เซวียหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ทำตามที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ ฉินซูกำลังจะกลับต้าเหยียนมิใช่หรือ พวกเราก็ติดตามไปเรื่อย ๆ แล้วหาโอกาสลงมือ!”“แต่พวกเรามีกันแค่สองคน จะสำเร็จหรือ? หรือว่าเราควรรอท่านอาจารย์อามาถึงก่อน ข้ารู้สึกว่าสิ่งที่พวกชาวยุทธภพพูดอาจจะ...”ยังมิทันที่จ้าวอวี้เสวียนจะพูดจบ เซวียหมิงก็ขัดจังหวะขึ้นมา “เจ้าคิดมากไปแล้ว เขาอายุน้อยเช่นนี้ เป็นไปมิได้ที่จะมีวรยุทธ์น่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นได้อีกอย่าง ข้าก็เป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์ ต่อให้ฉินซูเป็นระดับสวรรค์เหมือนกัน ข้าก็ยังต่อสู้กับเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น วรยุทธ์ของเขามิน่าจะถึงขั้น มิฉะนั้นเหตุใดต้องใช้กลลวงชั้นต่ำเหล่านั้นด้วยเล่า”“ก็ได้ ข้าจะฟังท่าน!” จ้าวอวี้เสวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตกลงจากนั้นทั้งสองก็ควบม้าเร็ว มุ่งหน้าขึ้นเหนือไป......ในเวลาเดียวกันเมืองหลงเฉิง ต้าเหยียน ฉินอู๋ต้าวที่ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรจู่ ๆ ก็ตกใจลุกพรวดขึ้นยืนแม้แต่เหล่าขุนนางระดับสูงทั้งท้องพระโรงต่างก็มีสีหน้าตกตะลึง สายตาจับจ้องไปที่ทหารม้าลาดตระเวนผู้นั้นเป็นตาเดียวฉินอู๋ต้าวถามย้ำอย่ามิเชื่อหู “เมื่อครู่เ
ฉินอู๋ต้าวระงับอารมณ์สงบจิตใจก่อนจะกลับไปนั่งบนบัลลังก์มังกรดังเดิม!เขากล่าวชมด้วยสีหน้าผ่องใสว่า “หนานเยวี่ยรุกรานชายแดนต้าเหยียนมานานหลายปี ตัวข้าส่งคนไปป้องกันหลายครั้งแต่ก็ทำได้เพียงขับไล่พวกมันออกไปนอกประตูเมืองเท่านั้นนึกมิถึงว่ารัชทายาทจะกล้าหาญปราดเปรื่องถึงเพียงนี้ ลงใต้ไปช่วยเจียวโจว จนบัดนี้รวมแล้วมิถึงครึ่งเดือน กลับสามารถบุกยึดพระราชวังหนานเยวี่ยได้สำเร็จ ยึดครองหนานเยวี่ยทั้งแคว้นมาเป็นของต้าเหยียน!เมื่อเขากลับมา ข้าจะต้องตกรางวัลให้เขาอย่างงาม!”ขุนนางคนหนึ่งกล่าวสรรเสริญว่า “ทรงมีองค์รัชทายาทผู้ทรงเป็นแม่ทัพสวรรค์ประทาน นับเป็นวาสนาของราชวงศ์ต้าเหยียนโดยแท้ ยินดีกับฝ่าบาทยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ!”“ข้าน้อยขอแสดงความยินดีต่อฝ่าบาท!”ขุนนางที่เหลือกล่าวตามฉินอู๋ต้าวพยักหน้าด้วยความยินดี ไม่มีใครสังเกตเห็นความเคร่งขรึมและความหวาดระแวงที่วาบผ่านใต้รอยยิ้มของเขาเหลยเจิ้นมองเขาด้วยสายตาลุ่มลึก ดวงตาเป็นประกายเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่งหลังจากเลิกประชุม ฉินอู๋ต้าวก็สั่งให้เหลยเจิ้นและเว่ยเจิงอยู่ต่อก่อนรอยยิ้มบนใบหน้าของฉินอู๋ต้าวเลือนหายไปนานแล้ว สิ่งที่เข้ามา
