครหรือเปล่าวะ”“แอบเอิบอะไร๊ ไม่มี” เขาตอบกลับเสียงสูง “โอ้โห้ เสียงสูง กูว่าต้องมี” กัณฑ์ธรณ์หยุดนิ่งราวกับนึกบางสิ่งบางอย่างออก“เออ ไอ้ทัพพ์กูมีเรื่องจะถามมึงเร
กลางดึกของวันเดียวกันพลาธิปออกจากห้องทำงานขอวเขาที่บอกคู่หมั้นที่นอนรออยู่ในห้องว่าต้องเคลียร์งานให้เรียบร้อยกว่าจะเข้านอนก็ดึกให้นอนกันไปก่อน เจ้าหล่อนพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าห้องไปเช่นเดียวกันกับเขาที่เข้ามาในห้องทำงานนี้พร้อมกับกัณฑ์ธรณ์เพื่อที่จะคุยเรื่องบางอย่างกัน ทว่าหลังจากที่คุยเรียบร้อยเพื่อนของเขาก็ยังไม่วายถามถึงที่มาของกลิ่นหอมที่อยู่ภายในห้องนอนชายหนุ่มต้องรีบกลบเกลื่อนทันทีนับชั่วโมงพลาธิปจึงออกจากห้องทำงานและตรงไปยังบ้านพักท้ายเกาะของเขาอย่างไม่รอช้าแม้แต่เสี้ยวนาที ไม่รู้ความรู้สึกของเขาเป็นอะไรทำไมถึงต้องคิดถึงใบหน้าหวาน ๆ ของจอมขวัญทุกครั้งและเวลาที่คุยเรื่องเธอกับกัณฑ์ธรณ์ในใจเขารู้สึกผิดแปลกก๊อก ๆ ๆ เขาเคาะประตูเพื่อเรียกคนที่อยู่ภายในบ้านได้รับรู้มีคนมา อยากรู้เหลือเกินว่าเวลานี้จอมขวัญหลับหรือยัง“จอมขวัญ จอมขวัญ” พลาธิปส่งเสียงเรียกคนในบ้านอีกครั้งร่างบอบบางของจอมขวัญออกจากห้องน้ำที่ออกจากห้องน้ำที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนใหญ่สีขาวผืนเดียวพันกายเท่านั้น ทันทีที่ก้าวออกจากห้องน้ำเธอได้ยินเหมือนเสียงของใครบางค
ร่างบางส่ายหน้าพยายามพยุงกายตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วออกไปจากห้องนี้อย่างยากลำบาก พลาธิปประคองรินวราออกไปอย่างเอาอกเอาใจเอ่ยกับหล่อนเสียงหวานผิดกับที่ว่ากับเธอ ชบาจึงประคองจอมขวัญให้ลุกขึ้นเธอจึงบอกกับชบาว่าเธอขอช่วยแค่นี้ เธอจะกลับไปยังบ้านท้ายเกาะ แต่จอมขวัญกำลังเดินออกมาทางหลังบ้านพบกับกัณฑ์ธรณ์ที่ถือบางอย่างมาพอดี“สวัสดีครับคุณจอมขวัญ” ชายหนุ่มเอ่ยทักทาย“สวัสดีค่ะ... คุณรู้จักชื่อฉันด้วยเหรอคะ” ใบหน้าหวานฉงนปนสงสัยไม่น้อยจึงเอ่ยถามออกไป เพราะเธอนั้นไม่รู้จักเขา“อ๋อ... ผมได้ยินไอ้ทัพพ์เรียกเมื่อกี้นี้พอดีครับ… เอ่อ… ผมขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมกัณฑ์ธรณ์ เพื่อนของไอ้เวรทัพพ์มัน” ชายหนุ่มเอ่ยแนะนำตัวติดตลก จอมขวัญยิ้มเล็กน้อย “สวัสดีค่ะ คุณกัณฑ์ธรณ์”“เรียกเสียเต็มยศเลยนะครับ... เรียกผมว่า กัณฑ์ เฉย ๆ ก็ได้ครับ”“ค่ะคุณกัน เรียกฉันว่าจอมก็ได้ค่ะ” ว่าแล้วชายหนุ่มยื่นมือออกไปหมายทักทายจอมขวัญก็เอื้อมมือไปจับเช่นกันเป็นการสร้างมิตรที่ดี“ฉันขอตัวก่อนนะคะ” สายตาคมของกัณฑธรณ์เหลือบไปเห็นแขนอีกข้างของเธอจับเข้าที่หลังเหนือสะโพก “คุณจอมเจ็บหลังหรือครับ