หลังจากฉินอู๋ต้าวออกจากพระตำหนักจินหลวนก็ตรงไปยังวังหลังทันที!มินานนัก ร่างสองร่างก็โผบินผ่านท้องฟ้าเหนือวังหลังที่มีทหารรักษาพระองค์แน่นหนา ด้วยความเร็วที่ทหารเหล่านั้นมิทันสังเกตเห็นในขณะเดียวกัน สำนักหอดูดาวหลวง เหลยเจิ้นรู้สึกหัวใจสั่นสะท้านอย่างประหลาดเขารีบนับนิ้วคำนวณ จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างจนใจ “เป็นพ่อลูกกันแท้ ๆ ไฉนจึงเป็นเช่นนี้ไปได้!”“อาจารย์ เกิดอันใดขึ้นหรือขอรับ?”ชายร่างใหญ่กำยำที่อยู่ข้างกายเขาถามด้วยใบหน้าเปี่ยมความสงสัยเขาคือจีอัน ศิษย์พี่สี่ของกู้เสวี่ยเจี้ยน!“ไม่มีเรื่องสลักสำคัญหรอก ว่าแต่เมื่อมิกี่วันก่อน เจ้าบ่นกับอาจารย์ว่าอยู่แต่ในสำนักหอดูดาวหลวงทุกวันมันน่าเบื่อใช่หรือไม่?”จีอันผงกศีรษะโต ๆ หนักแน่น “ใช่ขอรับ เดิมทีข้าอยากจะไปช่วยศิษย์น้องหญิงที่หอดารารักษ์ แต่ท่านก็กลัวตายมิกล้าไปกับข้าเสียได้”“เจ้าโง่ อาจารย์กลัวตายเสียที่ไหน แต่ข้ามองสถานการณ์ในภาพรวม เจ้าเข้าใจหรือไม่?” เมื่อเผชิญหน้ากับจีอันผู้ซื่อตรง มิค่อยคิดกระไรมากมาย เหลยเจิ้นก็รู้สึกปวดหัวอย่างเห็นได้ชัดจีอันกอดอกพลางทำท่าทางเหมือนรู้ทัน “ชิ กลัวตายยังหาข้ออ้างคณานับ”เหลยเจิ้นย
การประลองยุทธ์ของยอดฝีมือ ย่อมมิอาจเสียสมาธิได้แม้แต่น้อย!อย่างนี้ไงเล่า ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยฉวยโอกาสเหวี่ยงกระบี่เล่มใหญ่ในมือฟาดฟันอย่างแรงเสียง 'ฉัวะ' ดังขึ้น แขนข้างที่ถืออาวุธของชายชุดดำก็ถูกตัดขาด เลือดสด ๆ พุ่งกระฉูด สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ทันทีชายชุดดำอีกสองคนที่เห็นท่ามิดี ก็มิพูดพร่ำทำเพลง รีบแยกย้ายกันหนีตายกันทันใด“จะหนีไปไหน!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยแผดเสียงดังลั่น กระโดดเข้าขวางชายคนหนึ่งไว้ได้ส่วนฉงชูโม่ก็เหวี่ยงแขนฟันกระบี่ไปยังทิศที่อีกคนกำลังหนีไป“อ๊าก!!”ชายผู้นั้นร้องโหยหวน บาดเจ็บสาหัสล้มลงไปกองกับพื้นในยามนั้นเอง ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยก็คุมตัวชายชุดดำคนสุดท้ายไว้ได้!ฉงชูโม่ขมวดคิ้วถาม “เกิดอันใดขึ้น? ไฉนเจ้าถึงมาต่อสู้กับคนของเผ่าหรงตะวันตกได้?”“เรื่องมันยาว ไว้ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังทีหลัง ว่าแต่ไฉนเจ้าจึงนำคนมากมายเช่นนี้กลับมา เกิดเรื่องใหญ่ที่หลงเฉิงหรือ?”ฉงชูโม่ลังเลเล็กน้อย แต่แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟังตู๋กูโฉ่วเยวี่ยกล่าวด้วยใบหน้าตกตะลึง “มิจริงน่า? อ๋องฉู่กล้าซ่องสุมกำลังพลเพื่อก่อกบฏหรือ?!”“น่าประหลาดใจมากใช่หรือไม่? ยามนั้นข้าก็รู้สึกม
ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “นี่ปะไรเล่า ยังมีเจ้าอีกทั้งคน มีเจ้าช่วยข้าก็มิถือว่าตัวคนเดียวแล้ว อีกอย่างคนที่ข้าต้องจัดการจริง ๆ มิใช่ชนเผ่าหรงตะวันตกทั้งหมดเสียหน่อย”“แล้วคนที่เจ้าต้องจัดการเป็นใครกันแน่?”“ในชนเผ่าหรงตะวันตกมีสำนักจันทราโรหิตอยู่ คราวนี้ข้าจะจัดการกับพวกเขาโดยเฉพาะ มหาปุโรหิตของสำนักจันทราโรหิตมีวรยุทธ์แก่กล้า ด้วยวรยุทธ์ของข้า ยังมิมั่นใจว่าจะรับมือไหว”ฉงชูโม่เลิกคิ้วขึ้น ซักถามต่อ “มหาปุโรหิตกระไรนั่นก็เป็นครึ่งก้าวย่ำสวรรค์ด้วยหรือ?”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยกำลังจะส่ายหน้า แต่เมื่อไตร่ตรองดูดี ๆ เขาเหมือนนึกกระไรบางอย่างได้ จึงพยักหน้าเขากลัวว่าฉงชูโม่จะมิยอมอยู่ช่วย จึงกล่าวเสริมอีกว่า “ชูโม่ กองกำลังของอ๋องฉู่พวกนั้นมิได้มีอาวุธติดตัว ปล่อยให้พวกตงฟางไป๋พาพวกเขากลับไปก็พอแล้วอีกอย่าง หากเจ้าอยู่ที่หลงโย่ว หลังจากจัดการเรื่องสำนักจันทราโรหิตเสร็จ เจ้าก็รอองค์รัชทายาทแล้วค่อยกลับหลงเฉิงพร้อมกับพระองค์ก็ได้มิใช่หรือ”คราวนี้ฉงชูโม่รู้สึกเอนเอียงเข้าแล้ว แม้จะรู้ว่าฉินซูได้รับชัยชนะกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ แต่เรื่องรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่างนางก็อยากรู้เช่น
“กักตนบำเพ็ญเพียรครึ่งปี ในที่สุดก็ทะลวงผ่านคอขวดได้สำเร็จ มิเสียแรงที่เตรียมการมานานนับปี!”ขณะที่พูด เขาก็สังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างใต้ฝ่าเท้าเมื่อก้มลงมองก็พบว่าเป็นจดหมายที่เซวียหมิงและจ้าวอวี้เสวียนทิ้งไว้ให้เขาก่อนลงจากภูเขาไปเขาเปิดอ่านดูครั้งหนึ่ง สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นในทันใดจากนั้นร่างของเขาก็พุ่งทะยานหายลับไปจากเชิงเขาด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เพียงชั่วพริบตาก็ไร้ร่องรอย!วันรุ่งขึ้นในหุบเขาที่อยู่ห่างจากทางใต้ของเจียวโจวประมาณเจ็ดถึงแปดสิบลี้ ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กำลังยืนอยู่บนก้อนหินใหญ่พลางจ้องมองไปยังทางใต้เขาคือเจ้าสำนักอสนีบาต ถานเทียนเต๋อ!ในเวลานี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร มือกำด้ามดาบแน่น“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก พวกเราซุ่มโจมตีเรียบร้อยแล้ว รอเพียงองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดนั่นผ่านมาก็จะดักจับพวกเขาไว้ในหุบเขานี้ได้แล้วขอรับ!” เหยียนซงศิษย์น้องของเขาเดินเข้ามารายงานถานเทียนเต๋อพยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวเสียงต่ำว่า “วันนี้ เพื่อแก้แค้นให้ซินหลาน ข้าจะสังหารฉินซูด้วยมือของข้าเอง!”พูดจบ เขากับเหยียนซงก็ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งก้านใบดกหนาแน่
ทันใดนั้นเอง พลธนูสองนายก็กระโดดออกมาจากด้านหลังชิวก่วนพวกเขาใช้ระเบิดสายฟ้าไม้ไผ่ผูกติดกับลูกธนู จุดไฟแล้วปล่อยสายธนูฟิ้ว ฟิ้ว!ลูกธนูที่ยิงออกจากธนูทดกำลังนั้นเร็วราวสายฟ้าแลบ พุ่งไปยังเนินเขาทั้งสองด้าน“แย่แล้ว หลบเร็ว!”ถานเทียนเต๋อที่ซุ่มอยู่ในพุ่มรับรู้ถึงอันตรายที่กำลังมาถึงอย่างเฉียบแหลม จึงตะโกนเสียงดังลั่น คนที่อยู่ด้านหลังเขาก็เคลื่อนไหวทันทีเมื่อได้ยินเสียง!ทว่ายังช้าไปก้าวหนึ่ง!ตู้ม ตู้ม!!