สองเดือนผ่านไปพลาธิปสั่งคนออกตามหาจอมขวัญหลังจากที่เขาให้สหัสลูกน้องคนสนิทส่งเธอกลับมาบ้านของนายดิลกที่ตอนนี้ทั้งนายดิลกและจอมพลหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด แน่นอนว่าเขาไม่สนใจเรื่องสองพ่อลูกนั้นสิ่งที่เขาสนคือจอมขวัญ เมียของเขาหายไป ตามหาที่ใดก็ไม่พบ ก่อนหน้านี้เขามาหาหญิงสาวที่บ้านเธออยู่กับคนรับใช้และแม่บ้านในบ้านแห่งนี้เพียงหนึ่งวันเท่านั้นเพราะเธอไปตามคำสั่งที่เขามาไล่“ยังหน้าด้านอยู่ที่นี่อีกเหรอ” เสียงเข้มดังมาจากทางด้านหลังทำให้คนที่ยืนคุยกับแม่บ้านต้องหันไปมองด้วยสายตาไม่พอใจและปวดร้าว“ไปทำงานต่อเถอะค่ะ” หันไปบอกแม่บ้านแล้วมาตอบกลับชายหนุ่มผู้เข้ามาใหม่เสียงแข็ง “คุณมาที่นี่ทำไม”“ฉันบอกเธอไปแล้วไม่ใช่หรือยังไง บ้านหลังนี้เป็นของฉันพี่ชายเธอเอาโฉนดบ้านหลังนี้มาค้ำประกันกู้เงินกับฉัน และส่วนพ่อของเธอก็เอาบริษัทไอทีที่ไปโกงพ่อฉันมาค้ำประกันกับฉันเหมือนกัน โดยที่มันไม่รู้เลยว่ากำลังเอาของทุกอย่างมาคืนเจ้าของ” ชายหนุ่มยิ้มอย่างเลือดเย็นให้กับหญิงสาวตรงหน้าก่อนเอ่ยประโยคถัดมา “ทีนี้เธอก็ไสหัวออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว”
เกือบหนึ่งเดือนผ่านชีวิตใหม่ที่แสนเรียบง่ายของจอมขวัญได้เริ่มต้นขึ้น อาศัยอยู่ในจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ บรรยากาศที่นี่ดีกว่าเมืองหลวงค่อนข้างมาก ที่นี่บางครั้งก็มีหมอกสีขาวจาง ๆ ในยามเช้าทำให้การเริ่มต้นในแต่ละวันแสนสดใส ผู้คนละแวกนี้ต่างให้การต้อนรับคนต่างถิ่นของเธออย่างดี หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เธอเลือกหลังจากที่ถูกพลาธิปไล่ออกจากบ้านหลังที่เธอเคยอยู่อย่างกับหมูกับหมาเวลาเก็บของแทบไม่มีเธอมาอยู่ที่นี่โดยที่ไม่บอกใครหรือติดต่อใครกลับไปทำตัวไร้ร่องรอยแม้แต่เพื่อนสนิทอย่างแพรไหมหรือป้านิ่มที่คอยดูเธอ ตั้งแต่อยู่บ้านโน้น ในเมื่อเขาอยากได้ทุกอย่างก็เอาไปรวมทั้งเงินจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทที่เขายัดใส่มือเธอตอนออกจากเกาะ เธอไม่อยากได้จึงฝากป้านิ่มคืนเขาจอมขวัญมาที่นี่ด้วยเงินเก็บที่มีติดตัวไม่กี่แสนกับรถยนต์คันโปรดของเธอแต่ทว่ารถมันไม่ได้จำเป็นมากเท่าไรเธอจึงที่จะขายมันถึงแม้ว่าจะรักมากก็ตาม ขายแล้วเอาไปซื้อรถยนต์ญี่ปุ่นราคาไม่กี่แสนมาใช้แทนกับตอนนี้เธอไม่ได้ยิดติดในความสะดวกสบาย ขอแค่พออยู่พอใช้ก็เพียงพอแล้ว เงินที่เหลือจากการขายรถและซื้อรถคันใหม่เธอเอามาลงทุนเปิด