แม้ว่าลูกธนูที่ยิงไปถึงเนินเขาด้านหนึ่งจะพลาดเป้า แต่ลูกธนูอีกดอกกลับตกท่ามกลางกลุ่มคนด้านหลังถานเทียนเต๋อพอดีทันใดนั้นเอง เหล่าลูกศิษย์สำนักอสนีบาตก็ถูกแรงระเบิดอัดจนล้มระเนระนาด หลายคนนอนร้องครวญครางอยู่บนพื้น สองคนในนั้นถึงกับแขนขาขาดกระจุย สภาพน่าสยดสยองนักเมื่อเห็นภาพนั้น ถานเทียนเต๋อก็เผยสีหน้าตกใจสุดขีดลูกธนูที่ดูจะมิได้วิเศษวิโสกระไรกลับมีอานุภาพร้ายแรงถึงเพียงนี้!ในขณะที่เขากำลังตกตะลึงอยู่นั้น ทางด้านชิวก่วนก็เผยมีสีหน้าประหลาดใจออกมา!“ให้ตาย มีคนซุ่มโจมตีพวกเราจริง ๆ ด้วย ใครก็ได้ ยิงถล่มมันเสีย!”เขาสั่งการอีกครั้ง พลธนูจึงหยิบธนูทดกำลังขึ้นมาผูกระเบิด
เมื่อลูกทรงกลมตกลงพื้นก็แตกออกพร้อมกับปล่อยควันพิษพวยพุ่งออกมากลุ่มใหญ่“กระจายออกไป เร็วเข้า...แค่ก ๆ ...”คนของสำนักอสนีบาตสูดควันพิษจนสำลักไอโขลก ๆ หลายคนหน้ามืดสติหมดสติไปเลยก็มีเมื่อเห็นว่าทั้งอาวุธลับและระเบิดควันพิษทำกระไรฉินซูมิได้ ถานเทียนเต๋อก็โกรธจนแทบคลั่ง!“ข้าชักจะโมโหแล้ว! ทุกคนจงฟังคำสั่ง ตามข้าไปฆ่าเจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลดกับพวกพ้องให้สิ้น!”“น้อมรับบัญชาท่านเจ้าสำนัก!”ทุกคนตอบรับพร้อมเพรียงเป็นเสียงเดียว แล้วกรูกันลงเขาพร้อมกับชูอาวุธในมือราวกับฝูงผึ้งแตกรัง“เป็นแค่พวกนกกระจอก ยังกล้าอวดดี!”ฉินซูยิ้มเยาะ หยิบลูกธนูมามัดหนึ่งแล้วกระทืบเท้ากับพื้น ร่างพุ่งทะยานขึ้นไปในอากาศทันทีเมื่อขึ้นไปอยู่กลางอากาศ เขาก็สะบัดมือ!ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว !ลูกธนูในมือถูกห่อหุ้มด้วยปราณบริสุทธิ์อันแข็งแกร่งพุ่งออกไปกลุ่มคนของสำนักอสนีบาตยังมิทันเข้าถึงตัวชิวก่วนและพวก ก็ถูกยิงด้วยธนูจนล้มไปกองกับพื้นเป็นส่วนใหญ่เสียแล้วเมื่อเห็นเช่นนั้น เหยียนซงก็รีบเตือนว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก จะจับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน!”“ดี เจ้ากับข้าไปจัดการรัชทายาทผู้รอวันปลดนั่นด้วยกัน ส่วนคนอื่น ๆ จงบ
เซวียหมิงมองไปยังทิศทางที่ฉินซูและพรรคพวกจากไปพลางพึมพำกับตัวเอง“คิดมิถึงเลยว่าจะได้เจอกับคนที่สามารถกลืนกินปราณเลือดอาถรรพ์ได้ จีอันหรือ? ข้าจะจำเจ้าเอาไว้!”“แล้วก็ฉินซู เจ้าคอยข้าก่อนเถอะ สักวันข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมานจนอยู่ต่อมิไหว จะตายก็มิได้!”“แค่นี้ก็น่าจะพอให้ข้าใช้แล้ว”เขาพูดพลางมองลูกแก้วสีแดงอมม่วงในมือภายในลูกแก้วนั้นคือปราณเลือดอาถรรพ์จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ของเขาคือต้องการหามหาปุโรหิตแห่งสำนักจันทราโรหิต เพื่อขอยืมปราณเลือดอาถรรพ์มาใช้แต่เมื่อเข้าใกล้บริเวณนี้ ก็เห็นเฉินซีถูกฉงชูโม่ล่อลวงไปแล้ว ส่วนสาวกของสำนักจันทราโรหิตก็บาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ เขาจึงฉวยโอกาสจัดการสาวกที่เหลือของสำนักจันทราโรหิต จากนั้นก็เข้าไปในถ้ำจนได้พบกับแท่นบูชาต่อมาก็ฉวยโอกาสที่ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยมิทันระวังจัดการอีกฝ่ายจนสลบไป และเก็บรวบรวมปราณเลือดอาถรรพ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดายจากนั้นเซวียหมิงก็หันหลังเดินออกจากที่นี่ไปเช่นกันขณะที่เขาเดินผ่านป่าแห่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเท้าเหยียบเข้ากับบางสิ่งบางอย่างเมื่อก้มลงมอง ก็พบว่าเป็นขลุ่ยกระดูกสีขาวบริสุทธิ์เขายกมันขึ้นมาด
ในเวลานี้ แสงสีเลือดใต้รอยแตกของผนึกได้หายไปหมดจนแล้ว เหลือเพียงความมืดมิดจีอันลูบก้นพลางเดินเข้ามาเขาหยิบกระดาษยันต์สีเหลืองสองแผ่นออกมาจากอกเสื้อแล้วแปะลงบนรอยแตกของผนึกนั้นลงไปจากนั้นก็เดินไปข้าง ๆ ยกก้อนหินขนาดใหญ่กว่าวัวทั้งตัวขึ้นมาวางทับกระดาษยันต์ทั้งสองแผ่นนั้นไว้ฉินซูได้แต่มองตาค้าง ก้อนหินนั้นอย่างน้อยก็หนักสักตันสองตันกระมัง แต่จีอันกลับยกมันขึ้นมาได้ด้วยมือเปล่าเขามองด้วยความสงสัยเต็มใบหน้าแล้วถามว่า “จีอัน ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับใด?”“ข้าน้อยมิรู้ อาจารย์มิได้บอกข้าน้อย”“มิจริงน่า? ระดับของตัวเจ้าเอง เจ้าจะมิรู้ได้อย่างไร?”จีอันพยักหน้าอย่างซื่อ ๆ แล้วถามกลับว่า “ปราณบริสุทธิ์ภายในของท่านเข้มข้นและประหลาดถึงเพียงนี้ พระองค์เล่าอยู่ระดับใด?”ฉินซูยักไหล่ “ข้าก็มิแน่ใจ”“หึ มิพูดก็ช่าง ท่านแข็งแกร่งเพียงนี้ อาจารย์คงแก่จนเลอะเลือนแล้ว ถึงให้ข้าน้อยลงใต้มาคุ้มครองท่าน”จีอันบ่นพึมพำแล้วย่อเข่าลง จากนั้นร่างก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าดุจกระสุนปืนใหญ่ ชั่วพริบตาก็กระโจนขึ้นไปข้างบนฉินซูอดสงสัยมิได้ว่า เจ้านี่น่าจะเลือกเส้นทางสายฝึกกาย มิฉะนั้นจะหนังหนาถึงเพียงนี้ได้อย
ท่ามกลางสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของฉินซู ร่างของจีอันก็พุ่งลงไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ กระแทกเข้ากับพื้นหุบเหวลึกเบื้องล่าง'ปัง' เสียงดังสนั่น พื้นดินถูกกระแทกจนเกิดหลุมขนาดใหญ่แต่จีอันกลับมิได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย!พลันเห็นเขาปีนขึ้นมาจากหลุมแล้วตบ ๆ ปัดฝุ่นออกจากตัวอย่างมิยี่หระราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเห็นภาพนั้น ฉินซูยกย่องเขาอย่างสุดซึ้ง ถามด้วยความสงสัยว่า “ชูโม่ จีอันผู้นี้หนังหนาไปหน่อยกระมัง? เขาอยู่ระดับใดหรือ?”“หม่อมฉันก็มิแน่ใจ แต่ในบรรดาศิษย์ทั้งเจ็ดคนของหัวหน้าโหรหลวงเขาแข็งแกร่งที่สุดแล้วเพคะ”“เช่นนี้นี่เอง เจ้าอยู่ดูแลตู๋กูโฉ่วเยวี่ยที่นี่ไปนะ ข้าจะลงไปช่วยเขา”ฉินซูพูดจบก็กระโดดลงไปเช่นกันต่างจากจีอัน ฉินซูในยามนี้ราวกับขนนกเบาหวิวที่ลอยลงไปอย่างแผ่วเบาเมื่อมาถึงก้นหุบเหว เขาก็ตกใจเมื่อพบว่าพื้นของแท่นบูชานี้เต็มไปด้วยอักขระเวทสีแดงในยามนี้อักขระเวทเหล่านี้ล้วนเปล่งแสงสีแดงเลือด ทั้งมีเสน่ห์แบบลึกลับและทั้งแปลกประหลาดจีอันมองฉินซูผาดหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านคอยอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามา”พูดจบเขาก็สาวเท้าเข้าไปหาแสงโลหิตนั้นอย่างรวดเร็ว