นับตั้งแต่วันที่พลาธิปไล่จอมขวัญออกจากบ้านหลังนั้นไปใจเขาปวดร้าวทรมาณเหลือเกินที่ตามหาหญิงสาวเท่าไรก็ไม่พบจนอาการเขาเริ่มเศร้าซึมลงทุกทีจนลูกน้องคนสนิทอดเป็นห่วงเจ้านายหนุ่มไม่ได้ ใบหน้าของเจ้านายเครียดอย่างเห็นได้ชัดไม่รู้ว่างานตรงหน้าหรือเรื่องที่ตามหาจอมขวัญไม่พบ“มีอะไรเปล่าสหัส”“ผมว่านายพักผ่อนหน่อยดีกว่าครับ” คนเป็นลูกน้องบอกกับเจ้านายด้วยความเป็นห่วง“ไม่… ฉันทำได้ไม่ได้เป็นอะไร”ตั้งแต่ที่จอมขวัญหายไปเจ้านายของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนทำงานหามรุ่งหามค่ำออกตามหาหญิงสาวทุกที่ที่คิดว่าเธอจะไป“สหัสแล้วเรื่องที่ให้ตามหาว่าไงได้เรื่องบ้างไหม”“ได้ครับแต่ว่ายังไม่พบคุณจอมครับ พบแต่รถยนต์ของคุณจอมที่เธอใช้บ่อย ๆ ขายให้กับเต้นท์รถแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือ“แล้วได้สืบต่อมั้ยว่าว่าเมียกูอยู่ที่ไหน”“เรื่องสืบต่อผมให้พีระตามอยู่ครับว่าคุณจอมอยู่ที่ไหน ถ้าได้เรื่องยังไงผมจะรีบมารายงานครับ” ลับหลังลูกน้องคนสนิทพลาธิปทิ้งกายลงเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน“จอมจ๋า… จอมไปอยู่ที่ไหนผมคิดถึง” เขาพร่ำเพ้อออกมา ร่างสูงถอนหายใจออกมาอย่
บทที่ 10สามวันที่อัทธ์ออกไปทำธุระของเขาตั้งแต่วันก่อน มันทำให้เธอหายใจหายคอได้สะดวกที่ไม่พบคนใจร้ายให้วุ่นวายใจหรือใช้งานหนักเยี่ยงทาสทว่าในยามที่เขาไม่อยู่สริตาจึงใช้เวลาหลังเลิกงานคอยสอดส่องหาทางหนีทีไร่อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็เปล่าประโยชน์เพราะการที่จะออกจากกรงขังของเขาได้นอกจากจะมีเรือเท่านั้น แต่นี่ไม่พบเรือสักลำถ้าหากอัทธ์กลับมาเธออยากจะลองอธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เขาได้รับรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบางทีเขาอาจจะปล่อยเธอไปก็ได้ในขณะที่สริตากำลังฮำเพลงระหว่างเดินกลับบ้านเล็กท้ายเกาะก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงเอะอะโวยวายของใครบางคนที่ดังขึ้นตรงบริเวณที่มีเรืออยู่จนต้องหันไปมอง คนตัวเล็กพยายามหรี่ตามองว่าใครกันที่เสียงดังเช่นนี้ จนกระทั่งรู้แน่ชัดว่าเจ้าของเสียงนั้นคืออัทธ์“นายหัวรอผมก่อนเดี๋ยวผมช่วย” ลูกน้องของอัทธ์ร้องห้ามเมื่อเจ้านายของตัวเองเดินปรี่ไปที่หญิงสาวที่อยู่ริมหาด ด้วยความที่กลัวเจ้านายจะเป็นอันตรายจึงรีบวิ่งไปประคองกระนั้นคนเมามายกลับไม่ยอมพร้อมบอกให้ไม่ต้องมายุ่งเสียอย่างนั้น “ไม่ต้องกูเดินเองได้”
บทที่ 9สามวันผ่านไปอาการป่วยของสริตาเริ่มจะดีขึ้นตามลำดับหลังจากที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ถึงแม้ในยามค่ำคืนจะมีร่างสูงโปร่งเข้ามานอนข้าง ๆ ก็ตาม ชายหนุ่มไม่ได้ล่วงเกินเธอแต่อย่างใด สงสัยคงเห็นเพราะว่าไม่สบายอยู่คงอยากให้นอนหลับเต็มอิ่มจะได้กลับไปทำงานที่หยุดมาหลายวัน“จะไปไหน” เสียงเข้มของอัทธ์ดังขึ้นมาจากทางประตูห้องน้ำทำให้คนที่กำลังลุกออกจากเตียงถึงกับชะงัก “ไปบ้านท้ายเกาะค่ะ” “หายแล้วเหรอถึงจะไปที่นั่น”สริตาไม่ตอบนอกเสียจากพยักหน้ารับเท่านั้น “รอก่อน” เขาสั่งเสียงแข็ง มองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าที่กำลังทำท่าทำทางไม่พอใจ“กลัวฉันหนีเหรอคะ”“อย่างเธอน่ะจะหนีไปไหนได้”เขาว่าอย่างเย้ยหยันก่อนเดินหายไปแต่งตัวให้เรียบร้อย แต่ทว่ากลับไม่ได้ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตเสียอย่างนั้น อัทธตรงมาหยุดที่หน้าของสริตา ทำเอาสาวเจ้างวยงงกับชายหนุ่มไม่น้อย“ทำไมไม่ติดกระดุมล่ะคะ”“ติดกระดุมให้หน่อยสิ”แต่หญิงสาวยังคงยื่นนิ่งไม่ทำตามในสิ่งที่เขาบอก แต่แล้วก็ต้องทำตามเพราะคำขู่ของชายหนุ่ม
บทที่ 8เวลาล่วงเลยผ่านไปจนค่ำ สริตาที่กำลังหลับพริ้มอย่างสบายใจอยู่ภายในห้องนอนและเพิ่งรู้สึกตัวขึ้น ค่อย ๆ ยันกายให้ลุกนั่งพิงพนักหัวเตียงพลังกวาดสายตาหวานมองไปรอบ ๆ ที่นี่มันไม่ใช่ห้องนอนที่เธอใช้นอนประจำที่ท้ายเกาะที่อัทธ์กักขังเธอเอาไว้ แล้วนี่มันที่ไหนกันมันไม่คุ้นเอาเสียเลยแต่แล้วทุกสิ่งก็กระจ่างเมื่อประตูห้องถูกเปิดออกด้วยผีมือของใครบางคน เธอพยายามเพ่งมองว่าคนนั้นเป็นใครและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เขาเดินเข้ามา และไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเสียจาก อัทธ์คนใจร้าย“ตื่นแล้วเหรอ” อัทธ์ถามเอเสียงเข้มในมือของชายหนุ่มถือถาดอะไรบางอย่างเข้ามาด้วยก่อนจะวางมันลงกับตู้ที่อยู่ข้าง ๆ หัวเตียงสริตามองไปยังของที่เขาเพิ่งวางเมื่อครู่ พบว่ามันคือข้าวต้มร้อน ๆ กับน้ำและยาที่วางอยู่ด้วยกัน ก่อนหันหน้ามองชายหนุ่มอย่างไม่เขาใจว่าเขาจะมาดูแลเธอทำไมไม่ปล่อยให้เธอตายไปเสีย“ฉันถามทำไมไม่ตอบ” เมื่อไร้คำตอบจากหญิงสาวเขาจึงถามขึ้นอีกครั้งพร้อมทั้งหย่อนกายนั่งกับเตียงของตน“คุณก็เห็นนี่คะ ว่าฉันตื่นแล้ว”คนป่วยต่อปากต่อคำถึงแม้ว่าน้ำเสียงข