แรงกดดันน่าสะพรึงกลัวที่แฝงอยู่ในนั้น แม้จะอยู่ห่างไกลก็ยังรับรู้ได้อย่างชัดเจนฉินซูกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท้องฟ้าเกิดปรากฏการณ์ประหลาด เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว มิควรอยู่ที่นี่แล้ว รีบไปกันก่อนเถิด”“มิได้ ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยยังอยู่ที่เขาหัวสิงห์ ที่นั่นต้องเกิดเรื่องกระไรขึ้นแน่ รีบไปดูกันเถิดเพคะ”ฉงชูโม่ยังมิทันจะพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งไปยังทิศทางของเขาหัวสิงห์แล้วเมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินซูก็จำต้องตามไปด้วยเมื่อสังเกตว่าความเร็วของฉงชูโม่เร็วกว่าเดิมมาก ฉินซูก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ มิได้เจอกันนาน พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?”“หม่อมฉันกินโอสถลับของสำนักหอดูดาวหลวง โอสถลูกกลอนนั้นสามารถเพิ่มความคล่องแคล่วของกระบวนท่าได้เพคะ”“เช่นนี้นี่เอง!”ฉินซูจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจเงียบ ๆทั้งสองใช้ทักษะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วราวกับภูตผี เพียงแค่ชั่วครู่ก็มาถึงตีนเขาหัวสิงห์เมื่อเงยหน้ามอง แสงสีแดงฉานที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ายังคงแรงกล้ามิได้เจือจางลงแม้แต่น้อย ในความว่างเปล่านั้นเต็มไปด้วยเมฆดำและเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเมื่อเห็นสถานการณ์อันน่าพิศวงนี้ ฉินซูก็
ฉินซูกล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “เฮ้อ เจ้าอย่าได้หึงหวงนักเลย เจ้าเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาทของข้านะ”“ถุย ใครเขาตอบตกลงเป็นพระชายาองค์รัชทายาทของท่านกัน อย่าแม้แต่จะคิดเชียว”“ชูโม่อย่าล้อเล่นสิ ข้าพูดจริงนะ เจ้ายังมิเข้าใจความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าอีกหรือ?”ฉงชูโม่หยุดเดิน พลันหันขวับกลับไปกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉินซู หากท่านมิอยากให้ฝ่าบาททรงระแวง ท่านก็ควรกลืนคำพูดเมื่อครู่นี้กลับลงท้องไปเสีย”ฉินซูขมวดคิ้ว “ข้าชอบเจ้า แล้วมันผิดด้วยหรือ?”