“ปวดหัวชิบ”แสงสว่างที่สองผ่านมายังหน้าต่างกระทบเข้ากับใบหน้าคมที่เพิ่งจะนอนได้ไม่นานให้ตื่นจากนิทราด้วยความงัวเงีย ก่อนจะยันกายแกร่งขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียงด้วยอาการหนักหัวไม่น้อย ไม่รู้ว่าเมื่อคืนทำอะไรลงไปบ้างเพราะเขาดื่มไปเยอะพอสมควร ลันสายตาของชายหนุ่มไปสะดุดกับเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่กับพื้นห้องมันมีทั้งเสื้อผ้าของเขาและของ...สริตามันต้องเป็นเสื้อผ้าของหญิงสาวแน่นอนเขาจำได้ และที่นี่คือบ้านที่ใช้ขังเธอเอาไว้ เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิดแผ่นหลังขาวเนียน ร่างเปลือยเปล่าที่หลับพริ้มอยู่ข้าง ๆ คือสริตานี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่อัทธ์พยายามคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนว่าตนทำอะไรลงไป สิ่งที่จำได้จะมีเพียงว่า ‘เขาไม่อยากซ้ำรอยของใคร’ ในคราแรกเขาไม่อยากใช้ของร่วมกับใคร แต่ตอนนี้ในเมื่อเธอเป็นของเขาแล้วและจะไม่มีวันได้เป็นของผู้ชายคนไหนอีกคนตัวโตกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนโน้มกายเข้าหาคนที่นอนหันหลังให้เขาพยายามปลุกเร้าอารมณ์ของหญิงสาวท่ามกลางเสียงพึมพำคล้ายรบกวนการนอนฝันดีของตน แต่ก็ต้องตกใจเมื่อพลิกกายเพื่อป
บทที่ 6ร่างกายเล็กบอบบางที่แสนเหนื่อยล้าจากการถูกใช้งานอย่างหนักของสริตากับคำสั่งของอัทธ์ที่ตอบดูการกระทำเธอแทบจะทุกฝีก้าว แทบจะสลบเมื่อพาตัวเองมายังโซฟาตัวนุ่มสีน้ำตาลที่ใช้นั่งเล่นเป็นประจำ หญิงสาวอยากจะงีบเสียหน่อยแต่ก็กลัวตัวเองจะเผลอหลับไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้อาบน้ำคงไม่ดีแน่หลังจากที่ร่างอ่อนล้าพักให้หายเหนื่อยครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าทำงานที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อโยนลงตะกร้าผ้าเตรียมซักและคว้าผ้าขนหนูสีขาวผืนใหญ่มาพันรอบกายสวยแล้วเข้าไปจัดการอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนออกไปเตรียมอาหารเย็นเป็นข้าวไข่เจียวหอมเมนูที่สุดแสนจะง่ายดายก่อนจะพาตัวเองเข้านอนด้วยความปวดเมื่อยตามร่างกายไปหมด“กินข้าวแล้วก็นั่งย่อสักพักแล้วกันค่อยนอน”สริตารวบช้อนเอาไว้กลางจานที่เพิ่งรับประทานเสร็จแล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง ๆ แล้วลุกไปจัดการล้างจานที่ทำอาหารเอาไว้ในอ่างให้เรียบร้อยก่อนเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ วันนี้เธอรู้สึกง่วงเล็กว่าทุกวัน อาจจะเป็นเพราะว่าเพิ่งกินอิ่มหนังท้องตึงหนังตาก็ย่อนเสียแล้วกว่ายี่สิบนาที่ที่สริตาล้างจานพร้อมทั้งทำความสะอาดบ้านให้เส