เมื่อเห็นฉินซูแสดงความในใจ ฉงชูโม่ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกยินดีเล็กน้อย แต่ก็ยังคงส่ายหน้าพลางอธิบายอย่างอดทน“ผิดสิเพคะ ท่านลองไตร่ตรองดู ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท กลับคิดจะรับแม่ทัพขั้นหนึ่งมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาท หากองค์จักรพรรดิทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์จะทรงรู้สึกอย่างไร? อย่าลืมว่าเรื่องวันชุนเฟินปีหน้ายังมิจบสิ้น ดังนั้นมิว่าจะมองอย่างไร ยามนี้ก็มิใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องนี้เพคะ”“แต่… แต่ข้าได้ยึดครองหนานเยวี่ยทั้งหมดมาเป็นของต้าเหยียน ด้วยความดีความชอบเช่นนี้ การรับเจ้ามาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทก็มิ...”ยังมิทันที่ฉินซูจะพูดจบ เขาก็เข
เมื่อเห็นว่าศพแห้งทำกระไรฉินซูมิได้ เสียงขลุ่ยของเฉินซีก็เปลี่ยนทำนองกะทันหัน ศพแห้งเหล่านั้นหันหลังวิ่งหนีป่าราบทันที“ชีวิตน้อย ๆ ของเจ้ากับศพแห้งเหล่านี้ ข้าจะเอาไปทั้งหมด!”เมื่อฉินซูพูดจบ ก็ตบฝ่ามือใส่เฉินซีรูม่านตาของเฉินซีหดเล็กลง ยังมิทันได้ลงมือก็ 'ฟู่' ถูกตบจนกลายเป็นหมอกเลือดในทันใดเมื่อเห็นเช่นนั้น ชายชุดดำก็ใจหายวาบ รีบวิ่งหนีสุดชีวิตโดยมิลังเลฉินซูหัวเราะเย็นชา จากนั้นก็โบกมือชายชุดดำวิ่งออกไปได้มิไกลนัก ร่างก็ชะงักกึก จากนั้นก็ถูกแรงดึงดูดลากให้ลอยกลับไปยังมิทันเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น คอของเขาก็ถูกฉินซูบีบเอาไว้เสียแล้ว“บัดนี้เพิ่งคิดจะหนี มิคิดว่าสายเกินไปหน่อยรึ?” ฉินซูมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยชายชุดดำตกใจจนหน้าซีดเผือด กล่าวด้วยความยากลำบากว่า “อย่า อย่าฆ่าข้าเลย....”“ใครส่งเจ้ามา?”“ประ… ประมุขแห่งยุทธภพหนานเยวี่ย”ฉินซูหัวเราะเย็นชา “สำเนียงหลงเฉิงของเจ้าชัดถ้อยชัดคำเช่นนี้ ใกล้ตายแล้วยังคิดจะหลอกข้าอีกรึ? ในเมื่อเจ้ามิรู้สำนึก ข้าก็จะให้เจ้ารู้จักสิ่งที่เรียกว่าตายทั้งเป็น”เมื่อเขาพูดจบ ก็จิ้มไปที่จุดตันจงบนหน้าอกของชายชุดดำอย่างแรงเสี้ยวขณะต่
ชายชุดดำพยักหน้าขึงขัง “ข้าเห็นกับตาตัวเอง จะเป็นเรื่องเท็จได้อย่างไร”เฉินซีกลับหัวเราะแล้วส่ายหน้า กล่าวอย่างมิเห็นด้วยว่า “ตบยอดฝีมือระดับสวรรค์ให้กลายเป็นหมอกเลือดด้วยฝ่ามือเดียว เป็นไปได้อย่างไร ข้าว่านี่เป็นเพียงกลอุบายพวกภาพมายาเท่านั้น”ชายชุดดำคิดดูแล้วก็เห็นด้วยเฉินซีมองฉินซูอย่างดูถูก “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด ยามนี้ข้างกายข้ามียอดฝีมือระดับสวรรค์เพิ่มมาอีกคน เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังมิรีบยอมจำนนแต่โดยดีอีก รอกระไรอยู่เล่า?”“ใช่แล้ว ฉินซู เจ้าฆ่าตัวตายไปเสียยังดีเสียกว่า เช่นนั้นจะได้มิต้องทนทุกข์ทรมานมากนัก”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “พวกเจ้าสองคนพูดมากเกินไปแล้ว!”พูดจบ เขาก็หันกลับไปถามฉงชูโม่ว่า “จะเก็บไว้สอบปากคำหรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็ชะงักไปแต่แล้วก็ส่ายหน้าส่วนเฉินซีโกรธขึ้งจนแค่นหัวเราะออกมาแทน “เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลด เจ้านี่ช่างปากกล้าเหลือเกิน สงสัยจะอวดอ้างเกินจริงเสียแล้วกระมัง ในเมื่อเจ้าอยากตายนัก ข้าก็จะให้เจ้าได้เห็นวิธีการอันน่าสะพรึงกลัวของสำนักจันทราโรหิตของข้า!”จากนั้นเขาก็หยิบขลุ่ยกระดูกออกมาจากอกเสื้อก่อ