บทที่ 5เวลาผ่านไปร่วมสัปดาห์สริตายังคงอยู่ที่บ้านพักบนเกาะของอัทธ์อย่างกระวนกระวนกระวายใจเหมือนทุกครั้ง ถึงแม้วันนี้ชายหนุ่มจะสั่งให้ลูกน้องเปิดประตูให้เธอออกมาเลิกเล่นรอบ ๆ ตัวบ้านก็ตาม แต่มองไปทางไหนก็ถูกล้อมรอบไปด้วยป่าทั้งนั้น กวาดสายตาพลางขบคิดเรื่องทางหนีแต่ทว่ามันแทบจะไม่มีที่ไปเลยถ้ามีก็คงต้องว่ายน้ำข้ามทะเลไป แต่ใครจะทำล่ะ“หาทางหนีอยู่หรือไง”เสียงเข้มดั่งขึ้นทำลายความเงียบและสมาธิของคนที่กำลังขบคิดอยู่ในภวังค์ของตนต้องสะดุ้งน้อง ๆ แม้ว่าไม่ได้หันหลังกลับไปมองเธอก็รู้ว่าใครแต่มันไม่ใช่ลูกน้องของอัทธ์หรอกต้องเป็นเขา“อะไรของคุณ ฉันไม่ได้หาทางหนีสักหน่อย” เธอตอบเสียงสูงพยายามกลบเกลื่อนสิ่งที่คิดอยู่ในตอนนี้“แน่ใจนะ” เขาเลิกคิ้วถามอย่างไม่เชื่อ“ไม่เชื่อใจกันเหรอคะ” เธอถามเขาเสียงเรียบมองดวงตาคู่คมที่จ้องอย่างไม่ลดละราวกับจะฆ่าเธอให้ตายเสียอย่างนั้น“ฉันไม่เชื่อเธอตั้งแต่วันนั้นแล้ว”“จะไม่ฟังนิลอธิบายจริง ๆ เหรอคะ”สริตาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนอ้อนวอนอยากจะอธิบายกับเขา ชายหน
บทที่ 4พื้นที่ที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติในต่างจังหวัด หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่กันด้วยความสงบสุขเพื่อนบ้านต่างพึ่งพาอาศัยเอื้อเฟื้อซึ่งกันเละกัน เช่นเดียวกับครอบครัวของสริตากับป้าข้างบ้านที่คอยช่วยเหลืออยู่เสมอสิริกรมารดาของสริตาที่ย้ายมาอยู่ที่นี่พร้อมลูกสาวตามความต้องการเพราะต้องการที่จะปกป้องครอบครัวจากคนใจร้ายพวกนั้น นางเลี้ยงหลานชายหน้าตาน่ารักที่เค้าโครงไม่เหมือนผู้เป็นแม้ จะมีคล้ายเพียงดวงตาเท่านั้น“ตานนท์แม่เราหายไปไหนเนี่ยไม่โทรกลับมาเลย”ผู้เป็นยายคุยกับหลานน้อยวัยน่ารักที่นั่งอยู่บนตักตรงใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านในช่วงเวลาบ่ายแก่ ๆ ที่แดดไม่ร้อนและลมที่พัดผ่านกำลังสบายเจ้าหนูส่งยิ้มให้คนตรงหน้าทำเอาคนที่พบเห็นใคร ๆ ก็พากันเอ็นดูหนูน้อยอนล“มีอะไรหรือเปล่าครับป้าสิรี” ใครคนหนึ่งถามไถอย่างเป็นกันเองและเปิดประตูรั้วเล็กเข้ามาเหมือนคนที่คุ้นเคยมานาน“ไม่มีอะไรหรอกแค่ยัยนิลไม่โทรกลับมาบ้าน”“นิลคงงานยุ่งมั้งครับป้า”“นั่นสิเจตน์ ถ้าจัดการงานเสร็จคงกลับมาแหละ” นางว่าอย่างปลง ๆ เพราะคุ้นชินเสียแล้วว่าห