เจ้าห้าเป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์อย่างแท้จริง แต่กลับถูกฉินซูตบจนมิเหลือซาก แสดงให้เห็นชัดเจนว่าวรยุทธ์ของฉินซูน่าสะพรึงกลัวเพียงใดในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ระดับสวรรค์เช่นกัน เขาใช้วิชาตัวเบาหลบหนีอย่างสุดกำลัง ความเร็วยิ่งยวดจนน่าตกใจเช่นกันชั่วขณะหนึ่ง ฉินซูถึงกับตามมิทันได้ในทันทีแต่ยามนี้ฉินซูตั้งเป้าอีกฝ่ายไว้อย่างแน่วแน่ และไล่หลังตามติดไปอย่างมิยอมปล่อยหลังจากไล่ล่ากันไปได้ครึ่งชั่วยาม อีกด้านหนึ่งก็มีเสียงบันดาลดังขึ้นว่า “สารเลว หากมีฝีมือก็อย่าหนี ข้าจะให้เจ้าได้เห็นฤทธิ์เดชของสำนักจันทราโรหิตของข้าเสียบ้าง!”“หากเจ้ามีฝีมือก็อย่าตามมาสิ!”เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ ฉินซูก็มิได้ไล่ตามชายชุดดำคนนั้นต่อไป แต่กลับพุ่งไปยังต้นทางของเสียงนั้นมินานนัก ร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏแก่สายตาฉินซูกระโดดออกมาจากหลังต้นไม้ ถามด้วยความประหลาดใจว่า “ชูโม่ เกิดอันใดขึ้น?”“องค์รัชทายาท ไฉนท่านจึงมาอยู่ที่นี่?” ฉงชูโม่หยุดชะงักอย่างอดมิได้นางล่อเฉินซีลงมาจากเขาหัวสิงห์ได้สำเร็จ แต่กลับสลัดอีกฝ่ายมิหลุดมินึกเลยว่าเมื่อวิ่งมาถึงที่นี่ กลับมาเจอเข้ากับฉินซูเมื่อเห็นนางหยุด เฉินซีก็หัวเ
ด้วยปฏิกิริยาที่รวดเร็วยิ่งยวด ชายชุดดำคว้าลูกธนูที่ชิวก่วนยิงออกมาไว้ในมือได้แต่เขามองข้ามปัญหาที่ร้ายแรงไปอย่างหนึ่ง นั่นคือลูกธนูนั้นผูกติดอยู่กับระเบิดสายฟ้าไม้ไผ่ยังมิทันสิ้นถ้อยคำดูแคลนของเขา ระเบิดสายฟ้าก็ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงร่างของเขากระเด็นออกไปทันทีพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่น กระแทกลงพื้นดินที่อยู่ไกลออกไปอย่างแรงแขนขวาและแก้มครึ่งซีกของเขาถูกระเบิดจนเนื้อตัวเหวอะหวะ อาภรณ์ขาดวิ่นทั้งตัว ดูน่าสังเวชอย่างยิ่งเมื่อเห็นภาพนั้น สหายของเขามีสีหน้าตกตะลึง รีบถามว่า “เจ้าห้า เจ้าเป็นกระไรหรือไม่?”“แค่ก ๆ ...ยังมิตาย บัดซบ ข้าประมาทไปหน่อย”ชายชุดดำที่ถูกเรียกว่าเจ้าห้าสบถแล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้น“เจ้าถ่วงเวลาเจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลดนั่นไว้ ข้าจะจัดการเจ้าสารเลวนั่นแล้วไปช่วยเจ้า!”เมื่อเจ้าห้าพูดจบ ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งเข้าใส่ชิวก่วนเมื่อเห็นเช่นนั้น ชิวก่วนก็หนังตากระตุกอย่างอดมิได้ รีบง้างธนูใส่ศรเตรียมยิงแต่ฉินซูกลับกล่าวว่า “อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือ หากมันตั้งรับ ลูกธนูของเจ้าก็ทำกระไรมันมิได้ จงหลบไปอยู่ห่าง ๆ”ขณะพูด ฉินซูก็กระโดดตัวลอยพุ่งเข้าหาเจ้าห้าทันทีเมื่อ