บทที่ 3เวลาล่วงเลยไปพักใหญ่จากการที่เธอนั่งนิ่งหลับคิดทบทวนและหาทางออกจากที่นี่ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเพราะรู้สึกหิวขึ้นมา เพราะเธอยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น จนตอนนี้ก็ไม่ว่าเวลาผ่านไปกี่ชั่วโมงแล้ว แต่อยู่ ๆ สายตาเธอเริ่มปรับให้คุ้นชินกับความมืดพอจะเห็นสภาพแววล้อมภานในห้องราง ๆ เท่านั้นทว่าดวงตาหวานที่ซ่อนความหวาดกลัวเอาไว้ เมื่อมองไปยังประตูห้องที่อยู่เยื้องกับเตียงที่เธอนั่งอยู่และพยายามแกะเชื่อกที่ผูกข้อมือเอาไว้ สายตาเธอจับจ้องประตูบานนั้นอย่างไม่วางตาเพราะเหมือนคนข้างนอกจะมีการไขกุญแจเพื่อที่จะเข้ามาภายในเสียอย่างนั้น“สวัสดีครับนายหัว”อยู่เสียงหน้าประตูก็เงียบลงและถูกแทนที่ด้วยเสียงบทสนทนาของใครก็ไม่อาจรู้ได้“จะทำอะไร”“ผมจะเอาข้าวเช้าไปให้คนที่จับมาน่ะครับ”“ไม่ต้องเอามานี่แล้วไปพักซะ แล้วอย่าให้ใครมายุ่งวุ่นวายแถมนี้”หญิงสาวพยายามเอียงหูฟังได้ยินคนที่ลูกน้องเรียกว่านายหัวสั่งการก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไป ครู่หนึ่งประตูก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงโปร่งของใครบางคน ทว่
บทที่ 2“เฮ้ย อัทธ์ทำไมวันนี้มึงดูเครียดจังวะ”น้ำเสียงอันคุ้นเคยที่ไม่บอกก็รู้ว่าใครทำเอาคนที่นั่งดื่มเหล้าท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มภายในร้านต้องเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิทของตนโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรแม้แต่คำเดียว“มึงมาช้าชิบหายเลยว่ะ” เทวาเพื่อนอีกคนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่กับอัทธ์ตั้งแต่แรกระหว่างรอเจ้าของร้านผู้ที่เข้ามาใหม่“โทษทีลงมาช้าบัญชีที่ร้านมีปัญหานิดหน่อย”ธันว์บอกแล้วหย่อยกายนั่งที่โซฟาพร้อมทั้งหันไปบอกพนักงานชงเครื่องดื่มได้เลย แล้วหันไปคุยกับคนที่นั่งอยู่ก่อนหน้าเขา “ว่าแต่มึงเป็นอะไรกินเอากินเอา กลุ้มใจอะไรหรือเปล่าวะ” ธันว์เพื่อนสนิทซึ่งเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ถามอีกครั้งเพราะทาท่างของชายหนุ่มดูเคร่งเครียดผิดหูผิดตา มันยิ่งหน้านิ่งอยู่แล้ว พอมาอารมณ์นี้ยิ่งน่ากลัวกว่าเดิมอีก“มึงอย่าไปถามมันเลย ตั้งแต่มานั่งกูถามจนไม่รู้จะถามยังไงล่ะ” เทวาบอกอย่างปลง ๆเทวากระดกเครื่องดื่มที่พนักงานส่งให้เสื่อครู่ไปเล็กน้อย ใบหน้าคมของเขาขมวดคิ้วราวกับนิดเรื่องอะไรบางอย่างได้ขึ้นมาก่อนถามขึ้นท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังก้อง “ได้ข่า